ถาม:  ความเป็นพ่อเป็นแม่คน เขาวัดกันตรงไหน ? และเดี๋ยวนี้มีบุคคลบางกลุ่มเขาเอาแนวคิดที่ว่า เราเกิดมาด้วยพ่อและแม่เสพสมกัน พ่อแม่ไม่มีความดี เป็นคนร้าย อย่างนี้ไม่นับถือดีกว่า แนวคิดนี้เป็นอย่างไร ?
      ตอบ :  แนวคิดนี้เฮงซวย ช่วยไม่ได้ ความเป็นพ่อเป็นแม่ อย่าลืมว่าท่านใช้คำว่า “บุรพการี” ผู้ทำคุณกับเราก่อน ทำโดยไม่หวังผลตอบแทนด้วย คราวนี้มีอยู่ ๒ อย่างคือ พ่อแม่ที่แท้จริง กับพ่อแม่บุญธรรม ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง หรือพ่อแม่บุญธรรม ก็อยู่ในลักษณะที่ว่า ประกอบไปด้วยพรหมวิหาร ๔ คือ
              เมตตา รักลูกเหมือนกับตัวเอง หรือยิ่งกว่าตัวเอง
              กรุณา อยากให้ลูกตัวเองได้ดี ไม่อยากให้ลูกตกไปในที่ชั่ว
              มุทิตา ถ้าหากว่าลูกทำดีประสบความสำเร็จในชีวิตก็อยู่ดีมีสุข
              อุเบกขา ท่านพยายามสั่งสอนทุกวิถีทาง และถ้าลูกไม่เอาดี ท่านก็ต้องปล่อยวาง นี่คือกำลังใจของพ่อแม่ ทั้งลักษณะพ่อแม่บุญธรรมหรือพ่อแม่แท้จริง
              คราวนี้คติที่ว่าทุกวันนี้ของเราเกิดมาเป็นผลพวงจากกามารมณ์ พ่อแม่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิด พวกระยำนี้ถ้าท่านบีบคอซะตั้งแต่เล็กมันไม่ได้โตหรอก ถ้าท่านไม่เลี้ยงดูมา จะรอดได้อย่างไร ? พวกนี้มันไม่มีสมอง มีแต่หัวแม่เท้า...! ใช้ที่คิดผิด แทนที่จะใช้สมองคิด ใช้หัวแม่เท้าคิดปล่อยเขาเถอะ
      ถาม :  บางคนที่เขาบอกว่า “พ่อทิ้งเขานะ เขาโตมากับแม่อย่างนี้”
      ตอบ :  ก็ธรรมดา ถ้าหากว่าตัวเขาไม่เคยสร้างกรรมอันนั้นมา เขาก็ไม่ต้องรับสิ่งนั้น แสดงว่าในอดีตมันก็ทิ้งเขามาเหมือนกัน
      ถาม :  การสั่งสอนบุตรหลาน หรือคนในปกครองด้วยการพูดจาแบบเสียดสี ประชดประชันของคนในยุครุ่นที่สองบางคน เขาให้เหตุผลว่า “การพูดจาด้วยการเสียดสี ด้วยการดูถูกดูหมิ่น เพื่อให้เกิดมานะ และกระทำตนให้อยู่เหนือคำว่ากล่าวดังกล่าว เพื่อที่จะได้ดี อยากกราบเรียนถามว่า ตามแนวคำสอนของพระพุทธองค์ซึ่งไม่เคยว่าใคร และใช้สัจจะในคำสั่งสอน แนวคิดนี้เมื่อเปรียบเทียบ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องเปรียบ ของพระพุทธเจ้าถูก ของพระพุทธเจ้ามีแต่ถูกโดยไม่ผิด อันนี้โอกาสถูกน้อย ผิดมาก เพราะว่าการเสียดสีกระทบกระเทียบเปรียบเปรยว่าให้เขาเจ็บใจ เพื่อให้เด็กเกิดมานะ ต้องเป็นเด็กที่ใฝ่ดีจริง ๆ แต่วิสัยของคนเกิดมาเลี้ยวลงมากว่าที่จะไต่ขึ้น ฉะนั้น...สิ่งทั้งหลายทั้งปวงทฤษฎีต่าง ๆ ที่เราตั้งขึ้นมา ขึ้นอยู่กับสมมุติฐานว่าควรจะเป็น แต่ขณะเดียวกันก็แฝงไว้กับคำว่า ถ้าไม่เป็นล่ะ ? แต่ของพระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่อย่างนั้น ของพระพุทธเจ้าท่านถ้าทำเมื่อไร จะเป็นอย่างนั้น แบบที่ว่ามา ใช้ไม่ได้ ใช้ได้ก็ใช้ได้น้อย เด็กที่ใฝ่ดีจริง ๆ ไม่ค่อยมีหรอก น้อยใจผูกคอตายไปเยอะแล้ว กระโดดตึกก็มี
      ถาม :  นักวิชาการทางปรัชญาและจิตวิทยา เขาบอกว่า “เราทุกคนควรตั้งเป้าหมายในชีวิต เช่น จะเป็นนักร้อง นักแสดงก็ต้องเป็นให้ได้ และว่าเมื่ออายุถึงเท่านั้นจะเป็นอย่างนั้น ระดับนั้นอายุเท่านี้จะเป็นตำแหน่งนี้” ในทางด้านธรรมะนั้น การตั้งเป้าหมายในทางโลกควรหรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  สมควร หลวงพ่อท่านเคยบอกเอาไว้ว่า “การที่เราจะทำความดีน่ะ ถ้าหากว่าในทางโลกก็ตั้งใจไว้เลยว่า เราจะเอาตำแหน่งสูงสุดในหน่วยงานของเราให้ได้ ถ้าทางธรรมให้ตั้งใจว่า เราจะเป็นพระอรหันต์ให้ได้ ถ้าเราตั้งความหวังไว้สูงสุด เราจำเป็นต้องทุ่มเทความสามารถทั้งหมด ตะเกียกตะกายไปให้เต็มที่ ถึงไม่ได้มากได้น้อย ก็ยังเยอะกว่าคนที่ไม่ได้ตั้งความหวัง ไม่ได้คิดจะทำอย่างนั้น ท่านเปรียบเอาไว้ว่า “เหมือนกับขึ้นต้นไม้ ถ้าเราตะเกียกตะกายขั้นไปเต็มที่ ถึงไม่ถึงยอด ขึ้นไปกลาง ๆ ต้นหรือปลาย ๆ ก็ยังดี แต่คนไม่ตั้งความหวังเลย บางทียังไม่ขยับ ยังอยู่โคนต้น” บุคคลที่เปรียบไว้นี้ ท่านก็คือ หลวงพ่อพระคลเทพมุนี วัดปากน้ำ เรารู้จักกันในนาม “หลวงพ่อสด” ท่านเปรียบกับชีวิตของพระบอกว่า “ถ้าหากว่าเรื่องของปริยัติ คุณตั้งใจไปเลยว่า คุณจะให้ได้เปรียญเก้า ถ้าหากว่าเรื่องของการปฏิบัติ คุณตั้งใจไว้เลยว่า จะเป็นพระอรหันต์ไปนิพพาน”
      ถาม :  อารมณ์สำนึกผิดของคนเหล่านั้น การสำนึกกับความผิดที่ทำไปแล้ว ควรจะนึกถึงมากน้อยเพียงใด หรือให้นึกเรื่อย ๆ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าสำนึกผิดแล้ว ก็ให้แก้ตัวด้วยการทำดี ไม่ต้องไปนึกถึงความผิดเดิม เพราะว่าการนึกถึงความผิดเดิม รังแต่จะพาให้จิตใจเศร้าหมอง กำลังใจที่เศร้าหมองจะลงอบายภูมิ รู้ว่าผิดก็แก้ตัวด้วยการตั้งหน้าตั้งตาทำความดีใหม่ แล้วก็นึกถึงแต่ความดีพอ
      ถาม :  คำว่า “ทุสะนะโส” เอาไปภาวนาเป็นกรรมฐาน จะได้หรือไม่ ?
      ตอบ :  ได้ คำภาวนาทุกประเภทได้ทั้งนั้น โยมเข้าใจไหมว่า ทำไมอันนี้เขาถามว่า “ภาวนาได้ไหม ?” เขาเรียกว่า “หัวใจสัตว์นรก” คือมีสัตว์นรกตกอยู่สัญชีพนรก ปรากฏว่าหกแสนปีผ่านไป นึกเอาแล้วกันว่า หม้อนรกใหญ่ขนาดไหน ? ที่เขาเรียกว่า “กระทะทองแดง” นั่นน่ะ หกแสนปีถึงได้หมุนมาเจอกันทีหนึ่ง พอเจอกันก็จำได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมความชั่วกันมา คนแรกก็เริ่มบ่นเลยว่า “อโห ทุรชีวินโน” ชีวิตกูลำบากฉิบหายเลยโว้ย...! แต่ปรากฏว่าพูดแค่คำว่า “ทุ” คำเดียว แล้วก็จมป๋อมหายไป ก็คงอีกหกแสนปีกว่าจะโผล่มา อีกตัวก็ว่า “สัฏฐี สตะสะหัสสานิ” นี่หกแสนปีแล้วนะ ที่เราจมอยู่อย่างนี้ แต่ปรากฏว่า เขาพูดได้แต่คำว่า “สะ” คำเดียว คราวนี้เอาบาลี ๔ ตัว ตัด ๆ รวมกันก็กลายเป็น “ทุสะนะโส” เขาเลยเรียกว่า หัวใจสัตว์นรก หรือหัวใจเปรต แต่จริง ๆ มันสัตว์นรก ถามว่าเอามาภาวนาได้ไหม ? ได้ ทำไมจะไม่ได้ เพราะว่าคำภาวนาเป็นเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิ ใช้คำไหนก็ได้ทั้งนั้น
      ถาม :  แล้วอานิสงส์ของคำภาวนา แตกต่างกันไหมคะ ?
      ตอบ :  อานิสงส์อันดับแรก อานาปานุสติ แค่อันเดียวก็เหลือเฟือ กินไม่ไหวใช้ไม่หมดหรอก
      ถาม :  เขาว่ากันว่า “ให้ท่องคาถามหาเศรษฐีว่า “อุ อา กะ สะ” ให้ท่องไปเรื่อย ๆ แล้วจะรวย จริงหรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  ชาติหน้าบ่าย ๆ คงจะรวย คาถาหัวใจเศรษฐี อุ อา กะ สะ มาจาก อุ คืออุฏฐานสัมปทา พระพุทธเจ้าสอนว่า ต้องขยัน อา คืออารักขสัมปทา หามาได้แล้วรู้จักใช้ รู้จักเก็บ ไม่ใช่กินสะบั้นหั่นแหลก กะ คือกัลยาณมิตตา คบแต่เพื่อนที่ดี ๆ จะได้ไม่ล้างผลาญเรา สะ คือสมชีวิตา ดำเนินชีวิตในทางที่ชอบ จะได้ไม่ตกไปในทางที่ชั่ว ท่านบอกให้ทำอย่างนี้ คราวนี้โบราณเขาย่อมาเพื่อจะได้จำง่าย ๆ อุ อา กะ สะ แล้วท่านก็บอกว่าเป็นหัวใจเศรษฐี นั่นท่องไปเถอะ ต้องทำไม่ใช่ท่อง
      ถาม :  พ่อแม่ที่เลี้ยงเรามานี่ เขาก็รักเราเลี้ยงเรา เราก็รักเขา แล้วพอโตขึ้นมา เราเพิ่งทราบว่า คำสอนของเขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือตรงข้ามกับพระพุทธเจ้า เราก็เริ่มห่าง เขาก็คงรักเราอยู่แหละ เหมือนกับว่าเราก็รัก แต่เวลาเจอนี่เหมือนกับไม่รัก เราก็รู้สึก...
      ตอบ :  ทำตัวให้เป็นปกติ ตอนนี้เรารู้แล้วว่าอะไรถูกอะไรผิด ถึงท่านบอกว่า “ผิด” เราก็เออ ๆ คะ ๆ ไปตามเรื่อง แล้วเราก็ไปทำในสิ่งที่ถูกก็หมดเรื่อง หลวงปู่หลุย ท่านเจ้าคุณพระโสภณสีลคุณ วัดเทพสิรินทร์ ท่านแต่งบทสรรเสริญคุณบิดามารดาเอาไว้ ท่านว่า
              “ข้าขอกราบไหว้คุณท่านบิดาและมารดา
              เลี้ยงลูกเฝ้ารักษาแต่คลอดมาจึงเป็นคน
              แสนยากลำบากกายไป่คิดยากลำบากตน
              ในใจให้กังวลอยู่ด้วยลูกทุกเวลา
              ยามกินเมื่อลูกร้องก็ต้องวางวิ่งมาหา
              ยามนอนห่อนเต็มตาเมื่อลูกร้องก็ต้องดู
              กลัวเลือดยุงไรมดจะกวนกัดรีบอุ้มชู
              อดกินอดนอนสู้ยอมลำบากหนักมิเบา
              คุณพ่อแม่มากนักเปรียบน้ำหนักยิ่งภูเขา
              แผ่นดินทั้งหมดเอามาเปรียบคุณไม่เท่าทัน
              เหลือที่จะแทนคุณของท่านนั้นใหญ่อนันต์
              เว้นไว้แต่เรียนธรรม์เอามาสอนพอผ่อนคุณ
              สอนธรรมที่จริงให้รู้ไม่เที่ยงไว้เป็นทุน
              แล้วจึงแสดงคุณให้เห็นจริงตามธรรมดา
              นั่นแหละจึงนับได้ว่าสนองซึ่งคุณา
              ใช้ค่าข้าวป้อนมาและน้ำนมที่กลืนกิน”
              ท่านบอกว่า “มีเวลาก็สอนสิ่งที่ถูกต้องให้พ่อแม่บ้าง พ่อแม่ที่เป็นมิจฉาทิฏฐินั้น มีโอกาสเยอะ แต่ลูกเมื่อรู้แล้วก็ไปสอนพ่อสอนแม่ ถึงเรียกว่า ทดแทนคุณที่แท้จริง”
      ถาม :  เคยสอนแล้ว ท่านไม่ฟังค่ะ
      ตอบ :  ไม่ฟัง เราก็ใช้วิธีนี้แหละ พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ถึงเวลาก็ไปมาหาสู่เขาแล้วกราบไหว้เยี่ยมเยียน ถามไถ่ข่าวคราวตามปกติ ท่านสอนอะไรมา เรารู้ว่าอันไหนถูกอันไหนผิด เราก็เลือกทำแต่สิ่งที่ถูก ที่ผิดท่านสอนเราก็สักแต่รับปากไป ให้ท่านสบายใจก็พอ จะเรียกว่าโกหกก็ได้ แต่เป็นการโกหกโดยเจตนาดีโทษมันน้อย
      ถาม :  พ่อแม่หาคู่ครองให้บุตร โดยเลือกแล้วถึงชาติตระกูลมีผิวพรรณดีหน้าตาสวย ถึงแม้ว่าตนเองจะตายไปแล้ว ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลก็คงอยู่ ปัญหาที่เกิดในปัจจุบันก็คือ เลือกจากฐานะรูปร่างภายนอก มากกว่าอุปนิสัยสันดาน อยู่ด้วยกันแล้วก็ไม่ยืด หรือไม่มีความสุข บรรดาลูก ๆ ที่เลือกคู่ครองด้วยตนเอง บางครั้งก็ไม่มีความสุข เพราะอยู่ด้วยกันนาน ๆ สันดานแท้ก็ออกมา บรรดาสามีเริ่มเบื่อภรรยา เพราะมีความแก่ ก็เบื่อไม่ลงรอยกัน ในอารมณ์แห่งธรรมนั้น การเป็นห่วงกังวลเรื่องทรัพย์สินเงินทองเกียรติยศ จิตก่อนตาย นึกถึงแต่ทรัพย์สมบัติตายแล้วไปไหน ? บางทีจิตคิดเมตตาคนอื่น ช่วยทำให้คนอื่นด้วย ความคิดของตัวเองที่ว่าถูกต้องสมควรแล้ว แต่ก็มีจิตปรารถนาดี แต่ทำให้เกิดผลลบกับบุคคลนั้นโดยคาดไม่ถึง อันนี้ควรหรือไม่แล้วใช้บรรทัดฐานอย่างไร ??
      ตอบ :  ก็ควรจะใช้บรรทัดฐานนั้นต่อไป ห้ามความหวังดีของพ่อแม่ไม่ได้ แต่ว่าขณะเดียวกัน ความหวังดีนั้น ดีตามที่ท่านคิด แต่ไม่แน่ว่าจะดีไปตามนั้น ลักษณะของท่านที่เลือกสรรในลักษณะนั่นน่ะ ท่านขาดความเข้าใจในกฎของกรรม
              อนาถบิณฑิกเศรษฐี ร่ำรวยขนาดไหนก็ยังกลายเป็นคนยากจนไปพักหนึ่ง คนอื่น ๆ ก็มีเวลาที่ทรัพย์สมบัติที่จะพินาศสิ้นไป จนกระทั่งกลายเป็นคนยากคนจน ไม่เป็นไปตามความต้องการของท่านก็ได้ แต่อย่าลืมว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ท่านทำมา เป็นความหวังดีต่อลูก ไม่ได้ประกอบไปด้วยความหวังร้ายเลย จะเรียกว่าเป็นโทษก็ไม่ได้ แต่ขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าเป็นสมัยก่อนนี่ เขาใช้คำว่า “ดูกันนาน ๆ” ก็โทษพ่อแม่ไม่ได้หรอก
              สมัยก่อนส่วนใหญ่ที่เขาเลือกไม่ผิด เพราะเขาดูกันนาน ๆ ท่านบอกว่า “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” คนถ้าจะชั่วดูไปนาน ๆ เผลอเมื่อไร? สันดานเดิมจะออก คนโบราณเขาเลยมักจะเลือกถูกมากกว่าผิด ปัจจุบันนี่ใจร้อนใจเร็ว บางทีพ่อแม่ยังไม่ทันรู้เรื่องเลย เลือกกันเองเรียบร้อยแล้ว ก็โทษไม่ได้เหมือนกัน
      ถาม :  ผมมีเพื่อนเป็นดาราเบอร์หนึ่งของช่องเจ็ดสี เวลาเจอเขา ๆ ก็รู้สึกเหมือนคนธรรมดา ไม่ได้คิดว่ากูเป็นเบอร์หนึ่ง เหมือนคนปกติทั่วไป พระอริยเจ้านั้น ท่านจะคิดไหมว่า “ตอนนี้ท่านเป็น ท่านนั้นท่านนี้ และต้องมีคนมาเคารพ กราบไหว้ท่าน ?”
      ตอบ :  โอ้โฮ...! ถ้าพระอริยเจ้านี่ ไม่ใช่คิดนะ ความรู้สึกอย่างนั้นไม่ได้มีอยู่ในหัวสมองเลย ท่านมีอยู่อย่างเดียวก็คือว่า พระพุทธเจ้าสอนว่า ทำแล้วจะเป็นพระอริยเจ้าระดับไหน ? แบบไหน ? ท่านจะตั้งหน้าตั้งตาทำไป ส่วนจะเป็นหรือไม่เป็น ท่านไม่ได้คิด ต่อให้พระพุทธเจ้าพยากรณ์แล้ว เนื่องจากปัญญาท่านมาก ท่านก็ไม่ได้ประมาท ไปติดอยู่ว่ากูได้แล้ว กูเป็นแล้ว หากแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำให้ละเอียดยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อนคุณเป็นคนดีมาก ไม่เป็นวัวลืมตีน
              แต่ว่าพระอริยเจ้าของท่านนั่นน่ะ ไม่ได้มีอยู่ในความคิดของท่านเลย ว่ากูเป็นอะไร ? แล้วก็หวังการเคารพกราบไหว้จากคนอื่น เขาจะไหว้หรือไม่ไหว้ กราบหรือไม่กราบ เป็นเรื่องของเขา ตัวของเราเองมีดีมีชั่วรู้ของเราอยู่ ตั้งหน้าตั้งตาทำแต่ส่วนที่ดี ละแต่ส่วนที่ชั่วไปตลอด ยิ่งเป็นพระอรหันต์แล้ว หลวงพ่อท่านบอกยิ่งขยันใหญ่
      ถาม :  เวลาคนเขาถามเด็กบางคนที่มาจากภาคอีสาน เด็กคนนั้นเขาไม่กล้าตอบว่า มาจากภาคอีสาน และอายที่จะบอกว่า ตนเองเป็นคนจังหวัดทางภาคอีสาน คนอีสานทำผิดอะไร จึงได้ถูกคนภาคอื่นมองว่าเป็นคนชั้นสอง ?
      ตอบ :  (หัวเราะ) เฮ้ย ๆ อาตมาเห็นว่า ตอนนี้ชาวอีสานเป็นพลเมืองชั้นหนึ่งว่ะ ไม่ว่าซอกไหนมุมไหนของประเทศ ไปอยู่ซะทั่วหมด อีสานไม่ได้มีทะเลยเลย ลงตังเกกันเป็นว่าเล่น มุมไหน ๆ ก็มี จริง ๆ แล้วก็คือว่า คนอีสานเขาพูดภาษาอีสาน ที่เขาว่ากันว่าเป็นภาษาลาว แล้วคนภาคกลางก็ไปล้อเลียนเขาเป็นที่สนุกสนาน เขาก็เลยอายที่จะบอกว่า ตัวเองเป็นคนอีสาน แหม...เกิดจากนิสัยไม่ดี
      ถาม :  ได้ดูรายการโทรทัศน์ มีคนมาขอรับบริจาคเงินช่วยเหลือเด็กที่มีแผลเต็มตัว เป็นรอยไหม้และภูมิแพ้ติดเชื้อง่าย เด็กคนนี้เกิดมาจากพ่อและแม่ที่เป็นพี่น้องกันเอง ดูแล้วน่าเวทนา อันนี้เป็นกรรมของเด็กหรือกรรมของใคร ?
      ตอบ :  ร่วมกันด้วย คนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะ ลูกน่ะรักทุกคนแหละ เพราะฉะนั้น...พ่อแม่เขาก็ต้องมีความทุกข์ใจที่ลูกเขาเกิดมาในลักษณะอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ว่าคนที่จะเกิดมาเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกัน ในอดีตต้องมีกรรมที่เนื่องกันมา มีมาทั้งหนุนทั้งเสริม มีทั้งมาหักมาล้างกัน อย่างที่โบราณเขาว่า “มาทวง” ลักษณะอย่างนั้นก็มี เพราะฉะนั้น...ถ้าเป็นกรรมมันเป็นกรรมด้วยกันทั้งพ่อแม่ลูก ถ้าไม่เคยทำไว้จะไม่มาเกิดร่วมกัน
      ถาม :  มีคนเขาบอกว่า “เด็กเกิดมาทุกคน ใช้กรรมแทนพ่อแม่ ?”
      ตอบ :  เป็นไปไม่ได้ กรรมเป็นเรื่องของใครของมัน ต่างคนต่างทำใครทำใครได้
      ถาม :  สมมุติว่า “เรากระทำความดีแก่บุคคลหนึ่ง และเขามองไม่เห็นความดี หรือเห็นความดีแต่เพียงเล็กน้อย และไม่ได้กล่าวสรรเสริญ การที่คนเราทำความดีแล้วเราไม่สรรเสริญประกาศคุณท่าน เมื่อได้ผ่านนรกสวรรค์เรียบร้อย เกิดมาเป็นคนจะได้รับผลอย่างไรหรือไม่ ?”
      ตอบ :  ไม่ได้เกี่ยวกันเลยว่ะ ทำความดีถึงจะเห็นหรือไม่เห็น ผีก็เห็น เทวดาก็เห็น โดยเฉพาะพระยายมท่านเห็นแน่ ๆ เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องไปกังวลหรอก เขาจะเห็นหรือไม่เห็น เขาจะประกาศความดีหรือไม่ประกาศ ถึงวาระถึงเวลา ถ้าหากว่าจิตเราเกาะความดี ท่านส่งเราไปดีแน่ ๆ
      ถาม :  เพลงลูกทุ่งเขาบอกกันว่า เราควรอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย เพลงลูกทุ่งเอาไว้ให้ลูกหลานวัฒนธรรม คือความเจริญงอกงามอันดีที่สืบเนื่องกันมา เขาให้เหตุผลว่า เพลงลูกทุ่งจริงใจ รู้สึกอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น เช่น เห็นผู้หญิงมีหน้าอกตึง อยากเป็นเมียหรือเมียน้อยของคนอื่น ขอนอนด้วยคืนหนึ่ง หน้าตาสวยดี หุ่นดีอยากเล้าโลม เขาใช้คำพูดสละสลวย แต่งเป็นเพลงออกมา การยุยงกามารมณ์ด้วยเพลง แล้วทำให้คนอื่นเกิดทิฏฐิ และแสดงสิ่งนั้นว่าเป็นสิ่งถูกต้อง โทษนั้นหนักเบาแค่ไหน ?
      ตอบ :  โทษนั้นหนักเบาแค่ไหน ไม่ต้องไปพูดถึงยุยงหรือไม่ยุยงหรอก เอาแค่ว่าถ้าคนไปหลงเพลิดเพลินอยู่กับเนื้อเพลงนั้น ถ้าหากว่าคนร้องไม่ได้มีความดีอะไรไว้เลย จะลงอเวจีมหานรก เหตุที่จะลงอเวจีมหานรก เพราะว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ละ แต่คนพวกนี้ทำให้คนไปยึดติด สังเกตไหมล่ะ แฟนตรึมเลยใช่ไหม ? ไปแสดงที่ไหนก็ตามไป ระวังไว้เถอะ...!
              พระตาลปุตตคามินีเถระ ท่านโดนมาแล้ว ท่านเป็นนักแสดงมีชื่อเสียงมาก พอไปถึงสาวัตถี ได้ข่าวพระพุทธเจ้าก็เข้าไปกราบว่า พระสมณโคดมรู้เรื่องทุกเรื่อง คราวนี้ของเขามีทิฏฐิ คือความเชื่อเห็นว่า บุคคลที่สร้างความรื่นเริงให้กับผู้อื่น ถ้าตายแล้วจะได้เป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์ คำว่าสหาย คือไปเกิดร่วมกัน ก็ไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า “มาณะเวดูก่อนมาณพ อย่าให้เราตอบเลย” ท่านก็พยายามถามจนถึงวาระที่สาม พระพุทธเจ้าจึงได้บอกว่า “บุคคลที่ทำอย่างนั้นน่ะ แทนที่จะไปอยู่ดาวดึงส์ เปล่าหรอก ลงอเวจีมหานรก” พระตาลปุตตามินีเถระร้องไห้เลย แล้วถามว่า “ทำอย่างไรถึงจะรอดได้ ?” ท่านบอกว่า “ให้บวชแล้วปฏิบัติ” ท่านก็เลยกลายเป็นพระอรหันต์ รอดไป เหตุที่โทษหนักขนาดนั้น เพราะว่าไปสอนให้คนยึด ยึดติด แทนที่จะละโลกได้ ก็กลายเป็นเกาะแน่นขึ้น ไปติดในมายาการของเขา รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไปไม่รอดหรอก