ถาม :  ผู้ที่เล่นกสิน หรือเล่นทางอิทธิฤทธิ์ ก็ลักษณะเดียวกัน ?
      ตอบ:   อันนั้นลักษณะเดียวกัน แต่อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านต่อท้ายไว้ ท่านมีวิปัสสนาญาณต่อท้ายอยู่ แต่ว่าพวกที่เล่นในสมัยก่อนอย่างพวกพราหมณ์พวกอะไรนี่ เขาเอาฤทธิ์เดชโดยตรงอย่างเดียวไม่มีการเลี้ยวเข้าหามรรคผลเลย ดังนั้นสิ่งไหนที่สามารถเลี้ยวเข้าหามรรค-ผล ง่าย ๆ กำลังสูงพอที่จะกดกิเลสหรือตัดกิเลสได้ พระพุทธเจ้าท่านถึงสอน ถ้าไม่สามารถที่ทำได้ท่านก็ปล่อยให้เป็นใบประดู่ในป่าต่อไป
      ถาม :  แล้วอย่างนี้พวกฤทธิ์ หรืออะไรต่าง ๆ นี่มันเกิดขึ้นมาได้ยังไงเจ้าคะ ?
      ตอบ:   เกิดขึ้นจากการฝึก เกิดขึ้นจากกรรมเก่า เกิดขึ้นจากบุญเก่าเหล่านี้ เป็นต้น ฤทธิ์ไม่ได้มีอย่างเดียว ฤทธิ์ที่เกิดจากการฝึก เรียกว่า วิกุพนาฤทธิ์ เรียกว่าฌานฤทธิ์ วิกุพนาฤทธิ์ คือพวกที่ฝึกกสิณสิบสามารถสำแดงฤทธิ์ด้วยวิธีประหลาด....พิลึกพิลั่นเกินกว่าชาวบ้านเขาทำได้อย่างพวกเดินน้ำ- ดำดิน-เหาะเหิน อะไรพวกนี้เป็นต้น ฌานฤทธิ์คือฤทธิ์ที่เกิดจากผู้ที่ทรงฌาน ทรงสมาบัติ กำลังจิตสูงมาก ต้องการให้เป็นอย่างไร ก็เป็นไปได้ บุญฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากการสั่งสมบุญมาระยะเวลายาวนานถึงเวลาปรารถนาอะไรก็จะเป็นไปตามที่ตนต้องการ อธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากการตั้งใจมั่น
              ในเมื่อตั้งใจมั่นแล้ว กำลังใจส่งผลให้สิ่งนั้น ๆ เกิดขึ้นได้ กรรมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิบากกรรม อย่างเช่นว่า นกทำไมถึงบินได้โดยไม่ต้องฝึกกสิณ ปลาทำไมอยู่ในน้ำได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องฝึกกสิณ .... ทำไมไส้เดือนมันมุดดินได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกกสิณเลย อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็มี ฐานะฐานะฤทธิ์ ฤทธิ์อันเกิดจากฐานะอันสูงอย่างเช่นพระเจ้าแผ่นดิน เจ้าพระยามหากษัตริย์ เจ้าคนนายคน บัญชาการได้สั่งให้เป็นก็ต้องเป็น สั่งให้ตายก็ต้องตาย เป็นต้น ไล่ไปเรื่อย ๆ จนถึงประเภท วิชามัยฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิชาการสร้างเสริมมา ทำไมเหล็กหนักเป็นตัน ๆ ถึงเอาไปบินบนฟ้าได้ ทำไมเอาไปลอยในน้ำได้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ครบทุกอย่าง แล้วฉะนั้นถึงได้ถามว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร มันก็หลายวิธีด้วยกัน สร้างขึ้นมาก็มี บุญเก่าเสริมก็มี กรรมเก่าเสริมก็มีฝึกฝนขึ้นมาก็มี
      ถาม :  แล้วพวกที่ได้ตาทิพย์ หูทิพย์ พวกที่เห็นอดีตชาติ อนาคตอย่างนี้ถือเป็นฤทธิ์มั้ยคะ ?
      ตอบ:   เป็น ก็อภิญญานี่มันยิ่งกว่าฤทธิ์อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าฤทธิ์เหล่านี้ ถ้าหากว่าเรารู้ แล้วก็ละมันเสีย รู้ เพื่อให้รู้ว่าในแต่ละชาติของเราเกิดมาแล้ว มีสภาพแท้จริงเป็นอย่างไรแต่ถ้ารู้แล้วไปยึด ไปติด ไปเกาะมัน มันก็ทำให้เราติดอยู่แค่นั้นไม่สามารถจะก้าวหน้ามากขึ้นกลายเป็นมรรคขวางผลไปอีกเขาเรียกอภิสังขารมาร อภิสังขาร คือ เหนือการปรุงแต่ง ก็ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าความดีระดับนี้ สามารถทำให้คนติดอยู่ได้ กลายเป็นมารขวางความดีไปได้ สามารถสร้างสมาบัติขึ้นมาได้แต่บังเอิญเผลอไปหน่อยลืมตัวด้วยวิปัสสนาญาณ ติดแหง็กอยู่ที่อรูปพรหมแปดหมื่นมหากัปป์ นิดเดียว พระพุทธเจ้าเกิดกี่หมื่นพระองค์ ก็ไม่รู้....หือ กลายเป็นว่าความดีก็สามารถขวางเราได้
      ถาม :  แล้วอย่างนี้การนั่งสมาธิแล้วเกิดปีติ ก็ถือว่าเป็นมารอย่างหนึ่ง ?
      ตอบ:   ต้องระวังเอาไว้ ในช่วงปีติมารแทรกง่ายที่สุด กำลังใจมันกำลังฟูเต็มที่ เลยยุ เอ้า! ทำต่อไปเลยลูกเอ้า ห้าชั่วโมง พักเดียวก็สติแตกแล้วเพราะร่างกายมันทนไม่ไหว เพราะฉะนั้นต้องระวังให้สุดขีดเลย
      ถาม :  แล้วนั่งแล้วขยับตัวไม่ได้ ไม่ใช่เพราะ....
      ตอบ:   นั่งแล้วขยับตัวไม่ได้ มันเป็นยังไง ?
      ถาม :  พอนั่งไปปุ๊ปจะมีความรู้สึกเกิดปีติ พอเกิดปีติปุ๊ปจะรู้สึกอยากจะคงสภาพอันนั้น แล้วมันก็ไม่ยอมขยับตัว อยู่นิ่งไปเลย
      ตอบ:   อาการนั้นเป็นอาการของการทรงฌานนะ เราก็ใช้กำลังอันนั้นเกาะพระนิพพานไว้ แล้วยิ่งดี มโนมยิทธิยิ่งดี กำลังของฌานทรงตัว ใช้กำลังอันนั้นเกาะพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานเอาไว้ ถ้าอย่างนี้จะไม่เป็นตัวสังโยชน์ในรูปราคะ อรูปราคะ เพราะว่าเราใช้กำลังของรูปฌานและอรูปฌานโดยตรงในการเกาะพระนิพพานอยู่แล้ว แต่ถ้าหากว่าเราไปติดอยู่กับความสุขตรงนั้น โดยไม่รู้จักใช้กำลังเกาะพระนิพพาน อันนั้นมันเป็นตัวขวางที่เรียกว่าสังโยชน์ จะเป็นตัวร้อยรัดให้เราติดอยู่ในวัฏฏะตัวใหญ่ตัวหนึ่ง
      ถาม :  ไม่ทราบว่าคนอื่นเขาเป็นแบบตัวเองหรือเปล่า เวลาจะเกิดเหตุ หรือเกิดเหตุการณ์มันจะมีเสียงเตือน
      ตอบ:   ก็มี เยอะต่อเยอะด้วยกัน แต่ขณะเดียวกันบางคนสภาพจิตที่ปราศจากการฝึกฝนทำให้มืดบอดหรือไม่ก็หนามากจนกระทั่งเขาไม่สามารถจะแทรกเข้ามาเตือนได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องปล่อยวางเหมือนกันว่าปล่อยมันเหอะ ของเราถ้าหากว่าเตือน เตือนบ่อย ๆ แล้วเหตุการณ์มันเกิดขึ้นจริง ต่อไปเมื่อได้รับ การเตือนก็ให้ระมัดระวังไว้ ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่เกิดขึ้น ก็แล้วไป แต่ถ้าเกิดขึ้น จากหนักก็จะกลายเป็นเบา เพราะเราระวังอยู่แล้ว
      ถาม :  เสียงสัญญาณเตือนที่ได้ยินนั้นมาจากไหน ?
      ตอบ:   หลายอย่างด้วยกัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นประเภทที่เขาเรียกว่าเทวดาประจำตัว ญาติพี่น้อง พ่อแม่ หรือครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูงที่สนิทกัน เมื่อเขาถึงแก่ชีวิตไปแล้ว ไปอยู่ข้างบน เขายังจดจำเราได้อยู่ ในเมื่อจดจำเราได้ ความรักความห่วงยังมีอยู่ เขาก็พยายามจะสงเคราะห์ช่วยเหลือเราโดยเฉพาะทางด้านดี การสงเคราะห์การช่วยเหลือของเขาทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าไม่เกินวิสัย เขาพยายามจะช่วย
      ถาม :  สงสัยเกี่ยวกับเรื่องพวกสัตว์เดียรัจฉานว่าสามารถที่จะทำบุญได้กุศล ผลบุญจากการกระทำ ?
      ตอบ:   ได้จ้ะได้ เต็มที่เลยยิ่งกว่าเราอีกอย่างเช่นว่า เอราวัณเทพบุตร ก็เป็นช้างเขาใช้ในการชักลากไม้เพื่อช่วยในการก่อสร้างสาธารณประโยชน์ พอตายแล้วท่านไปเป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ โฆษกเทพบุตร ช่วยนำทางให้กับพระปัจเจกพุทธเจ้า ช่วยเห่าระวังป้องกันสัตว์ร้ายให้ เมื่อถึงเวลาตายก็ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เหมือนกัน สัตว์เดียรัจฉานสามารถทำบุญได้ขณะเดียวกัน สิ่งที่เขาทำบาปนั้นโอกาสแทบจะไม่มี โดยเฉพาะสัตว์เดียรัจฉานที่เกิดใกล้คน ใกล้พระก็ดีพวกเหล่านี้ถ้ามีโอกาสอยู่ใกล้มนุษย์ กรรมของการเป็นเดียรัจฉานของเขาจวนหมดแล้ว ถ้าจิตเกาะคนก็เกิดเป็นคน ถ้าจิตเกาะพระหรือเกาะความดีก็เกิดเป็นเทวดาไปเลย โอกาสทำชั่วของเขาน้อยมาก นาน ๆ จะมีเดียรัจฉานลงสู่อบายภูมิที่ต่ำกว่าการเป็นเดียรัจฉาน ส่วนใหญ่ไม่เสมอตัวก็มีแต่ก้าวหน้าขึ้นไป
      ถาม :  ทำไมเป็นอย่างนั้นเจ้าคะ ?
      ตอบ:   มันคล้าย ๆ กับโอกาสที่เขาทำผิดมันน้อยแล้ว มันไม่เหมือนของเรา
      ถาม :  เวลาที่เขาบอกว่าบำเพ็ญบารมีมาเท่านั้นเท่านี้อสงไขยน่ะค่ะ นับแต่เฉพาะที่เกิดเป็นมนุษย์ แต่ก็มีบางชาติที่เกิดเป็นพรหมหรือว่าอยู่ในธรรมชาติอย่างเกิดเป็นกระต่ายหรือว่า....?
      ตอบ:   เป็นทุกอย่าง นับรวมกัน แต่ว่าการบำเพ็ญบารมีในขณะนั้นจัดอยู่ในระดับไหน ที่เขานับน่ะ เขาไม่ได้นับอยู่แต่มนุษย์หรอก ถ้านับแต่มนุษย์นี่ตายเลย ! ไปแทรกอยู่ในนรกบ้าง เปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดียรัจฉานบ้าง พรหมบ้าง ถ้านับแต่มนุษย์นี่พอดีแหละ แค่หนึ่งอสงไขยกับแสนมหากัปก็ตายแหงแล้ว มันเกิดน้อยเหลือเกิน มันเกิดเป็นอย่างอื่นซะมากกว่า
      ถาม :  จากสัตว์เดียรัจฉานไปถึงพวกแมลง พวกสัตว์ที่มีระดับต่ำกว่าแมลงนี่เขาทำกรรมอะไรนักหนา....ดวงวิญญาณเขาถึงได้ลงไปถึงขนาดนั้น ?
      ตอบ:   แหม! แค่สัตว์เดียรัจฉาน เขาบอกขนาดนั้น แล้วสัตว์นรกเอย เปรตเอย อสุรกายเอย มันหนักหนากว่าสัตว์เดียรัจฉานหลายเท่าเลย สัตว์เดียรัจฉานนี่มันเป็นตอนท้าย ๆ ของกรรมแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าดูในอเวจีแล้ว ทำไมมันถึงขนาดนั้น ปรากฏว่าโลกันต์หนักกว่าอีกสี่เท่าของอเวจี สัตว์เดียรัจฉานนี่ถือว่ากรรมเบามากแล้วจ้ะ
      ถาม :  มันจะมีอาชีพบางอาชีพน่ะค่ะ อย่างพวกเพชฌฆาตพวกแม่ค้าปลาที่ต้องฆ่าสัตว์ พวกนี้เขามีกรรมมั้ยคะ ?
      ตอบ:   มีร้อยเปอร์เซ็นต์เลย (หัวเรอะ) แล้วทำไมล่ะ ?
      ถาม :  ก็เลยสงสัยว่า อาชีพเหล่านี้ เขาทำเพื่อยังชีพ เขาจะมีกรรมติดตัวไป
      ตอบ:   มีเต็มที่เลย จะฆ่ากี่ตัวก็โทษเท่านั้นแหละ ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้จะลงอเวจีมหานรก เพราะว่าทำเป็นประจำ การที่เราทำเป็นประจำเรียกว่าอาจิณกรรม ส่วนใหญ่จะลงอเวจีมหานรก โทษหนักมากจะอ้างว่าเลี้ยงชีพไม่ได้ เพราะว่าการเลี้ยงชีพ อาชีพอื่นมีมากมายทำไมคุณถึงไม่ทำ จริงไหมเอ่ย ?
      ถาม :  แล้วอยากจะถามว่า สัมมาอาชีพ การประกอบอาชีพเป็นส่วนใหญ่ที่ทำให้เป็นมงคลต่อชีวิตนี่
      ตอบ:   ก็เป็นอาชีพที่ไม่ผิดศีล และไม่ผิดกฏหมายบ้านเมือง ถึงได้เรียกว่าสัมมาอาชีวะ อะไรก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ผิดศีล คือไม่ล่วงในศีลห้า กรรมบถสิบอย่างหนึ่ง แล้วก็ไม่ล่วงกฎหมายบ้านเมืองอย่างหนึ่ง
      ถาม :  อย่างนี้ผู้พิพากษา เขาตัดสินประหารชีวิตจะบาปมั้ยครับ ?
      ตอบ:   จะเรียกว่าบาปก็ไม่ได้เพราะว่ายิ่งถ้าหากเขาคิดเป็นตัดตอนเป็นนี่ โทษไม่มีเสียด้วยซ้ำไป ทำตามหน้าที่เพื่อรักษาความสุขความสงบให้กับส่วนรวม เขาเป็นแค่ผู้ตัดสินแต่เขาไม่ได้บอกว่าเขาไปลงมือฆ่าและโดยเฉพาะว่าเจตนาการโกรธเคืองกันไม่มี เป็นการลงโทษเพื่อสุขสงบของสังคม จะเรียกว่าไม่มีโทษเลยก็ไม่ได้ แต่ว่าโทษมันน้อยมาก ขณะเดียวกันถ้าเขาตัดตอนของอารมณ์ใจของเขาได้ด้วยยิ่งสบายเลย ไม่มีโทษเสียด้วยซ้ำไป การตัดตอน ก็คือว่า เราทำหน้าที่ของเรา เราทำแค่นี้ ส่วนอื่นเขาจะไปตายเพราะมือใครไม่เกี่ยวกับเราเลย
      ถาม :  แล้วอย่างนี้เจ้าของโรงฆ่าสัตว์ ถ้าเกิดเขาคิด เขาก็ไม่บาป ?
      ตอบ:   จะไม่บาปได้ไง สั่งให้ฆ่า เจตนาแรกของมันก็เต็มที่แล้ว ตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อให้เขาฆ่าใช่มั้ย ?..หนักเลย
      ถาม :  แล้วอย่างหมอ คนป่วย ป่วยหนักเลยไม่อยากอยู่แล้ว ขอให้ฆ่าตัวเองอย่างนี้เป็นกรรมมั้ยคะ ?
      ตอบ:   เป็นจ้ะเป็น เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินชีวิตใครนอกจากกฎของกรรมให้เป็นไปเท่านั้นเป็นเหมือนกัน แต่ว่าเขาไม่ได้ทำโดยมุ่งร้ายจิตใจไม่ได้ประกอบไปด้วยโทสะ จะเป็นเมตตาซะด้วยซ้ำไปโทษมันก็เลยไม่โดนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าการที่เราฆ่าคนอื่น ส่วนใหญ่มันเกิดจากโทสะ เรารู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่หนึ่ง สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่หนึ่ง เราตั้งใจฆ่าหนึ่ง เราลงมือฆ่าหนึ่ง เราฆ่าสำเร็จหนึ่ง ถ้าประกอบด้วยห้าส่วนนี้โทษเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ อันโน้นของเขาหลุดไปหลายส่วนโดยเฉพาะเจตนาฆ่าให้ตายไม่มี
      ถาม :  ถ้าเอาเครื่องช่วยหายใจออก ?
      ตอบ:   ตั้งใจให้เขาตายหรือเปล่า ? ( หัวเราะ) เดี๋ยวกลายเป็นยายชลดาโทรมาจะให้ช่วยให้แม่ตายเร็ว ๆ อาตมาล่ะกลุ้มใจ จะให้พระไปฆ่าคน
      ถาม :  ถ้าเกิดว่าไม่ได้ใช้เครื่องช่วยหายใจ ก็ตาย
      ตอบ:   ตอนที่ใช้ช่วย ...ก็ช่วยมันไปก่อนเหอะ แต่มันมีอยู่อย่างหนึ่งบางทีที่อยู่ในห้องไอซียูนี่ จิตมันออกจากร่างไปนานแล้ว ถ้าอย่างนั้นเอาออกมันก็ไม่ได้ฆ่าใครหรอก ไอ้รถมันอยู่ได้เพราะว่าเติมน้ำมันไปเรื่อยเขาแค่หยุดเติมน้ำมันเท่านั้นเองไอ้คนขับเปิดไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่อันนั้นมันต้องรู้จริง ถ้าไม่รู้จริงนี่อย่าไปเสี่ยงเลยกลายเป็นตกนรกตั้งใจฆ่าคนเสียเปล่า ๆ
      ถาม :  แล้วอย่างคนที่เข้าไอซียู เพราะเกิดอุบัติเหตุ เพื่อนฝูงรอบข้างเห็นเขาไปหาทุกคนเลย
      ตอบ:   ประเภทนั้นแหละคือว่าเขาไปแล้วล่ะจ้ะ เพียงแต่ว่าที่อยู่นั้น สภาพร่างกายมันยังมีเชื้อเพลิง มันก็ทำงานไปตามวาระ เหมือนยังกับว่าขับรถมาแล้วเราดับเครื่องแล้วแต่ว่ารถมันยังไม่มีแรงเฉื่อยมันยังไหลไปได้ระยะหนึ่งอย่างนั้นแหละถ้าไม่เบรกอาจชนเขา ของเขาก็เหมือนกันจิตมันออกไปแล้ว แต่ว่ามันยังเป็นสภาพร่างกายยังทำงานอยู่ด้วยเครื่องมือหมอบ้าง หรือว่ามันยังเป็นสภาพที่ยังไม่แตกดับอย่างแท้จริงบ้าง มันก็เลยว่า ตัวเขาเองโน่นตะลอนตะลอนไปหาเพื่อนฝูงซะทั่วประเทศแล้ว
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ ถ้าเกิดว่าลูกช่วยแม่ เป็นอนันตริยกรรมมั้ยครับ ?
      ตอบ:   ก็มีสิทธิ์เลยล่ะจ้ะ
      ถาม :  ถ้าตังค์หมดจะทำยังไง ?
      ตอบ:   ก็แล้วแต่หมอ อย่าไปสั่งหมอให้เอาออกแล้วกัน