สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  แล้วอย่างมีดหมอนี่ จริง ๆ คือเทวดาท่านรักษา สมมุติเราจะใช้มีดหมอรักษา แล้วเราอาราธนาคุณพระใช่ไหมครับ ? หรือเทวดาท่านสงเคราะห์จริง ๆ ? แล้วท่านสงเคราะห์หรือเราเป็นคนทำ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ก็คือท่านสงเคราะห์ แต่สงเคราะห์เพราะว่าเราเป็นคนขอ เพราะฉะนั้น...คุณนั่นแหละรับ (หัวเราะ) สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดแต่เหตุ ถ้าคุณไม่ขอ ท่านก็นั่งมองต่อไป เพราะท่านไม่มีหน้าที่ยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว กรรมตรงนั้นอาจจะเนื่องไม่ถึงกัน แต่คราวนี้ของเราบังเอิญว่า เขามาขอร้องเราด้วยการใดก็ตาม แสดงว่ากรรมของเจขากับเราเนื่องถึงกันอยู่แล้ว เราเองมีหน้าที่เอาไปขออีกต่อหนึ่ง ให้ท่านช่วยอย่างนี้ ตัวเจริง ๆ ก็คือเรา
      ถาม :  รักษาน้องสาวคนหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าเขาไปชอบอีกคนหนึ่งเพราะอะไร ? ไปชอบผู้ชายที่เขามาคุมงานก่อสร้างแถวบ้าน
      ตอบ :  อ๋อ...ถ้าอย่างนั้นไม่ยากหรอก อย่างนั้นใช้มีดหมอทำน้ำมนต์อย่างไร ให้เขากินและรดให้เขาซะเลย ถ้าเป็นพวกไสยศาสตร์มันจะหมดอำนาจไปเลย
      ถาม :  แต่ว่าเราไม่มั่นใจ
      ตอบ :  ก็ไม่มั่นใจนั่นแหละ
      ถาม :  กลัวเขาจะบอกว่า "บุพเพสันนิวาส" ?
      ตอบ :  ลองเปรย ๆ กับเขาดูสิ เปรย ๆ ให้เขาดูบ้างว่า ผิดปกติอะไรหรือเปล่า ? อยู่ ๆ เพิ่งเจอหน้าอะไรอย่างนี้ ลองให้พี่เป็นหมอผีสักพักไหม ? (หัวเราะ) มีนะ พวกบุพเพสันนิวาสในพระไตรปิฎกก็มี อย่างชัมพุปริพาชิกาอย่างนี้ ท่านเป็นลูกเศรษฐีและเจอไอ้โจรโดนตระเวนจะเอาไปฆ่าแล้ว สมัยก่อนเขาจะมีตระเวนบก ตระเวนน้ำ อย่างละ ๗ วันเพื่อประจานไม่ให้คนเอาเยี่ยงอย่าง ผ่านไปพอดีท่านเห็นเข้า ไม่รู้เป็นอย่างไร ใจคอจะขาดลงซะให้ได้ ไปดิ้นรนเอากับพ่อแม่ อย่างไร ๆ ก็ต้องเอาคนนี้มาเป็นผัวหนู ไม่อย่างนั้นหนูจะตายด้วยอย่างนั้น พ่อแม่เป็นเศรษฐีต้องไปติดสินบนพวกเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่เลยหาคนไปฆ่าแทน แล้วก็ปล่อยโจรคนนี้มา
      ถาม :  มีวิธีเช็ค วิธีตรวจสอบที่จับได้ว่าโดนหรือไม่โดนครับ ?
      ตอบ :  วิธีตรวจสอบ ไม่มีวิธีตรวจสอบที่เป็นวิทยาศาสตร์เลยน่ะสิ
      ถาม :  เอาที่เราจะพอแน่ใจได้อย่างไรว่า เราไม่ได้คิดไปเอง ?
      ตอบ :  ต้องใช้ทิพจักขุญาณ
      ถาม :  ถ้าคลาดเคลื่อน ?
      ตอบ :  ตัวที่คลาดเคลื่อนนี่ เกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือ "อุปาทาน" ตัวอุปาทานนี่พอเห็นปุ๊บเราจะไปคิดว่า คาดว่าเลยอย่างไร ว่าจะต้องเป็นอย่างนี้แน่แล้ว มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง "ไอ้ปุ้ย" นั่นและ เป็นคนพาไปถึงวัดเลย พี่ ๆ น้อง ๆ ไปกันเป็นสิบเลย ทุกคนมั่นใจโดนของแน่นอน เขาบอกว่า "ถ้าไม่ประเภทโดนของ ก็ผีเจ้าเข้าสิงเลยแหละ" เพราะว่าไปหลงผู้ชายคนหนึ่งหัวปักหัวปำเลย ใครว่าอะไรไม่ฟังทั้งนั้น แล้วเขาก็ไปถึงประเภทเรียกว่า พูดง่าย ๆ ว่า เขาตั้งความหวังว่าเราน่าจะช่วยเขาได้ พอเห็นหน้าบอกว่า "มึงพามาทำไม ? มันไม่ได้เป็นอะไรเลยสักหน่อย" บอกว่า "ถ้าจะผีสิงก็คือผีกิเลสมันเข้าสิงเท่านั้นแหละ" ถามว่า "คนรอบข้างน่ะ ทำอย่างไรกับเขา และผู้ชายคนนั้นน่ะ ทำอย่างไรกับเขา ?" ในเมื่อเขาแสวงหาสิ่งที่เขาต้องการจากคนรอบข้างไม่ได้ เขาก็จะไปเอากับคนอื่นข้างนอกโน่น จะไปกล่าวหาว่าเขาไปโดนผีเจ้าเข้าสิงหรือเขาทำเสน่ห์ ไม่ใช่หรอก อยู่บ้านมีคนกัดทั้งวัด แล้วจะอยู่ไปทำไม ? ไปของนอกมีแต่คนพูดหวาน ๆ ให้ฟังอย่างนี้ เพราะฉะนั้น...เรื่องของทิพจักขุญาณที่คลาดเคลื่อน คลาดเคลื่อนจากตัวอุปาทาน
              ถ้าสมมุติว่าคนทั้งหมดสิบกว่าคน ยืนยันว่านี่โดนแน่นอน แล้วคุณก็ดันไปรับความคิดนั้นเข้ามา คุณก็เจ๊งเลย คุณก็ไปโดนกับมันด้วย เพราะฉะนั้น...คาดเคลื่อนตรงนั้น ก็พอ ๆ กับน้องชายคุณนั่นแหละ ที่หมอดูทั้งประเทศบอกว่ามันสอบได้แน่นอน แต่ตูยืนยันว่าตก (หัวเราะ) คือเราจะไปรับความคิดของคนอื่นมาไม่ได้ เราต้องมั่นใจในความรู้ตัวเอง
      ถาม :  แต่ละจุดที่เรียกว่า "เราจะทำความพยายามแค่ไหน ? ถึงเรียกว่ามากเกินไป อาจจะมากเกินไปหรือเปล่าที่ไปช่วยเขา ทั้งที่รู้ว่าเป็นวาระกรรม ?"
      ตอบ :  ก็ลองดูสิ ถ้าหากว่าดิ้นรนจนหมดหนทางแล้วยังจะเอาให้ได้ ก็แปลว่ามากเกินไป ถ้ายังไม่หมดหนทาง มีช่องทางแม้แต่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่มีแววว่าจะช่วยได้ ก็เอาเถอะ ลุยต่อ
      ถาม :  ตรงนั้นจะเป็นความพยายามเกินไปหรือเปล่าครับ แม้มีช่องทางนิดเดียว ?
      ตอบ :  ไม่เรียกว่า ทะยานอยากจนเกินไป เขาเรียกว่า "ผู้มีปัญญา" คนมีปัญญาแม้จะเห็นช่องทางเพียงเล็กน้อยก็ต้องพยายามทำ
      ถาม :  ถึงแม้ว่าจะเห็นว่าโอกาสอาจจะได้ยาก ต้องใช้ความอดทน ?
      ตอบ :  ยากแค่ไหนก็เถอะ แหม...งานอะไรที่ทำยากแล้วทำได้สำเร็จ ภูมิใจมากกว่าเยอะเลย (หัวเราะ)
      ถาม :  โดนไล่ออกจากวัดท่าขนุน ๕ คน ทำอะไรผิดหรือครับ ?
      ตอบ :  บางรูปไม่สวดมนต์ทำวัตร ไม่บิณฑบาต วัดอื่นเขาไม่ถือว่าผิดนะ บางรูปก็ลาแล้วไปเกิน คือระเบียบวัดบอกไว้ว่า ลาได้เดือนหนึ่งไม่เกิน ๗ วัน ถ้าไม่เคยลาเลยภายใน ๒ เดือน ให้ลาได้ ๑๕ วัน คราวนี้พอไป ๑๓ วันนี่โทรศัพท์ไปเตือนแล้ว บอกว่า "เหลืออีก ๒ วัน กลับให้ทันนะ" มันไม่ฟัง เพราะก่อนที่เราไปอยู่ไปเกินได้ ไปเสีย ๒๘ วัน กลับมาถึงก็มารายงานตัว อาจารย์ครับผมกลับมาแล้วครับ บอก "เออ...ไปหาวัดอื่นอยู่ก็แล้วกันนะ" ไล่เพราะมากเลยไหม ?
      ถาม :  แล้วท่านไปเลยหรือครับ ?
      ตอบ :  ไม่มีใครกล้าขัดอาตมาหรอก เหมือนอย่างกับผีกับพระ มันกลัวกันอยู่ ที่เขาอยู่ได้เพราะเขาเป็นช่าง เจ้าอาวาสต้องพึ่งพาเขา เขาเลยคิดว่า ตัวเองมีความสำคัญ แต่ตามที่หลวงพ่ออบรมมา "ท่านไม่ดูความสำคัญของคน ท่านดูระเบียบ" จะสำคัญขนาดไหนก็ตาม ถ้าผิดระเบียบ ท่านไม่เลี้ยงไว้ ท่านบอกว่า "ถ้าระเบียบวินัยที่เป็นของหยาบยังทำไม่ได้ การเข้าถึงธรรมที่เป็นของละเอียด จะทำไม่ได้เลย"
      ถาม :  .............................
      ตอบ :  เคยอ่านไหม ? คนถือดาบอาญาสิทธิ์ แล้วสั่งให้ปักค่ายด้วยการให้เอาปลายไม้ลง แล้วทุกคนก็ทำตาม แต่ว่ามีนายทหารคนหนึ่งเป็นพระยา เขาว่า "เขาทำมาตั้งแต่แรกจนป่านนี้ ไม่เคยเห็นใครสั่งให้ปักค่ายเอาปลายไม้ลง" เพราะว่าจะไม่แน่นอยู่แล้ว แล้วเขาก็ปักขึ้นตามปกติ แล้วก็โดนตัดหัว
      ถาม :  เพื่ออะไรหรือครับ ?
      ตอบ :  เพื่อที่จะทำให้รู้ว่าระเบียบวินัยของกองทัพสำคัญที่สุด ต้องการจะพิสูจน์ให้คนเห็นว่า "กูใช้อำนาจเป็น" พอเขารู้ว่าขนาดนั้นยังตาย แล้วคนอื่นถ้าฝืนจะเหลือหรือ ? นั่นขนาดพระยานะ (หัวเราะ) นั่นแหละ บางครั้ง ก็จำเป็นจะต้องเชือดควายให้ลิงดูนะ ไม่ได้เชือดไก่ (หัวเราะ)
      ถาม :  (ไม่ชัด) ไม่แน่ใจว่าเด็กสมัยนี้มันส่ง sms บอกข้อสอบกัน แล้วมันก็เป็นประเด็นที่เถียงอยู่ในใจว่า "เราจะทำตัวเป็นแบบจับผิดลงโทษ หรือว่าจะอบรมสั่งสอน" เพราะว่าตั้งแต่ได้ยินมา เด็กบอกว่า "คนทำผิดก็ไม่สำนึกผิดหรอก โดนจับได้ มันก็คิดว่าซวยที่โดนจัยได้พอดี ทำแล้วก็โดนจับได้" ถึงไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเราควรจะแบบรักษาตามตัวหนังสือ หรือรักษากฏตามกฏที่ตั้งไว้ ?
      ตอบ :  รัฐศาสตร์กับนิติศาสตร์ไปด้วยกันไม่ได้ แต่ว่าขึ้นอยู่กับเหตุการณ์เฉพาะหน้าตรงนั้น เราจำเป็นจะต้องใช้การอะลุ่มอล่วย ก็จำเป็น แต่ขณะเดียวกันว่า ถ้าหากว่าเหตุการณ์ตรงหน้าตรงนั้น เราจะเป็นจะต้องใช้ความเด็ดขาดตามตัวบทกฏหมาย ก็ต้องใช้ เนื่องจากว่าเราไม่ได้เป็นคนสร้างสถานที่นั้นมากับมือ ที่จะสามารถกำหนดกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ได้อย่างใจของเรา
              แต่อย่างของอาตมานี่ ไปที่ไหนไปทำให้เขา ในเมื่อเราไปทำให้เขา เราต้องการอย่างไร ? เขาต้องทำตามเรา ลักษณะอย่างนี้เราสามารที่จะบัญญัติกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ได้ ในเมื่อบัญญัติได้ เราก็รักษาตามตัวบทกฏหมายได้เลย อย่างวัดทองผาภูมิก็เหมือนกัน เราเข้าไปใหม่ ๆ เราทำใครไม่ได้หรอก ดูทางลมไปเรื่อย ๆ ก่อน แล้วเราก็ทำตัวไปเรื่อย ๆ ก่อน จนกระทั่งมีคนเห็นด้วยแล้วมาทำตาม คราวนี้พาวเวอร์จะมี พอพาวเวอร์เริ่มมี สิ่งที่เราออกความเห็นอะไรก็จะเริ่มมีอิทธิพลกับเขา ถ้าเสียงส่วนใหญ่คล้อยตามมาเมื่อไร ? เดี๋ยวตูก็ออกมาเป็นกฏจนได้ ใจร้อนไม่ได้ (หัวเราะ)
      ถาม :  หลวงพ่ออุตตมะท่านเป็นพระโพธิสัตว์หรือครับ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ หลวงพ่ออุตตมะเป็นพระอรหันต์วิชชาสาม แต่ไม่ใช่ความรู้ของอาตมานะ ความรู้นี้ได้จากหลวงพ่อ สมัยหลวงพ่อได้เข้าวังไปเจอกับหลวงพ่ออุตตมะ หลวงพ่อท่านก็ปรารภบอกว่า "องค์นี้เก่งนะ" ถามว่า "เก่งแบบไหนครับ?" ท่านบอก "วิชชาสาม" จำไว้นะ ถ้าสามนี่ต้องเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ถ้ายังไม่ถึงพระอริยเจ้าเมื่อไร เป็นแค่สอง
      ถาม :  หนังสือลงคล้าย ๆ กัน บรรยายว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ ?
      ตอบ :  เรื่องงานที่ท่านทำน่ะ ใช่ ต้องอย่าลืมว่า ต้องเป็นพระอริยเจ้าที่เป็นอดีตพระโพธิสัตว์เท่านั้น ที่จะทำงานใหญ่ขนาดนั้นได้ เพราะถ้าลำพังพระโพธิสัตว์อย่างเดียว ไม่ใช่หรอก พระโพธิสัตว์อย่างเดียวนี่พร้อมที่จะสละตัวเองเพื่อคนอื่น และลักษณะอย่างนั้นเดี๋ยวก็จะมีการลุยกันแหลกไปข้างหนึ่ง แทนที่จะอยู่ในลักษณะนั้น ก็อาจจะพาชาวบ้านเดินขบวนประท้วงรัฐบาล เพียงแต่เป็นรัฐบาลพม่าเท่านั้นเอง ไมใช่รัฐบาลไทย (หัวเราะ)
      ถาม :  ................................
      ตอบ :  ไม่เคย เคยแต่อ่านจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราช แต่จริง ๆ แล้วเป็นคำพยากรณ์ของพระโมคคัลลานติสสสะเถระเจ้า ท่านบอกว่า "หลังกึ่งพุทธกาลไปแล้ว มหาเถระโพธิสัตว์ผู้ยิ่งด้วยบารมี จะยังพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองเหมือนพุทธกาลอีกวาระหนึ่ง" อย่าลืมว่า คำว่า "เจริญรุ่งเรืองนี่ แปลว่าต้องมากด้วยพระอริยเจ้า คราวนี้เราลองมาไล่กันดูซิว่า มีใครสร้างพระอริยเจ้าได้เยอะ ๆ บ้าง ?"
      ถาม :  ...............................
      ตอบ :  ถ้าว่าไปแล้วในทางพุทธศาสนาคำว่า "บังเอิญไม่มี ดวงก็ไม่มี ฟลุคก็ไม่มี" ทุกอย่างเป็นไปตามสิ่งที่เราทำมาแล้ว เพียงแต่ว่าจะโคจรมาจ๊ะกันเมื่อไรก็เท่านั้นเอง
      ถาม :  จริง ๆ แล้วภัยธรรมชาติ ?
      ตอบ :  ภัยธรรมชาติ เป็นโทษอทินนาทาน ถ้าเป็นเรื่องโรคภัยไข้เจ็บเป็นเศษกรรมปานา
      ถาม :  ..........................
      ตอบ :  เขาถามว่า "ลักษณะเขาทำชั่ว แล้วคนโมทนาน่ะ เขาโมทนาบุญหรือโมทนาบาป ได้บุญหรือได้บาป" เขาทำชั่วนะนั่นน่ะ กำลังจับปลาอยู่เลย เพียงแต่สภาพคนมาเห็นเขานึกว่าเรือแห่กฐิน แห่บุญ แห่ทาน ผ่านมามันก็สาธุ จริง ๆ คนสาธุน่ะ เจตนาเขาปักไปที่กฐิน เขาเป็นบุญตั้งแต่แรกแล้ว บุญน่ะได้ แล้วคนทำบาปก็ยังคงบาปอยู่นั่นแหละ ลักษณะเดียวกัน เพราะฉะนั้น....ประเภทที่เรียกว่า "โกหกว่าไปทำบุญ แต่ว่าจริง ๆ แล้วไปทำบาป โอกาสที่จะเป็นบุญน่ะ มันยาก แต่อย่างน้อย ๆ ก็มีจิตของเขาส่วนหนึ่งที่คิดถึงอยู่ คิดถึงอยู่เหมือนกัน ถ้ามันไม่คิดถึงในเรื่องนี้มันโกหกไม่ได้ เพราะฉะนั้น...ไอ้นี่ชั่วมันชั่วไม่เต็มร้อย อย่างน้อย ๆ มันก็ต้องคิดถึงความดีว่า เออ...เราจะไปบอกเขาว่าไปวัดดีไหม ? อะไรอย่างนี้ นึกถึงแวบหนึ่ง ตายตอนนั้นดีไม่ดีกำไรเหมือนกันนะ
      ถาม :  นั่งไม่ค่อยเห็นนิมิตค่ะ ?
      ตอบ :  ไม่จำเป็นจ้ะ การนั่งสมาธิสำคัญที่สุดคือ "จิตสงบ" พอจิตสงบแล้ว ปัญญาจะเกิด คราวนี้ไม่เห็นอะไรได้เลยน่ะดี เพียงแต่ให้จิตสงบเท่านัน้เอง เห็นมาก ๆ ก็จะฟุ้งซ่าน การรู้เห็นต่าง ๆ ระหว่างปฏิบัติเป็นแค่ของแถมเท่านั้น แต่ดันเป็นของแถมที่เขาชอบ เลยทำให้คนลืมไปว่าตัวเองตั้งใจจะซื้อสินค้าอะไร มักจะลืมเป้าหมายที่ต้องการไป เพราะฉะนั้น...พวกของแถมนี่ อย่าเผลอไปติดมัน ติดมันเมื่อไร ก็เจ๊งเมื่อนั้น...และแน่นอนที่สดุคือ ทำแล้วอยากเห็นอีก คราวนี้ยิ่งเจ๊งหนักเข้าไปใหญ่เลย เพราะว่าตอนที่เราอยากเห็นอีก เป็นตัวฟุ้งซ่าน จิตไม่สงบเลยไม่ต้องเห็นอะไรเลย
      ถาม :  การทำกสิณ เราเพ่งกสิณสีแดงไปสักพักหนึ่ง กสิณอะไรก็ตามจะมีเหมือนเป็นเส้น ๆ เหมือนเป็นแสงจากหน้าผากเราไปเชื่อมกับสิ่งที่เราเพ่งอยู่เหมือนเป็นสาย ๆ คล้าย ๆ แสงนีออน
      ตอบ :  รับรู้ไว้เฉย ๆ ก็พอ เพระว่าสภาพจิตของเราตั้งใจกำหนดนึกถึงคือการเชื่อมต่อนั่นแหละ คราวนี้เราเองจะเห็นหรือไม่เห็นนั่นอีกเรื่องหนึ่ง การที่เรานึกถึงภาพนั้นตลอดเวลา เท่ากับว่าต้องเชื่อมต่อกับภาพนั้นอยู่แล้ว ทำต่อไปจ้ะ
      ถาม :  ช่วงสวดมนต์ ?
      ตอบ :  ไปสวดบนนิพพาน ตั้งใจกราบพระพุทธสวดถวายเป็นพุทธบูชาอยู่ที่นั่น คิดว่าอานิสงส์นี้ถ้าตาย เราขอมาอยู่ตรงนี้เลย ยิ่งสวดเยอะยิ่งดีใจจะได้อยู่บนนั้นนาน ๆ จะชินในการละกิเลส พอชินต่อไปก็หมดเองโดยอัตโนมัติ การไปบนนิพพานได้ของมโนมยิทธิได้เปรียบคนอื่นตรงจุดนี้ เรารู้จักนิพพาน ไปนิพพานได้ ถึงเวลาอยู่ให้เคยชิน กิเลสจะค่อย ๆ น้อยลงไปเรื่อย
      ถาม :  ตอนที่นั่งสวด คิดว่าแต่สวด และขอให้ไม่มีการเกิดอีกอะไรอย่างนี้ ?
      ตอบ :  ตั้งใจนึกถึงภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธรูปองค์ไหนก็ได้ ตั้งใจนึกถึงว่านั่นคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเราไม่อยู่นอกจากอยู่บนพระนิพพาน เพราะฉะนั้น...เรานึกถึงท่าน มั่นใจท่านอยู่เฉพาะหน้า คือเราอยู่บนพระนิพพาน ตั้งใจสวดถวายเป็นพุทธบูชา เอาจิตเกาะตรงนั้น ภาพจะเห็นชัดไม่ชัดก็ช่าง ขอให้เรามั่นใจก็แล้วกัน
      ถาม :  คนขายเหล้าถือว่าส่งเสริม ?
      ตอบ :  เขาไม่ได้จับเรากรอกปาก คนกินเต็มใจไปซื้อกินเอง จะนับไปแล้วจริง ๆ เขาไม่ผิด เขาทำมาขาย ถ้าเราไม่ซื้อเสียอย่างก็หมดเรื่องไป แต่คราวนี้ดันไปซื้อเขากิน เพียงแต่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า "บุคคลที่เป็นพุทธมามกะ ไม่ควรจะทำอาชีพพวกนี้คือ ขายสุรา ขายยาพิษ ขายอาวุธ ขายมนุษย์ ขายสัตว์ที่ยังมีชีวิต" เพราะว่าท่านบอกว่า "บุคคลที่เข้าใจผิดจะตำหนิเอา"
      ถาม :  เรื่องสัตว์ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงห้ามล่ะคะ ?
      ตอบ :  อันนั้นเขาห้ามพระ เนื้อ ๑๐ อย่างที่ห้ามพระฉัน เนื้อคน เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อหมา เนื้อหมี เนื้องู เสือโคร่ง เสือเหลือง เสือดาว ราชสีห์ รวม ๑๐ อย่างด้วยกัน ที่ห้ามกินเนื้อสัตว์ป่าเพราะว่า เรากินเนื้อสัตว์เข้าไปเมื่อไร ? กลิ่นตัวเราจะออกมาเป็นกลิ่นสัตว์ชนิดนั้น คราวนี้พอเข้าป่าไปเจอสัตว์ชนิดนั้น เราจะกลายเป็นสัตว์แปลกหน้าที่ไปบุกรุกที่เขา พวกสัตว์เขาจะหวงที่เขา เขามีเขตหากินของเขาอยู่ พอสัตว์แปลกหน้าเข้าไป เขาจะไล่ฟัดเอา เพราะฉะนั้น...มีดฮกาสตายมากกว่ารอด เลยห้ามไว้ ถ้าหากว่าพระไม่ทราบ ก็ผิด ทราบก็ผิด โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง เขาปรับทุกคำที่กิน เขาไม่ได้ปรับครั้งเดียวจบ ถ้าดันจ้วงไปซะสิบก็โดนสิบครั้ง คือมันอันตราย เพราะว่าถ้ากินเข้าไปเมือ่ไร กลิ่นตัวจะเป็นสัตว์ชนิดนั้น เราเป็นสัตว์ชนิดนั้นเมื่อไร ? เราเข้าไปในเขตของเขา เราจะเป็นสัตว์แปลกหน้า เขาจะทำร้ายเอา ขับไล่เพื่อป้องกันเขตเขา
      ถาม :  อย่างงูจงอางที่เขาเอาไปกิน แล้วตัวเมียตามมา เขาตามกลิ่นมา ?
      ตอบ :  ไม่รู้ว่าเขาตามมาอย่างไร ? แต่เขารู้ แต่ว่าโดยปกติแล้ว ถ้าหากว่ากินเข้าไป กลิ่นตัวจะเป็นสัตว์ชนิดนั้น "ลุงปรุง" ตอนนี้ตายแล้ว ลุงปรุงเคยเป็นทูตอยู่ที่ฮ่องกง คุณปรุง ตุงคเศรณี เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ แกต้องเก็บตัวอยู่กลางน้ำ ออกมาเมื่อไร หมาไล่เห่าเกรียวเลย เพราะตอนอยู่ฮ่องกงฟาดหมาตุ๋นยาจีนไปเยอะ เดินมาเมื่อไร ลุงปรุงคือหมาตัวหนึ่ง แล้วเป็นหมาแปลกหน้าเข้าไปอยู่ในเขตของเขา เขาไล่เห่าไปให้พ้น ๆ อะไรอย่างนั้น
      ถาม :  ทั้ง ๆ ที่เราเลิกกินหรือคะ ?
      ตอบ :  ก็นั่นแหละ ลุงปรุงเลิกมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว แต่กลิ่นแกยังเป็นกลิ่นหมาอยู่นั่นแหละ เลือดเนื้อร่างกายสร้างมาจากส่วนหนึ่งของเขาเสียแล้ว
      ถาม :  ตอนที่พระโมคคัลลานะท่านไปเที่ยวโลกอื่น แล้วหลงทางกลับ กลับมาที่โลกแต่ไม่ใช่โลกนี้ พระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์โดยการให้พระโมคคัลลานะจับจีวร แล้วพากลับมาที่โลกเดิมนี้ อันนี้ใช่หรือไม่คะ ?
      ตอบ :  มีทั้งที่ใช่และไม่ใช่ ส่วนที่ใช่คือว่า พระโมคคัลลานะท่านไปจริง และกลับไม่ถูกจริง ส่วนที่ไม่ใช่คือว่า โลกอื่นไม่มีพระพุทธเจ้าไปเกิด แต่พระพุทธเจ้าท่านสามารถไปได้ทุกที่ เหตุที่โลกของเราเรียกว่า "มงคลจักรวาล" เพราะว่าเป็นโลกเดียวที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ แต่เพียงว่าเวลาท่านตรัสรู้แล้ว หรือไปนิพพานแล้ว ท่านอยากจะไปที่ไหน ท่านก็ไปได้อยู่แล้ว
      ถาม :  ครั้งแรกคิดว่าเป็นคนละองค์กัน ?
      ตอบ :  พระพุทธเจ้ามีตั้งเท่าไร ? นับไม่ถ้วนอยู่แล้วนะ องค์ไหนไปสงเคราะห์ก็ได้ (หัวเราะ)
      ถาม :  แล้วทำไมพระโมคคัลลานะท่านถึงกลับไม่ถูกคะ เพราะท่านทรงอภิญญา ท่านเป็นพระอรหันต์ด้วย
      ตอบ :  บางครั้งท่านก็เพลิน อย่าลืมว่าพระอรหันต์ไม่ได้รู้รอบแบบพระพุทธเจ้านี่ เหมือนอย่างกับเราเดินป่า เรายังเผลอหลงได้ โอ้โฮ...แล้วดวงดาวมีตั้งเท่าไร ? ท่านใช้คำว่า จักรวาลขนาดเล็ก ประกอบไปด้วยพันโลกธาตุอย่างนี้ ขนาดกลางประกอบไปด้วยกี่โลกธาตุก็ไม่รู้ ไปเรื่อยจนกระทั่งเป็นแสนโลกธาตุอะไรอย่างนี้
      ถาม :  ในระบบสุริยะมีกาแลคซี่ ในกาแลคซี่ทั้งหมดหลาย ๆ ล้านกาแลคซี่ มารวมเป็นจักรวาล ในคำว่าหมื่นโลกธาตุเราหมายถึง ?
      ตอบ :  หมายถึงดวงดาว เป็นดวงดาวที่ต้องใช้คำว่า "มนุษย์" อยู่ด้วยที่ไม่มีก็ไม่นับ ถ้าหากว่าแต่ละจักรวาลประกอบไปด้วยกี่โลกธาตุ อันนั้นหมายถึงดวงดาวเฉย ๆ มีหรือไม่มีมนุษย์อยู่ก็ได้ แต่ช่วงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วอย่างนี้ จะหวั่นไหวไปถึงแสนโลกธาตุอะไรนี่ ท่านจะเน้นเอาพวกที่มีคนอยู่
      ถาม :  .................................
      ตอบ :  แปลกตรงไหนรู้ไหม ? ทองคำมีราคาสำหรับหลาย ๆ โลก ไม่ใช่แค่โลกของเรา ดาวอื่นเขาก็ใช้ทองคำเหมือนกัน ทำไมเขาไม่ใช้ก้อนหินบ้าง...!
      ถาม :  ...................................
      ตอบ :  มีโอกาสทั้งผิดและถูก แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้คาดว่า ท่านรู้จริง ในเมื่อท่านรู้จริง โลกเราไม่ได้สลาย แต่ว่ามีการปรับเปลี่ยนแปรปรวนไปเรื่อยเหมือนกัน มีใหญ่มีเล็ก อย่างเช่นว่า มีไฟไหม้ ไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก เท่ากับว่ามันสลายรอบหนึ่ง แต่มันไม่ได้พังทั้งหมด ถึงวาระถึงเวลาโลกก็ค่อย ๆ เจริญกลับขึ้นมาอีกครั้ง เพราะว่าพอแผ่นดินหนาได้ ๑โยชน์ ก็พร้อมจะมีพระพุทธเจ้าได้
      ถาม :  มีพระพุทธเจ้า ๑ พระองค์ จะมีแผ่นดินสูงขึ้น ๑ โยชน์
      ตอบ :  ก็เล็กลงแล้วก็ใหญ๋ขึ้น ไม่ต้องไปกังวลกับเรื่องความเป็นไปของโลก พระพุทธเจ้าท่านไม่เสียเวลามาให้พวกเราคิด "โลกจินไตย" คิดเรื่องของโลก ท่านบอกพึงมีส่วนของความเป็นบ้า มันคิดว่า คาดว่าอยู่ ไม่เป็นไปตามนั้นก็ได้ เป็นไปตามนั้นก็ได้ เพราะฉะนั้น ....พวกทฤษฎีนี่โอกาสผิดมีพอ ๆ กับถูก
      ถาม :  เรื่องเจ้ากรรมนายเวร เขารอโมทนาอยู่ตลอดหรือครับ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ ถ้าหากว่าเขาตายหมดอายุ ก็เกิดที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ เขาไม่ได้คอยอะไรเลย คำว่า "เจ้ากรรมนายเวร" ของเราส่วนใหญ่หมายถึงคนที่เราเคยฆ่าเขา ทำร้ายเขาเอาไว้ เราจะไปคิดว่าเขามาคอยจองล้างจองผลาญเรา ไม่ใช่...! ถ้าเขาหมดอายุ เขาก็ไปเกิดตามบุญตามบาปของเขา แต่ผลของการที่เราทำไม่ดีเช่น ฆ่าเขา หรือทำร้ายเขาไว้นั่นน่ะ จะเป็นตัวที่สนองเราเอง ตัวนี้เป็นผลกรรม ไม่ใช่ตัวเขา แต่ว่าการที่เราอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรเป็นประจำ ๆ นั่น่ะ เป็นการทำแล้วเรารู้สึกว่าเรามีอะไรบางอย่างตอบแทนเขาไปแล้ว ทำให้จิตของเราปลดออกจากตรงจุดนั้นมา ในเมื่อจิตของเราปลดออกจากจุดนั้นมา คือว่าไม่หนักใจ เพราะเราได้ตอบแทนเขาแล้ว ไม่ไปหมกมุ่น ไม่ไปกังวลอยู่ กรรมส่วนนั้นโอกาสที่จะรอดพ้นก็มีสูง
      ถาม :  แต่บางคนเขาอาฆาตก็มีนะคะ ?
      ตอบ :  นั่นก็มี แต่น้อยมาก เพราะว่าส่วนใหญ่ไปแล้วก็ไปเลย ภพใครภูมิใครว่ากันไปตามเวรตามกรรมของตัว
      ถาม :  อย่างนี้ที่เราเกิดมาชาติอื่น เราอาจจะมีคนที่ทำกับเราไว้ เขาอาจจะไม่ได้เป็นเจ้ากรรมนายเวรเรา แต่เป็นผลกรรมของเราทำให้เขามาทำแบบนี้กับเรา ?
      ตอบ :  ก็มีสิทธิ์ แต่ขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นตัวเขามาเกิดก็ได้
      ถาม :  การที่เราเจออุบัติเหตุ และเป็นโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เป็นเพราะว่ากรรมปาณาติบาตอย่างเดียวหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นเศษกรรมปาณาติบาต ถ้าหากว่าการที่เราสูญเสียทรัพย์สินด้วยภัยธรรมชาติ หรือว่าการลักขโมยเป็นเศษกรรมของอทินนาทาน การที่เกิดมาเป็นคนไม่มีอำนาจ ว่ากล่าวอะไรบุคคลผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เชื่อฟัง เกิดจากการไปละเมิดคนรักของคนอื่นเขา ประเภทไปไหนก็มีแต่คนโกหกเราอยู่ตลอด อยากจะฟังเรื่องจริงก็ไม่มีใครพูดกับเรา เศษกรรมของมุสาวาท ส่วนคนมีโรคประจำตัวปวดหัวบ่อย ๆ ประเภทไมเกรนรับประทานทั้งปี หรือโรคประสาท หรือเป็นบ้า เศษกรรมของการกินเหล้า แล้วแต่ว่ามากน้อย ต้นทุนใช้หนี้เขาไปแล้ว เหลือแต่เศษเท่านั้น เขาตามเก็บดอก ถ้าเราดูแลตัวเราไม่ดี วาระกรรมมาสนองก็จะเกิดขั้น ถ้าหากว่าเราดูแลตัวของเราดี ต่อให้เราอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า รักษาในลักษณะไหนก็ตาม ถ้าหากว่าวาระกรรมสนอง ก็เป็นอีกจนได้นั่นแหละ ไม่อย่างนั้นหมอเขาคงไม่ป่วยกันหรอก
      ถาม :  พวกสุนัขอย่างนี้ ต่อไปจะฉลาดขึ้นหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  อ๋อ...คนฉลาดขึ้น สื่อสารกับหมาได้รู้เรื่องมากขึ้น หมาเขาฉลาดเป็นปกติอยู่แล้ว พูดง่าย ๆ คนโง่น้อยลง แหม...เรียนแทบเป็นแทบตายกว่าจะพูดภาษาต่างประเทศได้ เคยเห็นหมาหัดภาษาต่างประเทศไหมล่ะ ? ไม่เคยหรอก แต่มันเจอหมาฝรั่งพันธุ์ไหน มันคุยกันรู้เรื่องได้หมด เขาเรียกว่า "กรรมวิปากชาฤทธิ์" คือฤทธิ์ที่เกิดจากวิบากกรรม ถึงเขาจะอยู่ในสภาพของความเป็นหมา แต่ฤทธิ์เขามี อย่างเช่น เขาเห็นผีเป็นปกติอย่างนี้ คุยกับหมาชาติไหนก็ไม่เห็นต้องไปเสียเวลาฝึกภาษาเลย
      ถาม :  อย่างนั้นทฤษฎีที่บอกว่า "มนุษย์มาจากวานรก็ผิด" ?
      ตอบ :  ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ก็บอกแล้วว่า "ทฤษฎีมีโอกาสทั้งถูกและผิดเท่า ๆ กัน"
      ถาม :  ทฤษฎีที่บอกว่า "มนุษย์เริ่มแรกเดินทางมาจากอัฟริกา" ?
      ตอบ :  ก่อนหน้านี้พวกนักวิทยาศาสาตร์ โดยเฉพาะพวกโบราณชีวศาสตร์ เขามั่นใจว่า วิวัฒนาการมีจุดเริ่มต้นจากอัฟริกา แต่ว่าปัจจุบันนี้การค้นพบซากสัตว์บางประเภท ที่มีอายุมากกว่าซากสัตว์ในอัฟริกา เขาเลยต้องย้อนกลับมาคิดใหม่ว่า วิวัฒนาการมีมาจากเอเซีย แต่เนื่องจากว่าสมัยก่อนผืนแผ่นดินเป็นผืนเดียวกัน เลยสามารถเดินไปมาหาสู่กันได้ แต่ว่าเกิดการแผ่นดินไหวบ้าง การเคลื่อนตัวของเปลือกโลกบ้าง ทำให้ทวีปต่าง ๆ แยกออกจากกัน ในเมื่อต่างคนต่างไปตกอยู่ในสถานที่แต่ละแห่งไม่เหมือนกัน เลยมีวิวัฒนาการที่แตกต่างกันไป ตอนนี้เขามารค้นพบแล้วว่าเอเชียของเราสำคัญกว่า เพราะว่าซากสัตว์อายุมากกว่า โดยเฉพาะบ้านเชียงเราอย่างไร "บ้านเชียง" นี่สี่พันกว่าปีแล้ว แต่เขามีโลหะแล้ว มีพวกสำริด
      ถาม :  ทำให้สีผิวเผ่าพันธุ์ต่างกันไป ไม่ใช่เกิดจากสภาวะภูมิอากาศใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  สภาวะภูมิอากาศทำให้ผิวพรรณต่างกันไป
      ถาม :  ทำไมถึงไม่ฉลาดเท่ากันคะ ?
      ตอบ :  คนเราสร้างบุญมาไม่เท่ากันนี่ ทานทำให้รวย ศีลทำให้สวย สมาธิทำให้ฉลาด ทำไว้บ้างหรือเปล่าล่ะ ?
      ถาม :  เรื่องจิตวิญญาณ เขาบอกว่า "ถ้าโลกนี้แมลงหรือสัตว์ทุกตัวมีจิตวิญญาณ โลกนี้จะมีจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นหรือคงที่คะ ?"
      ตอบ :  มีเพิ่มขึ้น อย่าลืมว่าก่อนจะมาเกิด มันมาอย่างไร ? เอาแค่นี้ไฮโดรเจน ๒ อะตอม มาชนกับออกซิเจนก็เป็นน้ำขึ้นมา
      ถาม :  แต่อันนั้นเป็นทางเคมี ?
      ตอบ :  แล้วใครว่าสภาพร่างกายของคน หรือจิตไม่ใช่ปฏิกิริยาทางเคมี ? เกิดขึ้นได้ แต่โอกาสยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน โดยเฉพาะที่ผสมแล้วลงตัวพอเหมาะพอดีเป็นธาตุรู้น่ะ แสนจะยาก โอกาสฟลุกนี่แทบจะหนึ่งในหลาย ๆ พันล้าน แต่ก็มี โอกาสเกิดเพิ่มเติมถึงได้มี มีโอกาสโผล่ขึ้น แต่ใครจะไปรู้ว่าแรก ๆ มันขึ้นมา เขาจะไปเรียกมันว่าตัวอะไร ?
      ถาม "สัมปชัญญะ" เป็นวิปัสสนาหรือเป็นสมถะครับ ?
      ตอบ :  เป็นการรู้ คราวนี้สำคัญที่ว่า เรารู้อะไร ? ถ้ารู้สงบก็เป็นสมถะ ถ้ารู้คิดก็เป็นวิปัสสนา
      ถาม :  ตอนที่เราคิดเป็นตัวอุทธัจจะไหมคะ ?
      ตอบ :  ก็ต้องดูสิ ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นเป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไหม ? ถ้าหากว่าคิดอยู่ในด้านดี คิดแล้วจิตใจสงบลง ก็จะเป็นตัวปัญญา แต่ถ้าหากว่าคิดฟุ้งซ่านหาจุดลงไม่ได้ ทำให้จิตส่งส่าย วุ่นวาย ก็จะเป็นตัวอุทธัจจะ
      ถาม :  อุทธัจจะ เป็นข้อ ๙ ของสังโยชน์ แสดงว่ายากที่สุดหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ไม่ยาก แค่จิตเราอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก ไม่ต้องมากหรอก แค่ปฐมฌานก็พอ อุทธัจจะทำอะไรเราไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่าอันนั้นจิตไม่รวมตั้งมั่นเป็นหนึ่ง ฟุ้งซ่านไป ตัวปฐมฌานนี่จิตจะทรงตัวระดับหนึ่ง จะตัดตัวอุทธัจจะ คือความฟุ้งซ่านไปโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว จริง ๆ ตัวคิดน่ะ ถ้าหากว่าเราคิดเป็น ถึงเวลาจิตจะสงบเอง แต่ถ้าเราคิดไม่เป็นจะฟุ้งซ่าน การคิดเป็นนั้นคิดตามวิปัสสนาทั้ง ๙ หรือคิดตามในอริยสัจ หรือคิดตามไตรลักษณ์
      ถาม :  คิดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  แล้วแต่ถนัด ว่าเราชอบอันไหน
      ถาม :  ........................
      ตอบ :  การนั่งกรรมฐานถ้าหากว่าเห็นแสงสว่าง ถ้าเป็นมโนมยิทธิ ให้กำหนดใจตามแสงไปเลย ตั้งใจว่าไปกราบพระบนนิพพาน แต่ถ้าหากว่านั่งธรรมดาเฉย ๆ และเห็นแสงสว่าง ไปจับแสงสว่างอยู่ จะได้อยู่แค่นั้นแหละ เป็นแค่อุปจารสมาธิ จะเพลินอยู่แค่นั้น อย่างไรก็ไม่มีทางขึ้นไปเป็นฌานได้ เพราะฉะนั้น...ก็จงเพลินต่อไป...!
      ถาม :  ลูกถวายเงินสร้างห้องน้ำ ๒ ห้องเป็นเงิน ๒ หมื่นบาท เงิน ๕ พันเพื่อเป็นค่าเลี้ยงพระเพล สังฆทานอีก ๙ ชุด เพื่อให้กับลูกที่แท้ง กราบเรียนถามว่า "ลูกที่ทำแท้งไป เขาโมทนาได้หรือเปล่าคะ ?"
      ตอบ :  ต้องถามเขาว่า "เขาอยู่โมทนาหรือเปล่า ?" เพราะว่าเรื่องอย่างนี้ เขาเองถึงแม้ว่าเราจะทำแท้งไปก็ตาม แต่ไม่แน่ว่าเขาจะยังอยู่ เขาอาจจะไปเกิดในภพใหม่ภูมิใหม่แล้วก็ได้ แต่ถ้าหากว่าเขาอยู่ อยู่ในลักษณะไหน ? ถ้าอยู่ในลักษณะของสัมภะเวสี เปรต อสุรกาย เทวดา พรหม หรือว่าพระบนนิพพาน อย่างนี้โมทนาได้ แต่ถ้าอยู่ในเขตอื่นอย่างเช่น ในนรก หรือว่าเปรต ๑๑ จำพวกแรกนี่ โมทนาไม่ได้ เพราะว่ากรรมของเขาหนักอยู่ เรื่องอย่างนี้ตอบยาก เพราะว่าเราต้องรู้ว่าเขาอยู่หรือไม่อยู่ แต่เรื่องอย่างนี้ไม่แปลกนี่ มีเวลาทำก็นึกถึงเขาไปเรื่อย
      ถาม :  แล้วเราจะทราบได้อย่างไรคะว่า ตอนนี้เขาโมทนา หรือว่าเขาอโหสิกรรมให้เราแล้วนะ ?
      ตอบ :  ของอย่างนี้จริง ๆ ไม่ใช่กรรมของเราฝ่ายเดียว เด็กเขาต้องทำกรรมหนักเอาไว้ด้วย อย่างลืมว่าคนที่ทำกรรมปาณาติบาตมาหนักจะอายุสั้น เขาเองแสดงว่าต้องทำเอาไว้หนักมากเลย โอกาสจะดูโลกภายนอกเลยไม่มี เพราะฉะนั้น...ไม่ใช่เฉพาะกรรมที่เราทำ ของเขาก็มีกรรมที่เนื่องมาด้วย ถึงจะต้องพบกับสิ่งนั้น พูดง่าย ๆ ก็ขนมจีนผสมน้ำยานั่นแหละ จะเอาผิดฝ่ายเดียวไม่ได้หรอก ทั้งคู่นั่นแหละ เพียงแต่ว่าพอถึงวาระถึงเวลา เราเองเรารู้ว่าเรามีส่วนผิดด้วย เราก็ทำในสิ่งที่เป็นการทดแทน คือทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้
              ในเรื่องของห้องน้ำห้องส้วมเป็นส่วนของวิหารทาน ถ้าเขาโมทนา เขาจะมีวิมานเฉพาะของเขาเลย ในเรื่องของสังฆทาน ถ้ามีพระพุทธรูปจะมีรัศมีกายสว่างมาก ถ้ามีผ้า จะมีเครื่องประดับที่เป็นทิพย์ ถ้ามีอาหารจะมีกายเป็นทิพย์ ไม่หิวอย่างกับพวกเรา
      ถาม :  คราวนี้ในส่วนของพระ ลูกไปถวายเงินอย่างเดียวเจ้าค่ะ ?
      ตอบ :  เราตั้งใจว่าเป็นอะไร ? ในเมื่อเราตั้งใจแล้ว ก็เป็นไปตามนั้นแหละ เขาดูเจตนา "เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ" เจตนานั้นแหละเป็นบุญ
      ถาม :  มีคนกล่าวว่า "การที่ทำแท้งนี่ ต้องสร้างพระ ๓๐ นิ้วให้ เพื่อจะเป็นการชำระกรรมตรงนี้ ?"
      ตอบ :  ไม่ต้องหรอก เราสร้างให้ ๔ ศอก ไปเลย
      ถาม :  ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำบุญ ถือว่าเป็นบุญด้วยหรือเปล่าเจ้าคะ ?
      ตอบ :  อ๋อ จัดว่าเป็นการให้ยานพาหนะ คือถ้าเราสงเคราะห์คนอื่นเขา พระพุทธเจ้าบอกว่า "ยานโท สุขโท โหติ" การให้ยาน คือให้พาหนะ ชื่อว่าให้ความสุข "จกฺขุโท ทีปโท โหติ" คือการให้ประทีบ ชื่อว่า ให้จักษุคือดวงตา คราวนี้เรื่องของการให้ยาน สังเกตุอยู่อย่างหนึ่งว่า ใครก็ตามถ้าสงเคราะห์พระในเรื่องรถ เรื่องการเดินทางนี่ ทำอะไรจะคล่องตัวไปหมด คราวนี้สำคัญอยู่อีกจุดหนึ่งว่า เราเองน่ะ เอาเงินมาจากกองกลางหรือเปล่า ? ถ้าเงินจากกองกลาง เป็นเงินของทุกคน ไม่ใช่ของเราคนเดียว แต่ถ้าเราจ่ายคนเดียว ก็สบายไปเลย