สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนเมษายน ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
ถาม: ...........................
ตอบ : ปรากฏว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่คนหนึ่งเขามา เขาถามว่า หลวงพี่รักษามาทุกวิธีแล้วหรือ ? ก็บอกว่า วิธีปัจจุบันน่ะ ทุกวิธีแล้ว เอ็กซเรย์จนหมดท่าแล้ว ไม่หาย เขาบอกว่า ลองรักษาแบบโบราณไหม? เลยถามว่า รักษาแบบไหน ? เขาบอกว่า นวด ถามเขาว่า หมอนวดที่ไหนหรือ ? เขาบอกว่า หมอนวดคนนี้เป็นพ่อบุญธรรมเขาเอง จะลองนวดไหม ? เขานวดคนที่เป็นโรคแปลก ๆ หายมาเยอะแล้ว บอกเขาว่า ลองไปดูสิ ไม่เสียหายใช่ไหม ? ปรากฏว่าประมาณตอนบ่ายสองโมงก็ไปกัน ร้านเขาอยู่ที่รองเมือง ก็ถือไม้เท้าขึ้นแท็กซี่ ถ้าไม่มีไม้เท้าก็จะหมุนไปเรื่อย ขึ้นแท็กซี่พอเดินเข้าไปในร้าน เขาถามว่า เป็นอะไร ? บอกเขาว่า ไม่รู้เหมือนกันหมอ เวลาเดินจะหมุนไปหมด หมอก็เอามือแตะคอปุ๊บ เขาบอกว่า กระดูกคอเลื่อนสองข้อ มันหักไปเลย ดีนะเส้นประสาทไม่ขาด ถามหมอว่า รักษาได้ไหม ? หมอบอกว่า สบาย...! เขาเอาท่อนแขนหนุนคอ แล้วอีกมือหนึ่งบิด กึ้กเดียว หายเลย...! ง่ายขนาดนั้น แล้วเขาเตือนว่า อย่าโดนซ้ำนะ ถ้าโดนซ้ำมีสิทธิ์เป็นอัมพาตเลย เพราะว่าถ้าหากว่าเส้นประสาททรงตัวขาดแย่เลย นั่นแค่ไปเบียดประสาททรงตัวเท่านั้น ทำให้เราบังคับตัวเองไม่ได้ ที่เล่ามาตั้งยืดตั้งยาว นี่คือว่า เราไปเกเรเอาไว้มากก็เลยเป็น แต่ว่าเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือว่า เวลาที่หลวงพ่อท่านหายป่วย ท่านอยากจะกินของเผ็ด ๆ มากเลย กินแล้วสะใจดีหรืออย่างไรไม่รู้ ? ของเราเวลาหายป่วย ก็อยากกินอย่างนั้น คนที่ท้องว่างมาตั้งหลายวัน ไม่น่าจะกินได้ ลองดูว่า ถ้าไม่ได้กินอะไรเลย แม้แต่นิดเดียวตั้ง ๕-๖ วัน แล้วอยู่ ๆ กินของเผ็ดเข้าไป แล้วจะเป็นอย่างไร ? สะใจมาก...แล้วอีกอย่างหนึ่งคือว่า อาการที่อยู่ ๆ เหมือนกับจะหลับกะทันหัน บังคับตัวเองไม่ได้
หลังจากนั้นก็มีประสบการณ์อีกหลายครั้ง แล้วก็มาเข้าใจว่า ถ้าบางวาระบางเวลา พระ หรือพรหม หรือเทวดา เขามีธุระจำเป็นจะติดต่อกับเรา แต่เราเองดันไม่ตั้งท่านับ ท่านจะบังคับด้วยวิธีนั้น บางทียืน ๆ อยู่ร่วงไปเฉย ๆ เหมือนกับท่านลากเราออกไปเลย จะได้คุยกันรู้เรื่อง ถ้าใครเจอประสบการณ์อย่างนี้ไม่ต้องแปลกใจนะ แสดงว่าตอนนั้นเราไม่ได้ตั้งกำลังใจเอาไว้ ก็เลยโดน
เพราะฉะนั้น...พยายามจับภาพพระให้ทรงตัวไว้เสมอ ๆ ถึงเวลา พระ พรหม หรือเทวดา ท่านต้องการจะติดต่อด้วย ท่านจะได้ติดต่อผ่านลงมาเลย คราวนี้พอเราไม่ได้ตั้งท่ารับ เขาก็กดให้หลับไปเลย จะได้ติดต่อได้
ถาม : บางครั้งทำงานอยู่ค่ะ หายแวบไปเลย แล้วก็ไปเห็นเราอยู่ยอดเขาโน่น กำลังถูบ้าอยู่ เอ๊ะ...! ตัวเราอยู่ที่ไหนกันแน่วะนี่ ? พักหลังเป็นบ่อยมาก
ตอบ : จ้ะ อย่าบ่อยแล้วกัน ระวังไว้ มีลูกศิษย์หลวงพ่ออยู่คนหนึ่ง ก็ลักษณะนี้ แต่รายนั้นเก่ง ตื่นนอนขึ้นมา เปียกโชกไปทั้งตัวเลย เฮ้ย...! กูเป็นอะไรหว่า ? เปิดไฟดู ปรากฏว่าตอนนั้นแกรู้สึกว่า แกลอยไปตามเชิงเขาแห่งหนึ่ง แล้วมีต้นหญ้า แล้วลอยไม่สูงก็ละต้นหญ้าไปเรื่อย ปรากฏว่าพอแกเปิดไฟดู ผ้าห่มที่เปียกไปหมด มันเปียกน้ำค้าง แล้วมีเม็ดหญ้าตกอยู่เต็มเลย แสดงว่าไปทั้งเตียงเลย ไม่ได้ไปแต่ตัว รายนั้นเก่งไปทั้งเตียงเลย
ถาม : ...................................
ตอบ : ไม่ต้องไปวิตก ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องไปสนใจว่าเป็นอะไร ? รับรู้ไว้เฉย ๆ มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร ? ก็รู้ไว้แค่นั้น ไม่ต้องไปอยากได้ แล้วก็ไม่ต้องไปไม่อยากได้ เดี๋ยวก็จบเอง
ถาม : ตอนนี้เราก็ต้องนั่งสมาธิเยอะ ๆ ใช่ไหมคะ ? แต่ไม่ค่อยได้นั่งอยู่แล้ว
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่นั่งท่านก็บังคับได้
ถาม : บางครั้งเพลียมากเลยค่ะ
ตอบ : นอน...! พอนอนเสร็จก็ตั้งใจนึกถึงพระ คิดว่าเรานอนลงก็เหมือนกับคนตายแล้ว ถ้าจะตายไปตอนนี้ ไม่ได้ตื่นขึ้นมาเห็นตะวันขึ้นก็ช่างมัน เราขอไปนิพพานก็แล้วกัน แล้วภาวนาให้หลับไปเลย ไม่ต้องไปนั่งหรอก เหนื่อยมาก ๆ นั่งก็ไม่ไหว
ถาม : โดยปกติทุกครั้งที่มา ผมจะมีคำถามประมาณ ๔๐ คำถาม แต่วันนี้จะมีคำถามประมาณ ๙๙ คำถาม ถ้าพระคุณเจ้าเห็นสมควร ผมจะถามทั้งหมด
ตอบ : เอาเลย ลองดู ๙๙ คำถามวันนี้ เริ่มได้...!
ถาม : ปัจจุบันนักวิชาการทั้งหลายเขาบอกว่า การเลี้ยงลูกนั้น ต้องเลี้ยงอย่างใกล้ชิด ต้องรู้ทุกเรื่องของลูก อันว่าพ่อแม่นั้นมีความรักลูกทุกประการ แต่การเลี้ยงลูกโดยการใช้ปัญญาแห่งธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ท่านทรงตรัสสอนเรื่องการไม่สนใจในจริยาของผู้อื่น ลูกทั้งหลายก็มีความลำบากใจ หลาย ๆ คนก็รู้สึกว่า พ่อแม่นั้นในใจมากจนเกินไป จนไม่มีความเป็นส่วนตัว หรือขาดความมั่นใจและใช้หนทางอื่นแก้ไข คำถามคือว่า การสนใจลูกนั้นต้องสนใจในระดับใด ? หรือจะต้องสนใจทุกเรื่อง คอยถามทุกเรื่อง ทุก ๆ เรื่องแม้กระทั่งลูกเข้าห้องน้ำครับ
ตอบ : สนใจทุกเรื่อง แต่ว่าที่เราจะรู้ได้ทุกเรื่องน่ะ เราจะทำอย่างไร ? ให้เด็กเขามีความไว้ใจเรา แล้วก็เชื่อใจว่า ถ้าเขาบอกเรื่องอะไรบางอย่างกับพ่อแม่แล้ว พ่อแม่จะแก้ไขปัญหาให้เขาจริง ๆ โดยไม่ดุด่าซ้ำเติมเขา ทำให้เขารู้สึกว่าบ้านเป็นที่พึ่ง ถ้าหากว่าถอยมาแล้วมีที่พักพิง เป็นที่ให้เขาอาศัยได้ ถ้าอย่างนั้นเด็กเขาจะบอกเราเองทุกเรื่อง ความใส่ใจนั้น ใส่ใจตามปกติเพียงแต่ว่าทำอย่างไร ? จะให้เขาไว้ใจเราตรงนี้สำคัญที่สุด...!
ปกติแล้วทุกวันนี้คือว่า ส่วนใหญ่แล้วพอเกิดอะไรขึ้นก็ดุไว้ก่อน ว่าไว้ก่อนทำให้เด็กเขากลัว พอเขากลัวแล้ว เขาก็ไม่สามารถที่จะมาปรึกษากับเราได้ ส่วนใหญ่ไปหาทางออกกับเพื่อน คราวนี้เพื่อนกันก็อายุเท่ากันประสบการณ์เท่ากัน จะมีความรู้ความสามารถแก้ไขเหตุการณ์อะไรนักหนา บังเอิญถูกต้อง ก็เป็นอันว่ารอดตัวไป แต่ถ้าผิดพลาดขึ้นมา คนที่เสียใจที่สุดก็คือพ่อแม่นั่นแหละ สนใจเขาต่อไป ยุ่งกับจริยาของเขาได้ แต่ว่าทำอย่างไรจะให้พอเหมาะพอดี และอยู่ลักษณะที่ว่า สร้างความไว้วางใจให้กับเขา ให้เขารู้ว่าบ้านเป็นที่พักพิงอันอบอุ่น เป็นแหล่งสุดท้ายที่ว่า ต่อให้โลกนี้ทั้งโลกไม่มีที่ไหนต้อนรับเขา แต่เขากลับบ้านเมื่อไร? เขาก็ยังมีที่พึ่งที่พิงได้เมื่อนั้น ถ้าทำอย่างนั้นได้ละก็ ลูกจะกลับบ้านอย่างเดียว ไม่ไปไหนหรอก
ถาม : นักวิชาการยังบอกอีกว่า ควรจะวางกรอบไว้กว้าง ๆ ให้ลูกทั้งหลาย กรอบนี้โดยบางท่านมาจากกรอบของความไม่มีศีลไม่มีคุณธรรม แต่มีความอยากให้ลูกเป็นคนร่ำรวย มียศมีศักดิ์ศรีในอนาคต ทุกคนก็พูดเรื่องการวางกรอบของลูก พระพุทธเจ้าท่านทรงวางกรอบและจะต้องให้บุตรของพระองค์เป็นอย่างนั้นหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่หรอก ของพระพุทธเจ้ากรอบของท่านอย่างที่เรียกว่า กว้างที่สุดก็คือ ศีล ๕ ถ้าหากว่าแคบเข้ามาอีกหน่อยก็เป็นกรรมบถ ๑๐ แล้ว ถ้าหากว่าตามกรอบของพระพุทธเจ้านี่ จริง ๆ แล้วตัวที่สำคัญที่สุด ก็อยู่ที่พ่อแม่อีก พ่อแม่นี่เขาเรียกว่า บุรพการี ผู้ทำคุณก่อน คราวนี้บุคคลที่จะสั่งสอนลูกเพื่อให้ลูกเชื่อถือและคล้อยตามได้ ตัวเองจะต้องปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างที่ดีน่าเชื่อถือด้วย ไม่ใช่สารพัดความผิดที่ตัวเองจะทำ แต่บอกลูกว่าเป็นคนดีนะลูก แล้วลูกจะไปดูตัวอย่างที่ไหน ? เพราะฉะนั้น...ต้องเริ่มที่บ้านเลย
ถาม : ถ้าเกิดว่าพ่อแม่พยายามทำตัวที่จะเป็นตัวอย่างกับลูกแล้ว แต่ว่าตายายใกล้ชิดกับลูกมากกว่า คือใกล้ชิดกับลูกมากกว่าก็สอนอะไรที่แบบอยากให้ลูกเก่ง เอาชนะ อะไรอย่างนี้ค่ะ ?
ตอบ : ถ้ามีโอกาสเราชี้แจงให้ลูกสิ ว่าที่ตายายเขาว่าเป็นอย่างนั้น ๆ น่ะลูก สิ่งไหนที่ไม่ถูกต้องก็บอกเขาไป บอกส่วนไหนที่ดี ส่วนไหนที่ไม่ดี แยกแยะให้ละเอียดทั้งสองฝ่าย แล้วให้ลูกเขาเลือกเอง เท่าที่ผ่านมาที่ทำอย่างนี้มา เด็กเลือกถูกทุกคน เด็กเขามีปัญญา เขารู้ว่าอะไรผิด? อะไรถูก ? เพียงแต่ว่า ถ้าได้รับการแยกแยะให้เขารู้ ไม่ต้องบอกเขาว่าอันนี้ผิด ไม่ต้องบอกเขาว่าอันนี้ถูก บอกเขาว่า ถ้าทำอย่างนี้แล้ว แล้วจะเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าหนูทำอย่างนี้ จะเป็นอย่างนี้ หนูเลือกเอาแล้วกันว่าจะทำอย่างไหน ?
ถาม : ได้ยินเขาเล่าว่า พระอรหันต์ทุกองค์ ถ้าหากตายแล้วเข้านิพพานเมื่อเอาร่างกายไปเผา กระดูกจะเป็นพระธาตุ อย่างนี้ต้องทุกองค์เลยหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ทุกองค์ กรณีที่พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมรณภาพแล้วเผา กระดูกจะกลายเป็นพระธาตุนั้น มี ๒ สถานด้วยกัน
สถานแรก คือ ท่านอธิษฐานเอาไว้เอง
สถานที่สอง คือ ถึงท่านไม่ได้อธิษฐานไว้ แต่ว่าพระท่านเล็งเห็นว่า ถ้าหากว่าช่วยสงเคราะห์ให้กระดูกกลายเป็นพระธาตุ จะเป็นที่พึ่งที่พิงจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวของลูกศิษย์เป็นจำนวนมากได้ ท่านก็ช่วย แต่ว่ามีหลายรายอย่างหลวงปู่มั่นอย่างนี่ หลวงปู่มั่นท่านมรณภาพไป ๓๐ กว่าปี กว่าที่กระดูกจะกลายเป็นพระธาตุ เพราะหลวงปู่มั่นนี่ ท่านอยู่ลักษณะที่ว่าไม่เอาอะไรเลย ทำตนเป็นตัวอย่างที่ดีมาตลอด กระทั่งว่าจะให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวลักษณะ อัฐิ เป็นพระธาตุ ท่านก็ไม่ทำ ลักษณะนั้นคือว่าไป ๆ มา ๆ เห็นว่าท่านเป็นครูบาอาจารย์ใหญ่ เป็นที่พึ่งของคนมากขึ้นทุกที ๆ มีผู้ยึดเหนี่ยวท่านในลักษณะที่ว่า ถึงมรณภาพไปแล้ว แทนที่จะลดลง กลับเพิ่มมากขึ้น ก็เลยจำเป็นต้องทำให้เป็น เพื่อเป็นกำลังใจแก่ลูกศิษย์ ไม่ทุกกรณีนะ เป็นก็ได้ ไม่เป็นก็ได้
ถาม : ด็อกเตอร์คนหนึ่ง เขาบอกว่า สามารถติดต่อมนุษย์ต่างดาวได้ ทางสัมผัสทางจิต สามารถกำหนดนัดหมายเวลาที่เจอกันได้ ถ้าผมอยากจะติดต่อได้บ้าง ต้องได้ฌานขั้นที่เท่าไหร่ ?
ตอบ : ไม่ต้องหรอก โทรศัพท์ก็ได้ จริง ๆ นะ ไม่ได้พูดเล่นนะ มนุษย์ต่างดาวอยู่ในโลกเรานี่เยอะมากเลย พวกนี้ก็ใช่ในสมัยที่พระเจ้าจักรพรรดิอยู่ ท่านจะต้องปราบไปในทวีปทั้ง ๔ อย่างอุตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป ปุพพะวิเทหะทวีป ชมพูทวีป ชมพูทวีป คือโลกเรา พอท่านปราบได้แล้ว ท่านจะขนคนจำหนึ่งของทวีปนั้น ๆ คือดวงดาวนั้น ๆ มาอยู่ในชมพูทวีป คือโลกของเรา เพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งพระราชอำนาจ คนที่มากับปุพพะวิเทหะทวีป ท่านเอาไว้ที่เมืองเทวะทหะ เมืองแม่พระพุทธเจ้าเลยนะ คนจากอมรโคยานทวีป ท่านเอาไว้ที่เมืองอมรปุระ คนจากอุตระกุรุทวีป ท่านไว้ที่แคว้นกุรุ เพียงแต่ว่ามีที่สังเกตหน่อยหนึ่ง พวกชาวปุพพะวิเทหะทวีป ใบหน้าจะออกสี่เหลี่ยม พวกอมรโคยานทวีป ใบหน้าจะมีลักษณะเหมือนกับพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ลักษณะคางยาวหน่อย พวกมาจากอุตระกุรุทวีป หน้าจะกลมเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ คนพื้นฐานของชมพูทวีปจริง ๆ หน้าจะเป็นรูปไข่ หรือรูปของลูกหว้า
เพราะฉะนั้น...อยากจะติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวทวีปไหน ก็ขอเบอร์ของคนนั้นนะ ดูหน้าเขา หน้ากลม ๆ อุตระกุรุทวีป จะเป็นเชื้อสายที่สืบเนื่องมาเรื่อย ๆ ถึงได้ว่าทำไม DNA ไม่เหมือนกัน ก็เผ่าพันธุ์คละกันมาตั้งแต่โบราณแล้ว มีตำราบางอย่างเขาบอก เขาสันนิษฐานว่า พระพุทธเจ้าน่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาว นั่นน่ะใช่เลย เพราะเมืองแม่ คือเมืองเทวะทหะของท่าน ของพระนางสิริมหามายา คือเมืองเทวะทหะ อันนั้นของปุพพะทวิเทหะทวีป สันนิษฐานถูก แต่คลำผิด เล่นไปจานบินโน่น
ถาม : เคยเห็นคนมีศีลอดอยากไม่มีข้าวกินหรือไม่ ?
ตอบ : เคย...! ไม่ใช่มีศีลเฉย ๆ นะ บวชอยู่กับพระพุทธเจ้าด้วย มีใครเคยจำเรื่องที่ว่ามีพระองค์หนึ่ง บวชเข้าไปท่านอยู่ท้ายแถว คนใส่บาตรไม่ถึงท้ายแถวข้าวหมด พระเถระท่านก็เลยให้ไปอยู่หัวแถว คนก็ เออ...วันก่อนเราใส่บาตรจากหัวไปท้าย ข้าวหมดซะก่อน วันนี้เราใส่จากท้ายไปหัวก็แล้วกัน พอใส่จากท้ายไปหัว ข้าวก็หมดก่อนอีก พระเถระท่านก็เลย อ้า...คุณไปยืนตรงกลาง ปรากฏว่าพอไปอยู่ตรงกลาง ชาวบ้านก็เออ...เราใส่ท้าย วันโน้นเราใส่หัว วันนี้เราใส่จากหัวจากท้ายเข้าไปก็แล้วกัน วันนี้ก็หมดอีกกว่าจะถึงตรงกลาง เกิดจากว่าเขาขาดทานบารมี องค์นั้นนี่ในชีวิตสุดท้าย เคยได้กินอิ่มจริง ๆ ครั้งเดียว เพราะว่าพระอาจารย์บิณฑบาตมาให้ฉัน พอฉันแล้วท่านก็นั่งพิจารณาธรรมว่า เกิดมามันทุกข์ขนาดนี้ การสร้างเวรสร้างกรรมไว้มันเป็นทุกข์เป็นโทษ เวรภัยน่ากลัวขนาดนี้ ขาดท่านบารมีแค่นี้ อดซะจะเป็นจะตาย เพราะฉะนั้น...ถ้าเราเกิดอีกก็ทุกข์อีก ดังนั้น...เราอย่าเกิดอีกดีกว่า ไปนิพพานเถอะ พอท่านตัดสินใจได้ก็เรียบร้อย ไม่ได้อดข้าวตาย แต่อิ่มตาย ฉันอิ่มแล้วถึงได้ตาย
ถาม : ทำไมพระพุทธองค์จึงทรงสอนว่า เราไม่ควรไปบอกหรือไปชี้ชัดว่า พระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ หรือเป็นพระอริยเจ้าโดยลำพัง ?
ตอบ : เพราะว่าในสมัยก่อน ตอนที่เกิดทุกขภิกขภัย คือความอดอยากยากแค้น ชาวบ้านเขากินไม่พอ ก็มีไม่ถึงพระ ในเมื่อไม่พอกิน มีไม่ถึงพระ ท่านก็เลยอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า ปรึกษากันว่าจะแก้ไขอย่างไร ? อย่าลืมนะ...! พระก็ประเภทที่เรียกว่า มีปัญญาดีมากเลย ท่านก็ปรึกษากันว่า เรามาสรรเสริญความดีของเพื่อนสหธรรมิกกันเถอะ พูดความจริงองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ องค์นี้เป็นพระอนาคามี นี่เป็นพระสกิทาคามี นี่เป็นพระโสดาบัน องค์นั้นได้ฌานหนึ่ง องค์นั้นได้ฌานสอง ฌานสามฌานสี่ องค์นั้นได้สมาบัติ ๘ นั่งสรรเสริญกัน ชาวบ้านเขาก็เลื่อมใส อดก็อดละวะ...! แบ่งพระกินบ้างเถอะ
ปรากฏว่าเมืองอื่นมาเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ผอมโกรกมาเลย แต่ว่าบ้านนั้นเมืองนั้นที่พระท่านฉลาดใช้วิธีสรรเสริญ อ้วนมาเลย พระพุทธเจ้าท่านก็เลยถามว่า เธอทั้งหลายใช้วิธีใดหรือถึงอยู่กันด้วยมีอินทรีย์อันผ่องใสอย่างนี้ ? ท่านก็บอกว่า ใช้วีธีสรรเสริญความดี พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ทำวิธีนี้เหมือนกับปล้นเขากิน ไม่ใช่เกิดจากการเลื่อมใสจากน้ำใสใจจริง แต่เลื่อมใสในลักษณะของแรงโฆษณา ในเมื่อไม่ได้เลื่อมใสจากน้ำใสใจจริง การจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าไม่มี เพราะกติกาการเป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันก็คือ เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง ๆ ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ตายแล้วจะไปนิพพาน อันนั้นไปเลื่อมใสผิด โอกาสที่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้าท่านก็เลยห้ามเอาไว้
ถาม : เขาบอกกันว่า คนที่ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องไม่ใส่เครื่องประดับ ไม่ใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด ต้องเป็นคนไม่ฟุ่มเฟือย มีทรัพย์อย่าแสดงอย่าอวด ให้ประพฤติเหมือนคนที่ไม่มีทรัพย์ อันนี้จริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ใครเป็นคนว่า...! (หัวเราะ) นางวิสาขามหาอุบาสิกาไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย เป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่ ๗ ขวบ เครื่องประดับของแม่เจ้าประคุณชิ้นเดียวราคา ๙๑ โกฏิ (เก้าร้อยสิบล้าน) จริงไหมล่ะ ? มีอย่างไรใช้อย่างนั้น ไม่ใช่ตัวเองไม่มี ไปตะเกียกตะกายให้มีอย่างคนอื่นเขา พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยห้าม เพราะว่าสีสันเสื้อผ้า หรือเครื่องประดับไม่ใช่เครื่องวัดของการปฏิบัติ
ถาม : การขายยาบ้าแล้วร่ำรวยเป็นร้อยล้าน ถือว่าเป็นผลของทานในชาติก่อนหรือไม่ ?
ตอบ : ก็มีส่วน แต่ในขณะเดียวกัน คงจะขาดอธิษฐานบารมี เลยรักษาผลทานเอาไว้ไม่ได้ โดนยึดทรัพย์ไปเรียบร้อยแล้ว (หัวเราะ) เห็นว่าเขายึดทรัพย์ไปตั้งสองพันกว่าล้านแล้วไม่ใช่หรือ ? การรวยเกิดจากผลของทานบารมี เพียงแต่ว่าที่รวยขึ้นมา เป็นทานที่บริสุทธิ์ไหม ? เพราะว่าต้องวัตถุทานบริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ ถ้าอย่างนั้นก็รวยทนรวยนาน ถ้าอันใดอันหนึ่งไม่บริสุทธิ์นี่ ดีไม่ดีมันไม่ใช่รวยทนรวยนาน เคยมีอะไรล่ะ ? สามล้อถูกหวย ๖ ล้าน อยู่ได้ ๔ เดือนกว่า ๆ หมดเกลี้ยงเลย ถ้าเป็นอาตมานี่ ๖ ล้าน ไม่ถึง ๔ เดือนแน่นอน หมด ไอ้นั่นอยู่ได้ตั้ง ๔ เดือน มันใช้ไม่เป็น
ถาม : พระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งได้เข้าไปร่วมพิธีปฏิญาณตนว่า จะไม่เข้าไปเสพ หรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ยาบ้าอีกนั้น จะขาดจากความเป็นพระหรือไม่ครับ ?
ตอบ : จะขาดตรงไหนล่ะ ? พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า สิ่งใดไม่สมควรสงเคราะห์แล้วว่าไม่สมควร สิ่งนั้นไม่สมควร ท่านให้หลักการตัดสินพระธรรมวินัยไว้ สมัยท่านไม่มียาบ้า แต่ว่าสมัยนี้มี ในเมื่อพิจารณาตัดสินแล้วว่า ไม่สมควรก็ต้องเปรียบเทียบว่า มีศีลสิกาขาบทใดที่ใกล้เคียงบ้าง ก็มีอยู่ข้อหนึ่งว่า ห้ามภิกษุดื่มน้ำเมา ถ้าดื่มต้องอาบัติปาจิตตีย์ อาบัติปาจิตตีย์นี่ท่านบอกว่า ให้แสดงคืน คือว่าสารภาพในท่ามกลางสงฆ์ได้ เพราะฉะนั้น...เรื่องของยาบ้านี่ ถ้าเปรียบไปแล้วก็แค่อาบัติปาจิตตีย์ ไม่ขาดความเป็นพระหรอก เพียงแต่ว่าต้องเรียกว่า ศีลด่างพร้อย ศีลทะลุไปหน่อยหนึ่ง
ถาม : ก่อนท่านจิวยี่ตาย ท่านบอกว่า ฟ้าส่งข้ามาเกิด ทำไมต้องส่งขงเบ้งมาเกิดด้วย แล้วก็กระอักเลือดตายด้วยความโกรธ คนโกรธจนกระอักเลือดตายมีจริงหรือไม่ ?
ตอบ : มี...! ทำไมล่ะ อ่านเรื่องนั้นแล้วอ่านไม่หมดนี่หว่า ฮองตง ก็โกรธจนกระอักเลือดตาย ขุนพลผู้เฒ่าอายุ ๗๐ ปี แก่แล้วยังซ่าว่าฝีมือเขาดี โดนขงเบ้งด่าซะกระอักเลือดตกม้าตายเหมือนกัน อ่านเรื่องเดียวกันแท้ ๆ ทำไมอ่านไม่หมดวะ ? (หัวเราะ)
สมัยนี้จริง ๆ คำว่า กระอักเลือด คือโกรธจนเส้นโลหิตในสมองแตก มีเยอะแยะไป เส้นโลหิตในสมองแตก เลือดก็ออกปากออกจมูกแล้ว เขาว่าอ่านสามก๊ก ๓ จบคบไม่ได้ อาตมาอ่านมา ๗-๘ จบแล้ว อย่ามาคบกันเลย (หัวเราะ)
|