ถาม :  ทีนี้เวลาภาวนาปกติจะใช้ว่า กายนี้ไม่ใช่ของเรา?
      ตอบ :  จ้ะ ดีเลยจ้ะ คราวนี้มันไม่ใช่ภาวนาเฉย ๆ มันต้องเห็นอย่างนั้นจริง ๆ เห็นอย่างนั้นจริง ๆ แล้ว จิตยอมรับจริง ๆ โยมลองถามตัวเองว่าร่างกายนี้ใช่ของโยมมั้ย? แล้วให้ใจมันตอบออกมาจริง ๆ ว่า ใช่ หรือไม่ใช่ ไม่ใช่ว่า ตอบ เพราะรู้ว่า ต้องตอบว่าไม่ใช่ถึงจะถูก ถ้าอย่างนั้นใช้ไม่ได้ มันต้องเป็นคำตอบที่ออกจากใจจริง ๆ ว่าไม่ใช่ของของเรา เราไม่สามารถทำให้จิตใจมันยอมรับได้
              ก็ดูว่าร่างกายนี่มันประกอบจากอะไร มันก็มีธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม คราวนี้ดินน้ำไฟลมนี้ก็ต้องแยกเป็นส่วน ๆ ส่วนที่แข็งเป็นแท่งเป็นก้อนเป็นชิ้นเป็นอันคือ ดิน ประกอบไปด้วยขน ผมเล็บฟัน หนัง กระดูกเส้นเอ็น พวกอวัยวะภายในอย่าง ตับไต ไส้ ปอด กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ เหล่านี้เป็นต้น เป็น ธาตุดิน มันจับได้ต้องได้ มันแค่นมันแข็งเป็นชิ้นเป็นอันเป็นท่อน เราก็แยกเป็นกองไว้ส่วนหนึ่ง ธาตุน้ำคือส่วนที่เหลวไปไหลมาในร่างกายของเรา มีเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลายน้ำดี เหงื่อ ไขมัน ปัสสาวะ อย่างนี้เป็นต้น ไขมันนี้ก็คือไขมันในเลือดน่ะ แล้วก็ธาตุลมก็คือสิ่งที่เคลื่อนไหวไปมา พัดไปมาในร่างกายของเรา ได้แก่ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมที่ค้างอยู่ในท้องในไส้ที่เขาเรียกว่าแก็ส ลมที่พัดไปมาทั่งร่างกายไม่ว่าจะพัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ พัดลงทั่วกายที่เขาเรียกว่า ความดันโลหิต แยกไปไว้อีกส่วนหนึ่ง ส่วนที่เป็นความอบอุ่นของร่างกายเรียกว่าธาตุไฟ มีธาตุไฟที่เผาร่างกายให้เสื่อมโทรมลง ธาตุไฟที่เผาผลาญย่อยอาหาร ธาตุไฟที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโตขึ้น เหล่านี้เป็นธาตุไฟ
              พอโยมแยกออกเป็นสี่ส่วน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก ไส้ ปอด เหล่านั้นเป็นกองหนึ่ง เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำดี เหงื่อ ไขมันเหลว ปัสสาวะ เหล่านี้แยกไว้กองหนึ่ง พวกลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมในท้องในไส้ ลมพัดไปมาในเบื้องสูง เบื้องต่ำทั่วร่างกายไว้กองหนึ่ง ความอบอุ่นในร่างกายก็คือไฟธาตุที่ย่อยอาหาร ที่กระตุ้นร่างกายให้เติบโต ให้เสื่อมโทรมแยกไว้กองหนึ่ง หมดเกลี้ยงพอดีไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา
              พอเราจับเจ้าสี่กองนี้มาปั้นเข้าใหม่นะ เป็นหัวเป็นหูเป็นหน้าเป็นตาขึ้นมา เราก็ไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา ความจริงมันเป็นเปลือกที่เราอาศัยอยู่ ร่างกายนี้เหมือนกับรถคันหนึ่ง ตัวเราที่เป็นจิตคือคนขับรถ ถึงเวลาที่มันพังไปตามกาลตามเวลาของมัน เราที่เป็นจิตก็ต้องไปหารถคันใหม่ตามบุญตามกรรมที่เราสร้างเอาไว้
              เมื่อถึงวาระนั้นถึงตอนนั้นถึงจะเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ พยายามแยกแยะอย่างนี้บ่อย ๆ ให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะละเอียดได้ จนกระทั่งจิตใจมันยอมรับจริง ๆ ว่าร่างกายนี้ ไม่ใช่ของเรา ร่างกายคนอื่นก็ไม่ใช่ของเขา ทั้งเขาและเรามีสภาพเดียวกันก็คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
              พอจิตมันยอมรับแล้วต่อไปเราแค่คิดว่า ร่างกายนี้มันไม่ใช่ของเรา มันยอมรับก็ใช้ได้ ต่อไปก็ไม่ต้องคิดมากตอนแรก ๆ นี่ต้องคิดเหมือนยังกับเหวี่ยงแห จะเอาปลาทั้งทะเล แต่หลังจากที่คัดไปคัดมา ก็เลือกเอาปลาตัวที่ดีที่สุด มันก็เหลือนิดเดียว ตอนแรกของการปฏิบัติต้องกระจายออกกว้างมาก แต่พอรวบเข้าแล้วมันจะเหลือแก่นแค่นิดเดียวเท่านั้นใช่มั้ย? ถ้าทำจนใจยอมรับอย่างนี้ต่อไปแล้วจะสบาย เพราะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดา พอโยมเกาะตัวธรรมดาติด หากินได้ตลอดชาตินี้และก็ชาติต่อ ๆ ไปเลย คราวนี้แยกออกแล้วยังจ้ะ
      ตอบ :  ต้องกลับไปแยกที่บ้านก่อน
      ตอบ :  จ้ะ ค่อย ๆ ไปนั่งแยกมัน ให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้
      ตอบ :  เคยเพ่งอสุภะ เพ่งไปเพ่งมา ก็เห็นคนเป็นโครงกระดูกหมดเลยจนถึงลืมตา
      ตอบ :  จ้ะ ฉันเองตอนใช้อสุภกรรมฐาน ฉันก็ถนัดอัฏฐิกัง ปฏิกุลัง คือการเพ่งกระดูกมากที่สุด พอสาวสวย ๆ มาฉันก็แบ่งครึ่งฉึบ ครึ่งหนึ่งปกติ อีกครึ่งหนึ่งให้เป็นกระดูก ดูแล้วมันเพลินดี (หัวเราะ)
      ตอบ :  ชอบโครงกระดูก เวลาเพ่งศพแรง ๆ พอขึ้นมาก็เป็นโครงกระดูกหมดเลย
      ตอบ :  เราอาจถนัดอันนั้น ก็จับโครงกระดูกแทน เสร็จแล้ว พิจารณาต่อไปเลยว่าสภาพร่างกายของเรามันเป็นอย่างนี้แหละ แก่นสารของมันมีนิดเดียวคือกระดูก แล้วกระดูกมันก็ค่อย ๆ เก่าไป ๆ ในที่สุด ก็ค่อย ๆ เปื่อยผุพังเป็นดินไปหมด
              พอไม่มีกระดูกร่างกายมันก็อยู่ไม่ได้ มันเปื่อย มันสลาย มันจมดินไป กลับกลายเป็นธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม เหมือน ๆ กันขึ้นชื่อว่าร่างกายที่หาสาระไม่ได้เช่นนี้เราไม่ต้องการมันอีกแล้ว ถ้าหากว่าเราตายตอนนี้ขอไปนิพพานที่เดียว คิดต่อไปเลยจ้ะ ต้องใช้ตัวนี้ต่อยอดไว้เสมอยังไง ๆ อย่าทิ้งนิพพานถ้าทำอย่างนั้นจะก้าวหน้าเร็ว ใจมันจะเกาะและรักนิพพานอยู่เสมอ ๆ
      ตอบ :  เคยปฏิบัติอยู่ ตอนนั้นยังไม่เจอหลวงพ่อ (ฟังไม่ชัด) เจอตาโบ๋ ๆ มาหลอกแฮ่กระโดดขึ้นข้างหน้า ท่านว่าเห็นอะไรนี่ไม่ใช่นะ
      ตอบ :  ตอนนั้นน่าจะพิจารณาไปเลยนะ รูป คือสิ่งที่เห็นใช่มั้ย? เสียงก็คือ นาม ใช่มั้ย? พิจารณาต่อไปเลยโยม (หัวเราะ) ลืมใช่มั้ย?
      ตอบ :  ก็บอก ฉันไม่กลัวหรอก ผมฟู ๆ ยี ๆ ฉันกับผีก็เหมือนกันน่ะ
      ตอบ :  เราน่ากลัวกว่า ผีมันกลัวคนหน้าด้านกว่า ... โยม ไอ้ผีมันกลัวคนหน้าด้านกับคนบ้า ถ้าเราหน้าด้านกว่าเราไม่กลัวมันก็เลิก หรือไม่เราบ้ากว่ามั้นก็เลิก มันไม่หลอกต่อ แต่จริง ๆ แล้วน่าจะพิจารณาต่อไปเลย ของเราตอนนี้มันน่ากลัวกว่าเขาเพราะเราเป็นผีดิบ ผีดิบ นี่มันยังประเภท เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ประเภทหิวกระหายร้อนหนาว อยู่ใช่มั้ย? ผีอย่างเขานั่นสบายกว่าเราซะอีก แต่ว่าถึงจะเป็นแบบเขาหรือแบบเราก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เพราะฉะนั้นขึ้นชื่อว่าการเกิดแล้วจะภพไหนภูมิไหนก็ตามมันไม่ได้เรื่องทั้งนั้นแหละไปนิพพานซะดีกว่าคิดต่อไปเลย
      ตอบ :  ตอนนั้นยังไม่เจอหลวงพ่อ
      ตอบ :  จ้ะ อีตอนเจอแล้วมันยังไม่ยอมหลอกใช่มั้ย? (หัวเราะ)
      ถาม :  หลวงพ่อสอนให้คิดว่า สัตว์โลกทั้งหลายเกิดเท่าไหร่ตายหมดเท่านั้น (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  อันนั้นหลวงพ่อถือเป็นคติประจำใจของท่านเลยจ้ะ หลวงพ่อจะติดป้ายเอาไว้ใกล้ที่นอนของท่านเลยว่า สัตว์โลกทั้งหลายเกิดเท่าไหร่ ตายหมดเท่านั้น คือพระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้เป็นพุทธภาษิตเลย เพราะฉะนั้นถ้าคิด ตามพระพุทธเจ้าคิดตามหลวงพ่อนี่ยืนยันได้เลยว่าไม่ผิดแน่นอน
      ถาม :  เจ้ากรรมนายเวร เราใส่บาตรกรวดน้ำให้ทุกวัน ๆ ก็ยังไม่พออีกเหรอคะ?
      ตอบ :  เราทำเขาไว้เยอะจ้ะ ถึงเวลาให้เขายังไม่พอ ถ้าให้เขาพอเมื่อไหร่เขาก็เลิก
      ถาม :  (ดูภาพถ่ายที่ อ.เล็ก ไปพม่า – ภาพหลวงพ่อตามะยะพม่า)
      ตอบ :  นั่นแหละโยม พระแบบหลวงพ่อ พม่าเขาก็มี เลี้ยงคนไว้เป็นแสน ๆ เลย ทุกวันเป็นหมื่น ๆ จะไปกราบท่าน แล้วก็รถเมล์เป็นสิบ ๆ สายนี่ ตั้งต้นที่วัด สุดทางที่วัด พระขนาดนั้นยังมีอยู่เสียดายหลวงพ่อเราไปกราบท่านทีไรนึกถึงหลวงพ่อทุกที คนไปหาท่านเป็นหมื่นเป็นแสน ต้องหุงข้าวเลี้ยงกันประมาณสองร้อยสี่สิบปี๊บต่อวันน่ะ น่าจะประมาณสักสามสี่สิบกระสอบได้มั้ง?
      ถาม :  ปี๊บหนึ่งก็สิบห้ากิโล
      ตอบ :  ปี๊บหนึ่ง ถังหนึ่งเลย ก็สองร้อยสี่สิบถังนี่จะซักเท่าไหร่? ประมาณสามสิบกว่ากระสอบ วัน ๆ หนึ่งประมาณนั้นแหละ บางทีลูกศิษย์วิ่งมา หลวงพ่อข้าวสารหมด ท่านบอกไปดูเหอะมีอยู่ ไปถึงก็มีอยู่ ก็พอหุงให้เขากินไปเรื่อย ๆ ท่านแค่พูดเฉย ๆ มันมีน่ะ
      ถาม :  (ดูภาพที่ อ.เล็ก ไปพม่า – ภาพงานประจำปีของกะเหรี่ยง)
      ตอบ :  อันนั้นงานประจำปีของกะเหรี่ยงเขา ขึ้นปีใหม่อาตมาเป็นแขกวีไอพี โดยแม่ทัพเขานิมนต์ไว้ ไปยืดอยู่ที่นั่น พวกนี้เป็นกะเหรี่ยงพุทธ มันมีกะเหรี่ยงพุทธ กับกะเหรี่ยงคริสต์ กะเหรี่ยงนี่จริง ๆ แล้วเขาเกลียดพม่าจะตายชัก บรรดาพวกกะเหรี่ยง มอญ ไทยใหญ่ คะฉิ่น ไม่มี ใครชอบพม่าเลย พม่ามันขี้โกงเขาว่า คือว่าตาม สนธิสัญญาเวียงปางหลวง เขาร่วมมือกันขับไล่อังกฤษออกจากพม่า แล้วก็ตกลงกันว่าจะอยู่ร่วมกันเพื่อให้ประเทศชาติเข้มแข็งสิบปี หลังจากสิบปีแล้วจะต่างคนต่างแยกประเทศกัน
              แต่ปรากฏว่าพอครบสิบปีเขาเรียกประชุมเพื่อตกลงเรื่องนี้ มีโบเมียะ ผู้นำกะเหรี่ยงคนเดียวรู้ ว่างานอย่างนี้คงไม่ใช่งานดีแน่ เลยให้ลูกน้องไป ตัวเองไม่ไป ปรากฏว่าจริงๆ นายพลอูนุ ส่งทหารมายิงทิ้งเกลี้ยงเลย หัวหน้าของไทยใหญ่ที่เป็นบรรดาเจ้าฟ้าของรัฐฉานตายในงานนั้นสิบสามศพ มันกะจะประเภทตัดรากถอนโคนไม่ให้เหลือ
      ถาม :  ......
      ตอบ :  วาระบุญตามเวลาของเรา แต่ว่าวันพระของท่านตรงกับวันโกน เพราะข้างบนนั้นไม่มีวัน จะเรียกว่าอะไรดี คือไม่มีกลางคืน ในเมื่อไม่มีกลางคืนสว่างอยู่ตลอดมันใช้ความเป็นทิพย์รับรู้เอาว่า สภาพที่แท้จริงเป็นยังไง ผ่านพ้นไปเท่าไหร่ คราวนี้ไอ้เรื่องของการกำหนดมันเป็นสมมุติทางโลกก็ ... เอ้า! ดีเพราะว่าอย่างน้อย ๆ วันพระเป็นวันที่เขาทำบุญกัน เพราะฉะนั้นท่าน ท่านก็เอาบ้าง
      ถาม :  ผมเลยนึกถึงตัวเองไงครับ คงยุ่งน่าดูนะครับไปไหนมาไหนอยู่ตลอด ไม่ต้องทำอะไรเลยวัน ๆ
      ตอบ :  ต้องอย่าลืมว่าพระท่านถึงได้เทศน์สั้นนิดเดียวไง เทศน์ยาวไม่ได้หรอกเดี๋ยวเลยเวลาไป
      ถาม :  พูดคำเดียว ประโยคเดียว อ้อ! ตอนนี้เขาจะบวชภิกษุณีกันแล้วครับ
      ตอบ :  ก็ให้เขาบวชไปซิ ปัญหาภิกษุณีจริง ๆ น่ะ ถึงบวชก็ไม่เป็นภิกษุณี
      ถาม :  นั่นไงครับ ผมเลยจะถามว่า เขาบวชแล้วไม่ใช่นี่ เวลาเขาทำผิด เขาจะรับโทษเหมือนคนธรรมดาหรือรับโทษเท่าภิกษุณีล่ะครับ?
      ตอบเท่าคนธรรมดา แต่ว่าจะมีโทษมากกว่า ตรงที่อยู่ลักษณะที่ว่า ประเภทปฏิบัติตัวเหมือนพระ กินอย่างพระ รับของประเคนอย่างพระ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นคนเขาตั้งใจถวายเป็นของสงฆ์ แล้วตัวเองไม่ใช่สงฆ์ ก็สาหัสล่ะคราวนี้ คือภิกษุณีนี่หมดลงในยุคหลังแล้วเพราะว่าระเบียบการบวชลำบากมากนะ
      ถาม :  เมื่อวานผมฟังพระรูปหนึ่งทางไอทีวี ฟังดูเหตุผลเขาก็ใช้ได้ เขาบอกว่าในเมื่อบวชมาเพื่อหาความสงบ ใครอยากบวชก็บวชไป
      ตอบ :  นั่นน่ะมันใช่ การอยากบวชก็บวชไป ทำไมต้องเสี่ยงหานรกให้ตัวเองด้วยวิธีรุนแรงขนาดนั้นล่ะ เพราะว่าของสงฆ์ทุกอย่างนี่โทษอเวจีทั้งหมดน่ะ เพียงแต่ว่ามันจะอเวจียาว หรืออเวจีสั้นเท่านั้นเอง เป็นเราจะเสี่ยงมั้ยล่ะ?
      ถาม :  ก็อยากเสี่ยงดู แต่ไม่มีโอกาส (หัวเราะ)
      ตอบ :  โอกาสมันเจ๊งร้อยเปอร์เซ็นต์