ถาม:  ในอดีตกาล ชายคนหนึ่งไปพบหญิงแก่คนหนี่งกำลังหาน้ำกินเพราะไม่มีน้ำกิน ชายคนนั้นถามว่าทำไมจึงไม่มีน้ำกิน เขาบอกว่ามีแต่ลูกสาวแต่ไม่ยอมให้ลูกสาวแต่งงาน เกิดมาเลยไม่มีน้ำกิน อันนี้เป็นทุกคนหรือเปล่า ?
      ตอบ :  เป็นทุกคน ไม่ใช่ว่ามีลูกสาว มีลูกชายด้วยข้อหานี้เขาใช้คำว่า หวงกามารมณ์ ประเภทที่เรียกว่า เขามาขอลูก ลูกชาย ลูกหญิง อะไรก็ตาม แล้วไม่ยอมให้ จะเก็บเอาไว้ใช้งานเอง
      ถาม :  ทำไมล่ะคะ ?
      ตอบ :  ก็ทำให้คนอื่นเขาอดน่ะสิ ตัวเองเลยอดไปด้วย
      ถาม :  ถ้าเขาไม่ยอมแต่งล่ะคะ ?
      ตอบ :  ถ้าเขาไม่ยอมแต่งเอง ไม่เกี่ยว อันนี้หวงเอาไว้ ลูกสาวอยากแต่งใจจะขาด บอกอย่าไปนะแม่ตีเนื้อขาดเลย อะไรอย่างนี้
      ถาม :  ได้เคยฟังผู้หญิงคุยกัน ผู้หญิงเขาว่าเขามีหลักการเลือกคู่ครองที่ว่าต้องเจ้าชู้นิด ๆ กินเหล้าได้ พอเข้าสังคมได้ แต่ห้ามสูบบุหรี่ หลักการเลือกคู่ครองให้อยู่อย่างมีความสุขแบบคู่ครองเรือนเป็นอย่างไรบ้าง ?
      ตอบ :  อันนั้นต้องเรียกว่ารสนิยมของเขา ไม่ใช่หลักการ เรื่องของหลักการจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าการที่จะครองคู่กันนั้นจะต้องมีทานเสมอกัน ศีลเสมอกัน ปัญญาเสมอกัน ถึงจะอยู่กันยืด ไม่อย่างนั้นทำอะไรแล้วไปขัดคอกันจะอยู่กันไม่ได้ มีทาน มีศีล มีปัญญาเสมอกันจะอยู่กันยืด
      ถาม :  สมัยก่อนถ้าใครเป็นเด็กวัดแล้วได้ดีเป็นใหญ่เป็นโต ก็เป็นที่น่าชื่นชมในความลำบาก วิริยะ อุตสาหะของเขา พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้สอนว่า ข้าวที่ชาวบ้านถวายวัดถือเป็นของสงฆ์ ถ้าใครคิดว่าเป็นของตัวเองไปกินเข้าก็จะลงนรก เรื่องของข้าวก้นบาตรของวัดนี่ กินข้าววัดอย่างไรถึงจะไม่ลงนรกครับ ?
      ตอบ :  ก็กินที่เหลือจากพระท่านฉันแล้ว อาหารที่เหลือจากพระฉันแล้วให้เรียก วิทาสาโท เรามีสิทธิ์กินเพื่อเลี้ยงชีพได้ แต่ไม่มีสิทธิ์สะสม กักตุน หรือเอาไปให้คนอื่นเขา จะประเภทที่เอากลับบ้านนี่เจ๊งเลย ญาติของพระเจ้าพิมพิสารที่ว่ากลายเป็นเปรตอยู่ตั้ง ๙๑ กัป อันนั้นขนไปเผื่อชาวบ้านเขานะ ของสงฆ์ต้องอยู่ในวัด คราวนี้ถึงจะเหลือเป็นเดนแล้วก็ตาม กินก็ต้องกินแค่อิ่ม
      ถาม :  แล้วไปแจกคนอื่นไม่ได้หรือคะ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าจะทำอย่างนั้นต้องให้สงฆ์มีความเห็นร่วมกัน ภาษาพระเรียกว่า "อปโลกน์" คือมีการขอความเห็นก่อน อปโลกน์ทางภาษาพระจะขึ้น ยัคเฆ ภัณเต สังโฆ ชานาตุ ขอสงฆ์ทั้งหลายโปรดฟังข้าพเจ้า คนที่เป็น "ภัตตุเทศก์" จะเป็นคนกล่าว "ภัตตุเทศก์" คือผู้แจกอาหาร บัดนี้มีทายก ทายิกา ผู้มีจิตศรัทธาน้อมนำมาซึ่งภัตตาหาร ถวายเป็นทานในหมู่สงฆ์ อันว่าอานิสงส์นี้ย่อมมีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวเอาไว้ว่า จะเป็นของผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะก็หามิได้ เพราะเป็นของที่ควรแก่สงฆ์ทั่วทั้งสังฆมณฑล ดังนั้นข้าพเจ้าขอสมมติตนเป็นผู้แจกภัตแห่งสงฆ์นี้ สงฆ์ทั้งหลายจะเห็นสมควรหรือไม่สมควร ถ้าหากว่าเห็นเป็นการไม่สมควรก็จงทักท้วงขึ้นท่ามกลางระหว่างสงฆ์อย่าได้เกรงใจ แต่ถ้าเห็นสมควรแล้วไซร้ ขอให้ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้นิ่งอยู่ (ก็หยุดสักพักหนึ่ง) พอเห็นพระทั้งหมดเงียบอยู่ก็กล่าว บัดนี้สงฆ์ทั้งหลายนิ่งอยู่ ข้าพเจ้าก็รู้แล้วว่าเป็นการสมควร จึงขอแจกภัตแก่สงฆ์ ณ บัดนี้ แล้วก็ขึ้นอะยัง ปะฐะมะ ภาโค มะหาเถรัสสะ ปาปุณาติ ส่วนที่เหลือพึงถึงแก่พระมหาเถระผู้เป็นใหญ่เหนือกว่าข้าพเจ้า อะวะเสสา ภาคา อัมหากัง สามเณรัญจะ ปาหุณาติ ส่วนที่เหลือพึงถึงแก่ข้าพเจ้า ตลอดจนภิกษุสามเณรทั้งหลายที่มารวมกันโดยพร้อมเพรียงกัน ณ ที่นี้ เมื่อเหลือจากภิกษุ สามเณร แล้วไซร้ขอมอบให้เป็นส่วนของทายก ทายิกา อุบาสก อุบาสิกา ตลอดจนกระทั่งสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วกันทุกท่านทุกคนเทอญ ถ้าพระสาธุพร้อมกัน มีปัญญาก็กินไปเถอะ อย่าขนกลับบ้านนะ กินอย่างเดียว
      ถาม :  ถ้าเราหิวน้ำ แล้วเราขอน้ำพระกิน แต่พระรูปเดียว ?
      ตอบ :  ถ้าพระรูปเดียวอนุญาต รูปนั้นติดหนี้จ้ะ
      ถาม :  ติดหนี้ ใครติดหรือ พระติด ?
      ตอบ :  พระรูปนั้นติดหนี้สงฆ์ คือท่านเอาของสงฆ์ไปให้เขาโดยที่สงฆ์ส่วนรวมไม่ได้มีความเห็นเพราะฉะนั้นพระรูปปนั้นจะเป็นโทษแทนเราเพราะท่านอนุญาตให้แก่เรา นั่นแหละมีทางเดียวคือท่านชำระหนี้สงฆ์เสีย เรื่องของพระไม่ยากหรอก ถ้าหากว่าประเภทของกินของใช้อยู่ในวัด เราก็ตั้งใจหยอดตู้ชำระหนี้สงฆ์แล้วก็กินไป เรื่องของสงฆ์นี่อันตรายมาก ส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจกัน มีอยู่อย่างหนึ่งคือว่าถ้าเหลือเฟือจริง ๆ ขอความเห็นของสงฆ์ร่วามกันว่าเหลือมากขนาดนี้ สมมติเป็นเทศกาลใช่ไหม ? เราก็เอาไปเลี้ยงเด็กกำพร้าดีไหม ? ไปให้บ้านราชวิถี บ้านเมตตาดีไหม ? ถ้าสงฆ์ทั้งหลายเห็น สาธุ ท่านทำเถอะผมเห็นสมควรแล้ว อย่างนี้แจกไปเถอะไม่มีใครว่า ก็ถือว่าสงฆ์อนุญาตแล้ว
      ถาม :  ขัตติยะมานะคืออะไร หลวงพ่อท่านบอกว่าท่านมีขัตติยะมานะมาแต่ชาติก่อน แล้วชาตินี้จะเป็นอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ขัตติยะ แปลว่า กษัตริย์ ขัตติยะมานะคือ ความถือตัวของกษัตริย์ ความถือตัวของกษัตริย์นี่ก็คือว่าลักษณะที่ว่าเป็ฯผู้ใหญ่เสียจนเคย เพราะฉะนั้นจึงต้องแสดงความเข้มแข็ง เป็นผู้นำมาตลอด จะแสดงความอ่อนแอให้เห็นไม่ได้ ตัวอย่างที่ว่าขัตติยะมานะของหลวงพ่อนี่เจอมาเอง หลวงพ่อท่านป่วยเป็นปกติ เราอยู่หน้าห้องเฝ้ายามท่าน ถึงเวลาท่านจะลงรับแขก ก็ต้องคอยระมัดระวัง กลัวท่านจะหกล้มตกบันไดอะไรอย่างนี้ ถึงเวลาก็จะจับแขนประคองท่านลง พอเดินพ้นบันไดท่านสะบัดมือเลย อันนั้นเป็นความเคยชิน ขัตติยะมานะ มานะของพระมหากษัตริย์ เคยเป็นผู้นำเข้มแข็งเสียจนเป็นปกติ แสดงความอ่อนแอให้คนอื่นเห็นไม่ได้ เป็นวิสัยติดตัวมา ไม่ใช่ทิฏฐิมานะที่เป็นสังโยชน์ แต่เป็นความเคยชิน
              คราวนี้ของเราเองเห็นว่าท่านไม่ไหวจริง ๆ มาตอนหลังพอเดินพ้นบนไดท่านสะบัด เราก็ล็อกเลย หลวงพ่อท่านมองหน้าทีหนึ่ง ท่านรู้ เออ! ปล่อยแล้ว หลังจากนั้นท่านก็ให้เราล็อกแต่โดยดี ขัตติยะมานะก็คือมานะของพระมหากษัตริย์ ถ้าหากว่าใครเคยเป็นมาเยอะ มาชาตินี้จะเป็นคนประเภทที่เรียกว่าอ่อนแอไม่ได้ อยู่ต่อหน้าคนอื่นต้องเข้มแข็งไว้ก่อน ลับหลังแล้วค่อยนอนหงายแผ่สี่สลึง
      ถาม :  คนผู้บรรเทาความโกรธได้ นอกจากที่จะบรรเทาความโกรธได้แล้ว เขายังทำทานให้แก่บุคคลที่ทำให้เขาโกรธด้วย กำลังใจนี้ถึงระดับไหนครับ ?
      ตอบ :  โอ้โห! อย่างต่ำ ๆ ต้องสกิทาคามี นี่บรรเทาได้ไม่พอ ยังทำทานให้คนที่ทำให้โกรธด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือว่าอภัยให้เขาได้ อันนี้กำลังใจของพระสกิทาคามีแท้ ๆ เลย แต่อย่าลืมนะสกิทาคามีคือโสดาบันละเอียด เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเป็นพระโสดาบันเป็นได้ไหม พระโสดาบันละเอียดขั้นเอกพิซี หรือพระสกิทาคามี กำลังใจอยู่ระดับนี้
      ถาม :  ได้ดูนางเอกละครสาวสวย เวลาตกระกำลำบากก็ดูน่าสงสารดี ความอดทนอันเลิศนั้น ในโลกนี้การอดทนในสิ่งที่บุคคลอื่นทนไม่ได้ คนเราควรมีความอดทนมากน้อยเพียงใด และอดทนจะมีประโยชน์อย่างไร ?
      ตอบ :  ความอดทนนี่จริง ๆ แล้วถามว่า อดทนมากน้อยเพียงใด ต้องอดทนตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติจนกว่าจะเข้าพระนิพพานได้ ไม่มีอะไรยากไปกว่านี้อีกแล้ว ถามว่าต้องอดทนมากน้อยเพียงใด ก็ไม่ต้องมากหรอกถึงพระนิพพานก็พอ ส่วนความอดทนต่าง ๆ จะมีทั้งอดทนทางร่างกายแบบเหนื่อยยากตรากตรำ อดทนในลักษณะที่อดทนอดออมคำพูด ไม่ให้กล่าวว่าร้ายคนอื่น ไม่ให้ผรุสวาท กล่าวคำหยาบ ไม่ให้พูดส่อเสียด ไม่ให้พูดโกหก อย่างนี้แล้วก็ต้องประเภทที่อดทนในลักษณะที่เรียกว่าต่ออารมณ์ที่กระทบต่าง ๆ อะไรทุกรูปแบบ รวม ๆ แล้วภาษาพระเรียกว่า "ขันติบารมี" เป็นบารมีใหญ่โตมโหฬาร ๑ ใน ๑๐ ที่จะสามารถส่งเราเข้าพระนิพพานได้ ทนไม่ต้องมากหรอกแค่ไปพระนิพพานก็พอ
      ถาม :  คำพูดที่ว่า คอยเวลาที่เหมาะสม มีความสำคัญมากน้อยเพียงใด ?
      ตอบ :  อันนี้เป็นตัวอุเบกขาด้วย ของบางอย่างถ้าวาระและเวลามาไม่ถึง ต่อให้พยายามทำไปก็อาจจะไม่ได้ผลดี และเป็นภัยแก่ตัวเองด้วย เมื่อตอนหลังเที่ยงได้กล่าวถึงสังฆปรินายก องค์ที่ ๖ คือท่านเหว่ยหล่าง พอท่านได้รับมอบบาตร มอบจีวร ที่เป็นสัญลักษณ์ของพระสังฆปรินายก องค์ถัดไปจากองค์ที่ ๕ แล้วท่านต้องหนีเข้าป่าไปเลย เพราะว่าคนอื่นที่เห็นว่าตัวเองเหมาะสมควรจะได้นั้นมีอยู่ แต่ว่าคนที่เหมาะสมจะได้ท่านก็มีหิริโอตตัปปะเพียงพอ แต่ลูกศิษย์ของท่านไม่มี เขาจะกระทืบ ท่านเหว่ยหล่างแบนติดเท้า ท่านก็เลยต้องหนีเข้าป่าไปอยู่กับพวกพรานป่า ท่านก็รอให้ผ่านไปจนกระทั่ง ๑๐ ปีกว่า ๒๐ ปี เกียรติคุณของท่านนี่ ชาวบ้านเล่าลือกันกว้างออกไป ๆ ทุกที่
              จนกระทั่งเขาเชิญท่านออกไป ท่านเห็นวาระอันสมควรแล้ว ท่านถึงยอมออกไปตั้งสำนัก พอตั้งสำนักแล้วศิษย์สำนักเดียวกันเก่ง เห็นว่าตัวท่านเองสมควรที่จะได้เป็นสังฆปรินายกก็ส่งลูกศิษย์มาสอดแนมว่า เก่งจริงหรือเปล่า ? ปรากฏว่าลูกศิษย์มาแล้ว แค่เข้ามาในเขตเท่านั้นแหละ ท่านประกาศแล้วว่าตอนนี้มีสายลับมาแล้ว รายนั้นก็แน่เหมือนกัน มาถึงแสดงตัวเลย ผมเองครับ ผมไม่ใช่สายลับครับ อ้าว! แล้วไม่เป็นสายลับได้อย่างไร ถ้าผมไม่แสดงตัวคือผมเป็นสายลับ แต่นี่ผมประกาศตัวชัดเจนจะเป็นสายลับได้อย่างไร ท่านก็บอก เออ! พูดถูก ท่านก็เลยเทศน์สอนให้ พอเทศน์สอนให้ปุ๊บ ท่านแตกฉานเลยล่ะ เขาเป็นลักษณะประเภทดอกบัวพ้นน้ำโดนแสงอาทิตย์ก็บานเลย ท่านก็เลยรีบกลับไปหาอาจารย์ หลวงพ่อเหว่ยหล่าง เก่งจริง ๆ ครับ อาจารย์ไปฟังธรรมเขาเถอะ นั่นแหละ
              เพราะฉะนั้นก็ต้องรอวาระและก็รอเวลาเหมือนกัน ถ้าไม่อดทนต่อสู้อยู่ในป่าตั้ง ๑๐ กว่าปี ๒๐ ปี ล่ะก็ออกไปตอนนั้นรับรองได้ลูกศิษย์ฝ่ายนี้เหยียบตาย ตอนที่ออกไปนั้นเกียรติคุณเป็นที่เลื่องลือแล้ว เป็นที่เคารพของคนจำนวนมากแล้ว เท่ากับว่ามีกำลังพอที่จะคานกำลังของสำนักนี้เขาได้แล้ว นั่นแหละถึงได้กล้าประกาศตัวออกมา เพราะฉะนั้นวาระและเวลานี้สำคัญมาก โบราณเขาใช้คำว่า ดูตาม้าตาเรือ ดูไม่ดีเขารุกฆาต ขุนตายสนิท
      ถาม :  หมอผ่าตัดเห็นตับ ไต ไส้ พุง เกือบทุกวัน จิตเขาตั้งอยู่ในกรรมฐานหรือไม่ ?
      ตอบ :  อาจจะคิดว่าตูจะกินต้มตือฮวน สิ่งที่เขาเห็นนั้นสำคัญอยู่ที่วาเขารู้ไหมว่าอันนั้นเป็นอสุภ หมายความว่ามันไม่ดี ไม่งาม ไม่สวย หรือเปล่า ? บางอย่างกลายเป็นความเคยชินจนด้านชาไป ในเมื่อกล่าวมาถึงตรงจุดนี้ จะเห็นว่าในเรื่งอของบรรดาหมอต่าง ๆ นั้น ถ้าปฏิบัติธรรมเขาจะก้าวหน้ามาก ไม่ต้องเอาใครหรอก คุณหมอพรทิพย์นั่นแหละ อย่าคิดว่าเขาประเภทแต่งตัวเป็นกระเซิงอย่างกับพั้งค์นะ ไม่ใช่ จริง ๆ เขามีหลักปฏิบัติพอตัวทีเดียวแหละ เพราะฉะนั้นบรรดาหมอต่าง ๆ นี่ถ้าหากว่ามีหลักปฏิบัติอยู่แล้ว แล้วไปเจอในสภาพพวกอสุภกรรมฐาน พวกนั้นเขาจะทรงศีลทรงธรรมได้เร็วมาก แต่ว่าท่านไม่มีหลักปฏิบัติ ไม่มีอะไร ถ้าหากว่าบุญเก่าไม่มีด้วย เขาก็ด้านชาไปเฉย ๆ แต่ถ้าบุญเก่าเคยทำมาสักนิดหนึ่งต้องมีสักวันที่ฉุกใจคิดขึ้นมา เออ! หนอสภาพร่างกายของคนเราที่แท้จริงมีแค่นี้เอง ไม่มีแก่นไม่มีสารเลย ข้างในเราคิดว่าสวย ที่ไหนได้ ตับ ไต ไส้ พุง ยั้วเยี้ยไปหมด ถ้าหากว่าคิดอย่างนี้ขึ้นมาได้ผลบุญเก่าก็จะช่วยเพิ่มให้ทันที เสริมให้ทันที โอกาสที่จะเข้าถึงธรรมก็มีเร็วขึ้น
      ถาม :  คือดูแล้วต้องคิดด้วย ?
      ตอบ :  ต้องคิดให้เป็น ใช้ปัญญาให้เป็น ไม่ใช่ว่าสักแต่เห็น ๆ ไป
      ถาม :  อานิสงส์ของการโยนน้ำใส่พระพุทธรูป หรือใช้น้ำอาบพระพุทธรูปด้วยความเคารพในประเพณีสงกรานต์ มีอะไรบ้างครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ก็คือว่าเป็นพุทธบูชา คนประเภทนี้ถ้าเกิดใหม่คงได้เครื่องปรับอากาศอยู่ตลอด ไม่รู้จะร้อนกับใคร แต่อย่างอาตมานี่ไม่ไหวนะ โดน ๒-๓ รอบคือโดนมาจากกรุงเทพฯ ไปหลายยกแล้ว มาถึงวันสงกรานต์จริง ๆ นี่เขาจะมีของพระ ของเณร เขาสรงก่อนยกหนึ่ง เสร็จแล้วค่อยถึงให้ชาวบ้านเขารุมยำเสียอีกยกหนึ่ง เป็นอาจารย์เขานี่แย่หน่อย
              สมัยก่อนคงสรงพระไว้เยอะ อานิสงส์ก็เลยเปียกอยู่เรื่อย แต่เย็นดีจ้ะ อุตส่าห์ขอร้องเขาตั้งแต่เช้าแล้วว่า อย่าใส่น้ำแข็งนะ อย่าเอาน้ำในตู้เย็นมานะ ขันแรกก็เจอเลย ยิ่งขอร้องยิ่งเจอ
      ถาม :  สรงน้ำพระนี่เขาสรงบนเศียรหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วไม่สมควรจ้ะ เอาสักแค่ไหล่ก็พอ บางคนเขาใช้วิธีสะบัดใส่ก็มีบ้าง ควรจะขอขมาพระรัตนตรัย คราวนี้อานิสงส์ที่ควรได้คือ อานิสงส์พุทธบูชา การบูชาพระด้วยของหอมอย่างนี้ ควรสรงแค่ไหล่ดีกว่าหรือว่าพระหัตถ์ เพราะว่าลักษณะของการทำอย่างนั้นแค่ประเภทที่เรียกว่า คนอายุมากกว่าเราก็น่าเกลียดแล้ว อย่าว่าถึงขนาดพระเลย
      ถาม :  หมอดูลายเซ็น เขาสรุปมาว่าลายเซ็นที่ดีที่สุดคือการเขียนชื่อตามปกติ เขาบอกว่าการแก้ลายเซ็นจะช่วยแก้ปัญหาสุขภาพ การเงิน ความคิด บริวร และอายุ อันนี้แก้ได้จริงหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ไม่จริง อันนั้นมีส่วนอยู่เท่านั้นเอง อย่าลืมว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของกรรมเก่าที่เราทำมาทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจะแก้ที่ลายเซ็นมันไม่ไหวหรอก บังเอิญว่าคนที่แก้แล้วมีผลก็คือ บุญเก่าที่เขาทำมาสนองพอดี ถ้าบุญเก่าไม่สนองพอดีก็เดี้ยงต่อไปเถอะ
      ถาม :  ถ้ากรรมเก่านี่บุญไปช่วยได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  บุญบรรเทาบาป ไม่ได้ล้างบาป ไม่ได้แก้ไขบาป มันพาให้หนีห่าง การบรรเทาเหมือนอย่างกับเขาก่อไฟตอนนั้นมันร้อน เราทำบุญก็คือหนีห่างก็ร้อนน้อยหน่อย ถ้าเผลอเดี๋ยวไฟมันเลื่อนตามมาก็จี้ก้นเขาไปอีก เพราะฉะนั้นต้องทำบุญให้ต่อเนื่อง แล้วสม่ำเสมอ
      ถาม :  คำถามยอดฮิต เวลาไปดูหมอคือ ๑. การงาน ๒. การเงิน ๓. ความรัก เป็นไปได้หรือไม่ว่าชีวิตคนเราจะไม่ต้องพึ่งหมอดู แล้วปฏิบัติในแนวอิทธิบาท ๔ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติใน ทาน ศีล ภาวนา เอาให้ดีจริง ๆ กำหนดอนาคตตัวเองได้เลย ส่วนใหญ่แล้วเรื่องของดวงก็คือ บุญกรรมในอดีตที่เราทำมา ทางด้านโหราศาสตร์นี่เขาจะมีการเก็บสถิติต่อเนื่องมาเป็น ๑,๐๐๐ ปี วันนี้ เดือนนี้ ปีนี้ ถึงวาระถึงเวลานี้จะมีอะไร ๆ เกิดขึ้น สถิติเหล่านี้ถ้าเก็บละเอียดจริง ๆ ได้ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของความเป็นจริง อย่างไม่มี ๆ ก็ ๕๐-๖๐ เปอร์เซ็นต์
              คราวนี้คนที่จะมาเกิดในลักษณะที่เวลาใกล้เคียงกัน วัน เดือน ปี ใกล้เคียงกัน ก็ต้องเป็นคนที่ทำบุญทำบาปมาใกล้เคียงกัน ถึงวาระถึงเวลาผลบุญผลกรรมจะส่งผลให้เขา ถึงสามารถบัญญัติขึ้นมาเป็นวิชาโหราศาสตร์ แต่ว่ามีคนประเภทหนึ่งที่กำลังใจเข้มแข็งมาก หนักแน่นในการปฏิบัติ หนักแน่นใน ทาน ศีล ภาวนา อันนี้เรื่องกรรมเก่าให้ผลได้ไม่เกิน ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าอดีตส่งผลในปัจจุบัน เราทำปัจจุบันนี้พักเดียว ตรงนี้จะเป็นอดีต แล้วมันพร้อมจะส่งผลให้เราในอนาคต ถ้าเราทำปัจจุบันให้ดี ๆ ดียาวนานไป ผลดีจะส่งผลให้เอง
      ถาม :  เรื่องของคน ๓ คน ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ไปพบที่สำนักพระยายม เขาให้เหตุผลของการดื่มเหล้าหลายอย่าง ทำให้นึกถึงเหตุผลของการที่คนเราดื่มเหล้าได้ว่า ข้อที่ ๑. ดื่มแล้วเกิดความมั่นใจ กล้าพูดในสิ่งที่ไม่กล้าพูด ข้อที่ ๒. ดื่มเมื่อมีปัญหาชีวิต จะได้ลืมความทุกข์ ถึงแม้จะเป็นเพียงชั่วขณะก็ตามก็ขอให้ได้ลืม ข้อที่ ๓. ดื่มแล้วมีอารมณ์สนุกสนานในงานสังสรรค์ ข้อที่ ๔. ดื่มเพื่อได้ลิ้มรสความมีระดับของสุราในชั้นทิพย์ต่าง ๆ ที่มีคุณค่าต่าง ๆ กัน ข้อที่ ๕. ดื่มเพื่อจะได้เข้าสังคมกับเขาได้ นมัสการถามพระคุณเจ้าว่าท่านมีแนวทางปฏิบัติตัวอย่างไรที่จะแก้ไขปัญหาทั้ง ๕ ข้อนี้แก่บุคคลได้ ?
      ตอบ :  อ๋อ! ไม่ต้องแก้เลย ถ้าเขายอมถือศีลก็จบ อันนั้นเป็นข้ออ้างให้ได้ดื่ม เรื่องของข้ออ้างให้ได้ดื่มนั้นตต่อให้ไม่มีเหตุไม่มีผลกว่านี้เขาก็จะดื่ม มีอยู่คนหนึ่งผมเกลียดเหล้ามากเลย เหตุผลเขาข้าง ๆ คู ๆ แต่นั่นก็คือเหตุผลของเขาแต่ละคนเขาทำ แต่เมื่อเราเห็นแล้วว่าสิ่งนั้นไม่ดีจริง แสดงว่าเราก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดที่สูงกับเขาแล้ว เพราะฉะนั้นก็ควรจะเมตตาเขา สงสารเขา มีโอกาสที่จะสงเคราะห์เขาด้านใดด้านหนึ่งได้ก็ช่วยไปเขา ถ้าไม่มีโอกาสก็ยืนดูเขาไป ถ้าหากว่าจะแก้นี่ไม่ต้องแก้หรอก ถ้าเขายอมรักษาศีลเหตุผลอีกมากกว่านั้นมันก็จบ
      ถาม :  เราไม่ต้องไปดื่มเข้าสังคม ?
      ตอบ :  อย่าไปดื่มมันก็พอ
      ถาม :  .......................?
      ตอบ :  ของเราเองถึงเวลาก็เอาเงินใส่ซองเตรียมถวายพระงานประจำปี คราวนี้ของเราใครไปก็ถวายสามพันบาทกันหมด จะพระจะเณรก็ตาม มาก็ถือว่าเป็นลาภของเราใช่ไหม ? คราวนี้มากันเยอะ มาเยอะสตางค์ก็หมด เราก็แกล้งแหกปากตะโกน "โอ๊ย...ใครมีสตางค์ให้ยืมบ้างโว้ย ไม่มีสตางค์จะถวายพระแล้ว" (หัวเราะ) เดินเข้ากุฏิ ไม่รู้มีใครใส่ซองไว้อย่างเรียบร้อยเลย หนึ่งหมื่น...!
      ถาม :  มีคนเข้าห้องหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ใครจะเข้าไป ก็ตูล็อกห้องกับมือ ตอนนี้ยังดีนะ ของหลวงพ่อนี่ท่านมาถวายเองหน้าตาเฉยเลย หลวงพ่อท่านขาดเงินอยู่สี่หมื่นกว่า วันนั้นนัดช่างที่เขาทำงานอยู่มารับค่าแรง แล้วท่านก็ขึ้นไปรับแขก ก็ไม่มีวี่แววจะได้ คนนั่งไม่กี่คนอย่างนี้ แต่สังเกตว่ามีโยมแก่ ๆ คนหนึ่งนั่งพิงเสาอยู่ พอหลวงพ่อขึ้นมาก็กราบ ๆ หลวงพ่อพูดอะไรท่านก็นั่งยิ้มฟังอย่างเดียว ไม่ถามอะไรซักคำ ถึงเวลาหลวงพ่อจะเลิกรับแขก เหลือประมาณ ๕ นาที คนก็เริ่มลากันแล้ว แกก็คลานเข้ามากราบใกล้ ๆ ถามว่า "ท่านขาดเงินเท่าไรเจ้าคะ ?" หลวงพ่อก็บอก "เออ...เมื่อเช้าให้ครูนนทาเช็คบัญชีแล้ว ขาดอยู่สี่หมื่นกว่าบาท" โยมควักจากชายพกของแก นับ ๆ ให้สี่หมื่นกว่าพกมันก็นิดเดียว นับออกมาอย่างไรได้เยอะขนาดนั้น (หัวเราะ) เสร็จแล้วก็ถามพระทีหลัง พระท่านบอกว่า "ย่าเขาสงสารคุณ เขาเลยเอาสตางค์ไปให้" (หัวเราะ) ไปชนิดไม่ให้จำได้เลย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ของเราเจอมาเสีย จนกระทั่งทุกวันนี้ ทำงานไม่ได้รู้สึกอยู่ในลักษณะว่าหนักใจ
              คราวนี้ปัญหาที่ว่ามาวัดหนึ่งจบ อีกวัดหนึ่งก็มาอีกแล้ว เรามาดูได้หลายอย่างด้วยกัน อันดับแรกก็คือ เรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มาเต็ม ๆ แล้ว ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ตาม ถ้าหากว่ามันไม่ไหว มันต้องนึกถึงอาจารย์เล็ก คุณโดนยกตูดขึ้นไปขนาดนั้นแล้ว คุณยังรู้ตัวอยู่หรือเปล่า ? ตอนนี้หมายความว่าชื่อเสียงของคุณนี่ประเภทเด่นเหนือกว่าใครแล้วล่ะ ทั้งจังหวัดเขาไม่มองไปไหนหรอก เขามองมาที่เรานี่แหละ ถึงเวลาเจ้าคณะสั่งการด้วยตัวเองอย่างนี้ เรายังมีสติรู้ตัวของเราอยู่หรือเปล่า ?
              ประการที่สอง งานที่ทำในขณะที่เราเผชิญหน้ากับงาน หรือว่างานสำเร็จลง กำลังใจของเรามีฟูมีฟุบไหม ? เจอหน้ากับงานประเภทหนักสาหัสอย่างนี้เลย กำลังใจเราตกไหม ? พอทำงานสำเร็จเรียบร้อย กำลังใจเราฟูไหม ? ไม่ว่าจะกำลังใจตก หรือกำลังใจฟู ใช้ไม่ได้ทั้งคู่ แสดงว่าเรายังยินดียินร้ายอยู่กับมัน
              ข้อต่อไป งานพวกนี้เป็นงานที่เรามั่นใจแล้วว่าเราทำได้แน่นอน เป็นการดีตรงที่ว่า ความที่เราทำชั่วในอดีตไว้เยอะ ถึงเวลาวาระกรรมจะมาสนอง ในเรื่องของความยากลำบากในด้านต่าง ๆ ความทุกข์ยากลำบากนี้ ถ้ามาในลักษณะของงานเรารู้อยู่ว่าเราทำได้ เรารับไหว เราเลือกที่จะทำตรงจุดนี้ แต่ถ้าเรารอให้มันมาเอง มันอาจจะหนักเกินกว่าที่เราจะรับไหวก็ได้
              เพราะฉะนั้น...เจอหน้างานโดดใส่ไปเถอะ เราเลือกได้อยู่แล้ว ในเมื่อเราเลือกได้ ความทุกข์นี้กูเลือก เพราะฉะนั้น...เราเป็นผู้กระทำ แต่ถ้าเรารอให้เขาเลือก เขาเป็นผู้กระทำ คุณไม่มีสิทธิ์โอดครวญแล้ว เลยว่า "เออ...พวกงานอย่างนี้ จริง ๆ มันเข้ามา ก็มีผลดีหลาย ๆ ด้านเหมือนกันสำหรับเรา"
      ถาม :  จ่าอะไรครับที่ทำมาตั้งนานแล้วเลิกทำไป จ่าคนที่บอกทำผลงานตั้งหลายจุด
      ตอบ :  อ๋อ...ไม่ใช่ เขาเป็นครู เขาไปสอนหนังสือในถิ่นทุรกันดาร
      ถาม :  แล้วส่งเรื่องให้ใครครับ ?
      ตอบ :  เขาส่งไปที่มูลนิธิราชประชา จะเป็นมูลนิธิสงเคราะห์ของในหลวงโดยเฉพาะ เขาจะเขียนรายงานขึ้นไปเรื่อย ๆ ว่าเขาทำอะไร ? เขาก็ทำของเขาไปเรื่อย คนอยากทำนี่มันทำได้นาน มันไม่ได้ทำเพราะอยากดี ทำไปก็เขียนรายงานไปเรื่อย เขามีความสุขกับงานของเขา เขียนไปเขียนมา โอ้โฮ...ตั้งหลายปี อยู่ ๆ มีพระราชหัตถเลขาจากในหลวงมา งานทุกอย่างที่ทำอยู่ในสายพระเนตรพระกรรณอยู่ตลอด เพียงแต่อยากรู้ว่าคุณทำจริงไหม ? พอทำจริงท่านสนับสนุนให้ เสด็จไปถึงที่เลย โอ้โฮ...แล้วเจ้าประคุณเถอะ ระยะทางไม่กี่กิโล แต่ต้องขี่มอเตอร์ไซค์เป็นชั่วโมงกว่าจะถึง คุณลองนึกว่าถนนเละขนาดไหน ชาวบ้านเขาระดมกั้นไม้กระดานคนละแผ่นสองแผ่นปูทางเละ ๆ ให้เรียบ เพื่อให้ในหลวงเสด็จ แล้วหลังจากนั้นไม้กระดานพวกนั้นน่ะ เอาไปสร้างบ้านพักข้าราชการได้หลังหนึ่ง เขาเรียก "บ้านลาดพระบาท" (หัวเราะ) คิดดูแล้วกันว่า "สถานที่อย่างนั้นใครจะคิดว่าในหลวงจะเสด็จ" ท่านก็ไปนะ เพราะว่าพูดง่าย ๆ คือ "พสกนิกรเขาทำงานจริง ๆ ทุ่มเทเพื่อส่วนรวมจริง ๆ"
      ถาม :  อยู่ที่ไหนครับ ?
      ตอบ :  เวียงสระ สุราษฎร์ธานี สมัยนั้นนี่ดงคอมมิวนิสต์เลย ความเจริญทุกอย่างไม่ต้องพูดถึง โผล่เข้าไปเมื่อไร ถ้าเป็นคนทางราชการ มันยิงทิ้งไว้ก่อนนะ คุณกล้าทำงานไหมล่ะ ?
      ถาม :  เขาเป็นครูสังกัดมูลนิธิราชประชาสงเคราะห์หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ประเภทที่เรียกว่า "อาสาเขาไปเฉย ๆ อาสาเขาไปทำงาน" อะไรขาดแคลนท่านก็เขียนรายงานไปเรื่อยแหละ คือประเภทที่เรียกว่า "ถ้าได้ก็เอาไม่ได้ก็ลุยด้วยตัวเองอยู่แล้วอย่างนี้"
      ถาม :  ..................................
      ตอบ :  ไปใต้ไปเจอพระอีกองค์หนึ่ง พระแบบที่อยู่ในศาลเจ้าที่ของเรา ของเราประจำทิศตะวันตกใช่ไหม ? ของเขาประจำทิศใต้ เขาแกะด้วยหินแบบเดียวกัน แต่ว่าแบบที่แกะคนละแบบกัน ของเราเป็นทรงเครื่องอย่างไร แต่ของเขาเป็นประเภทจีวร แต่ว่าฝีมือแกะเห็นเลยว่าลายเดียวกัน ชื่อก็ชื่อเดียวกัน แสดงว่า ๔ ทิศนี่ เขาชื่อเดียวกันหมดทุกองค์ เลยกลับมาถ่ายภาพของเราประกบด้วย จะได้รู้ว่าของใครดูดีกว่ากัน
      ถาม :  ..............................
      ตอบ :  ทำบุญอย่าไปติดในบุญ เพราะว่าเรื่องของการทำบุญ สำคัญอยู่ตรงที่ว่า "รู้ว่าบุญก็ทำ รู้ว่าบาปก็ละ" ถ้าหากว่าไปติดอยู่แล้วจะยุ่ง ตั้งใจถวายก็ได้บุญแล้ว ได้ตั้งแต่ตั้งใจทำแล้ว คือถ้าไม่ได้เห็นพิธีรู้สึกเหมือนกับไม่ได้ทำ ตรงจุดนี้แหละสำคัญตรงที่ว่า ระยะหลังพวกนักวิชาการบางส่วนออกมาโจมตีว่า "พระพุทธศาสนาเน้นพิธีกรรมที่เป็นเรื่องของพราหมณ์มากเกินไป" แต่เขาไม่ได้ดูตรงจุดที่ว่า "กำลังใจของคนยังต้องการอย่างนั้น" เด็กเพิ่งจะหัดเดิน จะให้ไปวิ่งแข่งกับแชมป์เหรียญทองโอลิมปิก จะไปเอาธรรมะบริสุทธิ์อย่างเดียวจะไปได้อย่างไร ถ้าสมมุติว่าสร้างโบสถ์หลังหนึ่ง พวกระยำนี่มองแต่ช่อฟ้านะ ฐานล่างก็ไม่มี เสาก็ไม่มี โครงก็ไม่มี หลังคาก็ไม่มี ให้ช่อฟ้ามันลอยอยู่ได้ไหม ? มันน่าตีจริง ๆ (หัวเราะ)
      ถาม :  .............................
      ตอบ :  ทางรักษาการณ์เจ้าคณะจังหวัด ท่านให้ช่วยไปจัดการเรื่องที่วัดนั้นแตกออกเป็นหลายฝักหลายฝ่าย มีทั้งหวังดีและหวังร้าย เลยต่างคนต่างทิ้งวัดให้รกอยู่ วัดนั้นอยู่หน้าโรงพยาบาลทองผาภูมิ ศพออกจากโรงพยาบาลก็จะเข้าวัดเลย ที่มีพระองค์ใหญ่ ๆ นั่นน่ะ ต่อไปเข้าไปถึงก็โบสถ์ทรงฝรั่งนั่นแหละ อาตมาจะอยู่ข้างใต้นั้น เจ้าอาวาสท่านอนุญาตให้อยู่ตรงนั้น เดี๋ยวไปกั้นห้องเสียก่อน ชื่อ "วัดทองผาภูมิ" ชื่ออำเภอเลย
      ถาม :  แม่หนูเขามีปัญหาอีกแล้ว เขาบอกว่า "เขาจะทำบุญที่วัดท่าขนุน" เขาก็มารู้สึกหนักใจว่า หลวงพี่จะย้ายแล้ว ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไร อยู่ที่ไหนก็ตามไปทำได้ ไม่ได้ว่าอะไร เพราะว่าอยู่ที่ความตั้งใจของเจ้าภาพเขา แล้วปีนี้จะจำพรรษาที่เกาะ แต่จะใช้วิธีสัตตาหะ คือขออนุญาตลาตามกิจจำเป็น จะมีพ่อป่วย แม่ป่วย ครูบาอาจารย์ป่วย ลาเพื่อไปรักษาพยาบาลได้ สหธรรมิก คือเพื่อนพระต่างวัดจะสึก ไปเพื่อห้ามปรามได้ ไปหาสัมภาระเพื่อซ่อมวัดสร้างวัดที่พังลงได้ ได้รับกิจนิมนต์เพื่อไปเจริญศรัทธาได้ อย่างนี้ของเราไปในฐานะไปบูรณะวัดเขา จะสงเคราะห์เข้าได้ในข้อที่สี่ แต่ว่าตัวจะอยู่ที่เกาะนะ ถ้ามีกฐินก็รับที่เกาะเหมือนกัน ถ้าไปที่เกาะนี่ต้องทำง่าย ๆ นะ ประเภทกล่าวคำถวาย ยกประเคน รับพรก็จบเลย ไม่มีอะไรยุ่งยากเลย
      ถาม :  .............................
      ตอบ :  ส่วนใหญ่พวกผีหรือยักษ์ เขาจะเป็นเจ้าของที่แต่ดั้งเดิม แล้วเจ้าของที่แต่ดั้งเดิมก็ไม่ใชว่าจะเป็นสัมมาทิฏฐิ มีที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เมินเฉยต่อความดีเหมือนกันนะ ถ้าเป็นพระปฏิบัติอยู่ สักแต่ว่าอยู่อย่างเดียว อาราธนาพระท่านสงเคราะห์ไม่เป็นก็ดี หรือกำลังสมาธิสมาบัติของตัวเองน้อยก็ดี บางครั้งมันจัดการกระจัดกระจายไปเลยแหละ
              คราวนี้ถ้าหากว่ามีบารมีพอ มีการปฏิบัติที่ดีพอ เขายังทำอะไรไม่ได้ เขาจะวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ นั้น รอวาระรอเวลาที่เขาจะสามารถทวงที่ของเขาคืนได้ เพราะฉะนั้น...พวกนี้บอกกับเขาดี ๆ คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก
      ถาม :  เขาเป็นยักษ์จัดเป็นประเภทอะไรคะ ?
      ตอบ :  ก็ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในสภาพของอสุรกายพวกนั้น ถ้าหากว่าไม่ใช่ยักษ์ในลักษณะของเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ส่วนใหญ่ก็คือในสภาพของอสุรกาย แต่เราจะเห็นรูปยักษ์
      ถาม :  เขาจะคุกคามหมดเลยหรือคะ ?
      ตอบ :  ใครก็ตามถ้าไปในเขตนั้น เขาถือว่าเป็นเขตของเขา ถ้าไม่เก่งจริงมันเล่นงานแน่นอนเลย ขนาดเก่งจริงมันก็ยังเอา มันสู้ไม่ได้นั่นแหละ มันถึงจะยอม
      ถาม :  ขอพระพุทธเจ้าแผ่ฉัพพรรณรังสี ?
      ตอบ :  แล้วจะเหลืออะไรล่ะ ? จริง ๆ คือพวกนี้เขาสู้บารมีพระไม่ได้อยู่แล้ว ที่พระออกธุดงค์ในป่ามีหลายอย่างด้วยกันนะ อย่างแรกพอเวลาเผชิญอันตรายนี่ จิตจะต้องเกาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นปกติ คราวนี้พอเกาะบารมีพระเป็นปกติแล้วปลอดภัย ประสบการณ์นี้พอย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่มีอะไรที่เหนือกว่าพระได้ คือไม่ว่าจะเจอผี เจอสัตว์ร้าย เจออะไรก็ตาม บารมีพระคุ้มได้อยู่ตลอดก็จะมั่นใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตัวความมั่นใจนี่แหละ จะเป็นความเคารพที่ออกจากน้ำใสใจจริง เพราะประสบการณ์เจออยู่บ่อย ๆ
              คราวนี้ตัวเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าออกจากน้ำใสใจจริงนี่ คือกติกาข้อแรกของพระโสดาบัน ส่วนอีกอย่างหนึ่งเรื่องของการธุดงค์ได้พบกับความทุกข์ยากความลำบาก ได้พิจารณาธรรมะไปด้วย เห็นทุกข์อยู่ตลอด เดินกันลิ้นห้อยอยู่ทุกวัน ถึงเวลาได้ที่ ๆ เหมาะสมได้ปฏิบัติด้วย ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
      ถาม :  เรามีเพื่อนที่รักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน และเพื่อนคนนั้นเขาไปละเมิดศีลข้อสาม แล้วหนูก็รังเกียจเขาไปเลย หนูไม่รู้จะทำอย่างไร ?
      ตอบ :  แสดงว่าเรายังปล่อยวางไม่พอ "เมตตา" รักเขาเหมือนกับตัวเรา "กรุณา" สงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์ "มุทิตา" พลอยยินดีเมื่อเห็นเขาอยู่ดีมีสุข ตัวสุดท้ายเราขาด "อุเบกขา" ปล่อยวางเมื่อไม่สามารถจะสงเคราะห์ได้ แต่ก็ยังมีอุเบกขาในเมตตา ถ้าวาระมีอีกพร้อมจะสงเคราะห์เขา ของเราปล่อยไม่พอ ตัวปฏิฆะ คือความกระทบเกิดขึ้นกลายเป็นโทสะ ตัวโทสะนี่ไม่ใช่โทสะเต็มที่ เพราะอย่างน้อยเคยรักใคร่กันมา อยู่ในลักษณะที่ว่าเป็นการรังเกียจไป ถ้าว่ากันจริง ๆ รากเหง้าของมันก็คือ เกิดมาจากตัวโทสะ ไม่ได้อย่างใจ โกรธ ปล่อย ๆ ไปบ้าง เรื่องของเขา อย่าเอาเรื่องของโลกมาเป็นเรื่องของเรา ถ้ามีวาระแล้วค่อยตักเตือนกันใหม่ ถ้าไม่ได้ก็ปล่อยวางต่อไป รอวาระใหม่
      ถาม :  ..........................
      ตอบ :  ป่าไม้เขาจะมีการดูแลบำรุงรักษาป่าประจำปี จะมาประมาณปีหนึ่งสักสองครั้ง คราวนี้ตอนเขาไปฟันป่ากัน บางครั้งจะเจอโน่นบ้างเจอนี่บ้าง วันนั้นพอฟันป่ากันเสร็จ "ยายมอญ" เขาก็หลบไปฉี่ แล้วอยู่ ๆ มันก็ร้องเหวอก้นจ้ำเบ้าลงไปจมฉี่ งูเหลือมใหญ่นอนอยู่ มันกินเก้งไปสองตัว มันไปไหนไม่ได้ มันก็นอนจมอยู่ตรงนั้นแหละ ไอ้ยายนั่นพอเสร็จก้มไปมองเห็นอยู่ตรงหน้าพอดีเลย ตัวเบ้อเร่ออย่างกับซุง มันก็เลยหงายหลังผึ่งจมฉี่อยู่ตรงนั้นแหละ แล้วทำอย่างไร ? ก็เรียกพวกมา ช่วยกันบอมบ์เอาไปตุ๋นซะ
      ถาม :  .........................
      ตอบ :  วัดพระธาตุลำปางหลวงนี่ เขามีเงาพระธาตุ คราวนี้มันเป็นช่องแสงนิดเดียวในโบสถ์ แต่พอเงามันทาบลงบนพื้นนี่ ชัดแจ๋วอย่างกับส่องกระจกดูเลย ไม่น่าเชื่อ...!
      ถาม :  กรรมของคนลูกศิษย์เหล่านั้นก็ต้องเป็นผู้รับเข้ามา ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าท่านช่วยรักษา แปลว่าไม่เกินวิสัย คำว่า "ไม่เกินวิสัย" คือพอจะช่วยได้ ไม่เป็นการฝืนกฏของกรรมจนเกินไป แต่ว่ามันมีบางส่วนเหมือนกันว่า ในเมื่อมันไม่มีที่ลง มันก็เอาคนรักษานั่นแหละ...!
      ถาม :  ถ้าอย่างนั้นคนที่ยังไม่มีทิพจักขุญาณ ก็ไม่ควรทำตัวไปรักษาใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ก็ลองดูได้นี่ ไม่สังเกตหรือว่า หมอประเภทนี้ส่วนใหญ่ ออด ๆ แอด ๆ ทุกคน เพราะมีส่วนที่ไปไหนไม่รอด มันต้องลงตรงนั้น ลูกปืนยิงออกไปแล้ว ต้องหาเป้าของมันได้ เราไปขวางทางมันก็โดนแทน
      ถาม :  แต่ถ้ากำลังใจของเราเข้มแข็งพอ เหมือนกับกำลังของพระโพธิสัตว์ที่เมตตา แล้วท่านยอมทำแทนผู้อื่น ?
      ตอบ :  ควรจะทำ อย่างน้อย ๆ เป็นการสร้างบารมีให้กับตัวเองที่ดีที่สุดเลย สังเกตไหมว่า พระที่เป็นหมอ หลวงปู่ปานอย่างนี้ หลวงปู่ธรรมชัยอย่างนี้ มาสายพระโพธิสัตว์เต็ม ๆ ทั้งนั้น
      ถาม :  ถึงแม้จะลาแล้วก็ตามหรือครับ ?
      ตอบ :  ลาแล้ว ถ้าหากว่าเป็นงานของท่านก็ยังต้องทำอยู่ เรื่องของหมอนี่ลำบาก อย่างหลวงปู่ธรรมชัย เคยไปนั่งลุ้นกับท่าน เวลาคนไข้มาถึงนี่พอจับสายสิญจน์ หลวงปู่ท่านจะบอกได้ว่าป่วยด้วยโรคอะไร ? เป็นมาแล้วกี่ปี กี่เดือน กี่วัน ต้องใช้ยาอะไรรักษา เราก็ลองไปดู ถึงเวลาก็กำหนดใจตามดู ถึงเวลาป่วยมากี่ปี พอจะบอกถูก แต่กี่เดือนของเราเป๋แล้ว ถ้ากี่วันนี่ไปไกลเลย รายละเอียดไม่ได้อย่างนั้น ก็ถามหลวงพ่อ ท่านบอกว่า "ไม่ได้หรอก ทิพจักขุญาณของหลวงปู่ธรรมชัย ถือว่าเยี่ยมที่สุดในยุคนี้" คือยุคที่ท่านยังอยู่นะ ถามท่านว่า "เป็นเพราะอะไร ?" ท่านว่า "บุคคลที่จะเป็นหมอจำเป็นต้องมีความคล่องตัวด้านนี้สูง ไม่อย่างนั้นจะบอกสมุฐานของโรคไม่ถูก" เท่ากับเป็นงานบังคับ ถ้าคุณจะทำหน้าที่อย่างนี้ คุณต้องมีอย่างนี้...!
      ถาม :  แล้วระหว่างพระที่มีชีวิตรักษา กับพระที่ไม่มีชีวิตรักษา ต่างกันไหมครับ ?
      ตอบ :  ต่างกันไหม ? ถ้าเอาผลตรงที่ว่าหาย ถ้าหากว่าท่านรู้จริง รักษาจริงก็หายเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่ว่า ถ้าหากว่าเป็นท่านที่ไม่มีชีวิตรักษา ถ้าท่านบอกว่าอย่างไร ? จะเป็นไปตามนั้นเลย...! เพราะท่านอยู่ในความเป็นทิพย์จริง ๆ แล้วสิ่งที่ท่านรู้เห็นจะรอบคอบ จะกว้างไกลกว่า ท่านว่าอย่างไร ? จะเป็นไปตามนั้น
      ถาม :  แสดงว่าท่านที่ไม่มีชีวิตรักษาดีกว่าบุคคลที่มีร่าง ?
      ตอบ :  คราวนี้มีซักกี่คนเล่าที่จะมีโอกาสได้รับการรักษาแบบนั้น ...!
      ถาม :  วิธีการทุกอย่างปรับคู่กันไม่ได้หรือครับ ?
      ตอบ :  ก็ลองดู เผื่อท่านจะเมตตา
      ถาม :  หรือว่าจะต้องเอาของเอาพานตั้ง ?
      ตอบ :  ก็ต้องดูว่าในลักษณะที่เชิญท่านนี่ เคยมีรูปแบบอย่างไรบ้าง ? ถ้ายังไม่เคยมีรูปแบบ คุณลองปักธูปดู แต่ถ้ารูปแบบเดิมว่าจะต้องทำอย่างนี้ จะต้องทำอย่างนั้น มีเครื่องเชิญอย่างนี้อย่างนั้น เราต้องทำตามนั้น