ช่วงแรกของเล่ม "กรรมฐาน ๔๐"
สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมิถุนายน ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
ถาม: มันได้สมาธิอยู่ค่ะ เวลาสวดเราน้อมจิตสวดถูกไหมคะ จะมีพาหุงฯ มงคลจักรวาฬน้อย ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกยาว จะดูหนังสือด้วยแต่ว่าไหว้พนมมือ จะร่ายยาวโดยไม่ดูหนังสือไม่ได้ จะจำได้แค่ชินบัญชร
ตอบ : จ้ะ เอาให้ได้ก็แล้ว ครูของอาตมาสวดชินบัญชรวันละ ๕๐๐ จบ ครูสอนอาวุธศึกษาสมัยเป็นฆราวาส เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งท่านหมดลมไปแล้วไปเจอพระคือ หลวงพ่อโต วัดระฆัง ท่านถามว่าต้องการให้ช่วยอะไร ครูก็เลยบอกว่าเขียนนิยายเรื่องยาวยังไม่จบ (ท่านเขียนเรื่องเพชรพระอุมาอยู่) ท่านบอกว่าถ้าหากว่าหลวงปู่ช่วยให้มีชีวิตอยู่จนเขียนนิยายจบได้ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นไป จะสวดชินบัญชรถวายวันละ ๕๐๐ จบ เสร็จแล้วก็ฟื้นกลับมาจริง ๆ ตั้งแต่นั้นมาท่านก็สวดชินบัญชรทุกวัน ๆ ละ ๕๐๐ จบ จะไปทำงานทำอะไร สติจะอยู่กับการสวดมนต์ตลอด เวลาท่านขับรถไปทำงาน ไปสำนักพิมพ์ หรือไม่ก็ออกไปทดสอบอาวุธตามสนามอาวุธต่าง ๆ หรือหน่วยทหาร ไปถึงตรงไหนสวดได้กี่จบท่านจะรู้ตลอด สมาธิขนาดนั้น
คราวนี้ผลเกิดตรงที่ว่าพอสมาธิขนาดนั้นเกิดอภิญญาขึ้นมาเอง เพราะว่าตอนเด็กท่านมีพื้นฐานเรื่องคาถาจากปู่จากพ่อและก็ครูพรานสอนมาอยู่แล้ว ก็เลยพลอยได้ผลมากขึ้น มีอยู่ครั้งหนึ่งฝรั่งเขาเอาเกราะกันกระสุนมาให้ลอง จะเป็นแบบติดรถยนต์สำหรับผู้นำประเทศเขา เขายิงด้วยเอ็ม ๑๖ จ่อยิงแล้วไม่เข้า ครูเขาบอกว่า ใครทดสอบแบบนั้นก็ยิงไม่เข้าทั้งนั้น เพราะเขาไปจ่อยิง ปืนนี้มีขีปนวิถีคือระดับความเร็วของกระสุน หากมันทรงตัวได้ขนาดไหน มันถึงจะแสดงอานุภาพของมันออกมาเต็มที่ขนาดนั้น ครูเขาถอยมาประมาณ ๑๐ เมตรยิงทะลุฉลุยไปเลย ฝรั่งเขาไม่ยอม กลับไปผลิตใหม่หนา ๒ นิ้ว (บริษัท การ์เดียนผลิต) คราวนี้ใช้ปืนอะไรก็ยิงไม่ทะลุ กระทั่งปืนไรเฟิลยิงช้าง ขนาด ๔๕๘ แม็กนั่ม ก็ยิงไม่ทะลุ ยิงไปก็แค่ร้าวเป็นรอยแบบใยแมงมุมเท่านั้น เขาลองยิงจนกระทั่งมั่นใจว่าปืนสั้นปืนยาวกี่ชนิดยิงไม่ทะลุแน่ ครูเขาบอกลองใหม่ แล้วก็หยิบกระสุนขึ้นมานัดหนึ่ง เป่าพ่วง แล้วก็ใส่ เป็นกระสุนเล็ก ๆ แค่ขนาด ๓๐๘ วินเชสเตอร์แม็กนั่มแค่นั้น ยิงทะลุฉลุยเลย ฝรั่งงง!ครูเขาบอกว่าไม่ต้องกลัวเรื่องแบบนี้ในประเทศไทยมีทำได้ไม่มากนัก คือพอท่านยอมทุ่มเทอยู่กับชินบัญชรวันละ ๕๐๐ จบทุกวันมันเกิดอภิญญาเกิดฤทธิ์ขึ้นมาเอง ฉะนั้นเรื่องของคนที่เคยทำของเก่าเอาไว้ มี ถึงวาระ ถึงเวลา สมาธิถึงเมื่อไหร่ ขนของเก่าเอากลับมาใช้ได้หมดเลย
ถาม : แล้วการไม่ต้องสวดมนต์เยอะแต่นั่งสมาธิเยอะ ๆ อานิสงส์ของสมาธิจะแรงกว่าหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : อยู่ที่เราทำเป็นไหม? ถ้าหากว่านั่งสมาธิมากแต่จิตใจไม่มีคุณภาพก็เท่านั้นแหละ เมื่อกี้ก็บอกแล้วใช่ไหม นั่ง ๒ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง ในใจมีคุณภาพแค่ครึ่งชั่วโมง ที่เหลือนั่งด่ามันไปเรื่อย มันก็ได้ผลน้อย แต่ในขณะเดียวกันการสวดมนต์ถ้าเราทำเป็น เอาใจเกาะพระ สวดถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา สามารถแปลในสิ่งที่เราสวดได้ตั้งใจนำไปปฏิบัติ จะมีผลมากกว่า อยู่ที่ว่าเราเป็นแค่ไหน ถ้าทำเป็นมีผลได้ยันนิพพานไปเลย ถ้าถามว่าสวดมนต์กับนั่งสมาธิอันไหนดีกว่า ตอบไม่ได้จ้ะสำคัญที่ว่าเราทำเป็นแค่ไหน
ถาม : มีคนบอกว่าไม่ต้องสวดเยอะหรอก เอาแค่อิติปิโส แล้วก็นั่งสมาธิไปเลย เรายังไม่ได้ฌานทำยาก คนได้ฌานทำง่าย
ตอบ : ก็สวดมนต์ไปเถอะ ถ้าสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจริง ๆ สมาธิจะทรงตัวเองโดยอัตโนมัติ ยิ่งสวดได้เยอะยิ่งดี ตราบใดที่ยิ่งสวดไม่จบ สมาธิมันจะยังไม่คลาย แต่พอสวดจบปุ๊บตั้งใจจะต่ออีกหน่อยมันไม่เอาแล้ว ยิ่งสวดได้เยอะยิ่งทรงตัวได้นาน
ถาม : การที่จิตของเราพอเห็นพระเก่า ๆ จะรู้สึกว่าเราชอบ เกิดจากอะไรคะ ?
ตอบ : นั่นเป็นการชอบส่วนตัว อาจจะเคยเป็นนักโบราณคดีมา
ถาม : นี่ค่ะ องค์นี้ค่ะ
ตอบ : องค์นี้ใครเห็นก็ต้องชอบ อาตมาเองยังชอบเลย หลวงพ่อวัดสระเกศ ท่านประทานมาให้เมื่อคืนนี้
ถาม : เมื่อคืนนี้หรือคะ ?
ตอบ : เมื่อคืนไปทำวัตรอยู่กับท่าน ท่านก็เห็นเราไปหาท่านประจำ หลวงพ่อท่านเมตตาต่อลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดท่าซุงมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะไปอยู่ใกล้อยู่ไกลแค่ไหน ถ้าท่านเคยพบเคยเห็นเคยพูดคุย จำได้ท่านจะถามถึงตลอด คราวนี้เดี๋ยวก็ฝากคนโน้นมาคนนี้มาเราก็หนีหน้าท่านมา ๙ ปีกว่าแล้วก็เลยต้องยอมมอบตัว ถึงเวลาถ้ามากรุงเทพฯ ก็ต้องเข้าไปกราบท่านก่อนไป ๆ มา ๆ ท่านเห็นเราไปบ่อยมีพระอยู่ท่านก็เลยประทานให้มา รับด้วยความยินดีเลยจ้ะ เพราะว่าครูบาอาจารย์ให้ คุณค่าไม่ได้อยู่ตรงของเก่า คุณค่าอยู่ที่ ๒ สถาน ๑. สำคัญที่สุดเป็นรูปพระพุทธเจ้า เป็นอนุสติที่เราปรารถนาอยู่แล้ว ๒. พระที่เป็นครูบาอาจารย์อย่างหลวงพ่อสมเด็จท่านมีเมตตาประทานมาให้ คุณค่าทางใจมหาศาลนับไม่ได้
เพราะฉะนั้นจะของเก่าของใหม่ของอย่างไรก็ตาม ถ้าท่านให้ถือเป็นมงคลชีวิตของเราเลย อันนี้ก็ตั้งใจเลยจะเอาไว้บูชาเป็นการส่วนตัวไปเลยไปไหนก็แบกไป
ถาม : เหมือนกับได้ของไปไหนก็เอาไปด้วย ถ้าเราไปยึดแบบนี้เท่ากับเรายึดติดกับของ
ตอบ : เมื่อกี้บอกแล้วไงว่า เรายึดสิ่งเป็นมงคลก็ดีกว่ายึดในสิ่งไม่เป็นมงคล ถ้าเราไม่มีสิ่งให้ยึดเกาะเราจะไม่มีสิ่งให้ปล่อยวาง
ถาม : ถามถึงพระพุทธรูป พระสังกัจจายน์ ปี ๒๕๐๕ พอดีมียันต์หลังพระสังกัจจายน์เหมือนกับยันต์ที่เราแขวนคอนี่ เป็นนิมิตที่ดี นี่ก็ปีสี่กว่าเหมือนกัน พระภิกษุสงฆ์ที่ไปทำบุญด้วยกัน โยมอยากจะได้ไหมเป็นของหลวงเตี่ยท่านปลุกเสกรุ่นสุดท้าย ท่านบอกว่ามีอยู่ ๒-๓ องค์ ส่วนใหญ่คนเขาเช่ากันเป็นแสน บอกว่าถ้าองค์เป็นแสนหนูคงไม่มีปัญญาหรอกค่ะ แล้วแต่บุญบารมีก็แล้วกัน แล้วก็นั่งสมาธิตรงข้ามกับพระภิกษุ ตรงข้ามกับที่ ๆ เขาจัดให้พระสังกัจจายน์นะคะ พอเห็นท่านก็หันหน้าไป แต่ข้างหลังเห็นเป็นยันต์เหมือนกับที่เราแขวนคออยู่ ไปนั่งหาพระสังกัจจายน์ที่บ้านว่ามีอีกไหม ยันต์แบบนั้นไม่มีเลย แต่มาวันหนึ่งก็หยิบพระขึ้นมา เอ๊ะ! มันมียันต์นี่เราแขวนคออยู่นี่ ก็เลยสงสัยว่ามันคืออะไร ?
ตอบ : เป็นนิมิตที่ดีก็แล้วกัน หลวงเตี่ยท่านในสมัยที่เป็นเจ้าคณะภาคฯ ท่านก็ไปกราบหลวงพ่อวัดท่าซุงประจำ เป็นเจ้านายประเภทที่วิ่งเข้าหาลูกน้อง คือท่านรู้ดีว่าใครดีในเมื่อรู้ว่าใครดีท่านก็ลงทุนไปหาเอง
ถาม : ดวงผมตอนนี้เป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ดวงผมตอนนี้เป็นอย่างไร ? บอกแล้วไง ถ้าหากว่ายังประพฤติปฏิบัติแบบเดิมก็ตายเร็ว มองย้อนหลังไปตั้งแต่เด็กมาจนป่านนี้ มีอะไรที่เราทำให้พ่อแม่และครอบครัวภูมิใจได้เหมือนกับคนอื่นเขาบ้างไหม ? โตเป็นควายมาจนป่านนี้แล้ว มันถึงวาระที่จะคิดจะทำเพื่อคนอื่นเขาเสียที เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเราทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น แล้วที่ทำเพื่อตัวเองเมื่อทำได้ก็เฮงซวยเสียด้วย ใช้หัวแม่ตีนข้างซ้ายคิดมันจะคิดได้ดี อะไร ๆ พอไปถึงจุด ๆ หนึ่งแล้วควรจะพอรู้ อะไรดี อะไรชั่ว อะไรควร อะไรไม่ควร เรารู้หมดทุกอย่าง ตอนนี้มันเหมือนกับว่าเรายื่นตีนเข้าบ่วงให้เขามัดเอง เราจะชักตีนออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เราไม่ยอมรับเอง ประเภททนทุกข์ต่อไป ถ้าวันไหนมันมัดแน่นดิ้นไม่หลุด มันเชือดเอาก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน
ถาม : เขาไม่เข้าใจหรือเปล่า ?
ตอบ : มันไม่เข้าใจได้อย่างไร ก็พูดให้มันฟังอยู่คนเดียว คนอื่นสิไม่เข้าใจ
ถาม : ..........................................
ตอบ : ถึงได้บอกไงว่าใช้หัวแม่ตีนคิด เด็กวัดเวลาเราประชดบอกว่าใช้หัวแม่ตีนคิด มันจะรู้แล้วที่มันทำผิดแน่ ๆ
ถาม : .............................................
ตอบ : ใช่ มันควรจะมีจุดที่พอ ทำมาขนาดนี้แล้ว อย่าเอาอย่าง ผลาญเสียจนพ่อแม่ไม่มีอะไรเหลือ มาสำนึกผิดก็ยังทำดีได้ไม่ตลอด เอ็งมันต้องทุบกัน สังเกตไหมว่าคนอื่นดีกับเราจริงไหม ? ขณะเดียวกันบ้านเราพ่อแม่พี่น้องดีกับเราจริงไหม ? ถ้าเราทำอย่างนี้เพื่อนเห็นด้วยไหม ? ถ้าหากทำอย่างนี้ทางบ้านเห็นด้วยไหม ? และในขณะเดียวกันถึงเวลาที่เราไม่มีเพื่อนฝูงมันช่วยเหลือเราไหม ? หากเราตกระกำลำบากทางบ้านทอดทิ้งเราไหม ? คิดแค่นี้เราก็จะรู้แล้วความประพฤติของเราที่คนอื่นเขาเห็นก็คือ ประเภทที่เรียกว่าสาปแช่งเราอยู่ตลอดเวลา แต่ความเป็นพ่อเป็นแม่เป็นพี่เป็นน้องคนอื่นเขา ๆ ว่าเราอย่างนั้นบ้างไหม ? ขนาดคนอื่นเขาวิจารณ์เรายังไม่เลี้ยงเลย แต่ทางบ้านก็ยังให้อภัยอยู่ตลอดเวลา เราควรจะทำอะไรเพื่อคนเหล่านี้บ้างไหม ?
ถาม : ยิ่งทำดีเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เขามองไม่ดี ?
ตอบ : จำไว้ว่าคนเราถ้าตั้งใจทำดี มารมันจะขวาง คนรอบข้างสามารถเป็นมารได้ทั้งหมดมันเกิดจากการดลจิตดลใจของเขา ถ้าหากว่าตั้งหน้าตั้งตาสู้ไปฟันฝ่าไป ด้วยกำลังใจที่เข้มแข็งของเรา ๆ ก็จะพ้นผ่านไปได้ แต่ถ้าหากว่าไม่ยอมสู้ ยื่นตีนเข้าไปให้เขาผูกแต่โดยดีก็ไม่ต้องไปไหนหรอก เสร็จแหง ๆ
ถาม : คนเขาท้องแก่แล้วเขาต้องผ่าตัด ประมาณ ๑๕-๒๔ เดือนนี้ ?
ตอบ : ไปดูฤกษ์สามดาวโน่น (ติดไว้กระจกหน้าประตู)
ถาม : เป็นวันที่ ๒๑ เป็นฤกษ์สองดาวค่ะ ?
ตอบ : จ้ะ เหลือเฟือแล้ว ๒ ดาวเขาเรียก มหาสิทธิโชค ๒๑ กันยายน (วันเยาวชนเป็นวันที่ ๒๐ หรือ ๒๑ มีใครจำวันเยาวชนแห่งชาติได้บ้าง)
ถาม : มีฤกษ์ทำสัญญาด้วยได้ไหมคะ ?
ตอบ : ดีหมดแหละ จะเอาไปทำอะไรก็เชิญจ้ะ พวกโจรเอาไปปล้นเขาฉันก็ไม่ว่า
ถาม : ฤกษ์ดาวโจรนี่มีไหมครับ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าสมัยก่อนเขาถือกันนะ เรื่องของฤกษ์ล่าง ฤกษ์บนที่ว่าไม่ได้คือ สมัยเด็กมีอาเจ็กอยู่คนหนึ่ง พอถึงเวลาน้ำเริ่มลงลมหนาวเข้ามา พอลมหนาวเริ่มโชย กุ้งมันจะลอยหัว พอกุ้งมันลอยหัวก็ไปจุดตะเกียงใช้กระป๋องไล่ช้อนกัน คนอื่นช้อนไปเถอะแกนั่งสูบบุหรี่ของแกดูดาวไปด้วย พอดาวดวงหนึ่งขึ้นปุ๊บแกลงช้อนตักไม่เกิน ๓ ทีเต็มหม้อ กลับบ้านไม่ต้องไปแช่น้ำให้หนาวเปล่า ๆ อย่าลืมว่าโลกของเราอยู่ในจักรวาล ดวงดาวทุกดวงเขามีกำลังส่งเป็นการสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เอาแค่พระจันทร์ก็พอยังทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงได้ใช่ไหม แล้วทำไมยิ่งกว่านั้นมันจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ เพียงแต่ว่าเรารู้เห็นตรงจุดนั้นไหม ?
ถาม : น้องสาวมีคนแก่มากอายุ ๗๐ จะมาขอแต่งงาน น้องสาวอายุ ๓๙ แล้วยังสวยอยู่ แต่ดูท่าทางเขาคงจะแต่งด้วย ?
ตอบ : ถ้าเขาทำบุญด้วยดอกไม้เหี่ยวได้แน่ จำได้ไหมนางอมิตดาทำบุญด้วยดอกไม้เหี่ยว ก็เลยได้ชูชกอายุ ๘๐ กว่า เพราะฉะนั้นคราวหน้าทำบุญด้วยดอกไม้พลาสติกจะได้ประเภทหนุ่มสองพันปี
ถาม : (ถามเรื่องทำไม่ดีกับพ่อแม่)
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นพ่อเป็นแม่ก็หาโอกาสวันที่เหมาะสม อย่างวันพ่อ วันแม่ หรือวันปีใหม่ วันสงกรานต์ เอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาท่าน หากไปวันธรรมดา ๆ โผล่พรวดพราดไปท่านอาจจะยันออกมาเพราะว่าท่านก็ไม่เคยชินในความประพฤติของเรา เคยชินกับที่มันตรงข้าม เราก็หาวันที่เหมาะแล้วก็เข้าไปเอ่ยปากขออโหสิกรรมที่เคยล่วงเกินมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ รับรองได้ไม่มีพ่อแม่คนไหนใจร้ายใจดำตัดลูกขาด ตัดแต่ปากทั้งนั้น ถึงเวลาพอท่านเอ่ยอโหสิกรรมให้ก็จบเลย
เรื่องอโหสิกรรมถ้าไม่ใช่แบบพระอรหันต์คือ ทำดีจนพ้นไปเลย เป็นอโหสิกรรมโดยอัตโนมัติ ก็ต้องให้โจทย์ จำเลยอยู่ต่อหน้า แล้วก็ให้เอ่ยปากซึ่งกันและกัน กระแสกรรมมันจะขาดลง ไม่อย่างนั้นชาตินี้อย่าเผลอมีครอบครัว มีเมื่อไหร่เจอแน่
ถาม : หลวงพ่อคะ ผู้หญิงบวชอานิสงส์แบบผู้ชายไม่ได้ ?
ตอบ : ผู้หญิงถ้าเป็นสมัยก่อนเป็นภิกษุณีได้ แต่ปัจจุบันนี้ทำตัวให้เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ไม่ต้องบวชก็เป็นพระอยู่แล้วใช่ไหม ในเมื่อเป็นพระอยู่แล้วอานิสงส์ย่อมได้อยู่แล้ว
ถาม : ถ้าเกิดผู้ชายบวชพ่อแม่จะไม่ตกนรกอยู่แล้ว ?
ตอบ : ใครบอก เรื่องของการบวช อานิสงส์ของการบวชจะส่งผลให้ ๑) ผู้บวชเอง ถ้าบวชพระมีอานิสงส์ถ้าเป็นเทวดาอยู่ได้ ๖๐ กัปป์ ๒) คนเป็นพ่อเป็นแม่ได้ ๓๐ กัปป์ ๓) คนเป็นเจ้าภาพได้ ๑๕ กัปป์ ๔) คนตั้งใจช่วยงานได้ ๘ กัปป์ นั่นหมายความว่าต้องไม่ทำชั่วอย่างอื่น ถ้ากรรมชั่วหนักกว่าโอกาสไปรับกรรมดีส่วนนี้มันไปไม่ถึงต้องลงเสียก่อน
กติกาอันนี้ก็คือ พอญัตติจบเป็นสงฆ์เมื่อไหร่ก็ได้เลย ออกจากโบสถ์ปุ๊บสึกปั๊บก็ไม่มีปัญหา บุญเป็นของเราอยู่แล้ว สำคัญตรงที่อยู่ต่อนี่แหละว่าทำอย่างไร อยู่ต่อทำดีก็บวกเพิ่มขึ้นไปต้นทุนเยอะขึ้น ถ้าอยู่ต่อทำชั่วก็ทุนหายกำไรหด
ถาม : ถ้าช่วงที่บวชอุทิศให้คนที่เขามาช่วยงานได้ไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วอุทิศหรือไม่อุทิศคนช่วยงานได้ เวยยาวัจจมัย คือช่วยงานอย่างหนึ่ง แล้วก็ได้ตัว ปัตตานุโมทนามัย คือยินดีด้วยอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ยินดีมันไม่มาช่วยอยู่แล้วล่ะ ดีไม่ดีถ้าคนที่กำลังใจดี ๆ ได้เยอะกว่าเราเสียอีก
ถาม : ผู้หญิงนี่ถ้าตั้งใจสุด ๆ พ่อแม่ได้อานิสงส์ไหมคะ ?
ตอบ : ทำไมล่ะ ลูกทำพ่อแม่ก็ได้อยู่แล้ว ก็บอกแล้วว่าให้เป็นพระโสดาบันขึ้นไปเลย ถ้าเป็นพระโสดาบันเขาเรียกว่า พระ อยู่แล้วใช่ไหม ? ผู้ชายบวชยังไม่แน่หรอกว่าจะเป็นพระ แต่ผู้หญิงนี่ไม่ได้บวชแต่ทำตัวเป็นพระก็กำไรกว่ากันเยอะ พ่อแม่เขาเลี้ยงดูเรามา ไม่มีพ่อแม่เราจะเป็นตัวเป็นตนได้อย่างไร เท่ากับว่าท่านเป็นเจ้าของเราอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ในเมื่อเวลาเราทำความดีอะไรมันมีส่วนของท่านอยู่แล้ว
ถาม : แม้ว่าท่านจะไม่ได้โมทนาหรือคะ ?
ตอบ : ผู้ชายบวชก็เหมือนกัน อานิสงส์การบวชเป็นอานิสงส์พิเศษ ในอรรถกถากล่าวเอาไว้ว่า พ่อแม่แยกทางกันในขณะที่ไม่รู้ว่าแม่นั้นมีครรภ์ติดตัวไปด้วย เมื่อถึงเวลาแม่คลอดลูกนั้น ผู้อื่นเอาไปเลี้ยงอีกต่างหาก เด็กเกิดมาไม่เห็นหน้าพ่อแม่เลย แต่ถ้าหากเด็กนั้นบวชวันไหนพ่อแม่ได้อานิสงส์ก็วันนั้น บุญบวชพระเป็นบุญอย่างเดียวที่ไม่ต้องโมทนา
ถาม : ในกรณีที่พ่อแม่เสียชีวิตไปแล้ว ?
ตอบ : ถ้าอยู่ในภพภูมิที่ไม่ลำบากได้ทันทีเลย
ถาม : ถ้าไปอยู่ภพภูมิที่ลำบากล่ะครับ ?
ตอบ : รอไปก่อน หลุดขึ้นมาเมื่อไรได้ทันที บุญไม่ได้ไป บุญก็ยังเป็นบุญอยู่ เพียงแต่รอว่าเมื่อไรจะมาเบิกเท่านั้นเอง
ถาม : การอธิษฐานให้บุญมาช่วยเรื่องโน้นเรื่องนี้บ่อย ๆ จะมีโอกาสไหม ?
ตอบ : มีโอกาสไหม ? ก็ถ้าหากวาระของกุศลเข้ามาถึงก่อนที่เราจะตายเสียก่อนมันก็ต้องมี เอาเถอะตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ตรงนั้นบุญยังมีความสำคัญ เวลาเขาเกิดอีกนานเราก็อย่าไปโมทนากับเขามาก ทำไปเถอะกุศลกรรมไม่ว่าจะส่งผลชั้นกามาวจรสวรรค์ก็ดี ชั้นพรหมก็ดี หรือว่าเป็นพระอริยเจ้าเข้านิพพานไปก็ดี พระอริยเจ้าทุกท่าน ๆ ก็สรรเสริญบุญทั้งนั้น เพราะว่ามันจะเป็นเครื่องมือส่งเราให้หลุดพ้นได้ ถึงเวลาเขายิงจรวดขึ้นไปดวงจันทร์หรือขึ้นไปอวกาศก็มีท่อเชื้อเพลิงอยู่ใช่ไหม ? อันนั้นก็เป็นบุญส่งขึ้นไป พอขึ้นไปถึงเขาสลัดทิ้งเห็นไหมล่ะ ? ดูจากทีวีถึงเวลากดปุ่มสลัดท่อเชื้อเพลิงทิ้ง ตอนเขากลับก็อาศัยแรงโน้มถ่วงของโลกดึงกลับมาได้ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว เพราะหลุดไปในอากาศในสภาพที่ไร้น้ำหนักแล้ว ตอนที่จะหนีแรงดึงดูดโลกนี่แหละ ต้องส่งด้วยจรวด เราจะหนีโลกก็ต้องส่งด้วยบุญเหมือนกัน
ถาม : จะอธิษฐานให้บุญช่วยผิดไหมคะ ?
ตอบ : อธิษฐานไม่ใช่ความผิด ตั้งใจขอให้บุญเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ใช่ความโลภ หากเป็นการเจาะจงว่าจะให้ส่งผลในลักษณะไหน มันเป็นการกันเหนียวไว้ก่อน กันผิดพลาดไว้ก่อน ถึงเวลาเราอยากได้อย่างนี้ เอาอย่างอื่นมาเราก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร คนหนาวสั่นจะเอาผ้าห่ม แทนที่จะได้ผ้าห่มดันได้จักรยานมาขี่สักคันหนึ่ง เอาไหมล่ะ ?
ถาม : กิเลสตอนนี้อยากถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง คนแถวบ้านถูกรางวัลที่หนึ่ง ?
ตอบ : ไม่ได้ว่าอะไร แต่จะถามว่าได้ซื้อหรือเปล่า ?
ถาม : ก็ไม่ได้ซื้อนี่คะ อธิษฐานว่าจะไม่เล่นลอตเตอรี่ไม่เล่นหวยมานานหลายปีแล้ว แล้วก็วันนั้นฟังหลวงพ่อและฟังหลวงพี่ก็ยังนึกว่าถ้าตัวเองซื้อให้ลูกหมาอะไรอย่างนี้ ถ้าเกิดมันถูกแล้วเป็นผู้ปกครองเลี้ยงหมาจะได้ไหมคะ ?
ตอบ : อย่าไปขโมยหมาใช้ก็แล้วกัน
ถาม : ถ้าอย่างนั้นเอาเงินของลูกหมาซื้อบ้าน อย่างนี้ก็ไม่ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อ๋อ ก็โกงหมาไง
ถาม : โกงหมา อ๋อโกง และถ้าซื้อให้พ่อให้แม่ที่ตายไปแล้ว เราบอกซื้อบ้านให้น้อง ๆ อยู่และก็ให้ลูกได้ไหม เป็นมรดกได้หรือเปล่า ?
ตอบ : คือมันพยายามจะตะแบงข้าง แต่ที่แน่ ๆ ก็คือจะเอาสตางค์หมาไปใช้นั่นแหละ
ถาม : ถ้าอย่างนี้เราจะไม่ซื้อด้วยและก็ทำอย่างไร ?
ตอบ : สังเกตไหมว่าพอเราคิดอย่างนี้ความร้อนใจมันเกิดขึ้นแล้ว มันฟุ้งซ่านไปเรื่อย ถ้าได้เงินมาเราจะทำโน่นได้เงินมาเราจะทำนี่
ถาม : มีความสุขมากเลย คิดตั้งเยอะแยะ ?
ตอบ : ใช่ แต่ถ้าหากว่าดูจริง ๆ จะเห็นว่าจิตของเราไม่ได้มีความสงบเลยมันไปเรื่อย แล้วถ้าตายตอนนั้นล่ะ เดี๋ยวก็ได้เกิดเป็นหนอนเกาะในลอตเตอรี่หรอก
ถาม : ตอนนั้นอธิษฐานถ้าซื้อไม่ได้ไปนิพพานชาตินี้ ขนาดนั้นเลยนะคะ มาตอนนี้ แหม! คนโน้นก็ถูก คนข้างบ้านถูก ?
ตอบ : อันนี้แหละเขาเรียกกิเลสมันชวนไง ให้ผิดสัจจะเสียหน่อยหนึ่ง ถึงเวลาผิดสัจจะแล้วกำลังใจไม่ดีแล้วเดี๋ยวเราก็ล็อคคอมันอยู่กับเราง่ายหน่อย ยังไม่เห็นลีลามารนะสิ เจ้าพวกนี้ฝีมือสุดยอดจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อบาย (ทางต่ำ) มุข (ปากทาง) ปากทางลงสู่ที่ต่ำ อบาย ท่านบอกว่าถ้าสมมติซื้อหวยใต้ดิน ผู้แพ้เสียดายทรัพย์ผู้ชนะย่อมก่อเวร นั่นมันอาฆาตไปแล้ว เอ็งได้เงินไปเดี๋ยวข้าจะเอาคืนให้ได้ ย่อมทำให้ทรัพย์เสียหาย ไปที่ไหนก็ไม่มีคนเชื่อถือ ไม่มีคนคิดจะแต่งงานด้วย ไปเล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน คบคนชั่วเป็นมิตร ขี้เกียจไม่ยอมทำงาน ไม่น่าเชื่อความขี้เกียจไม่ทำงานกลายเป็นอบายมุขได้ แต่ขอให้เชื่อเถอะอะไรที่พระพุทธเจ้าพูดไม่มีผิดหรอก
ถาม : เป็นอะไรไม่รู้ เกิดความเบื่ออย่างนี้ จะทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : เกิดความเบื่อต้องให้เห็นจริง ๆ ว่าจริง ๆ แล้วโลกนี้มันน่าเบื่ออย่างนั้นเอง เมื่อเราเห็นอย่างนั้นแล้วอาศัยกำลังของความเบื่อนี้ถอดถอนความอยากในใจของเราออกเสีย ในเมื่อเราเห็นแล้วว่ามันน่าเบื่อขนาดนั้นจริง ๆ แล้วเรายังต้องการมันไปทำไม เราก็จะอาศัยกำลังของความเบื่อนั้น ถอดใจของเราออกมาจากในจุดที่มันยึดมันเกาะอยู่ ในเมื่อเราเบื่อก็หมดอยาก มันน่าเบื่อขนาดนี้ก็ไม่รู้จะเอาทำอะไร คนถ้าหมดอยากโอกาสเข้าถึงธรรมก็มหาศาลแล้ว
ถาม : พูดถึงเรื่องเบื่อนี้ มันน่าเบื่อ ทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงอย่างที่ว่าเมื่อกี้ไง ทุกสิ่งทุกอย่างมันเหลวไหลสิ้นดี ไม่มีอะไรทรงตัวเป็นแก่นสารสักอย่าง มันน่าเบื่อไหมล่ะ
ถาม : ถ้าอย่างนี้หนูจะเลี้ยวเรื่องลอตเตอรี่ไม่ได้ ?
ตอบ : เรื่องที่ประเภทบีบตัวเองอย่างนั้นก็อย่าไปเลี้ยว เกิดอะไรขึ้นมาโทษคนอื่นไม่ได้เลยนอกจากโทษตัวเอง เอาอย่างนี้สิอธิษฐานใหม่ อธิษฐานว่าถ้าบุญมันจะถูกหวยจริงเดินไปขอให้เจอรางวัลที่ ๑ มันปลิวมา
ถาม : ถ้าซื้อแล้ว จะรู้ได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็ลมดีมาพอดี
ถาม : ไหน ๆ ก็ต้องตายไม่กลับมาเกิดอีก ขอรวยสุด ๆ ?
ตอบ : หวยก็ไม่ซื้อ แต่อยากถูกรางวัลที่ ๑
ถาม : ถ้าจะซื้อก็กลัวผิดสัจจะตรงนั้น แต่อยากเลี้ยวบ้าง ?
ตอบ : ไม่ต้องเลี้ยว ถ้างวดนี้เดี๋ยวนี้ตกเหวแน่นอนเลย ตั้งสัจจะกับพระแล้วเลิกเลี้ยวได้เลย เลี้ยวเมื่อไหร่ตกเหว เราทำตัวเราเอง จำไว้ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เราคิด เราพูด เราทำทุกอย่างอาจจะเกิดจากการดลใจของมาร เขารู้ว่าเราไปตรง ๆ นี่หนีพ้นมือเร็ว มันก็จะให้เลี้ยว ๆ เมื่อไหร่ก็ตกเหวที่มันขุดล่อไว้
|