| 
         ถาม :  .........(เสียงไม่ชัด  ถามเรื่องการสอบ)..............
       ตอบ:     การสอบ   ถ้าหากว่าเราใช้คาถาสหัสสเนตโตเป็น   มันเหมือนกับการลอกข้อสอบดี  ๆ      นี่เอง    แล้วมันเป็นการลอกโดยถูกกฏหมายซะด้วย    เพราะเขาจับไม่ได้      ไปดูเอาอยู่ในหนังสือสมบัติพ่อให้    แล้วใช้ตามนั้น   อันนี้อาตมายืนยัน    นั่งยันนอนยัน   เพราะใช้มาด้วยตัวเองวิชาของพระที่เรียนมันไม่มีให้เลือก   มันมีแต่จงอธิบาย   ๆ   สามหน้ากระดาษ    ห้าหน้ากระดาษปรากฏว่าเราเรียนไม่ทัน    เพราะเจ็บไข้ได้ป่วย     แล้วมันออกตรงนั้นพอดี   พอมันเกิดความรู้สึกขึ้นตามที่ท่านว่า     ก็ว่าของเราไปเรื่อย   พอจบแล้วจำคำตอบไปดูมันตรงทุกตัวอักษรเลย    ถ้าเขาจับว่าลอกข้อสอบ   มันเถียงเขาไม่ได้มันเหมือนทุกคำ      ถ้าคุณไม่ได้ลอก   คุณเขียนยังไงให้มันเหมือนได้   เขาคงไม่เชื่อแน่ใช่มั้ย  ?    
                  เพราะฉะนั้นไปใช้วิธีนั้น   ไม่ยากเลย    เรียนอะไรก็ได้   มีคนถามหลวงพ่อท่านว่าในเมื่อมันไม่ใช่ความรู้ของเขาจริง  ๆ   แล้วเด็กจะไม่โง่หรือ  ?     หลวงพ่อบอกข้อสอบบอกอะไร    เด็กมันก็ตอบได้มันโง่มั้ยล่ะ  ?   ทำตามแบบนั้น     อย่าว่าจะเรียนเอกเลย   สองเอกก็ได้    แต่ลำบากหน่อย   ปริญญาตรีนี่รู้เท่าอาจารย์บอกก็ใช้ได้ใช่มั้ย  ?    ปริญญาโทนี่ต้องเกลี้ยกล่อมให้อาจารย์คล้อยตามให้ได้ว่าเรามีความรู้    ส่วนปริญญาเอกนี่ต้องหลอกอาจารย์ให้ได้   (หัวเราะ) 
        ถาม :    แล้วลำโพงกาสลัก    นี่เป็นยังไงค่ะ  ?
        ตอบ:   ส่วนผสมของยาพระประทาน   ก็คือลำโพงกาสลัก    คราวนี้พระปลัดนิภัทร     ท่านเจตนาดีตั้งใจจะช่วยหลวงพ่อก็ไปหามาให้กลายเป็นลำโพงธรรม   ลำโพงธรรมดาชาวบ้านเขาเรียกว่า  มะเขือบ้า     ต้นมันคล้าย   ๆ  มะเขือ    แล้วก็ลูกเป็นหนาม    ๆ    หน่อย   ดอกมันสีขาว  ๆ   ถ้าสีม่วงมันจะเป็นลำโพงกาสลัก  
       ถาม :   แล้วกินได้หรือครับ  ?
       ตอบ:    ทำยาได้   กินมันก็บ้าพอกันนั้นแหละ   เพราะฉะนั้นยาสมุนไพรนี่ถ้าตัวไหนอันตราย    ระมัดระวังไว้หน่อย     ไม่งั้นจะแย่เอา
        ถาม :    ..........( เสียงไม่ชัดถามเรื่องสร้างวัดหนองบัวที่พม่า).........
       ตอบ:     สมัยก่อนเขาไปตีบ้านตีเมืองกัน      สมัยนี้อาตมาไม่ไปตีหรอกไปซื้อคืน     คราวที่แล้วซื้อที่คืนไปผืนหนึ่ง   คราวนี้จะเอาอีกผืนหนึ่ง   จะขยายวัดให้มันกว้างไปเรื่อย  ๆ  ให้มันรู้ซะบ้างว่าคนไทยเป็นยังไงญาติโยมแถวนั้นเขาก็ดีนะ    ขอซื้อที่ขอซื้ออะไรก็กระตือรือล้น    เขาบอกครูบาให้เงินให้คำ  ( คำ =ทอง)   อย่างเดียวข้าน้อยไม่เอานะ    ข้าน้อยจะเอาบุญด้วย   แล้วให้ตังค์เขาอย่างเดียวเขาไม่เอาหรอก    ถ้าเขาไม่ได้บุญเลยให้ทองเขาไป    เสร็จเเล้วค่อย  ๆ   พูดบอกกับเขาว่าถ้าอยากได้บุญมาก   ๆ   ก็คืนทองมาบาทนึง   (หัวเราะ)
       ถาม :    เข้าพม่าทางไหน  ?
       ตอบ:     ด่านเจดีย์สามองค์    ไม่มีปัญหาเพราะว่า   ช่วงเขารบ  ๆ  กันปิดด่าน    เข้าไปสองครั้งแล้ว   วัดหนองบัวอยู่ที่เมืองจะอีน     รัฐกะเหรี่ยงอยู่ห่างจากด่านเจดีย์สามองค์     ถ้ารถออกวิ่งได้แต่เช้า  ๆ    ค่ำ  ๆ   ก็ถึง   แต่ถ้าหากว่ารถออกสายหน่อยก็ค้างคืน     คืนหนึ่ง    ถ้าไปเรือนี่    เรือธรรมดา   เรือหางยาวทั่วไปก็ค้างสองคืน      ถ้าเป็นไอ้เรือด่วน    งวดที่แล้วไปเช่าเรือด่วนมันเป็นเรือใหญ่สี่สูบ     ออกตั้งแต่ตีห้าไปถึงหนองบัวสองทุ่ม    นึกเอาแล้วกันวิ่งน้ำบานไปทั้งวัน   ถ้าวิ่งแบบเมืองไทยสบายมากไม่เกินสี่ชั่วโมง     ตรงนั้นตอนนี้เสี่ยฮุกกำลังทำอยู่    เส้นทางตั้งแต่ด่านเจดีย์สามองค์ไปถึงเมืองตันบวยเซียต    แต่ว่าพวกทหารในป่าเขาไม่ยอมให้ทำเขาให้เกรดเฉย  ๆ     เขาบอกว่าถ้าทำดีเกินไปแล้วรถมันวิ่งเร็ว    มันเก็บค่าคุ้มครองไม่ทันมันกลัวชาวบ้านวิ่งหนีมันแล้วเสี่ยฮุกเขาก็ไปเคลียร์แต่พวกบรรดานายพลในเมือง   พวกที่คุมในพื้นที่อย่างพวกผู้พันผู้กองไม่เคลียร์ด้วยเขาเลยแกล้งเอา    
                คราวที่แล้วไปเกรดทางไปเจอเอาระเบิดดักรถถึงสามลูก   ถ้าหากรถเกรดไม่ดันก่อนให้รถวิ่งมีสิทธิ์เละ     ระเบิดดักรถถึงถ้าน้ำหนักหนึ่งร้อยแปดสิบกิโลกรัมกดทับมันจะระเบิด   สมัยอยู่ชายเเดนพอกู้ขึ้นมาไอ้เพื่อนบ้า  ๆ   มันกระโดดกระทืบ    โอ้โห !..ได้เราอยากจะถีบมัน   คือมันกะว่าน้ำหนักมันหกสิบกิโล    มันโดดกระทืบลงไปก็ไม่เกินร้อย     ลองดูว่าจะระเบิดมั้ย    มันไม่ยักกะลองตอนเราอยู่ห่าง  ๆ   มันลองตอนเราอยู่ด้วย     บ้าดีกระโดดกระทืบว่าจะระเบิดมั้ย   !    เพราะตามตำราเขาว่าน้ำหนักกดทับร้อยแปกสิบกิโลมันภึงจะระเบิด     สามเท่าของตัวคน    มันกระโดดกระทืบยังไงก็ไม่ถึงพม่ายังห่างไกลความเจริญอีกมากเหลือเกิน     แต่ว่าตอนนี้พอสิ้น  นายพลติ่นอูกับนายพลซิตหม่อง     แล้วก็คงจะกลับเป็นประชาธิปไตยเร็วขึ้นเพราะนายพลติ่นอูกับนายพลซิตหม่องนี่    เป็นฝ่ายที่คัดค้านการเป็นประชาธิปไตย     เป็นลูกน้องของนายพลหม่องเอ        ผบ.ทบ.   ทางด้านของนายพลซอหม่อง   กับ   นายพลขิ่นยุ้น    ค่อย  ๆ   ปรับให้เป็นประชาธิปไตยไปงัดกับเขาไม่ไหว    เพราะเขาคุมกำลังเยอะกว่า   ตัวนายพลซิตหม่องที่เครื่องบินตกตายไปนั้นเป็นแม่ทัพควบคุมภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่เมืองมะละแหม่งลงมา     (หัวเราะ)    
                 คราวก่อนที่ไป    แล้วไปถ่ายรูปคนขับรถไปมันหนีเลย     ไม่ยอมวิ่งให้เราอีก     กลัวโดนยิงเป้า    เขากลัวว่าเราจะไปหาข่าวแล้วเขาเป็นคนพาเราไปจะมีโทษด้วย    ทางด้านโน้นอย่างสถานเบาก็ห้ามวิ่งรถ   สถานหนักหน่อยก็ยิงเป้าเลยเราก็บอกเขาบอกเบารถหน่อยจะถ่ายรูป    กองบัญชาการกองทัพภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเขา      คนขับรถได้ยินมันตกใจเบรกหยุด      ก็เสร็จเราน่ะสิ   (หัวเราะ)     พอเบรกหยุดเราก็ถ่ายเลยก็กดจิ๊กเดียวแค่นั้น   พอตอนเย็นมันบอกว่ารถไม่ดีจะไปซ่อมรถ       ไม่ยอมวิ่งให้เราอีกกลัวมากอยู่ที่เมืองพม่านี่เราอาศัยลูกตื้อทำเป็นอ่านหนังไม่ออกมั่ง    อ่านออกมั้งไม่ออกมั่งอะไรทำนองนั้น    ตรงไหนที่ห้ามไม่ให้ถ่ายรูปก็ถ่ายมันตรงนั้น   
                  พอไปกับทิดจิตร     ตอนนั้นไปที่    กะบาเอ    เขามีสอบพระผู้ทรงพระไตรปิฎกปิดป้ายหราว่าห้ามถ่ายรูปก็ถ่ายซะ     ตรงไหนห้ามก็ถ่าย     ที่เห็นนี่พวกสะพานพวกอะไรนี่เขาห้ามหมดนะ       
                  มันห้ามอันไหนเราก็ถ่ายอันนั้นแหละ    เขาจะกลัวมากเลย     อันไหนเกี่ยวกับสถานที่สำคัญอย่างสะพานใหญ่   ๆ   สะพานแขวน     เขากลัวว่าจะรู้ตำแหน่งแห่งที่    แล้วไปก่อวินาศกรรม    อันไหนมันห้ามเราก็ถ่ายอันนั้น     ตรงสะพานข้าม     สะพานใหญ่ข้ามเมืองพะอาง   พอรถวิ่งผ่าน    เด็กรถก็จะบอกว่า    ห้ามบ้วนน้ำหมาก    ห้ามทิ้งขยะ   สารพัดจะห้ามจนกระทั่งโดนเด็กวัยรุ่นมันแซว   ว่ามองได้มั้ย  ?   (หัวเราะ)    จะมีทหารบล๊อกหัว  กลาง  ท้าย     แล้วก็ข้างล่างตลอดเลย     คนจะกล้าถ่ายรูปมันได้ต้องบวม  ๆ   หน่อย   ของเราเราไม่ว่าอะไรหรอก    เราก็นึกถึงพระ   เสร็จแล้วยืนขึ้นถ่ายหน้าตาเฉยมันบังเอิญถ่ายได้ทุกทีเลย   ทำเป็นเล่นไป    พม่าเขามีสะพานแขวนเหมือนกับเราเหมือนกันนะ     ตอนนี้สบายเลยพวกที่จะไปเมืองพะอางวิ่งตรงได้เลย    ไม่งั้นต้องข้ามอ่าวเมาะตะมะ    ไปถึงเมืองตะโทงแล้วก็อ้อมขวาเข้าไป   ช้าเป็นวันเลย   เดี๋ยวนี้จากมะละแหม่งไปถึงพะอางนี่ประมาณสามสี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง     ไปเช้าเย็นกลับได้
        ถาม :     ตอนอาจารย์ไม่ไปโดนจับกันหมด  ?
       ตอบ:    มันตลก   ของเราไปกัน   ๕  คน  ๑๐   คน   ไปกันเมื่อไหร่ก็ไปกันได้   พอไม่อยู่ซะคนเดียว   ไปกันกี่คณะโดนจับหมด     พวกนี่ถาคาใช้ไม่ได้  (หัวเราะ)     หลุดจากมืออาจารย์เมื่อไหร่ก็โดนจับเมื่อนั้น    แต่ถ้าไปกับเราไปทั้งโขยงก็ไปได้     ไอ้ของเราหน้ามันโหด     ไปถึงก็ยืนจ้องขู่ทหารมันหดหมดเลย    เพราะทหารเขาแปลกถ้าหากว่าใครทำกลัว   ๆ  นี่มันค้นจังเลย     ไอ้ของเราไปยืนจ้องหน้ามันหันหนีหมดไม่มีใครกล้าค้น   คนไหนนั่งบนโต๊ะลากมันลงมาแล้วเรานั่งแทน    มันเป็นฆราวาสจะมานั่งเต๊ะจุ้ยต่อหน้าพระ   แล้วให้พระยืนได้ไงไปจนเขาเบื่อขี้หน้าแล้ว    ตอนนี้เจ้าหน้าที่สืบราชการลับของเขา    เราเอาเป็นเด็กสะพายย่ามเลย
       ถาม :  พม่านี่เขาสร้างวัดเยอะนะคะ 
       ตอบ:     เยอะมาก   แล้วเขาใช้วัดคุ้มด้วย     เขาสร้างวัดที่ไหนแปลว่าคนในเขตนั้นทั้งหมดก็ลุยกันเข้าวัดไปเลย    ไปดู   ๆ    แล้วบางทีเราก็อายเขาปีแรกที่ไปก็แบบยืดสุดขีดเลย     เราเป็นเมืองพุทธศานาใช่มั้ย   ?       เดี๋ยวมีอะไรเราก็ไปช่วยเขา     ที่ไหนได้ไปถึงมันต้องไปเลียนแบบเขา     ของเขาเองคนไปวัดไปวามันเหมือนบ้านเราคนไปเดินห้างกัน   เหมือนยังกับวัยรุ่นไปเดินเซ็นเตอร์พ้อยต์นะ       มันไปกับขนาดนั้น   เช้า  ๆ   ก่อนออกทำงานเขาสวดมนต์ทำวัตร      เข้าวัดเข้าวาปฎิบัติเสร็จ  
 
       ถาม :     เมื่อเดือนที่แล้ว   ถามว่า   เวลาที่คนเรามีเคราะห์   ควรที่จะทำบุญสะเดาะเคราะห์กรรมนั้นมั้ย      ก็ตอบว่า   ควรที่จะทำบุญ   ถ้าหลบ  ๆ    ได้ก็หลบ  ๆ  ไปซะ     ที่นี้ก็เกิดความสงสัยต่อเนื่องนะเจ้าค่ะ  ว่า  เอ๊ะ!  ถ้าเรา  หลบไปเรื่อย    ๆ    มันไม่เป็นแบบดอกเบี้ยทบต้นเหรอเจ้าคะ  ?
      ตอบ:   ไม่ทบล่ะจ้ะ    บรรดาพระอรหันต์ที่เข้านิพพานไปนี่เขาตามเก็บไม่ได้ดอกเบี้ยอย่างเดียวนะ     เงินต้นก็เก็บไม่ได้เหมือนกัน   ไม่มีใครใช้หนี้หมดทุกคน   ไปนิพพานก่อน   ไอ้การหลบมันเหมือนกับการหลบเลี่ยงปัญหาจริง  ๆ    ไม่ใช่     คนเราควรจะมีปัญญา   รู้อยู่ว่าเวลาไหนวาระไหนควรจะหลบจะเลี่ยงอะไร   เราดำรงชีวิตอยู่ในลักษณะของความเป็นมนุษย์   ถ้าปล่อยให้กรรมเก่าตามทันมันจะเกิดความทุกข์ยากลำบากมาก    แล้วเรื่องของอกุศลกรรมนั้นแปลก    ถ้ามันมีโอกาสเข้ามาแทรกได้ครั้งหนึ่งพรรคพวกของมันทีเท่าไหร่มันก็ระดมกันมา   จะสังเกตว่าบางทีพอเราอยู่ในลักษณะที่ช่วงอกุศลกรรมเข้า     ที่ชาวบ้านเขาใช้คำว่า     ดวงตก      เรารู้ว่าผีซ้ำด้ำพลอยอะไรต่อมิอะไรมันก็มะรุมมะตุ้มมาในเวลาเดียวกัน   เพราะฉะนั้นอย่าเปิดโอกาสให้เขาเป็นอันขาด    หนีได้หนีไปเรื่อย  ๆ   จนกว่าจะเข้านิพพานได้   ไม่ต้องใช้มันเลยยิ่งดี
       ถาม :  ไม่เป็นดอกเบี้ยทบต้นนะเจ้าคะ  ?
       ตอบ:      ไม่เป็นจ้ะ   ไม่เป็น    เขาตามทวงไม่ได้   พวกนี้เขาไม่คิดดอกเบี้ยหรอกจ้ะ    เขาไม่ใช่คน  (หัวเราะ)   เรื่องของธรรมะ   เขาตรงไปตรงมา
       ถาม :    ทีนี้   เอ่อ!ช่วงนี้    ดวงตนเองก็ตกน่ะเจ้าค่ะ
       ตอบ:   จ้ะ   ตกสูงมั้ย! (หัวเราะ)
       ถาม :   อุบัติเหตุเจ้าค่ะ   พอดีไปทำบุญถวายโลงศพก่อน   ก็แทนที่รถคันใหญ่จะวิ่งมาชนตรงคนขับ   ก็กลายเป็นรถมอเตอร์ไซด์วิ่งเข้ามาแล้วหลังจากนั้นก็ป่วยหนักจนกระทั่งลุกไม่ขึ้น    มันต่อเนื่อง    แล้วพอดีก็เกิดเหตุกับที่ทำงานอีก    สงสัยว่า   อันนี้หรือเปล่าที่เราทำบุญแล้วมันลดความรุนแรงลง
       ตอบ:     ลดลงเยอะเลย    เพราะว่าไม่อย่างนั้นแล้วอาจเจอคันใหญ่แทนซึ่งถ้าสวัสดีมีชัยจริง  ๆ   โลงที่เราบริจากก็ได้นอนเอง   แต่บังเอิญว่าสิ่งที่เราทำเป็นบุญใหญ่โดยเฉพาะการบริจาคโลงศพ     การบริจาคโลงศพนี่เป็นตัวมรณานุสสติ    เรารู้อยู่แล้วว่าเราบริจาคไปเพื่อให้คนตายถ้าหากว่าเรามีปัญญาคิดต่อนิดหนึ่ง      ตัวเราก็ตายเหมือนกัน   คนรอบข้างก็ตายเหมือนกัน   ถ้าขึ้นชื่อว่าเราเกิดมาแล้วไม่อาจเลี่ยงจากความตายนี้พ้น      เกิดมากี่ชาติก็เป็นอย่างนี้เราอยากเกิดอีกมั้ย ?    เป็นมรณานุสสติ    เป็นกรรมฐานที่ใหญ่มาก    ในเมื่อเป็นกรรมฐานที่ใหญ่มาก   บุญก็สูง    ถึงอกุศลกรรมจะแรงมาก   แต่กำลังบุญก็เหนือกว่าทำให้สามารถหลบเลี่ยงจากหนักเป็นเบา    จากเบาเป็นหายไปได้     เพราะฉะนั้น    แทนที่จะเป็นราชรถสิบล้อก็แค่มอเตอร์ไซด์จ้ะ    
       ถาม :     ถ้าอย่างนี้   เรารู้ว่าเราจะมีเคราะห์    เราไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลย   คือ   เท่าที่ทำมามันก็มีบ้าง
       ตอบ:   จ้า   แล้วคำถามอยู่ตรงไหนจ้ะ 
       ถาม :    อ๋อ! ทำอย่างไง   จะไม่ให้มันเกิดขึ้น ?
       ตอบ:     ไม่ให้เกิดขึ้นเลย    อย่าเกิดจ้ะ    ถ้าเกิดเมื่อไหร่โดนแน่  ๆ  เมื่อครู่ตอบไปแล้ว    พวกเราไม่ได้เจตนาฟังหรือไม่ก็ความสนใจกระโดดข้ามไป   ก็คือว่า    เราทำบุญให้ต่อเนื่องไว้   ในเมื่อเราทำบุญต่อเนื่องอยู่   ตัวกรรมก็ไม่สามารถเข้ามาแทรกได้    แต่ของเราส่วนใหญ่บุญของเราไม่ได้ทำต่อเนื่อง    เราทำในลักษณะที่   ทำ   ๆ   เว้น  ๆ   บุญตัวที่ใหญ่ที่สุดก็คือบุญจากการภาวนา      ถ้ากำลังใจของเรามั่นคง    ตัวเคราะห์กรรมกินเราได้น้อยมาก  แต่ส่วนใหญ่เราภาวนามั่งด่าชาวบ้านเขามั่งมันไม่ต่อเนื่องกัน   ก็เลยเปิดโอกาสให้เขาแทรกได้อยู่    
                 เพราะฉะนั้นเรื่องของทาน  ศีล  ภาวนาจำเป็นต้องทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องกัน     ไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาอย่างพระวัดเกาะฤๅษีจ้ะ     บางวาระก็ต้องกินกันแทบตายเลยอาหารมันล้นเหลือ    ขณะเดียวกันอาทิตย์ต่อมาก็ว่ามาม่าซะเจ็ดวันซ้อนทำบุญไม่สม่ำเสมอจ้ะ    ไม่ต้องโทษใครหรอก
       ถาม :    ขอถามเรื่องการฝึกสมาธิ    ไปฝึกสมาธิเรื่องเกี่ยวกับเรื่อง    จักระนะค่ะ ?
        ตอบ:   พอมีความรู้อยู่นิดหนึ่งจ้ะ    เอ้า ! ว่าไปเลยจ้ะ
       ถาม :    เขาใช้การฝึกจักระโดยการดูดพลังจากธรรมชาติ   ที่เวลานั่งสมาธิ    เขาก็จะนั่งติดกับพื้นดิน   แล้วก็นั่งตอนเช้าเพื่อรับแสงอาทิตย์แล้วก็นั่งริมแม่น้ำเพื่อรับความเย็นจากแม่น้ำ
        ตอบ:    แล้วนั่งกลางคืนแล้วยัง   โดยเฉพาะคืนวันเพ็ญ 
        ถาม :     ยังไม่เคยนั่งเจ้าค่ะ
        ตอบ:     ระวังไว้    มันจะหอนได้จ้ะ  (หัวเราะ)   ไอ้เรื่องนั่งกลางคืนมันทำได้    แต่ไอ้เรื่องหอนน่ะพูดเล่น    แล้วก็รับพลังจากดวงจันทร์ด้วยแล้วต่อไปว่ายังไง
       ถาม :  พลังพวกนี้นี่เราสามารถเอามาใช้ได้จริงมั้ยคะ  ?
        ตอบ:     สามารถใช้ได้จ้ะ    แต่ว่าจริง   ๆ   แล้ว  พลังงานทั้งหมดที่มากจากภายนอก   ไม่มีอะไรสู้พลังจิตที่เกิดจากการฝึกฝนที่ดีแล้วได้    วิชาการเหล่านี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้าท่านไม่ทราบ    ท่านทราบดีซะยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด   แต่ว่าตรองดูแล้วเห็นว่ามันเป็นวิชาที่ขวางกับมรรค  ผล   ท่านก็เลยตัดมันออกไป    
                  ดังเช่นในพระธรรมบทที่ท่านเขียนเอาไว้ชัดเจน   ว่าวันหนึ่งพระพุทธองค์เสด็จออกไปยังป่าประดู่ลาย     พร้อมกับทรงถือใบประดู่มาหนึ่งกำมือยกให้ภิกษุทั้งหลายดู    แล้วตรัสว่า   ภิกขเว   ดูก่อนภิกษุทั้งหลายใบประดู่ในกำมือตถาคตนี้กับใบประดู่ในป่าอันไหนมากกว่ากัน......พระภิกษุทูลตอบว่า    ใบประดู่ในป่ามากกว่าจนประมาณไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า    พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่านั้นแหละ    สิ่งที่ตถาคตรู้   คือใบประดู่ในป่า     แต่สิ่งที่ตถาคตสอนพวกเธอคือใบประดู่กำมือเดียว   ท่านเลือกเอาใบประดู่กำมือเดียวที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สุขในปัจจุบันและประโยชน์สุขในอนาคต   โดยเฉพาะการหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานมาสอนเราเท่านั้น   กำมือเดียวนี่แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์     ก็ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าทั้งป่านี่มันเท่าไร      
                 ดังนั้นวิชาการเหล่านี้   พระพุทธเจ้าท่านทราบอยู่แล้ว    แต่ท่านเห็นแล้วว่า    มันไม่ใช่    เพราะว่าลำบากมาก    จนกระทั่งบรรลุได้ยากเต็มที  มันกลายเป็นวิชาที่ขวางกับการปฎิบัติสายตรง   ท่านก็เลยไม่สอน     แต่ว่าคนปัจจุบันนี่เขาเก่ง   พยายามที่จะสอนกัน   เราเองเก่งได้อย่างเขาบ้างก็ดีเหมือนกันน่ะ     มันเป็นความรู้พิเศษเพิ่มขึ้นมา     แต่ว่าจำไว้ว่า    ถ้าเรามุ่งมรรคผล     โดยตรงมันก็ทำให้เราเสียเวลา    พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ปรารถนาธรรมที่ไม่เนิ่นช้า    ถ้าทำให้ช้า    ท่านไม่เอาด้วย  
  |