ถาม:  ทำไมเกิดไม่ทันหลวงพ่อครับ ?
      ตอบ :  เกิดทัน แต่ไม่มาเอง แหม! บอกเกิดไม่ทันหลวงพ่อ
      ถาม :  จริง ๆ น่าจะมีความตั้งใจก่อนเกิดนะครับ ทำไมมันเป๋ล่ะครับ ?
      ตอบ :  ไม่ได้เป๋หรอก เพียงแต่วาระของแต่ละคนไม่ใช่จะเกิดส่งเดชได้ อย่างพวกเรานี่ต้องบอกว่าชิงหมาเกิด เพราะว่าจริง ๆ มีคิวของมันอยู่ คราวนี้ของเราส่วนใหญ่มาจากข้างบนที่เลือกลงมาเกิด เพราะรู้วาถ้าหากว่าปล่อยให้วาระและเวลาถึงอายุขัยของมันนี่โอกาสจะแก้ตัวของเราไม่มี เพราะแต่ละคนทำกรรมไว้เยอะ ก็ต้องขออนุญาตลงมาเกิดก่อนเพื่อสร้างความดีหนีกรรมชั่วต่อไป การที่เราจะลงมาเกิดลักษณะนี้มันไม่ใช่วาระและเวลาของตัวเอง ก็ต้องขอให้เทวดาผู้ใหญ่ท่านช่วยรับรองให้ ถ้าหากว่าท่านรับรองก็แปลว่า ท่านต้องคอยควบคุมเราอยู่ตลอดเวลา อย่างน้อยที่จะกลับไปก็ต้องเท่าเดิมหรือดีกว่าเดิม
              เพราะฉะนั้นพวกเรานี่บางทีอยากทำชั่วใจจะขาด มันเหมือนมีอะไรบังคับให้ทำไม่ได้นั่นแหละ เพราะว่าท่านต้องควบคุมเราอยู่ ของเราลงมาโดยวิธีพิเศษก็เลยแย่งการเกิดคนอื่นเขา แล้วอีกอย่างก็คือว่าลงมาทั้งทีแล้ว ทำมาจนป่านนี้แล้ว เรื่องง่าย ๆ ไม่สนุกหรอก มันต้องยากหน่อย วาระของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราจะมาเสียบแทนเขาส่งเดชก็ไม่ได้ ก็ต้องดูจุดที่เหมาะสมกับตัวเอง พอถึงวาระถึงเวลาเราได้เกิดอยู่ตรงนั้น เมื่ออายุเท่านั้นจะได้พบธรรมะ แล้วก็ได้ปฏิบัติเพื่อความก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป ของตัวเองเห็นแล้วว่ามันคุ้มค่าเสี่ยงก็เลยลงมา ตอนลงมาบอกว่าลำบากแค่ไหนก็จะทน ลำบากหน่อยเดียวบ่นฉิบหายเลย น่าตายไหม ตอนอยู่ข้างบนสบายนี่ ลำบากแค่ไหนก็จะทน ตอนนั้นจะไปรู้สึกอะไรล่ะ ลงมาร้องจ๊ากเข้า จริง ๆ เพิ่งจะรู้กูไม่น่ามาเลย
      ถาม :  ขอให้ช่วยอธิบายคำว่า วาระกรรม ช่วยแนะนำว่าจะแก้อย่างไรคะ ?
      ตอบ :  ไม่มีวิธีไหนที่ดีกว่าความมั่นคงในทาน ศีล ภาวนา กรรมหนักขนาดไหนก็ตาม ถ้าเรามั่นคงในทาน ศีล ภาวนา มันจะสนองเราได้ไม่เกิน ๒๕ เปอร์เซ็นต์
      ถาม :  ก็คุ้มอยู่นะคะ แล้วถ้าการงานสะดุดล่ะคะ ?
      ตอบ :  การงานสะดุดก็บนพระสิจ้ะ พระวิสุทธิเทพท่านนั่งรอให้บนอยู่ ท่านบอกว่าสำหรับท่านเรื่องงานโดยเฉพาะ แต่ว่าเมื่อบนแล้วถ้าสำเร็จให้แก้บนด้วยการรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ พร้อมเจริญกรรมฐาน ๗ วัน อย่างอื่นไม่เอาเลย ลำบากไหม บนที่ไหนก็ได้ พระพุทธเจ้าอยู่บนนิพพาน จุดธูปที่บ้านท่านก็รู้
      ถาม :  แล้วกรรมวาระที่ ....ทุกวัน จะสิ้นสุดหรือยัง ?
      ตอบ :  สิ้นสุดหรือยัง ? อยู่ที่เราว่าตัดสินใจเด็ดขาดไหม ถ้าตัดสินใจเด็ดขาดเมื่อไรก็หมดเมื่อนั้น บางทีคนเราลอยคออยู่ในทะเลทุกข์ แล้วมันไม่รู้ตัวก็ดิ้นรนของมันไปเรื่อย ๆ ถ้าตัดสินใจหันขึ้นฝั่งก็จบแล้ว
      ถาม :  พระโพธิสัตว์ที่พยากรณ์ได้ ลาพุทธภูมิได้ มีกี่องค์ครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าท่านที่ลาก็จะอยู่ลักษณะที่ว่า ระยะคือยาวนานเกินไป จริง ๆ ก็คือว่า “ถ้า” ท่านไม่ลา อย่าลืมคำพยากรณ์นั่นก็คือ ถ้าท่านไม่มาลาวาระนั้นเวลานั้น ท่านจะเป็นชื่อนั้นชื่อนี้ ก็ขึ้นอยู่กับคำว่า “ถ้า” ถ้าหากว่าลาเสียอย่างก็หมด เท่าที่เจอมาก็หลายองค์แล้วเจ้าแม่กวนอิมก็ไปแล้ว พระเจ้าตากสินก็ไปแล้ว หลวงพ่อเราก็ไปแล้ว กระทั่งท่านปู่พระอินทร์ว่าจะลงมาตอนสมัยพระศรีอริยเมตไตรยก็ไม่ลงแล้ว ขืนช้าอยู่ไม่มีใครมารับแล้วนะ เขาไปกันหมดแล้ว
      ถาม :  หลวงพี่อย่าเพิ่งไปนะครับ
      ตอบ :  อ๋อ! จวนแล้ว ๆ เสียดายหวัดมรณะมันมรณะไปก่อน เป็นแค่ ๓ อาทิตย์กว่า ๆ ดันหายเสียได้ ใน ๑๐ องค์นั้น พญามาราธิราชลาแน่ ๆ แต่ว่า ๑๐ องค์นี่จะเหลือแค่ ๖ องค์ นั่นแสดงว่าอีก ๓ องค์ ก็ลา ๑๐ องค์ ก็เหลือแค่ ๖ องค์ เป็น ๒ ภัทรกัปติดกัน จะมีได้ ๑๐ องค์ คราวนี้มีได้ ๑๐ องค์ ผ่านมา ๔ องค์ ในอนาคตวงศ์บอกไว้ ๑๐ องค์ ลาไป ๑ องค์ เหลือ ๙ องค์ ต้องการแค่ ๖ องค์ รวม ๆ แล้วอีก ๓ องค์ ต้องลาแน่ ๆ ใครบ้างเท่านั้นเอง เคยได้ยินไหมอนาคตวงศ์?
      ถาม :  ไม่มีครบหรือครับ ถ้าองค์นี้ลาพระโพธิสัตว์ องค์อื่นท่านไม่มาตรัสรู้แทน?
      ตอบ :  ท่านแค่เลื่อนขึ้นมา เพียงแต่ว่าเลื่อนมาก็เป็นกัปของท่าน ไม่ใช่กัปนี้
      ถาม :  ไม่ได้มีองค์อื่นมาแทนองค์ที่ว่าง?
      ตอบ :  ท่านร่นเข้ามาเท่านั้น แต่กัปนี้มันเป็นสิทธิ์ของท่าน ๑๐ องค์ ว่าใครจะอยู่ ใครจะไป
      ถาม :  ถ้าหลุดองค์สุดท้ายนี่ก็รอกันไปอีกนานสิครับ กว่าจะเจออีก?
      ตอบ :  นานหรือไม่นาน พอพระพุทธเจ้ามีนามว่า "ทีปังกร" พยากรณ์ "สุเมธดาบส" แล้วเวลาผ่านไป ๑ อสงไขยกัป ก็มีพระพุทธเจ้านามว่า "โกณฑัญญะ" ๑ องค์ ตอนสมัยที่พระนามว่าทีปังกรนั้น เกิด ๔ องค์ แต่ว่าบังเอิญท่านเป็นองค์สุดท้ายพอดี ผ่านไป ๑ อสงไขยกัป โผล่มา ๑ องค์ พระพุทธเจ้ามีนามว่า "โกณฑัญญะ" เสร็จแล้วก็ผ่านไป ๑ อสงไขยกัป องค์เดียวนะหายจ้อยไปอีก ๑ อสงไขย แล้วโผล่มา ๑ องค์ คุ้มไหมล่ะ พระพุทธเจ้ามีนามว่า "มังคละ" กับ "สุมนะ" ขึ้นมา แล้วก็ ผ่านไปอีก ๑ อสงไขยกัป
      ถาม :  กรณีเป็นพี่น้องกัน ก็อธิษฐานมาว่าเป็นพี่เป็นน้องหรือครับ?
      ตอบ :  เปล่าหรอก บางคนอาจเคยเกิดเป็นพ่อเป็นแม่ก็มี
      ถาม :  หนูนอนไม่หลับ นอนกระสับกระส่ายมาก วันแรกที่เป็นเหมือนใจมันร้อนไปหมดเลย
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วมันหลับ เราก็อยากจะหลับ ถ้าไม่อยากหลับปล่อยมัน เฉย ๆ ความรู้สึกจริง ๆ ถ้าหากว่ามันแหลมคมแล้วมันจะไม่หลับ สติสมาธิจะสมบูรณ์พร้อมอยู่ อะไรจะเกิดขึ้นจะรู้ทั้งหมด เพียงแต่ว่าสนใจมันไหม? ถ้าสนใจก็จะคลายความรู้สึกออกมาอย่างระมัดระวังเพื่อรับรู้ แล้วก็รีบกลับเข้าไปสู่ที่ปลอดภัยของตัวเอง ตัวนอนอยู่มันได้พักอยู่แล้ว บางทีเพลิน ๆ นี่ได้ยินกระทั่งเสียงตัวเองกรน แต่ว่าไม่ได้หลับหรอกสติมันรู้อยู่ตลอด
      ถาม :  แล้วอย่างนี้หัวสมองจะได้พักหรือเปล่าคะ?
      ตอบ :  พักหมดล่ะจ้ะ เพียงแต่ว่าตัวสติที่ว่า "พุทโธ" ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือลักษณะนี้ แต่ว่าพอเรารู้ทันมัน ๆ มักจะสติขาดแล้วก็หลับมันตั้งใจจะแกล้งเรา ถ้าไม่อยากจะหลับก็ไม่ต้องไปบังคับให้มันหลับหรอก ทำไม่รู้ไม่ชี้ คิดว่าเอ็งไม่หลับน่ะดีข้าจะภาวนาให้เยอะ ๆ เดี๋ยวมันหลับของมันเอง
      ถาม :  มันเล่นงานหนู ๓ วันเลย เหมือนคนจะบ้าเลยค่ะ?
      ตอบ :  ที่มันบ้าเพราะเราอยากจะหลับ ถ้าเฉย ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ เป็นปกติของมัน นักปฏิบัติจะทำให้ถึงตรงจุดนี้นี่มันยากมากเลยนะ เพราะว่าถ้าหากเราทำไม่ถึงตรงจุดนี้ กิเลสมันกินตอนตื่นไม่ได้ มันจะกินเราตอนหลับ ต้องให้ถึงจุดนี้ขึ้นไปถึงจะพออาศัยได้
      ถาม :  คืนที่ ๒ พยายามตั้งสติ แบบว่าเอาหนังสือมาอ่าน พอสักพักหนึ่งนอน ๆ ไป ก็นิ่ง ๆ ธรรมดาแบบไม่รู้ไม่ชี้ จากนั้นสัก พักหนึ่ง มี ภาพหลวงปู่ปาน ท่านยืนแบบสูงมาก แล้วคอเหมือนกับอยู่ตรงลิ้น หนูกลัวและตื่นเต้นใจครั้งแรกหนูจะดีใจก็ดีใจ แต่ก็ตกใจไปด้วย สักพักภาพก็หายไป..............
      ตอบ :  เรื่องภาพที่ปรากฏให้เห็นนี้ ถ้าหากว่าเราไม่ยินดียินร้าย ไม่ใส่ ใจกับมันมาก แล้วจะชัดเจนและอยู่ได้นาน แต่ถ้าเราไปมีอารมณ์ร่วมด้วย ไม่ว่าจะชอบ จะชัง จะกลัว อะไรก็ตามเถอะ ภาพนั้นจะไม่เป็นไปอย่างที่เราต้องการ บางทีก็หายไปเฉย ๆ อย่างน้อย ๆ หลวงปู่ก็ยังมองเห็นเรา
      ถาม :  ค่ะ ดีใจ แต่แปลกใจว่าทำไมตัวเราไปนอนอยู่อย่างนั้น นอนอยู่แล้ว ทำไมเห็นภาพนิมิต
      ตอบ :  คิดเสียว่ามันเป็นอย่างนั้นของมันเอง ไม่ต้องไปสงสัยแล้วจ้ะ
      ถาม :  แล้ววันที่ ๒ วันที่ ๓ เป็นอะไรก็ไม่รู้ น้ำตาไหลพราก เจออะไร ก็ไม่รู้แตก พอวันที่ ๒ น้ำตาก็ไหลไม่หยุด ตาพล่าไปหมด แล้วก็สั่น
      ตอบ :  ลักษณะนั้นเขาเรียก ขุททกาปิติ น้ำตาจะไหลปล่อยให้มันเต็มที่ แล้วมันจะเลิก ถ้าไม่ปล่อยมัน ๆ ก็เป็นอีก บางคนสั่นยังพอว่า บางคนตัวลอยเลย คือเวลาสภาพจิตมันเปิดมันรับได้เต็มที่ รับได้เต็มที่ก็จะสั่นบ้างลอยบ้าง ให้ยุ่งไปหมด
      ถาม :  ตัวกาลกิณี มีจริงไหมคะ?
      ตอบ :  มีจริง ๆ ตัวกาลกิณี คนไหนก็หน้าตาเหมือนคนนั้น อันนี้ไม่ได้ พูดเล่น มันก็คือกรรมเก่า ความชั่วที่เราทำมามันส่งผลให้ เคยฟังที่หลวงพ่อท่านพูดถึงบุพกรรมของคน ๕ คนไหม มีอยู่คนหนึ่งเป็นภรรยานายเรือ พอเรือแล่นไปกลางมหาสมุทร แล้วอยู่ ๆ ไม่ไปเอาเฉย ๆ ทั้งที่ลมก็ดี อะไรก็ดี นายเรือเขาก็บอกว่าคงจะมีคนที่เป็นกาลกิณีเกิดขึ้นในพวกเรา เสร็จแล้วก็ให้ทำฉลากจับ ดันไปจ๊ะกับภรรยาแสนสวยของนายเรือเข้าพอดี นายเรือแกก็ข้องใจให้จับใหม่ก็โดนอีก จับใหม่ก็โดนอีก ตกลง ๓ ครั้ง ก็เลยจำเป็นจะต้องเอาเธอทิ้งทะเลไป พอทิ้งไปเรือก็วิ่งต่อได้ กาลกิณี แปลว่า วาระเวลาที่ไม่ดี ก็คือจังหวะที่กรรมเข้ามาแทรก ดังนั้นตัวกาลกิณีมีไหม? มี กาลกิณีของใครก็หน้าตาเหมือนคนนั้น เพราะว่าทำมาเอง
      ถาม :  ถ้าหมอดูทักว่า คนนี้เป็นกาลกิณีกับเรา เป็นอย่างนั้นได้ไหมคะ?
      ตอบ :  โอกาสที่จะเป็นไปได้ก็มี ถ้าหากว่าในอดีตเขาเคยเป็นศัตรูกันมา ชาตินี้ถึงเขาไม่รู้ก็คงจะตามจองล้างจองผลาญตามแรงกรรม ก็เป็นไปได้เหมือนกันว่า เพื่อนอาจจะเป็นกาลกิณี แต่หมอดูระยำขาดมารยาทไปหน่อย ปกติถ้าหมอดูที่มีจรรยาบรรณ เรื่องที่ทำให้คนแตกร้าวกันเขาจะไม่ยุ่ง
      ถาม : ........................
      ตอบ :  เคยมีโยมเขาได้นิมิตบอกว่าถ้าหากเกิดโรคระบาดให้ใส่บาตร ถวายอุทิศส่วนกุศลให้กับท้าวมหาชมพู ขอให้ท่านช่วยป้องกันให้ ก็จะพ้นจากโรคระบาดได้ ให้ทำขนมไข่จิ้งหรีดใส่บาตร ใครเคยกินบ้าง ไหม? ขนมไข่จิ้งหรีด จะมีกล้วยต้มฝานเป็นแผ่นบาง ๆ แล้วก็ขูดมะพร้าวลงไปหน่อยหนึ่ง ใส่เกลือนิด น้ำตาลหน่อยหนึ่ง โบราณเขาเรียก ขนมจิ้งหรีด เอาไปใส่บาตรพระแล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้ท้าวมหาชมพู อันนี้ เป็นนิมิตของโยมเขานะ เขาไปถามหลวงพ่อว่าควรจะทำไหม? หลวงพ่อบอกทำไม่ยากก็ทำไป
              คราวนี้ท้าวมหาชมพูเดือดร้อนล่ะสิ ส่วนใครที่มี สมเด็จพระคำข้าว สมเด็จพระหางหมาก ให้ตั้งใจอารธนาทุกวัน เพราะอันนี้เขาป้องกันโรคได้อยู่แล้ว อานุภาพเขาบอกไว้ว่า ปลอดโรค ให้ลาภ ศัตรูพินาศ ดังนั้นเราเอาตรงปลอดโรค แต่ว่า ต้องขยันสวดมนต์ อาราธนาทุกวันจะป้องกันโรคอะไรก็บอกไป ที่อาตมาเป็นเพราะว่าตอนนั้นจะเดินทางไปพม่าเลยปลดอาวุธ ปกติพก พระหลายองค์ คราวนั้นมั่นใจตัวเอง ปลดพระเก็บ ส่วนใหญ่โยมเขา เมตตาเขาเลี่ยมทองให้ กลัวทหารยึด ก็เลยปลดออก ขนมไข่จิ้งหรีด ง่ายไหม? ถ้าง่ายทำมันทุกอย่างก็ได้ แต่ถ้าหากว่าไปใส่พร้อม ๆ กัน พระท่านคงเอียนน่าดูเลย ขนมโบราณ ๆ สมัยนี้ไม่ค่อยมีกินหรอก
              ในสมัยหลวงปู่ปาน ถ้าหากว่ามีโรคระบาดเกิดขึ้น โดยเฉพาะ โรคอหิวาตกโรค ท่านจะให้ชาวบ้านใส่บาตรด้วยข้าวต้มลูกโยน เคยเห็น ข้าวต้มลูกโยนไหม? ก็เหมือนกับข้าวต้มมัดนั่นแหละ เพียงแต่ว่าทำ กลม ๆ เหมือนกับกำปั้น แล้วก็มีหางเตี่ยวอยู่หน่อยหนึ่ง สมัยก่อนเขาเรียก "ตักบาตรดาวดึงส์" สมัยนี้ก็คือ "ตักบาตรเทโว" สมัยนี้เวลาที่ ว่าเขามีการแห่พระพุทธรูปผ่านมา แล้วก็มีบาตร มีกาละมังไว้สำหรับใส่ บาตร คนที่เบียดเข้าไม่ถึงก็ใช้วิธีขว้างไป เขาก็เลยเรียกว่า ข้าวต้มลูกโยน ให้ใส่บาตรด้วยข้าวต้มลูกโยน เสร็จแล้วเอาดินเหนียวมาปั้นเป็น ตุ๊กตารูปคน เอาผ้าแดงพันให้เป็นผ้านุ่งหน่อยหนึ่ง เขียนชื่อของแต่ละคน ที่อยู่ในบ้านใส่กระทงไปวางทิ้งที่ทาง ๓ แพ่ง บอกเจ้ากรรมนายเวรว่า ให้เอาตัวแทนของข้าพเจ้าไป แล้วก็ไม่ต้องมายุ่งกับครอบครัวของข้าพเจ้าอีก
      ถาม :  ถ้าหากว่าหาดินเหนียวไม่ได้ ใช้ดินน้ำมันแทนได้ไหมคะ?
      ตอบ :  สมัยนี้ดินน้ำมันก็ได้ ไม่ต้องทำหรอกจ้ะ ปล่อยมันตายไปเถอะ อยู่มานานแล้วอันนี้จะอยู่ในลักษณะที่ว่าเป็นการแก้โดยตรง ไม่น่าเชื่อว่า ผีจะหลอกได้ง่ายขนาดนี้ อยู่ในลักษณะแทนกันไป เอาตุ๊กตาไปตัว หนึ่งเอาไปแทนเรา เขาก็รู้สึกว่าพอใจที่ได้แล้ว เรื่องของโรคระบาดต้อง บอกว่าเป็นฝีมือของผี แต่เป็นผีชั้นดีก็คือเทวดา ตอนที่เริ่มเป็นไปได้ หลายวัน กำลังนอนพักอยู่ก็เห็นเขากำลังไปแพร่เชื้อ เขาทำอย่างกับพระพรมน้ำมนต์ แต่มันไม่ใช่พรมน้ำมนต์ มันเป็นลักษณะเหมือนอย่างกับ พัฟสำหรับตบแป้ง เวลาเขาตัดผมเขาเอาไปสะบัดเป็นผง ๆ เราก็ เฮ้ย! เทวดาแพร่เชื้อหรือ? ไม่ใช่หรอกเขาทำให้ดูว่าขอบเขตการระบาดอยู่ขนาดไหน
              สมัยหลวงพ่อเด็ก ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ท่านไปกินพล่าหอยโข่ง แล้วถ่ายท้องจนจะตายแหล่มิตายแหล่ นั่นแหละท่านบอกว่ากำลังนอน ๆ อยู่ เห็นเรือลำใหญ่มาก ท่านบอกว่าอหิวาห์มันกินไปทั่วหมู่บ้าน คนตายไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งหมู่บ้านเงียบอย่างกับป่าช้า ลมมันเย็นผิดปกติ มีแต่เสียงหมาหอนตลอดเวลา ท่านเองก็อาการหนัก ลุงที่เป็นหมอรักษาบอก ว่าไม่ไหวแล้ว ก็เอามานอนอยู่นอกชาน ผ้านุ่งก็นุ่งแน่นไม่ได้ ต้องวางไว้เฉย ๆ ขมวดปมแล้วปวดท้องมาก มันร้อนในท้อง นอน ๆ อยู่เห็นเรือลำใหญ่แล่นพรวดเข้ามา มาจากไหนก็ไม่รู้ แล่นบนบก เรือลำใหญ่มาถึงก็มี คนกระโดดมา ๓-๔ คน มีคนหนึ่งถือบัญชีและมองหาแล้วก็ชี้ให้คน ๓- ๔ คน เก็บคนโน้นเก็บคนนี้อะไรทำนองนั้น พอมาเจอหลวงพ่อเข้า ตัว หัวหน้าบัญชีพูดว่า ตายห่า! มึงวางยาผิดแล้ว ลูกน้องถามว่าทำไม? ใคร เสือกวางยาลูกพระอินทร์วะ เดี๋ยวเจ้านายเอาตายเลย แล้วจะทำอย่าง ไรล่ะ! ไม่รู้ เผ่นก่อนเถอะ ปรากฏว่าทั้งหมดกระโดดขึ้นเรือได้ก็ถอย เรือพรืดหายไปเลย หลวงพ่อท่านบอกว่าพอเรือถอยพ้นก็มีแรงลุกขึ้นมาได้
              คราวนี้พอลุกขึ้นมาได้ก็หิวไส้จะขาด เพราะถ่ายหมดท้องมานาน แล้ว ท่านก็เดินเข้าไปในครัว พอดีเห็นเขาผัดเผ็ดแกงป่าครอบไว้ใน กระทะ กระทะยังคาเตาอยู่เขาครอบไว้ หลวงพ่อพอเปิดดูเห็น ก็หัน ไปแล้วก็เห็นมีข้าวอยู่ ก็เลยจัดแจงจ้วงไปเสียเต็มที่พอราดแกงเผ็ดได้ ก็กินอุตลุด ปรากฏว่าท่านแม่โผล่มา อ้าว! หายไปไหน? อยู่ในครัวครับ หายแล้วหรือ? หายแล้วครับ แม่ต้มข้าวไว้นะกินข้าวต้มหน่อย ครับ กำลังกินอยู่ ใช่ข้าวต้มเสียเมื่อไหร่ล่ะ! ล่อแกงเผ็ดเต็มที่เลย กินเสร็จก็ออกมานอน พอตื่นขึ้นมาท่านบอกว่ามันหายป่วยหายไข้ มีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาเอง เป็นปกติทุกอย่าง
              สรุปแล้วว่าถ้าหากว่าคนที่มีกฎของกรรมถึงวาระถึงเวลาแล้ว เทวดาท่านรู้ ท่านจะมาเก็บไปเอง คราวนี้เก็บของท่านนั้นเก็บ ดุเดือดไปหน่อย ไม่รู้จะทำอย่างไร วางยามันเสียเลย
      ถาม :  คนตายอย่างไม่มีสาเหตุ เป็นผลกรรมของข้อไหนคะ?
      ตอบ :  ใครว่าไม่มีสาเหตุ สาเหตุมี เพียงแต่ว่าเรารู้สาเหตุนั้นไหม บางคนตายเพราะหมดอายุ บางคนตายเพราะอุปฆาตกรรม คือกรรมใหญ่ที่เคย ฆ่าคนฆ่าสัตว์ใหญ่ไว้เข้ามาสนอง ของอาตมาก็มีอยู่เที่ยวหนึ่ง กินแกงเผ็ดนี่แหละ สไตล์เดียวกันสงสัยจะลูกพ่อ ตอนนั้นมันคอหักไม่น่ารอด คอหักคือว่าตามหลวงพ่อไปวัดศรีรัตนาราม ที่หนองม่วง ของหลวงพ่อรักษ์ หลวงพ่อรักษ์ท่านเป็นคู่หูของหลวงพ่อ ทิพจักขุญาณท่านชั้นยอด เลยวัดโพธิ์นางดำเขานิมนต์หลวงพ่อไปสวด หลวงพ่อบอกปูอาสนะ ไว้ให้ด้วย ถ้าหากว่าว่างก็จะไปเอง ถ้าไม่ว่างก็จะไปเหมือนกัน ปรากฏว่าคุณบุญถึงเขาไปงาน ได้ยินว่าหลวงพ่อจะไป และได้ยินพระสวดออกไมโครโฟน เสียงหลวงพ่อนำชัดแจ๋วเลย แต่ปรากฏว่าพอโผล่ขึ้นไปบน ศาลาเห็นแต่อาสนะหลวงพ่ออยู่กับ พระอื่น ๆ เขากำลังสวดกันอยู่ หลวงพ่อรักษ์ท่านนั่งอยู่ เป็นอย่างไรคุณบุญถึง อาจารย์คุณนั่งเคี้ยวหมากอยู่นั่น คนอื่นเห็นเสียเมื่อไหร่ล่ะ เห็นแต่ที่นั่งว่าง ๆ แต่คุณบุญถึง เขาเชื่อเพราะเขาได้ยิน
              คราวนี้หลวงพ่อรักษ์ท่านนิมนต์หลวงพ่อไป เพื่อเปิดโบสถ์วัดศรีรัตนาราม หลวงพ่อท่านก็ให้พระติดตามไปด้วย ของเราโดนระบุให้เป็นหนึ่งในจำนวนพระติดตามก็ไปกับท่าน พอฉันเพลเสร็จงานที่เหลือเป็นงานของหลวงพ่อ พระอื่นไปยืนก็เกะกะเปล่า เขาก็นิมนต์ลงไปใต้โบสถ์ให้ไปพักผ่อน เขาจะมีที่มีทางมีกาแฟให้ ก็นั่ง กันอยู่ในนั้นจะได้ไม่ไปเกะกะเขา เพราะญาติโยมเยอะเหลือเกินโดย เฉพาะผู้หญิง ถ้าเขาไม่ระวังเดี๋ยวชนพระเข้า เวลาหลวงพ่อไปไหนเวลาจะแน่นอน ถ้าท่านบอกว่ากลับก็คือกลับ นั่งเพลิน ๆ อยู่ก็มีเสียงบอก เฮ้ย! ขึ้นรถโว้ยพ่อจะกลับแล้ว ทำอย่างไรล่ะ! ก็วิ่งนะสิ ช้าไม่ได้โดนทิ้ง พระที่อยู่กับหลวงพ่อนี่จะรู้เลย มีเอาย่ามไปจองที่บนรถไว้ก่อน นั่นแหละหลวง พ่อท่านบอก ไม่เกิน ๗ โมงนะ แล้วก็ครับ ๆ กัน แล้วก็นั่งฉันกันอยู่ ตอนนั้นเราไม่ได้ไป หลวงพี่ฐิติไป หลวงพี่ฐิติท่านตัวโตสักสองโอบได้มั้ง ชอบทำข้าวขาหมูถวายพระ
      ถาม : ..........................
      ตอบ :  สูงกว่าหัวแค่นี้ ไม่ถึงคืบดี เพราะว่าถ้าหากว่ายกสูงมาก ๆ จะรับ น้ำหนักตัวโบสถ์ไม่ได้ เขาเอาใต้ฐานโบสถ์ไว้เป็นที่ใช้งานด้วย แต่ปรากฏว่าตรงประตูลดลงมาศอกหนึ่ง จากที่สูงแค่นี้แล้วลดลงมาศอกหนึ่ง เราก็วิ่งไปด้วยความสูงเท่าเดิม หงายหลังเลย แตกยาวเป็นนิ้ว แผลหายหรือ ยังไม่รู้? พอขึ้นไปถึงรถก็เอาผ้าเช็ดหน้าแปะไว้ปรากฏว่าตอนนั้นเป็นวัน ที่ ๙ เมษายน พองานสงกรานต์คนไปทำบุญกันเยอะเราก็พอดีตรงกับเวร ครัว ที่วัดเขาจะมีการจัดเวรครัว จัดเวรอยู่ยาม จะมีผลัดเปลี่ยนหมุน เวียนกันไปเรื่อย พอดีเวรของเรา ก็กำลังเตรียมอาหารอยู่กับเณรตวง พอถึงเวลาจัดอาหารใส่ปิ่นโต ยกสำรับเข้าไปในวง แล้วให้เณรเขา ประเคนเสร็จ ก็จะยกชามเอาไปล้างเป็นเข่ง ๆ เลย ชามสำหรับใส่กับข้าว วันพระ เพราะว่าโยมเขาจะหิ้วปิ่นโตมา แล้วก็มาถ่ายใส่ชามวัด แล้วก็หิ้ว ปิ่นโตกลับ กำลังหิ้วเดิน ๆ จะไปทางโรงครัวเก่า
              ปรากฏว่าเดิน ๆ อยู่ ๆ เหมือนกับแผ่นดินไหว เอียงวูบวาบไปหมด จะทรงตัวไม่ได้ก็เลยหยุด บอกกับเณรตวง "เฮ้ย..! หลวงพี่เป็นอะไรไม่รู้ว่ะ?" เณรตวงถามว่า "เป็น อย่างไรครับ?" "รู้สึกอย่างกับแผ่นดินไหว เอ็งเป็นหรือเปล่า?" "ไม่เป็น ครับ" เลยบอกเขาว่า "เอาอย่างนี้นะ จะช่วยหิ้วต่อให้ถึงโรงครัว แต่ถ้าหลวงพี่ล้ม เณรตวงดึงเข่งนี้ไว้ อย่าให้เข่งนี้ล้มนะ ถ้าล้มแล้วเดี๋ยวชามจะแตก" คือตัวเราจะเป็นอย่างไรช่างมันเถอะ ให้ชามมันดีก็แล้วกัน ก็ปรากฏว่าหามไปจนถึงโรงครัวได้ ก็ฝืนใจเดินกลับกุฏิ พอขึ้นกุฏินี่ อาเจียนจนหมดเลย มีเท่าไหร่อาเจียนหมดเป็นครึ่ง ๆ ถัง ก็หาสาเหตุ ไม่เจอ เอ๊ะ..! เราจะเป็นไทฟอยด์หรือเปล่า? อาเจียนขนาดนี้พี่น้องเพื่อนพระเขาก็ช่วยกันหามขึ้นรถคุณแต๋นพาไปโรงพยาบาลแม่และเด็ก ไปถึงสติก็ยังดีอยู่ ก็บอกว่า "หมอไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร อาการเป็นอย่างนี้" หมอช่วยดูว่ามีเชื้อไทฟอยด์หรือเปล่า? หมอก็รับปาก "ครับ ๆ" ก็ พยายามให้น้ำเกลือ ปรากฏว่าอาเจียนจนหมดตัว? เส้นมันลีบหมด แทงน้ำเกลือไม่เข้า เสียบเข็มคาอยู่อย่างนั้นตั้งหลายชั่วโมง เข้าไปไม่ถึง ๕๐ ซี.ซี. นอนสบายใจว่า "เออ..! คงจะถึงคิวเราแล้ว"
              ปรากฏว่าอยู่โรง พยาบาล ๕ วัน ฉันอะไรไม่ได้ น้ำลงท้องไปก็อาเจียนหมดเดี๋ยวนั้น ได้แต่รอวันตาย หมอเขาบอกว่า "ไม่มีเชื้อไทฟอยด์ ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร? ตรวจหาสาเหตุก็ไม่เจอ" บอกหมอว่า "ไปชนหัวแตกมาเมื่อประมาณ วันที่ ๙" หมอก็เอ็กซ์เรย์ให้ เขาบอกว่า "ไม่มีอะไรกระทบกระเทือนครับ สมองก็ปกติดี" เลยบอกหมอว่า "ถอดเข็มน้ำเกลือเถอะ" หมอบอกว่า "ผมจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรครับคนป่วย" ก็บอกว่า "ถอดเถอะหมอ ถ้าหมอไม่ถอด อาตมาก็ถอดเอง จะกลับไปตายที่กุฏิ ตายโรงพยาบาลมัน ทุเรศ..!" หมอเขาเจอพระดื้อ เขาก็ถอดเข็มน้ำเกลือให้กลับไป
              คราวนี้อดข้าวมา ๕ วัน กลับถึงกุฏิก็เฉย ๆ นะ แต่แหม..คืนนั้นหิวไส้ขาดเลย อยู่ ๆ เกิดหิวข้าวขึ้นมาเฉย ๆ หิวอย่างกับมีใครบิดไส้อยู่ อยากจะกิน อะไรเผ็ด ๆ ใจจะขาด โอ้โฮ..! กว่าจะรอให้ฟ้าสว่างได้ ทรมานอย่างกับ อยู่ในโลกันต์ พอฟ้าสว่างก็ถือไม้เท้า ตอนนั้นอาการแปลกมาก คือว่า บังคับตัวเองไม่ได้ ถ้าหากว่ายืนอยู่เฉย ๆ จะหมุนไปเรื่อย จนกว่าจะไปชน หรือจับอะไรติดถึงจะหยุด แล้วถ้าหากว่านอนอยู่จะพลิกตัว เราแค่ตั้งใจพลิกตัว ขยับตัวนิดเดียวจะพลิกปุ๊บไปทั้งตัวเลย จะไม่มีตะแคง จะมีแต่ คว่ำกับหงาย มีอยู่แค่นั้น ก็พยายามประคับประคองตัวเองไปจนกระทั่ง ถึงร้านป้ากิมกี สั่งผัดกะเพราไข่ดาว เอาเผ็ดมาก ๆ พอเขายกมาส่งก็ลอง ชิมดู เออ..! ไม่อาเจียน ก็ฟาดเสียจนหมดเกลี้ยงเลย คราวนี้ของพระ ถ้าจะไปฉันที่ร้านอาหาร หลวงพ่อท่านบอกว่า "อย่าไปฉันที่นั่น" เขาก็เลย แบกมาให้ที่ห้องยามใต้หอระฆัง
              คราวนี้เราก็นั่งอยู่กับเตียง พอฉันเสร็จ ประเภทง่วงตาปิดขึ้นมากระทันหัน ลืมตาไม่ขึ้นเลย รู้สึกเหมือนอย่างกับ จะน็อคไปเดี๋ยวนั้น เลยเอนตัวลงนอน พอนอนปุ๊บ รู้สึกว่าเตียงยุบฮวบลงไป ลืมตาขึ้นมาอยู่ตรงหน้าพระยายมพอดีเลย ก็ว่า เออ..! นี่เรา ตายแล้วนี่หว่า ตกนรกด้วย ใจคอก็ไม่ดี ปรากฏว่าท่านปู่นายบัญชี โอ้โฮ..! บัญชีท่านเล่มหนาเป็นศอกเลย แล้วทองล้วน ๆ เลย ท่านเปิดปั๊บ บอกว่า "เออ..ไม่เป็นไรหรอก อีก ๖ วันก็หาย แล้วท่านก็ปิดพรึ่บ" เรากราบลาได้เผ่นแนบเลย ขืนอยู่เดี๋ยวท่านเปลี่ยนใจ (หัวเราะ) พอกลับขึ้น มาก็สบายใจดี อีก ๖ วันจะหายใช่ไหม? ก็เลยนึกถึงว่า "เราเองไปทำ กรรมเอาไว้ ถึงวาระถึงเวลาก็คงต้องชดใช้ อีก ๖ วันจะหาย ทนเอา" ปรากฏว่าโยมเขาได้ข่าวว่าไม่สบาย เขาก็ไปรับมา สารพัดวิธีรักษา กระทั่งเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ทีหนึ่งหลาย ๆ พัน ก็ไปเอ็กซเรย์ แต่หา สาเหตุไม่เจอว่าเป็นเพราะอะไร?
              คราวนี้มาอยู่คืนหนึ่งรู้สึกว่าจะเป็นคืน สุดท้ายของวันที่ ๕ หลังจากที่ได้พบท่านพระยายม ก็เห็นนิมิตว่า "หลวง ปู่มหาอำพันท่านส่งไม้เท้าให้อันหนึ่ง" ก็เลยบอกโยมว่า "ช่วยพาไปวัด เทพศิรินทร์หน่อย" เขาถามว่า "ทำไม?" บอกว่า "จะไปเอาไม้เท้า หลวงปู่ท่านจะให้" โยมก็พาไปวัดเทพศิรินทร์ ตอนรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันที่ ๖ พอดี พอไปถึงหลวงปู่ท่านก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บอกคุณดูแลผมมามากแล้ว ตอนนี้ ผมขอดูแลคุณบ้างนะ แล้วท่านก็มอบไม้เท้าให้อันหนึ่ง ก็คืออันที่เราเห็น ในนิมิต ท่านบอกว่า "ผมมอบให้คุณไว้ใช้ แล้วถ้าหายแล้วไม่ต้องคืน เก็บ ไว้เป็นที่ระลึก จะได้รู้ว่าครั้งหนึ่งคุณเคยป่วยหนักขนาดไหน?" เราก็ สบายใจรับไม้เท้ามานอนกอด