ถาม :  สมมุติอย่างญาติที่ใกล้ชิดเราเสียชีวิต .... (ฟังไม่ชัด) ........
      ตอบ :  มันอยู่ที่กำลังใจของเรา ถ้าเด็ก ๆ เราอาจจะร้องห่มร้องไห้ ๓ วัน ๓ คืนก็ได้ เพราะว่ากำลังใจของเรายังไม่เข้มแข็งไม่ปล่อยวาง มาถึงระยะหลัง ๆ นี่ถ้ายังไม่ถึงตัวจริง ๆ ขนาดพ่อขนาดแม่ยังเฉย ๆ มันจะค่อย ๆ ปล่อยไปได้เรื่อย ๆ คือ ยอมรับสภาพความเป็นจริงได้บ้างว่าธรรมดาของโลกเป็นเช่นนี้ เลยไม่ไปเสียเวลาเศร้าอยู่กับมัน
      ถาม :  แล้วทำไมถ้าเกิดไปรักคนต่างที่ แล้วทำไมถึงเศร้ากว่า ?
      ตอบ :  อันนั้นมันประเภทที่เรียกว่าเรามุ่งหวังนี่ มุ่งหวังว่าจะได้มาแล้วพอไม่ได้เลยผิดหวัง จะทำให้เศร้าแล้วก็เสียใจมากกว่า ส่วนอันนั้นของเราความมุ่งหวังมันน้อย เรารักเคารพเพราะความผูกพันกันทางสายเลือดเท่านั้นใช่ไหม ? ความผูกพันทางสายเลือดความจริงมันลึกซึ้งกว่าแต่ว่ามันเคยชิน นึกออกไหม เจอกันอยู่ทุกวันน่ะ ส่วนอีตานั่นไม่รู้มาจากไหนก็ไม่รู้โผล่มาตอนเราอายุจะ ๒๐ แล้ว เลยกลายเป็นของแปลกใหม่ที่ทำให้เหมือนยังกับได้ของเล่นชิ้นใหม่เลยไปยึดมันแรงกว่า ไปเกาะมันแรงกว่า ตื่นเต้นกับของใหม่ ถึงเวลาอยู่ ๆ หลุดมือไปอย่างนี้ ตั้งใจจะคว้าแรงหลุดมือไปมันก็เลยเสียหลักแรงหน่อย
      ถาม :  อย่างนี้แสดงว่าเป็นพราะว่าเราทำใจเรื่องคนรอบข้างหรือว่าความตายว่ามันไม่...(ไม่ชัด)...
      ตอบ :  เรายอมรับได้บ้างแล้วไง แต่คราวนี้ยอมรับในเรื่องนั้นน่ะ มันคนละเรื่องกับอันนี้ เพราะอันนี้มันยังยอมรับไม่ได้ แหม....ของใหม่ ๆ เพิ่งจะมาไม่นานเอง จากไปซะแล้วอย่างงี้.... จากไปดี ๆ ไม่มีใครว่า โดนคนอื่นแย่งซะนี่ มันก็เลยเป็นว่าอันนี้เสียใจมากกว่า
      ถาม :  แล้วถ้าสมมุติว่าเราเสียชีวิตอย่างกระทันหัน เช่น น้องเรายังเด็ก ๆ อยู่...?
      ตอบ :  ตอนนั้นก็ต้องดูว่ากำลังใจของเรามันทำได้แค่ไหน ถ้าทำได้มากมันก็ไม่เท่าไหร่หรอก ดูอย่างเจ้าแดงสิ ลูกชายเจ้าของบ้านหลังนี้ ลูกน้องเดินไปถึง พี่แดง ๆ พี่แดงอย่าตกใจนะ เขาโทรมาบอกว่าแม่ตายแล้ว แดงก็ เออ... เดี๋ยวทำงานเสร็จแล้วจะไป (หัวเราะ) เห็นเป็นธรรมดา มันก็ต้องตายอยู่แล้วคนแก่...ใช่ไหม ? ยิ่งป่วยอยู่ด้วยอย่างนี้ ลูกน้องนั่งอ้าปากหวอเลย อะไร... พี่เขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย เหรอ ? (หัวเราะ) นั่นแหละ อยู่ที่ว่าเราทำใจกำลังใจของเราได้แค่ไหน ถ้าได้มากปุ๊บปั๊บมันก็ไม่รู้สึกอะไรมากเท่าไหร่
      ถาม :  มันเป็นเพราะสัญญาหรือเปล่า ความจำในชาตินี้ สมมุติชาติใหม่เกิดมามันก็กลับมา ?
      ตอบสัญญามันไม่เท่าไหร่ ตัวสังขารนะสำคัญ สังขาร คือ ตัวอารมณ์ปรุงแต่งของใจ ตัวนี้แหละจะทำให้เราเศร้ามาก เศร้าน้อยเพราะไปคิดถึงอดีต แล้วก็ไปคิดถึงอนาคต ลืมปัจจุบัน ไปคิดถึงอดีต โอ้ย... พ่อแม่เรารักเรามาเลี้ยงเรามาขนาดนี้ยังไม่ได้ทดแทนอะไรเลย ทำไมท่านไปซะแล้ว คิดไปถึงข้างหน้าอีก ตอนนี้ท่านไปแล้วเราจะพึ่งใครอยู่กับใคร ตรงหน้านี้พ่อตายแล้วแม่ตายแล้วตัวเรานั่งอยู่ตรงนี้ไม่คิดล่ะ
              ถ้านั้นจะไปอดีตหรือไปอนาคตมันทุกข์ทั้งคู่ มันต้องหยุดอยู่กับปัจจุบัน มันจะทุกข์น้อยที่สุด เพราะฉะนั้นตัวสัญญามันไม่เท่าไหร่หรอก สังขารปรุงแต่งน่ะสำคัญ มันเพิ่มรสชาติให้ชีวิตได้เยอะมากเลย
      ถาม :  อย่างพระเกจิที่เขาทำปลัดขิกทำตระกรุดพวกนี้ เขาปรุงเสกแล้วเขียนอักขระที่เป็นคัมภีร์ที่แสดงพระพุทธเจ้าด้วยหรือเปล่า ?
      ตอบ :  มันก็แล้วแต่เขาเรียนมาแบบไหน ทางสำนักเขาถ่ายทอดมายังไงก็แบบนั้น แต่ส่วนใหญ่เกิน ๘๐% ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
      ถาม :  ...................(ไม่ชัด)............................
      ตอบ :  ห้อยเอวมันยังดีอย่าให้ต่ำกว่าเอวก็แล้วกัน มันอยู่ที่เขาว่าอุปเท่ห์การใช้มันเป็นอย่างไงน่ะ ถ้าหากเขาบอกห้อยเอวมันก็ต้องห้อยเอว ไม่อย่างนั้นมันจะไม่มีผลตามนั้น แต่ส่วนใหญ่ถ้าหากว่าเป็นของที่ทำตามวิธีของไสยศาสตร์เขา เขาจะไม่เอาพุทธคุณเข้าไปเพราะว่ามันขัดกัน พวกไสยศาสตร์ถ้าเจอพุทธคุณเข้ามันเสื่อมหมด
      ถาม :  อย่างที่ทำเป็นรูปกุมารทองมั่ง หนุมานมั่ง ?
      ตอบ :  แล้วแต่อีกเหมือนกัน ถ้าปลุกเสกถูกต้องตามพิธีกรรมเทวดารักษา ถ้าไม่ถูกต้องตามพิธีกรรมไปทำแบบของไสยศาสตร์อะไรก็ได้พวกเปรต อสุรกาย หรือไม่ก็สัมภเวสีมันรักษาแทน
      ถาม :  แล้วสมมุติว่าเราตั้งแบบหิ้งพระอะไรนี่ก็ไม่ได้ ?
      ตอบ :  ยังไงก็ไว้ต่ำกว่านิดหนึ่ง เอาไว้ต่ำกว่าพระหน่อย
      ถาม :  ถ้าห้อยคอ เกิดเราห้อยพระหลายองค์ พระองค์ล่างสุดเป็นพระข้างบนเป็นหนุมานนี่ด้วยก็ได้ ไม่สมควร
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วเรียกว่าต่างคนต่างอยู่ก็ว่าได้นะ เพียงแต่ว่าของเราเองถ้าเราถือสาหาความก็เลือกเอาเองว่าจะเอาแบบไหน จัดมันเป็น ๒ ชุดไปเลยก็ได้ ชุดหนึ่งก็มีประเภทหนุมาน กุมารทอง อะไรล้วน ๆ ไปเลย อีกชุดหนึ่งก็พระล้วน ๆ ไปเลย
      ถาม :  อย่างพระภิกษุสงฆ์ที่ท่านทำรุ่นกุมารทองอะไรอย่างนี้ท่านจะเรียกวิญญาณเด็กมาเข้าสิงจริงหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่หรอก รูปเด็กมันเป็นแค่ตัวแทน คือ เป็นสื่อเท่านั้น เป็นวัตถุอย่างหนึ่งที่จะเป็นสื่อเท่านั้น ส่วนที่เรียก ๆ มานั่นถ้าถูกต้องตามพิธีกรรมจริง ๆ มันเรียกไม่ได้หรอก เพราะเทวดาหรือพรหมเราใช้ท่านไม่ได้ แต่เวลาที่ทำพิธีอย่างที่หลวงพ่อท่านทำพิธี ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของเทวดา พรหม ท่านก็จะมีท้าวสหัมสบดีพรหม หรือไม่ก็ท่านปู่พระอินทร์ จะมาเป็นประธาน
              แต่ถ้าหากว่าเป็นพิธีกรรมของพระท่านจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านเสด็จเองซะด้วยซ้ำไป แต่ว่าก็ยังใช้ท้าวสหัมบดีพรมกับท่านปู่พระอินทร์รับผิดชอบอยู่ มอบหมายไปว่าเทวดาองค์ไหนรักษาวัตถุมงคลชิ้นไหน คราวนี้ไม่ต้องกลัวหรอกจำนวนเทวดามากกว่ามนุษย์จนนับเท่าไม่ได้
      ถาม :  อย่างที่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระอรหันต์จี้กงที่ชอบเดินกินเหล้านี่จริงหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  กินเหล้านี่ต้องดูหลวงพ่อเจ๊ก หลวงพ่อเจ๊กนี่อาตมาเกิดไม่ทันนะ ท่านอยู่นครปฐมนี่เอง ไปไหนก็แบกไหน้ำตาลเมา เมาแอ่นไปเลย แล้วทางกรุงเทพ ฯ พอได้ข่าวก็ส่งสังฆาธิการ ๒ องค์ไป จำไม่ได้ว่าเป็นใคร ไปสอบสวนท่านว่ากินเหล้า ไปถึงหลวงพ่อเจ๊กก็ นิมนต์ครับ ๆ มาถึงรินน้ำชาให้ใช่ไหม เทจากไหนั่นแหละ ส่งให้คนละแก้วท่านเห็นเป็นน้ำชา
              หลวงพ่อเจ๊กท่านก็บอกว่า ถ้าผมสึกท่านก็ต้องสึกด้วย ถามว่าทำไม ท่านก็กินเหล้าเหมือนกับผมน่ะ ๒ องค์นั่นตกใจว่ากินเมื่อไหร่ กินเมื่อกี้นี้ หยิบก้นแก้วขึ้นมาดมดูกลิ่นหึ่งเลย ตอนกินมันน้ำชา ๒ องค์นั้นท่านรู้ว่าหลวงพ่อเจ๊กท่านทำอย่างนี้เพราะอะไร ท่านก็กราบก้นโด่งกลับ หลวงพ่อเจ๊กท่านปิดตัวเองกลัวคนไปกวน เลยแกล้งแบกไหเหล้าเมาแอ่นอยู่ทุกวัน ความจริงคิดให้มันเป็นอะไรมันก็เป็นเดี๋ยวนั้นแหละ พระระดับนั้นแล้ว
              แล้วอีกองค์ก็หลวงพ่อขี้วัว วันนั้นหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านเล่าให้ฟังเอง หลวงพ่อขี้วัวนี่นุ่งผ้าลอยชายผืนเดียว ผ้าอาบ อีกผืนหนึ่งคล้องคอวิ่งเล่นกับเด็กเลี้ยงวัว กลวงคืนอยู่ในทุ่งนั่นแหละ คนไปสงสัยว่าท่านเป็นอะไรอย่างนั้น ? หลวงพ่อท่านได้ยินปุ๊บท่านเกิดความรู้สึกว่าองค์นี้เป็นพระดี
              ท่านเลยจุดธูปปักกลางลานบ้านโยมนั้นแหละ บอกว่าถ้าท่านเป็นพระดีจริงพรุ่งนี้ให้มา ยังไม่ทันจะสว่างดีเลยมาท้าปาว ๆ ๆ หน้าประตูรั้ว ว่า .... เฮ้ย !นักเลงดีอย่าเล่นลับหลังสิวะ แน่จริงมาตีกันซึ่ง ๆ หน้า หลวงพ่อท่านเลยครองผ้าเรียบร้อยลงไปกราบ บอกเลิกบ้าได้แล้วครับ เขารู้กันหมดแล้ว ท่านเลยขึ้นบ้านไป โยมก็นิมนต์ให้ฉัน พอคนเขารู้ว่าหลวงพ่อขี้วัวมาฉัน คนบ้านโน้นก็เอาแกงมาถ้วยหนึ่ง บ้านนี้ก็เอาข้าวมาถ้วยหนึ่ง ท่านก็ว่าของท่านไปเรื่อยแหละ พอฉันเสร็จแล้วบอก ไม่มีอะไรให้ว่ะ มีแต่ของดีอยู่ในย่าม เสร็จแล้วก็เอ็งเอาชามมา เอ็งเอาถ้วยมาล้างสะอาดเสร็จส่งให้ ท่านตักขี้วัวให้คนละถ้วย
              สมัยก่อนมันเป็นชามฝา ชามฝาลักษณะคล้าย ๆ อย่างนี้ มันมีฝาปิด ตักเสร็จก็ปิดให้บอกเอาไปเปิดที่บ้าน กลับถึงบ้านไม่เป็นขี้วัวหรอกเป็นขี้ผึ้งหมด ท่านคิดให้เป็นยังไงก็เป็นเดี๋ยวนั้น แล้วหลวงพ่อขี้วัวก็หายจากตรงนั้นไปเลย ขืนอยู่ต่อชาวบ้านรบกวนตายชัก คือ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ท่านจะปิดตัวเอง คนไปกวนเยอะ
              อีกองค์หนึ่งหลวงพ่อท่านบอก โอ้โห.... ขึ้นกุฎิไม่ได้เลยเหม็นแทบสลบน่ะ คนไปกวนท่านมากส่วนใหญ่ไปขอหวย พอหลวงพ่อจะขึ้นกุฎิตอนกลางคืนนี่ หลวงพ่อท่านขึ้นไปพอไหว้พระเสร็จท่านจะถามพระบ้างถามเทวดาบ้างว่ามีพระดีอยู่ที่ไหน ท่านจะไปหาไง ไปเจอองค์นั้นพอจะขึ้นกุฎิ เดี๋ยวครับ ๆ นิมนต์รอหน่อย ไปต้มน้ำร้อนก่อน ทำไม ? เอามาราดขัดพื้นก่อน มันเหม็นนี่ ท่านฉี่ใส่กระโถน สาดมันทั่วไปเลย
              ท่านบอกเหม็นขนาดนี้ยังมาเลย (หัวเราะ) ไปกวนท่าน คราวนี้พอหลวงพ่อไปรู้ว่าคนมาเอาดีท่านก็ต้อนรับดี นั่นแหละลักษณะนั้นแหละ มีอยู่เที่ยวหนึ่งหลวงพ่อท่านบอกกับพวกเรา บอกว่า เฮ้ย ! พวกแกลองสืบดูซิ มีหลวงตาองค์หนึ่งขาว ๆ ท้วม ๆ ล่ะนะ ชื่อจวน อยู่สิงห์บุรี ลองดูสิว่ามีพระชื่อนี้อยู่สิงห์บุรีวัดไหน ช่วยบอกให้ด้วยหาไม่ยากหรอก ท่านดังด้วยหลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม ถามว่าหลวงพ่อหาทำไมครับ ท่านบอกว่าวันก่อนขึ้นไปพระจุฬามณีเห็นหลวงตาจวนเดินตุ๊บ ๆ ตั๊บ ๆ อยู่ เขาเก่งว่ะ เขาไปทั้งตัวเลย ไม่ได้ใช้มโนมยิทธิถอดจิตไปนะนั่น เล่นไปทั้งตัวเลยล่ะ
      ถาม :  ยังอยู่ไหมครับ ?
      ตอบ :  เรียบร้อยไปแล้ว ถ้าอยู่ไม่กล้าเล่ากลัวท่านเหยียบเอา (หัาเราะ) วัดหนองสุ่ม ขาว ๆ ยิ้มทั้งวันน่ะ น่ารักมาก
      ถาม :  ...............................
      ตอบ :  อย่างนั้นขืนเปิดท่านหักคออาตมาเท่านั้นแหละ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องพยากรณ์ของพระท่าน พระท่านพยากรณ์มาหลวงพ่อท่านถึงพูดต่อ ของเราพอหลวงพ่อพูดต่อ ถ้าท่านยังอยู่ก็เงียบ ถ้าท่านไม่อยู่ก็ว่าต่อไป
      ถาม :  อย่างนี้ก็ปิดโอกาสลูกหลานให้ทำดี ?
      ตอบ :  มันจะต้องประเภทหัดหูไวตาไว หาเองมั่ง นั่นน่ะเป็นอย่างนั้น ในเมื่อลักษณะของพระอรหันต์จี้กงที่คุณถามมันก็แบบเดียวกันนั้นแหละ คือท่านคงปิดตัวเองแบบเดียวกัน ไม่ต้องการให้คนไปกวนก็ทำเหมือนคนบ้า ๆ บอ ๆ มีบางคนเขาบอกว่าคนบ้ากับพระอรหันต์เหมือนกันก็จริง แต่มันต่างกันมาก มันต่างกันตรงที่ว่าพระอรหันต์น่ะท่านมีความสุขเพราะว่ามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ แต่คนบ้ามันไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับใครเขาเพราะมันไม่มีสติ เหมือนกันได้ยังไง.... เหมือนกันตรงที่ว่าต่างคนต่างปล่อยวางใช่มั้ย แต่ฝ่ายหนึ่งปล่อยวางอย่างมีสติ อีกฝ่ายหนึ่งปลอยวางอย่างไม่มีสติเลยปล่อยไป
              เคยเจอไหมพระแบบนั้น ? สมัยนี้จี้กงปลอมเยอะนะ แม้กระทั่งพรรคพวกเพื่อนฝูงเขาก็เป็นหลวงตาจี้กงกันแล้ว วันก่อนโทรไปแหย่ เป็นไง ... อาจารย์ใหญ่ หัวเราะซะไม่มีล่ะ คือ พอพระทำไปถึงระดับหนึ่งแล้วมันจะเริ่มเกิดฤทธิ์ต่าง ๆ ขึ้นมาฤทธิ์พวกนี้เกิดจากฌานฤทธิ์ ฤทธิ์เกิดจากฌานสมาบัติ บุญฤทธิ์ เกิดจากบุญที่สั่งสมมา วิกุพนาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากเล่นกสิณมา อะไรอย่างนี้
              มันเริ่มมีอะไรให้ชาวบ้านเขาเห็นแปลก ๆ ขึ้นมา ชาวบ้านก็เริ่มติด เริ่มลือกันไปเรื่อย พวกเรายังรู้ว่ากิเลสท่วมหัวอยู่เลยขืนไปลอยตามชาวบ้านเขาเราก็เจ๊ง วันก่อนเลยลองโทรไปเบรคเล่น ๆ ดู หัวเราะกันซะไม่มี....องค์นี้สมัยก่อนนี้ขำมากเลย ท่านชื่อใหญ่และเราเองชื่อเล็ก และท่านอายุมากกว่า เลยกลายเป็นพี่ใหญ่น้องเล็กไปกันได้ใช่ไหม ?
              สมัยก่อนนี้ไปหาหลวงพ่อส่วนใหญ่ก็จะพาน้อง ๆ ผู้หญิงไปเยอะ พาไปทำบุญ ท่านใหญ่มาถึงก็สะกิดบอก น้อง ... น้องพามาได้ไง พี่แค่เห็นก็เหม็นแล้ว ไอ้เราก็เออ....ผมทำไม่ได้อย่างพี่นี่หว่า ปรากฏว่าอีกไม่ถึง ๓ เดือนต่อมาพี่ท่านแต่งงานเฉยเลย (หัวเราะ) เราก็สะกิด พี่...พี่.. ไหนว่าเหม็นแล้วทำไมแต่งล่ะ เขาบอกว่าไงรู้ไหม... เขาบอกว่าเวรกรรมมันมาถึง (หัวเราะ) หลังจากอาตมาบวชได้ ๕-๖ พรรษา ท่านก็เข้ามาบวชกลายเป็นพี่ใหญ่น้องเล็กตามเดิม แต่ของท่านแรงเพราะท่านพูดแบบขวานผ่าซาก ประเภทที่รู้อะไรว่ากันตามตรงไม่มีเลี้ยวไม่มีอะไร
              คนไม่ชอบหน้าท่านรู้ตัวเข้าท่านเลยหลบไปอยู่พุทธไชโย กับหลวงพี่นิภัทรอยู่พักหนึ่งก็ลักษณะเดิมอีกไปตำหนิเขาตรง ๆ คือเรื่องบางเรื่องสิ่งที่ตัวเองเห็นน่ะมันไม่ใช่ จำไว้ให้แม่น ๆ เลย สิ่งที่ตัวเองเห็นน่ะมันไม่ใช่อย่างที่เราคิดอย่างเช่นว่า เราเห็นคนประเภทไล่ตีกันมา เราวิ่งเข้าไปห้ามอย่างนี้ รับรองได้ว่าโดนเขาถีบซ้ำด้วย ถ้ามันถ่ายหนังกันอยู่ทำมันเสียหมดเลย เราเห็นเขาตีกันจริง ๆ ใช่มั้ย ? แต่ความเป็นจริงมันเป็นในหนัง ลักษณะนั้นก็เหมือนกัน (หัวเราะ) หลวงพี่ใหญ่ท่านไปปากไวว่าเขาซะก่อน ก็อยู่กับเขายากตอนนี้เลยไปอยู่ทางวัดวังผาแดง ที่อำเภอพร้าวจังหวัดเชียงใหม่โน่นน่ะ ไปทำอะไรพิลึกพิลั่นให้ชาวบ้านเขาเห็น เขาเรียกหลวงพ่อจี้กงกันหมดแล้ว ระวังมันจะกลายเป็นหลวงพ่อขี้โกงเข้าสักวัน
              มีพรรคพวกเยอะหลุดออกจากวัดท่าซุงไปก็เยอะ ไอ้ที่จากวัดอื่นคบค้าสมาคมกันก็เยอะ มันดีตรงที่ว่าเราไปที่ไหนมันก็มีที่กินมีที่นอน (หัวเราะ) ทางด้านของจีนเขาจะมีหลวงพ่อจี้กง และก็มีแปดเซียน มีคนเขาถามว่า เซียนคือพระอรหันต์หรือเปล่า ? บอกว่าเซียนในความหมายของจีนไม่แน่ใจว่าจะเป็นพระอรหันต์ แต่พระอรหันต์ทุกองค์เรียกว่าเซียนได้ เพราะว่าเซียนในความหมายของจีน พวกได้อภิญญาเขาเรียกเซียนหมดอย่างลื่อตงปิง พ่อเจ้าประคุณนี่ยังมีเมียอยู่แล้วจะเป็นพระอรหันต์อีท่าไหนล่ะ ก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เซียนนี้ไม่แน่ใจว่าจะเป็นพระอรหันต์ แต่พระอรหันต์ทุกองค์เป็นเซียนแน่ ๆ
      ถาม :  ถ้าเกิดว่ามีพระอยู่ท่านหนึ่งท่านบอกว่าให้ผมบวชโดยไม่สึก แต่ผมไม่บวชผมจะผิดใหมครับ ?
      ตอบ :  มันจะผิดตรงไหนล่ะ บวชไม่บวชมันอยู่ที่ความตั้งใจของเรา ถ้าเราเคารพเชื่อฟังท่านตั้งใจบวชไม่สึกก็ปางตายล่ะ วันก่อนเพิ่งจะบอกเจ้าชุ (น.ต. หญิงชุติมา ฟองชล) เขาไป ขำกันซะไม่มีล่ะ เขาไปตั้งใจอย่างนั้นมันจะเครียดมาก ปิดทางถอยตัวเองโดยไม่มีทางไป คนมาถามอาตมาว่าจะสึกหรือเปล่า ? บอกว่าถ้ากำลังใจมันทรงตัวอยู่อย่างนี้อยู่ มันอยู่สุขอยู่เย็นมันไม่คิดจะสึกหรอก แต่ถ้ากำลังใจมันลดลงมันจะสึกเมื่อไหร่ก็ยอมไปดี ๆ เลย ไอ้ของเรา ๆ ไม่ปิดนี่ มันไปได้ทุกช่อง ในเมื่อมันไปทุกช่องมันจะไม่เครียด เราลองตั้งใจว่าไม่สึกดูสิ กิเลสมันตีตายเลย มันจะแค่ไหนตั้งใจอย่างนี้ ? พวกเจ้ากิเลสมันฟัดเละ
      ถาม :  แล้วทำไมท่านถึงให้ผมบวชโดยไม่สึกล่ะ ?
      ตอบ :  นั่นมันเป็นความเห็นของท่านนี่ มันอยู่ที่เราว่าเราจะทำตามความเห็นของท่านไหม หรือว่าเราจะทำตามความเห็นของตัวเอง เรื่องนี้จริง ๆ มันต้องถามท่านนะ ทำไมให้ผมบวชไม่สึกไม่ใช่ถามอาตมา
      ถาม :  คุยไปด้วยนับลูกประคำไปด้วยได้หรือครับ ?
      ตอบ :  ได้ คุยไปด้วยนับด้วย รู้ด้วยว่าภาวนาอะไร นับไปก็จำเม็ดได้ด้วย