| 
 
 สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
 ณ.   บ้านอนุสาวรีย์    เดือนมีนาคม   พ.ศ.   ๒๕๔๔  (ต่อ) 
      ถาม :   ............(ฟังไม่ชัด).........
       ตอบ:   ตัวนั้นสำคัญที่สุด   การพิจารณาตัวเอง   คือ   กำหนดไว้เลยว่า    ยี่สิบสี่ชั่วโมงเราทำดีกับทำไม่ดี   อันไหนมันมากน้อยกว่ากัน   พยายามให้ส่วนของความดีมีให้มากกว่า    จนกระทั่งสามารถที่จะดำรงอยู่ในความดีได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง      ไม่อย่างนั้นเราจะขาดทุน
       ถาม :   มีคนบอกว่าถ้าเราจะรักษาศีลไม่ทานเนื้อสัตว์......(ฟังไม่ชัด)...
        ตอบ:    ไม่จำเป็น    รักษาศีล   กินเนื้อสัตว์ได้เป็นปกติ    เพียงแต่ว่าเราอย่าไปสั่งให้เขาฆ่า   อย่าลงมือฆ่าเอง     ที่เขาขายกันทั่ว  ๆ ไป    ตามท้องตลาดเราซื้อหรือไม่ซื้อ    เขาก็ขายอยู่แล้ว      ถ้าพวกนั้นไปถึง    ก็ซื้อมาเถอะอย่าไปทุบเอง     ฆ่าเองก็แล้วกัน    สำหรับพระละเอียดหน่อย      พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า     ถ้าไม่รู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา     ถ้าไม่เห็นเขาฆ่าเพื่อเรา     ถ้าไม่รังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเรา    อย่างนี้ถึงจะฉันได้     ถ้ารู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา      เดินเข้าหลังบ้านไปสักพักหนึ่ง    ยกแกงออกมาแล้ว     อ้าว  !เมื่อกี้นี่มันมีเสียงไก่โดนเชือดนี่หว่า      นี่รู้ว่าฆ่าเพื่อเราใช่มั้ย  ?    หรือเห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเราต่อหน้าต่อตาเลย    แล้วรังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อให้เรากินโดยเฉพาะหรือเปล่า    ถ้าอย่างนี้ฉันไม่ได้      สำหรับฆราวาสแล้วถ้าหากว่าไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า     ไม่ได้ลงมือเองไปซื้อตามท้องตลาดที่เขาทำไว้เรียบร้อยแล้ว   ก็ได้เลยก็พระยังฉันได้    ฆราวาสจะไม่ได้ได้ยังไง
       ถาม :   ..........(ฟังไม่ชัด).......เขาบอกว่าศีลยังรักษาได้ไม่ครบ   อย่างศีลข้อหนึ่ง    ก็คือเราไปเบียดเบียนสัตว์
       ตอบ:    บอกเขาไปว่าศีลข้อหนึ่ง   ห้ามฆ่าสัตว์นะ   เรื่องของศีลนั้นตรงไปตรงมา    คำว่าเบียดเบียนสัตว์เพิ่มขึ้นกลายเป็นกรรมบทสิบ   กรรมบทสิบนี่เขาถือการเบียดเบียนด้วย    มันจะละเอียดขึ้น    แต่ว่าขณะเดียวกันว่า     การกินมังสะวิรัต      ถือว่าดีมาก     เพราะว่าเป็นการงดเว้นโดยสิ้นเชิง    มีจิตประกอบไปด้วยเมตตาต่อสัตว์โลกเป็นปกติ    แต่นั้นหมายความว่า ต้องทำเพื่อละจริง  ๆ     ถ้าทำแล้วไปอวดหรือไปคิดว่าตัวเองดีกว่าเขา    ตัวเองปฎิบัติเคร่งครัดกว่าคนอื่นเขา    อย่างนั้นนี่...รู้สึกว่ากินเนื้อสัตว์กิเลสจะน้อยกว่าเยอะ    สำคัญตรงที่ว่าเราไปยึดถือการปฎิบัติของเรากว่าดีหรือเปล่า      เคร่งกว่าหรือเปล่า     ถ้าทำอย่างนั้นถึงงดกินเนื้อสัตว์ไปก็เท่านั้นแหละ
        ถาม :   เป็นการอวดกิเลส  ?
        ตอบ:    เป็นการอวดความดีของตัวเอง
        ถาม :  .........(ฟังไม่ชัด)......เราก็ไม่อยากให้ใครมองไม่อยากให้ใครมารู้ว่า    คือ    อยากให้เรารู้เองของเรา
        ตอบ:    อยู่กับโลกตามปกติ..แต่ว่าเราไปแค่กรอบของศีล   คลุกคลีตีโมงกับเขาได้   จะไปเที่ยวไปเตร่ไปเฮไปฮาเราไปได้แต่ถ้าหากว่าเขาพาเราไปฆ่าสัตว์   เราไม่เอา    พาเราไปกินเหล้า   เราไม่เอา   เราจะมีกรอบของเราอยู่   ไปมันแค่นั้น   มันไม่ได้ปฎิเสธโลก    เราอยู่กับโลกอย่างมีสติเสียด้วยซ้ำไป     เพราะเราระวังอยู่เสมอว่าศีลจะขาดหรือเปล่า
         ถาม :    ไม่ได้ห้ามฟังเพลง  ?
        ตอบ:    ไม่ได้ห้ามเลยจ้ะ    ศีลห้าข้อไม่ได้ห้าม   ว่าได้เต็มที่
       ถาม :    มันอยู่ที่จิตของเราใช่มั้ย    ถ้าเรารู้อยู่    ว่าเราทำอะไรอยู่    เราอยู่ตรงไหน   ?
        ตอบ:    รู้อยู่    พอขยับ    ก็รู้แล้วว่าศีลจะขาดมั้ย  !
       ถาม :   เราทำตัวปกติธรรมดา    เหมือนคนธรรมดา   แต่ใครจะไปรู้ว่าเราทำอะไรอยู่
        ตอบ:    ใช่   ตัวนั้นแหละ    เพราะว่าการทำนี่   มีหลายคนที่ทำลักษณะอวดคนอื่นเขาลักษณะอย่างนั้นมันจะกลายเป็นอุปกิเลส      อุปกิเลสก็คือว่า     เเทนที่จะทำโดยเจตนาบริสุทธิ์ในการลด  ละ   เลิก   ซึ่งความไม่ดีในใจของเรา   ก็กลายเป็นทำเพื่อให้คนอื่นเขาเห็นว่าเราดี
        ถาม :  ชอบเพราะเขาสรรเสริญว่าเราดี
        ตอบ:   ก็ยิ่งกลายเป็นอะไร...เขาเรียก   สีลัพพัตตุปาทาน       คือ   การยึดมั่นในศีลพรต     คือแนวปฎิบัติของตนเองว่าดี   แทนที่   จะลด   จะละ    จะเลิก    ก็กลายเป็นเกาะเพิ่มขึ้นอีก
        ถาม :   แล้วคนที่ละวางได้.......(ฟังไม่ชัด).......
       ตอบ:    ไม่ใช่     คนที่ละวางมากเท่าไรยิ่งขยันมากกว่าปกติ   เพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าเวลามีแค่นี้เท่านั้นหรือว่ามีแค่วันนี้เท่านั้น       คนที่มีเวลาแค่วันนี้เท่านั้น   ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด    จะขยันกว่าคนอื่นเยอะเลย     หน้าที่การงานอะไรในปกติธรรมดาของตน    ทำหน้าที่นั้นจนเต็มที่    เพื่อว่าถึงเวลาแล้วจากไปอย่างสง่างามที่สุด    ไม่มีใครนินทาว่าร้ายตามหลังไปได้    ขยันกว่าปกติ   ไม่ได้ขี้เกียจ    ถ้าปล่อยวาง   แล้วขี้เกียจ   นั้นไม่ใช่แน่   เลยจ้ะ
       ถาม :   อย่างเวลาเขาแข่งกัน   เราก็มามองว่า  ทำไมเราต้องแข่งกัน  ?
         ตอบ:   อย่างนั้นมันเป็นเรื่องปกติของเขา    เราเองมันไม่อยากในตรงนั้นใช่มัย  ?     แต่ว่าหน้าที่รับผิดชอบของเรา   เราต้องทำให้ดี    ทำเต็มความรับผิดชอบของเรา   ทำเหมือนกับมีวันนี้วันเดียว        ผลงานทุกอย่างต้องให้มันลงตัว      คนอื่นเขามาสานต่อจะได้ไม่ต้องลำบาก
         ถาม :   มานั่งคิดดู.......(ฟังไม่ชัด)........
        ตอบ:   ไม่ใช่   จริง ๆ   แล้วก็คือว่า    หน้าที่ของเรามีอย่างไรทำอย่างนั้นและทำให้ดีที่สุด     มันยิ่งกว่าแข่งนะ   เพราะถ้าเราทำเต็มกำลังของเราถึงไม่ต้องแข่ง     ประเภทที่เรียกว่าเราทำดีอยู่แล้ว      คราวนี้คนที่ทำดีสม่ำเสมอกับคนที่ดีในบางเวลานี่    เขาสู้เราไม่ได้      จะดีไปกว่าเขาเสียด้วยซ้ำไปถ้าหากว่าเป็นเจ้านายพิจารณาผลงาน  เออ! คนนี้เขาเสมอต้นเสมอปลายดี   ผลงานต่าง  ๆ   จะเป็นของเรา   ดีไม่ดีจะเจริญกว่าคนอื่นเขาเยอะ
        ถาม :  .........(ถามเกี่ยวกับเรื่อง ช่างเขาเถอะ).........
        ตอบ:    ช่างเขาเถอะ    นั้นเป็นเรื่องของอารมณ์ใจ    เราจะไม่เก็บมาคิด    ให้มันเสียเวลา   เพราะถ้าเราเก็บเข้ามาเมื่อไร   ก็คือการเอาสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในใจ เราก็ปล่อย     ช่างเขาเถอะ    เขาเองเขาคิดว่าดี   เขาถึงทำ   ส่วนเราของเรา    เรารู้ว่าตรงนี้ดีเราก็ทำให้เต็มที่ของเราไป  
       ถาม :    มีคนบอกว่าถ้าเราจะรักษาศีลไม่ทานเนื้อสัตว์......(ฟังไม่ชัด)...
        ตอบ:   แต่เราอยากรู้  เราไม่รู้ว่าการที่เขาทำ   เขาจะคิด.......(ฟังไม่ชัด).......
       ตอบ:     ตัวนั้นไม่เกี่ยวกันเลย   ไม่คิดนั่นมันยาก    เพราะส่วนใหญ่เขาจะคิดกันทั้งนั้นส่วนใหญ่ก็ไม่ทราบว่าตัวทุกข์เพราะความคิดตัวเอง    จะรู้สึกมันมากกับการคิด    เหมือนกับคนกินของเผ็ด     รู้อยู่ว่ามันเผ็ดแต่มันอร่อย     หารู้ไม่ว่ามันทำให้ลำบากปวดท้องปวดไส้ทีหลัง    ตั้งหน้าตั้งตากินแล้วมาบ่นทีหลังว่าเผ็ดจังเลย
       ถาม :   เคยมานั่งคิดเหมือนกันนะ   อย่างที่บอกเรื่องการเบียดเบียนเมื่อกี้   แต่มาพิจารณาแล้วว่าในขณะเดียวที่เราทำตรงนั้น   ถ้าเราไม่เต็มร้อยคือจิตใจเรานี่มันยังอยากกินอยู่เป็นปกจติอยู่   มันก็เป็นการเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง     
       ตอบ:   มันกลายเป็นทุกข์มากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
         ถาม :   มากกว่าเดิม   ต้องลำบากอีกแล้วทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนอีก
        ตอบ:    แล้วที่แน่  ๆ   ก็คือว่า  มีอยู่จำพวกหนึ่ง   ที่เอาอาหารปรุงแต่งด้วยโปรตีนเกษตรน่ะ    ทำขึ้นมาเป็นขาหมู    เป็นไส้หมู    เป็นพะโล้   เป็นอะไรทุกอย่าง   ตัวนั้นนี่มันปรุงแต่งมากกว่าเราเยอะเลย      เพราะฉะนั้นดูให้ดี    ถ้าขืนทำลักษณะนั้น   แทนที่จะลดกิเลส    กลายเป็นเพิ่มเสียด้วยซ้ำไป     หลอกตัวเองสองชั้น    เขาเรียกว่าโง่สองชั้น    หลอกตัวเองไม่พอหลอกชาวบ้านด้วย
        ถาม :    ..............(ฟังไม่ชัด)..........
         ตอบ:   พระพุทธเจ้าท่านสอนที่เรียกว่า   สายกลาง   คือไม่เบียดเบียนทั้งตัวเอง   ไม่เบียดเบียนทั้งผู้อื่น     ท่านบอกว่าได้ก็คือได้   คราวนี้ได้ในสภาพของท่าน   ก็คือ   อย่าฆ่าเอง.....  อย่างสั่งเขาฆ่าอย่างนี้   เราก็ทำตามนั้น
         ถาม :  ..............(ฟังไม่ชัด)..........
        ตอบ:     ต้องหลวงปู่แหวน    คนไปคุยหลวงปู่แหวนบอกว่า   เขาเป็นมังสะวิรัต   เขาคุยลักษณะที่ว่าดีกว่าคนอื่นเขา    หลวงปู่แหวนก็เปรย  ๆ   ขึ้นมา    ท่านบอกว่าเห็นวัวเห็นควายมันกินหญ้าทั้งชีวิต    ไม่เห็นว่าเป็นพระอรหันต์ซะที   ( หัวเราะ)    นั้นท่านพูดเปรย  ๆ   นะท่านไม่ได้ว่าใครคือเวลาคนคุยใส่ท่านมาก  ๆ    ท่านก็คงเซ็งในอารมณ์   โดยเฉพาะที พระเทวทัต     ขอพระพุทธเจ้าว่าขอให้พระภิกษุในธรรมวินัยนี้ฉันมังสะวิรัตทุกองค์   พระพุทธเจ้าบอกว่า    ผู้ใดต้องการเป็นมังสะวิรัต     ก็ให้ฉันมังสะวิรัต   ผู้ใดต้องการฉันอาหารปกติ    ก็ให้ฉันปกติ     เพื่อจะได้ไม่ลำบากแก่ญาติโยมที่เขาให้อาหารไม่อย่างนั้น    สมมุติว่าพระสององค์ไปบ้านเดียวกัน      ก็แย่ละสิ    ต้องอาหารปกติชุดหนึ่งอาหารมังสะวิรัตชุดหนึ่ง   ลำบากเขาเยอะ     เวลาไป วัดหนองบัวก็จะมังสะวิรัตตามเขา    ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องทำอาหารสองชุดถึงเวลาเขามาเมืองไทยเราเองก็สั่งมังสะวิรัตไปเลย  คือไม่ต้องแยกต่างหาก    ฉันเป็นเพื่อนเขาไป    พอเรากลับมาอยู่ตามสภาพปกติของเรา   เราก็ว่าของเราต่อไป
       ถาม :   แล้วถ้าเราต้องการรักษาโรค   หรือว่าเรามีจุดประสงค์ของเรา
       ตอบ:    ถ้าอย่างนั้นก็ทำได้ไม่มีปัญหาอะไร    แต่ก็รู้เลยว่ามันลำบากกว่าเดิม    บางทีเรื่องของการปรุงแต่ง    ถ้าหากว่าจิตมันสั่งให้ทำอย่างนั้นมันก็กลายเป็นหลอกตัวเองด้วย    หลอกคนอื่นด้วย    เพิ่มกิเลสให้กับตัวเองซะเปล่า  ๆ    ทำได้น่ะดี     ไม่ใช่ไม่ดี      ขนาดหมอเขายังบอกเลยว่า    ถ้าหากว่าอายุยังไม่ถึงยี่สิบอย่าเพิ่งกินมังสะวิรัต    เพราะว่ากระดูกกล้ามเนื้อมันยังไม่โตเต็มที่เดี๋ยวกระดูกผุ   กล้ามเนื้ออ่อนแรง
       ถาม :   หลวงพี่ทำงานองค์เดียว    ไม่มีกรรมการวัด  ?
        ตอบ:    คือกรรมการวัดนั้นมันมากเรื่อง   บางทีเขาเข้ามาโดยตำแหน่งแล้วเขาให้มีตำแหน่งเดียว   คือ   ไวยาวัจกร     ไวยาวัจกรนี่จริง  ๆ   มีอยู่ลักษณะของโยมวัด    มีหน้าที่ช่วยเหลือพระ    แต่พอตั้งขึ้นเป็นตำแหน่งขึ้นมาแล้วส่วนใหญ่นั้นเข้ามาควบคุมพระโดยเฉพาะควบคุมการเงินทั้งหมด    แล้วถ้าหากว่าเงินถึงมือพวกเขาจะจัดการยากมาก    บางทีก็หายไปเฉย  ๆ   โดยหาสาเหตุมิได้    ถ้าหากมีกรรมการวัดมักจะใช้แต่พระด้วยกัน
       ถาม :   เขาบอกว่า    พี่จะทำก็    หนูจะฝากเงินไปด้วย   เราก็กลัวว่าเขาจะเต็มใจหรือเปล่า   แล้วพอดีคนแนะนำเขามาแนะนำให้ทำชุดใหญ่   ๑,๐๐๐  หนึ่งน่ะ  (ทำให้ผู้ตาย)
        ตอบ:     ไม่จำเป็นต้องขนาดนั้นหรอกจ๊ะ    สังฆทานอย่างไรก็ได้กับข้าวสักถุง    ตั้งใจใส่บาตรพระหน้าวัด    อยู่หน้าบ้านก็ได้   คือถ้าไม่เกิน   ๓   เดือนทำไปยังทัน    เวลาของข้างล่างเขาต่างจากเราเยอะ     วันหนึ่งอยู่ประมาณ    ๕๐   ปีมนุษย์    เพราะฉะนั้นภายใน   ๓   เดือนของเรานี่   มันเป๊ปเดียวของเขายังทันอยู่
         ถาม :   ที่ว่า   ๑๐๐   วันใช่มั้ยคะ  ?    แต่นี่เขาถือว่าเขาก็ทำแล้ว
       ตอบ:    เขาก็ทำแล้ว     แต่บางทีบุญที่เขาทำ    กำลังมันไม่สูงพอโดยเฉพาะการทำบุญ   ถ้าเริ่มต้นด้วยบาป    ผีเขาไม่เอา   เช่นว่าต้องไปฆ่าสัตว์   ฆ่าปลา   ฆ่าไก่    ของพวกนี้เขาจะไม่เอา    เพราะเขาจะได้ส่วนของบาปนั้นด้วย   เขาต้องการบุญบริสุทธิ์ที่ทำโดยที่ไม่เบียดบียนใคร    ไม่เริ่มต้นด้วยบาปเหล่านั้น
        ถาม :  แล้วเขาตายนี่   เขาตามมาจริงใช่มั้ยคะ  ?
        ตอบ:    ส่วนใหญ่แล้วคนตาย   ถ้าหากว่าหาที่ไปไม่ได้   เขาเป็นผู้ที่ตายก่อนหมดอายุขัย    ความเคยชินก็จะกลับบ้าน   ถ้าหากกลับบ้านแล้วไม่มีใครให้ความสนใจ   บางทีก็ตามคนที่เขารู้จัก (หัวเราะ)
        ถาม :    แหงเลยหละ !
        ตอบ:     อันนี้ไม่กล้ายืนยัน (หัวเราะ)   ความจริงเขาตามเราก็ดีไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว
       ถาม :    ก็ตกใจ   ขี้กลัวผีอยู่แล้วด้วย
        ตอบ:    จำเอาไว้แล้วกัน   ถ้ากลางค่ำกลางคืนเสียงอะไรดัง  ๆ  อย่าทักเพราะบางทีผีเขาเข้าบ้านไม่ได้เขาจะทำให้เราตกใจแล้วส่งเสียงทักขึ้นมา  เขาสามารถที่จะเกาะเราเข้ามาตอนนั้นได้   ให้เราระวังไว้ว่าถ้ามีเหตุการณ์อะไรพวกนี้ก็อย่าไปตกใจ     อย่าไปทักอะไรง่าย  ๆ  เพราะถ้าเราทัก   เหมือนกับเราเปิดประตูบ้านให้เขาเข้า    พระภูมิเจ้าที่เขาไม่สามารถจะกันได้เพราะถือว่าเจ้าของบ้านอนุญาตแล้ว     ระวัง  ๆ  ไว้   ครั้งหน้ามีสุ้มมีเสียงอะไรขึ้นมาออกไปดูให้มันชัดเจนไปเลย   อย่าไปทักไปถามว่าใคร    มาจากไหน  อะไรอย่างนี้    เดี๋ยวแย่
        ถาม :   ทำไมมันมีอะไรแปลก  ๆ
        ตอบ:      ความจริงมันไม่แปลก    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้    มีเป็นปกติอยู่แล้ว    แต่ว่าเราจะสัมผัส   หรือว่ารู้เห็นไม่ได้    เป็นเพราะว่าสภาพจิตของเราบางทีมันก็มัวไปเยอะ     ถ้าหากว่าคนที่สามารถขัดเกลาจิตของเขาให้ใสให้สะอาดได้   ก็สามารถรู้เห็นได้เป็นปกติ
        ถาม :   อย่างนั้นก็แล้วไป   เขาก็รู้ว่า  อะไรเป็นอะไรใช่มั้ยคะ   ?
       ตอบ:     อันนี้ของเราประเภทรู้ว่าบ้าง   ไม่รู้บ้าง   ก็ลำบากนิดนึงเดี๋ยวเพื่อความแน่ใจคืนนี้ลองใหม่อีกครั้ง  (หัวเราะ)
       ถาม :  ไม่เอาาาาาว์.......... 
        ตอบ:    เขาก็คงจะหวังจากลูกหลานยาก   ก็เลยมาพึ่งเรา    คือ  ถ้าหากว่าเป็นสังฆทานนี่ถวายที่ไหนก็ได้   พระจะปฎิบัติดี   หรือปฎิบัติไม่ดีก็ตาม   ถ้าเป็นสังฆทานอานิสงส์จะเท่ากันหมด   ตัวบุญจะเท่ากันหมด   แต่มันสำคัญตรงที่พระที่รับไป   ถ้าทำไม่ดีนี่ขาดทุนเยอะเลย  คนรับน่ะขาดทุน   ของเราทำนี่เราไม่เป็นไร    สังฆทานจะเป็นทานของหมู่สงฆ์ทั่วไปไม่จำเพาะเจาะจงว่าคนใดคนหนึ่ง    ถ้าเอาไปกินไปใช้คนเดียวนี่   พระองค์นั้นนี่โทษเยอะเลย
        ถาม :    ถ้าอย่างนั้นภายใน    ๗   วัน   เขาก็ได้แล้ว    แล้วเขามาหาเราทำไม ?
        ตอบ:     บอกแล้วว่า   บุญบางอย่างถ้าเริ่มต้นด้วยบาป    เขาไม่เอาเราก็ไม่มั่นใจว่าในงานนั้น    เขาได้ฆ่าปลา   ฆ่าไก่อะไรหรือเปล่า    ถ้ามีโอกาสก็ทำให้เขาหรือไม่ก็บอกเขาไปหาลูกหลานเหอะ
       ถาม :    ...........(เสียงไม่ชัด)..........
        ตอบ:    ไม่มีอะไรหรอก   ทำใจสบาย  ๆ    สวดมนต์ไหว้พระ    แขวนพระเอาไว้    ขอบารมีท่านสงเคราะห์
        ถาม :   ต้องอาราธนาบ่อยเลย  ทุกวัน
       ตอบ:     ดีแล้ว   ถ้าเราเกาะพระเป็นปกติ   อันตรายอื่นจะทำได้ยากมาก อาราธนาพระไว้ทุกวัน   แขวนติดตัวไปทุกวัน    นึกถึงท่านให้ช่วยด้วยถ้าหากเราไม่นึกถึงไม่ขอ     บางทีท่านก็ไม่รู้จะช่วยยังไง     อธิษฐานขอท่านช่วยคุ้มครอง   ช่วยรักษาเราด้วย
          ถาม :      แล้วที่ฝันว่าไอ้สิงโตมางับนี่ก็ไม่เป็นไร  ?
          ตอบ:       ในฝันนี่ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ   ถ้าหากว่าฝันว่าโดนสัตว์ร้ายขบกัดเขาบอกว่าให้ระวังจะมีศัตรู     ศัตรูก็น่าจะเป็นคนด้วยกัน   ผีเขาคงไม่มาทำตัวเป็นศัตรูของเราหรอก
  |