ช่วงแรกของเล่ม "กรรมฐาน ๔๐"

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนตุลาคม ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ..........................................
      ตอบ :  ของหลวงพ่อท่านมีตั้งแต่ช่วงแรก ๆ แล้ว คือว่ามันมีอยู่ช่วงหนึ่ง พวกลัทธิคอมมิวนิสต์ เขาตั้งใจจะยึดประเทศไทยมานานแล้ว แต่เขาทำไม่สำเร็จสักทีหนึ่ง เขาก็มีการวิจัยว่ามันเป็นเพราะอะไร ก็สรุปได้ว่า ประเทศไทยของเรานี้มันมีสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัติรย์ มันเหมือนไม้สามอันขัดกันอยู่พอดี ถ้าอย่างนั้นถ้าเขาโค่นอันใดอันหนึ่งได้ อีกสองอันก็จะล่มตามไป ก็ดูว่า จะปล่อยข่าวทำลายพระมหากษัตริย์ ปล่อยข่าวไปเท่าไร ๆ ก็ไม่สามารถทำลายได้ เพราะในหลวงท่านทำงานชนิดทุ่มเทให้กับชาวบ้านตลอด ถึงเชื้อพระวงศ์บางท่านก็จะทำในลักษณะเตะลูกเข้าทางตีนเขา ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเคารพของคนที่มีต่อในหลวงได้ เขาก็เลยมาดูอีกทีว่า มันก็มีด้านศาสนาที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เขาก็เลยใช้วิธีว่า ให้คนของเขาปลอมเข้ามาบวช แล้วก็ทำในสิ่งที่ไม่ดีให้ชาวบ้านเขาเห็นจะได้เสื่อมศรัทธา แต่ปรากฏว่ามันยิ่งกลายเป็นตัวเปรียบเทียบที่ชัดเจนว่า ในขณะคนของเขามาทำเลว หลวงปู่หลวงพ่อที่ทรงความดีอยู่ก็ยิ่งฉายชัดขึ้นมาเรื่อยว่าที่ดีจริง ๆ มันเป็นอย่างไร
              ในเมื่อเขาทำลายโดยตรงลักษณะอย่างนี้ไม่ได้ เขาก็ใช้วิธีว่า กำหนดบัญชีรายชื่อขึ้นมาว่า พระที่เป็นที่ยึดถึอของชาวบ้านมีใครบ้างที่สำคัญ ๆ ได้มา ๕๒ องค์ มันสั่งยิงทิ้งเลยครับ อันนี้หน่วยข่าวกรองของทหารมาส่งข่าวเอง เสร็จแล้วทาง บก. สูงสุดตอนนั้น พลเอกเกรียงศักดิ์ เป็นนายกอยู่ เขาเลยให้ บก.สูงสุดจัดทหารมาคอยดูแลหลวงพ่อเป็นปกติ ถ้าหากเราสังเกตว่า วัดท่าซุงสถานที่ ๆ จะพบหลวงพ่อได้ ไม่ว่าเป็นตึกรับแขก ศาลาเนาวราช หรือตึกรับแขกใหม่ก็ดี มันจะอยู่ลักษณะปราบเซียน คือว่ามันไม่มีจุดให้ซุ่มยิง เมื่อใช้ปืนยาวไม่ได้ ต้องใช้ปืนสั้น ก็ต้องเข้าใกล้หลวงพ่อท่านนั่งอยู่ในสุด ลูกศิษย์ข้างนอกเป็นร้อยเป็นพัน คุณคิดว่ายิงหลวงพ่อแล้วจะไปรอดไหมล่ะ ? ก็เลยกลายเป็นว่าทางทหารคอยระวังป้องกันอยู่ ขณะเดียวกัน หลวงพ่อก็ระวังตัวท่านเองด้วย ท่านไม่ประมาท หลาย ๆ ครั้งท่านจะวิทยุเข้ามา หรือโทรศัพท์เข้ามา บอก เฮ้ย...เล็กเว้ย...เขามาแล้ว บอกทหารให้เตรียมตัวด้วย มันมารถสีนั้นสีนั้นนะ ท่านบอกไว้หมดเลย เราก็คอยสังเกตไป มีจริง ๆ มันจะรถสีนั้น ๆ ติดฟิล์มกรองแสงมามืดตึ๊บเลย หลวงพ่ออยู่ในกุฏิท่านแท้ ๆ ท่านโทรบอกล่วงหน้าเป็นชั่วโมง
      ถาม :  เขามาดักยิงหรือคะ ?
      ตอบ :  เขามาจริง ๆ คราวนี้ของเราได้แต่ระวังอยู่ เพราะว่าวัดของเราคนเข้ามาเป็นปกติ ถ้าอยู่ ๆ ไปเรียกตรวจรถบางคัน ถ้าทหารไปเรียกตรวจนี่ คนต่อ ๆ ไปจะไม่กล้าไปวัดนะสิ ก็เลยได้แต่ระวังไว้ว่าพวกนี้มันจะทำอะไร ก็ได้แต่ระวังไว้ห่าง ๆ มันเห็นไม่มีโอกาสลงมือมันก็กลับ
      ถาม :  แล้วมันเคยมีโอกาสไหมคะ ?
      ตอบ :  มีอยู่เที่ยวหนึ่ง ปกติแล้วหลวงพ่อท่านจะนั่งรถตู้ไปกรุงเทพ พอไปถึงกลางทาง ท่านเปลี่ยนจากรถตู้เป็นนั่งรถเก๋งแทน แล้วคราวนั้น ป้าน้อยกับป้านนทา กำลังคุยกันอยู่ แล้วปรากฏว่าต่างคนต่างเปิดหน้าต่างสองข้างพอดี เปรี้ยงเข้ามาเลย กระจกยังไม่เสียสักบานเลย ผ่านไปพอดีป้าน้อยบอกว่าไม่เคยเจอปืนอะไรแรงอย่างนี้ แค่แรงที่มันแหวกอากาศผ่านไปมันกระชากฟิล์มกรองแสงหลุดเลย น่าจะเป็นพวกไรเฟิลล่าสัตว์ มันยิงจุดที่หลวงพ่อนั่งเป๊ะเลย แล้วสองคนก็พอดีเปิดพร้อมกันคนละฝั่ง กระทั่งกระจกยังไม่เสียสักบาน แหม...เทวดาท่านดลใจให้เปิดกระจกพร้อมกันพอดี
              จริงแล้วคุย ๆ กันไปกันมา เฮ้ย...ร้อนว่ะ เปิดกระจกดีกว่า อย่าไปใช้แอร์เลยอย่างนี้ เพราะว่ารถตู้นี้ ถ้าเก่า ๆ แ ล้วแอร์ข้างหลังมันไม่ค่อยเย็น ตัวหลวงพ่อเองไปกรุงเทพนานแล้ว มันมัวแต่ตามรถตู้อยู่
      ถาม :  พระที่ปฏิบัติดี เหมือนกับว่าเป็นลักษณะที่ว่าสืบทอดเชื้อสายมา มีน้อยองค์มากที่จะเก่งได้ด้วยตัวเอง ต้องมีครูบาอาจารย์ ?
      ตอบ :  ไม่มีทางหรอก เก่งได้ด้วยตัวเองนี่ไม่เจอเลย อย่างน้อย ๆ ต้องมีกัลยาณมิตรที่เป็นครูบาอาจารย์ อย่างน้อยคุณต้องมีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร ค้นคว้าพระไตรปิฎก อย่างสุภัททะปริพาชก เป็นปัจฉิมสาวก คือพระองค์สุดท้ายที่บวชทันพระพุทธเจ้า ได้ฟังเทศน์จากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า และปฏิบัติตนเป็นพระอรหันต์ก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพพาน
              ท่านเข้าไปถึงท่านถามว่า ข้าแต่สมณโคดมผู้เจริญ บรรดาคณาจารย์ทั้งหกนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่ามีบางคนเป็นพระอรหันต์ มีบางคนไม่ใช่พระอรหันต์ มีบางคนเป็นผู้เข้าถึงธรรม มีบางคนเป็นผู้ไม่ใช่เข้าถึงธรรม พระองค์ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ดูก่อนสุภัททะ นี่เป็นวาระสุดท้ายของตถาคต เธออย่าไปสนใจเรื่องนั้นเลย ฟังธรรมดีกว่า คือไม่ให้ยุ่งเลย สุภัททะปริพาชก พอฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วก็ขอบวช พระอานนท์บอกว่าพระพุทธเจ้าป่วยจนป่านนี้แล้ว อย่าเพิ่งบวชตอนนี้เลย แล้วอีกอย่างการบวชพระในพระพุทธศาสนาต้องถือติตถิยปริวาส คือการอยู่แบบปฏิบัติอย่างคนนอกที่เข้ามาบวช ๓ เดือนเป็นอย่างน้อย ถ้า ๓ แล้วยังทำดีไม่ได้ ให้อยู่อีก ๓ เดือน ถ้ายังเอาดีไม่ได้ ให้อยู่ ๓ เดือน รวม ๓ ครั้ง ๙ เดือน ยังเอาดีไม่ได้ก็ไม่ต้องบวช ปริพาชกก็กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ท่านขออยู่ปริวาส ๔ ปี แต่ว่าขอบวชให้เขาก่อน พระพุทธเจ้าก็เลยบอกพระอานนท์ บอกว่าเมื่อกำลังใจเขาขนาดนี้ก็บวชให้เขาเลย ตกลงก็ญัตติกันตรงนั้นแหละ ญัตติเสร็จท่านก็เดินจงกรมไป กลายเป็นพระอรหันต์ทันพระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพานนิดเดียวเอง
              เขาบอกว่าบุพกรรมที่ทำให้ท่านเป็นปัจฉิมสาวก คือทันพระพุทธเจ้าเป็นคนสุดท้ายจริง ๆ เพราะว่าในอดีตชาติท่านกับพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นพี่น้องกัน แบ่งนากันทำ คราวนี้พระโกณฑัญญะเริ่มไถนาท่านก็ทำบุญ เริ่มหว่านข้าว ท่านก็ทำบุญ ข้าวตั้งท้องท่านก็ทำบุญ เกี่ยวข้าวท่านก็ทำบุญ ขนข้าวขึ้นยุ้งท่านก็ทำบุญ
              ส่วนสุภัททะปริพาชกนี้ขี้เกียจทำอย่างนั้น แกเล่นไปทำตอนขนเข้าขึ้นยุ้งอย่างเดียว ปรากฏว่าพระโกณฑัญญะที่เริ่มตั้งแต่ไถนาก็กลายเป็นพระอรหันต์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ส่วนพระสุภัททะผลบุญส่งให้เป็นองค์สุดท้ายของพระพุทธศาสนาเหมือนกัน ยังดีที่ทัน นั่นของท่านนะ ของเราเฮงซวยอยู่จนป่านนี้ยังไม่ได้อะไรเลย
      ถาม :  กำลังใจที่หลวงพี่บอกว่า ให้นึกไปว่าเป็นของที่จะสละแล้ว มันหมายถึงอะไร ?
      ตอบ :  ก็ตอนนั้นมันจะเหลืออะไร ถ้าหากเป็นกำลังใจพระพุทธเจ้าท่านก็ประเภทสละเลือดเนื้อ ร่างกาย สละชีวิต สละแขนขาอะไรของท่าน ง่าย ๆ ก็คือว่าพอถึงวารสุดท้ายไม่มีอะไรจะสละแล้ว แม้แต่ชีวิตนี้ก็จะสละได้ เพราะว่าถึงตายเราก็ไปนิพพาน
      ถาม :  ถ้าเป็นของใช้อะไรนี้ก็ยังถือว่าใช้ไม่ได้ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ก็คือถ้าเห็นว่ามันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยอย่างเดียวนะ เราเองใช้ตอนที่ดำรงชีวิตอยู่ ยังไง ๆ ก็ต้องพังจากกันไปข้างหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีประโยชน์แค่ตอนมันมีชีวิตอยู่เท่านั้น ไม่รู้จะไปรักไปหวงมันทำไม ตอนเราใช้มันอยู่ รักษามันให้ดีที่สุด ถ้าหากว่าต้องจากกันก็ไม่เห็นจะต้องไปห่วงหาอาลัยอะไรกับมัน
              พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า เหมือนนกบินจากคอน ไม่มีร่องรอยอะไรให้เหลือไว้ ไปดูกิ่งไหนที่นกมันเกาะแล้วมีรอยตีนบ้าง ? ไม่มีหรอก ยกเว้นตีนมันสกปรก ไปเหยียบขี้ดินมา บางคนก็แปลกใจว่า ของอะไร ๆ ดี ๆ ที่ผมมีอยู่ เที่ยวไปถวายองค์โน้นองค์นี้ บางทีเขาเสียดายแทน คุณไม่ต้องเสียดายหรอก อันดับแรก เราถวายพระระดับนั้น ของแค่นี้มันยังไม่สมกำลังใจเสียด้วยซ้ำไป ส่วนอันดับที่สองทุกสิ่งทุกอย่างมันมีประโยชน์ตอนที่เรามีชีวิตอยู่เท่านั้น ถ้าคุณไปเผลอยึดเกาะมันก็เสร็จอีกต่างหาก ถ้ายังตัดใจสละไม่ได้ จาคานุสติยังไม่เต็มหรอก
      ถาม :  อยากถามเรื่องเกี่ยวกับมาร มีตัวตนจริง ๆ หรือคะ ?
      ตอบ :  มีจริง ๆ จ้ะ เพียงแต่ว่าเราจะรู้จักเขาไหม เราจะเห็นเขาได้ไหม คนรอบข้างของเรา เขาสามารถอาศัยเป็นเครื่องมือได้หมด ตอนแรก ๆ อาตมายังเข้าใจว่า มารนี่เป็นกำลังที่ไม่ดีของเรา แต่ไม่ใช่ มันมีตัวตน จริง ๆ มันพยายามจะชักนำให้เราคิดผิด ทำผิด พูดผิด อยู่เสมอ ขณะเดียวกัน คนรอบข้างเรานี่ เขาสามารถที่จะดลใจให้คน ๆ นั้น ไม่ว่าจะคิดจะพูดอะไรก็ตาม ก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เราเกิดโทสะ ให้เราเกิดราคะ ให้เราเกิดโลภะได้อยู่ตลอดเวลา
              เพราะฉะนั้นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จะว่าไปเขาทำหน้าที่ของเขา เราก็ทำหน้าที่ของเรา เรามีหน้าที่หนี เราก็หนีของเราไป เขามีหน้าที่ขวาง เขาก็ขวางของเขาไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัว ไม่มีใครเป็นศัตรูของใคร
              ฟังให้ดี ๆ นะ ตรงจุดนี้ เมื่อถึงวาระ เมื่อถึงเวลา โอกาสเปิดให้เขาขวางเราก็เป็นเรื่องของเขา จริง ๆ แล้วเขาเป็นครูที่ดีที่สุด ถ้าหากว่าเราสามารถก้าวข้ามที่เขาทดสอบเราได้ ตรงจุดนั้นเราจะไม่แพ้เขาอีก ต่าหากว่าเราก้าวข้ามไม่ได้ เราไปติดไปสะดุดหรือไปหยุดอยู่ เขาถึงได้เรียกว่า มารเป็นผู้ขวาง หรือผู้ฆ่า เพียงแต่ว่าเขาเป็นครูที่ขยันไปหน่อย ข้อสอบมันมาทุกวินาทีเลย เผลอเมื่อไรก็โดน
      ถาม :  แล้วอยากถามว่า มารนี่อยู่ภพภูมิไหน ?
      ตอบ :  มารนี่อยู่ภพภูมิที่สูงกว่าเทวดาอีก พระพุทธเจ้าท่านจะจัดเอาไว้ว่า เทเวนะวา มาเรนะวา พรัหมมุนาวา เพราะฉะนั้น เทวดาก็ดี มารก็ดี พรหมก็ดี ท่านจะเอ่ยชื่อมารในลักษณะสูงกว่าเทวดาอยู่ตลอด เพราะว่ามารจะอยู่ในสวรรค์ชั้นที่ ๖ เรียกว่า ปรนิมมิตวสวัสตี จะแบ่งเป็นสองเขต เขตหนึ่งเป็นเขตของเทวดา อีกเขตหนึ่งเป็นเขตของมารเขา
      ถาม :  มีหน้าที่คอยขวาง ?
      ตอบ :  นั่นเป็นงานเขา เหมือนยังกับงานของนักการเมือง แต่ไม่ใช่งานที่สร้างความเจริญ เป็นงานที่สร้างความล่มจม
      ถาม :  แล้วเราจะทราบได้อย่างว่า อันไหนคือมาร ?
      ตอบสร้างสติ สมาธิ ให้มาก ๆ ถ้าสติ สมาธิ ทรงตัว ปฏิบัติอยู่ในกรอบของศีล ตราบใดที่ยังไม่หลุดจากกรอบของศีล ตราบนั้นเขาจะชักจูงเราได้ยาก ศีล ๕ ก็พอ ถ้าหากว่าเรามีศีล ๕ อยู่ ถึงเวลาเขาทำให้เราบันดาลโทสะ เรารู้ว่าเราเป็นผู้มีศีล เราก็ไม่ทำร้ายใคร ไม่ฆ่าใคร ถ้าหากว่าเขาทำให้เราเกิดความโลภ เราอยากได้ของสิ่งนั้นสิ่งนี้ เราก็หามาถูกต้องตามทำนองคลองธรรมโดยไม่ผิดศีล ถึงเวลาเขาตั้งใจให้เราไปแย่งคนรักคนอื่นเขา เราก็มีสติสัมปชัญญะอยู่ รู้อยู่ว่าสิ่งนั้นผิด ไม่ถูกต้อง เราก็ไม่ทำ
              ถ้าเรามีศีลเป็นเกราะ มารจะชักนำเราได้น้อยมาก อย่างดีเขา ก็ให้เราคิดได้ บังคับให้เราพูดได้ แต่บังคับให้เราทำไม่ได้ แล้วถ้าหากว่าคำพูดที่เป็นตัวมุสาวาท คือ โกหก เรารู้ว่าเราเป็นผู้มีศีลอยู่ เราจะไม่พูดโกหก เขาก็จะบังคับเราไม่ได้ด้วย ต่างคนต่างทำงานของตัวเอง
              พอไปถึงจุดหนึ่ง เราจะเห็นคุณค่าของเขาเองว่า เขามีคุณูปการอย่างมหาศาลเอง คุณูปการนั้น คือว่าถ้าไม่มีการทดสอบจากเขา กำลังใจของเราก็จะไม่มั่นคงเร็ว จะไม่แข็งแกร่งเร็ว ดังนั้น ถึงได้บอกว่า มารไม่ใช่ศัตรู แต่เขาเป็นครูที่ดีที่สุดของเรา
              เพียงแต่ว่าเราจะสามารถ ทำข้อสอบของครูคนนี้ไหวไหม พอก้าวข้ามตรงจุดนี้ไป ก็เหมือนกับว่าโลกมันตีลังกากลับ ก็คือว่าสิ่งที่เราไม่เคยเห็นความดี ก็จะเห็นความดีของเขา ทุกอย่างรอบข้างของเราเป็นครูเราหมด คนทำให้เราโกรธก็เป็นครูที่ดีของเรา เพราะทำให้เรารู้ว่าจริง ๆ แล้วอารมณ์ใจของเรา มันยังห่วยแตกใช้ไม่ได้ คนที่ทำให้เราเกิดโลภ ก็ทำให้เรารู้ว่าเรายังใช้ไม่ได้ ยังต้องระมัดระวังมากกว่านี้
      ถาม :  .................(ถามเรื่องนิมิต).............
      ตอบ :  ก็ไม่ทราบเหมือนกันจ้ะ ตอนนั้นต้องกำหนดใจถามว่ามันคืออะไร ไม่ใช่มาถามคนอื่น ...เจอเองไม่รู้จักถามแล้วไปถามคนอื่น กินเองแล้วไปถามเขาว่ารสชาติเป็นอย่างไร เดี๋ยวก็โดนเขกกะโหลกหรอก คราวหลังสงสัยอะไรให้กำหนดใจถามตอนนั้นเลยจ้ะ คราวหน้าฉลาดบ้างนะ