ถาม : อาทิตย์ที่แล้วมีปลวกขึ้นบ้าน ?
ตอบ : เป็นรังใหญ่ หรือแค่ทางเดิน ?
ถาม : รังใหญ่เลยค่ะ ?
ตอบ : ถ้ารังใหญ่มีสองวิธีง่าย ๆ อย่างแรกเอา น้ำมันโซล่าราดรังมันไปเลย ทนเหม็นหลายวันหน่อย มันจะไม่เป็นอะไรเลยจ้ะ พอน้ำมันโซล่าเริ่มซึมเข้าไปในรัง มันได้กลิ่นก็เริ่มย้ายหนี แล้วเราค่อยไปแซะทิ้ง แล้วอีกวิธีหนึ่งค่อนข้างรุนแรงหน่อย ใช้น้ำยาฆ่าปลวก พวกเชลส์ไดร์ แต่ถ้ามันรู้ตัวช้ามันตาย แต่น้ำมันนี่มันจะไม่ตาย เพราะมันไม่ทำอันตรายตัวมัน
ถาม : พอวันรุ่งขึ้น คุณพ่อไปเรียกบริษัทจำกัดปลวกมา แล้วให้เขาดูแล แล้วก็... ?
ตอบ : เรื่องนั้นจริง ๆ แล้ว เป็นเรื่องของใครทำใครได้ แล้วเรื่องของบาปกรรม เรื่องของบุญ เรื่องของธรรมะ เขาว่ากันตรงไปตรงมา ใครทำใครได้ ใครทำโทษเกิดกับคนนั้น ใครทำบุญเกิดกับคนนั้น แต่มีอยู่อันหนึ่งว่าถ้าเราสั่งเขา เรามีส่วนด้วย แต่มันไม่หนักเท่ากับเราทำเอง หรือว่าหนักเท่ากันก็จริง แต่เนื่องจากว่ากำลังใจของเราไม่เจตนา ทำอย่างนั้น ส่วนของเรามันน้อยกว่าที่จะเสียด้วยซ้ำไป ต่อไปใช้วิธีที่ว่าปลอดภัยดี ยอมทนเหม็นหน่อย ใช้น้ำมันโซล่าราดรังไปเลย ทิ้งเอาไว้สักสองวัน แล้วค่อยแซะไปทิ้ง จริง ๆ มันบ้านเขานะ เคยพูดคำนี้หลายทีแล้ว แต่คนเขาไม่เข้าใจ
คือพวกปลวกพวกสัตว์ถ้ามันเข้ามาในเขตของบ้านเรา จริง ๆ ก็คือที่หากินของมันอยู่แล้ว แต่เราดันไปสร้างบ้านอยู่ตรงนั้น มันเท่ากับเราไปทีหลังเสียด้วยซ้ำไป ระวังเลย ถ้าหากว่าหนูในบ้านเยอะ เราใช้กิ่งยี่โถ ตัดเป็นท่อน ๆ ทุบให้มันแตก แล้วก็ไปวางไว้บริเวณที่มันเคยไป มันจะไม่ไปอีกเลย ถ้าพวกมด ก็ใช้พวกเปลือกมะนาว บีบน้ำใช้ให้หมดก่อน เอาเปลือกไปวาง ๆ บริเวณที่มันเดิน ก็เลิกไป พอมันไปกันหมดก็ฉีดยากันไว้ ถ้าหากว่าที่มันฉีดยาลำบากก็เอาชอล์กกันแมลงขีดกันไว้ ช่วยได้เยอะ ไม่จำป็นต้องฆ่ามันหรอก ถ้าเป็นพวกยุงแมลง ถึงเวลาก็เปิดประตูหน้าต่างเปิดมุ้งลวดไว้ให้หมด แล้วก็ฉีดยาใส่ข้างฝา พอกลิ่นมันเริ่มออก เจ้าพวกนี้มันก็หาทางบินออกไปเอง พอไปหมดแล้วก็ปิดประตูหน้าต่าง ฉีดยาอบเอาไว้
ถาม : ถ้าหากว่างูอะไรมา ?
ตอบ : ถ้างูเห่าก็ผัดเผ็ดไปเลยจ้ะ (พูดเล่นจ้ะ) ถ้างูเข้าบ้านเกิดจากสาเหตุสองอย่าง อย่างแรกคือ บ้านรก รอบบริเวณบ้านรก จะมีกระถางต้นไม้ก็ดี สนามหญ้าก็ดี เขาจะมาหาอาหาร อย่างที่สองประเภทเราเลี้ยงอะไรบางอย่างหรือว่ามีสัตว์ที่เป็นอาหารเขา เช่นว่า บ่อปลา ประเภทปลาเล็กปลาน้อยงูจะกิน หรือประเภทกบเขียดมาไข่ พอมีสระมีบ่อ มันก็แห่กันมาไข่ตรงนั้น ตัวที่จะกินมันก็ตามมาด้วย ถ้าเราแก้ไขพวกนี้ได้ มันก็ไม่มาให้เสียเวลาหรอกจ้ะ มาก็ไม่มีกิน
สักสามเดือนมาแล้ว งูจงอางมันไล่กินตุ๊กแกมาที่หลังคาห้องน้ำ พระเขาเข้าห้องน้ำ พอขู่ใส่ก็วิ่งอ้าวเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าล้างก้นหรือเปล่า บอกว่าอาจารย์ครับมีงูเห่าอยู่ที่ห้องน้ำ ก็บอกเขาว่าไป เดี๋ยวจับให้คุณดู พอไปถึงกลายเป็นจงอาง ว่าแล้วก็จับมันไปปล่อย ถ้าหากว่าพวกเราไม่กลัวนะ งูมันเป็นสัตว์ที่น่ารักเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าพวกเราไปกลัวว่ามันเป็นสัตว์มีพิษมีอันตราย ไม่มีสัตว์ชนิดไหนที่อยากจะทำร้ายเรา ถ้าไม่โดนเราทำร้ายก่อน อย่างงูจงอางเหมือนกัน พอเข้าไปถึงก็ชูหัวขึ้นมา พอมันชูหัวก็เอาไม้เขี่ยหัวลงมา ก็จับหิ้วไปปล่อย อย่าไปตีมันนะ ถ้าตีเจ็บเขาก็จะกัดเอา เพียงแต่ว่าใจถึงพอไหม ที่จะเดินไปหามันแล้วเอาไม้เขี่ยหัวมันลงหน่อย ฮ่ะ...ฮ่ะ...ฮ่ะ ของเราเอาไม้ยาวประมาณศอกเดียว เป็นไม้เรียวเล็ก ๆ สำหรับตีเด็ก อาจารย์สมพงษ์ แกเล่นโน้น ไม้ไผ่ยาวสามวาบอกว่าอาจารย์เอาอันนี้ดีกว่า ก็บอกไปว่าอันนั้นแล้วจะเอื้อมไปจับอีท่าไหนล่ะ มันยาวเกินไป
ถาม : (ถวายสังฆทาน)
ตอบ : สิ่งที่เราทำไปแล้วก็ไม่ต้องไปนึกถึงมันหรอกจ้ะ ทำให้ใจหมองเปล่า ๆ เวลาทำบุญ ทำกุศล ก็ค่อยอุทิศให้เขาไป อย่างที่หลวงพ่อท่านสอนว่า ให้อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรบ่อย ๆ ใช่ไหม ? ก็ให้เขาไป แล้วบอกว่าคราวหน้าอย่ามาอีกนะ เดี๋ยวลำบากด้วยกันทั้งสองฝ่าย กำจัดหนูใช้กิ่งยี่โถ รู้จักไหม ใช้ดอกขาวก็ได้ ดอกแดงก็ได้ ใช้ได้ทั้งนั้น ยางยี่โถจะเป็นพิษต่อหนู หนูจะไม่มายุ่งด้วย ขณะเดียวกัน ถ้าคนพลาดก็ตายเหมือนกัน ยางยี่โถมันจะกระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็วผิดปกติ ถ้าใครเป็นโรคหัวใจอยู่ แอบให้กินสักหน่อยเดียวละก็ ประเภทเต้นจนช็อกตายไปเอง อย่าไปทำเชียวนะ
แล้วก็กำจัดปลวกใช้น้ำมันโซล่า หรือเชลส์ไดร์ แต่เชลส์ไดร์นี่อันตราย คือถ้ามันซึมลงไปเร็วแล้วยกขบวนหนีไม่ทันก็อาจตายได้ พวกมด พวกแมลงก็ใช้วิธีไล่เขาไป มดเข้ามาอยู่ มันมีสองอย่าง อย่างแรก ก็คือ ถ้าเป็นหน้าแล้ง มันจะมาหาน้ำกิน หาน้ำใส่แก้วหรือใส่จานวางไว้ตรงมุมห้องก็ได้ เขาจะไม่มากวนเราในห้อง หรือไม่ก็ใช้ยากันแมลงขีดไว้ หรือฉีดกันเอาไว้ ถ้าหากว่าอีกอย่างหนึ่งคือว่าเข้าไปหาที่นอนเลย เพราะฉะนั้นต้องขยันหน่อย ประเภทกองเสื้อผ้ากองหนังสือ ถ้าอับชื้นหน่อยเขาจะเข้าไปอยู่ด้วย แห่กันเข้าไป มันมียาชนิดหนึ่งที่ทำจากเปลือกส้ม เป็นลักษณะเหมือนสเปรย์ปรับอากาศ ฉีดใส่ตัวมด มดจะไม่ตาย แต่มันจะไม่ชอบมากเลย วิ่งกันพล่านเลย แล้วมันจะไม่ไปตรงนั้นอีก ไปดู ๆ เอานะ ราคามันแพงหน่อย แต่ไม่เป็นอันตราย เหมือนเราไม่ชอบอะไรที่มันเหม็น ๆ แล้วก็วิ่งหนีอย่างนั้น เคยเจอไหม แต่อย่าไปฉีดใส่ตัวมันแรง ๆ นะ เดี๋ยวน้ำท่วมจนมันตาย ไปไล่จ่อฉีดมันทีละตัว ก็มีสิทธิตายได้ เหมือนกัน วิธีจำกัดแมลงก็ผ่านไปแล้ว ใครอยากได้วิธีกำจัดคนบ้างไหม ?
ถาม : ผ้ายันต์ (ยันต์เกราะเพชร) แต่ละสี นี่มีอะไรต่างกันไหม ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ อานุภาพเหมือนกัน แต่ว่าคนเรามันเกิดต่างวันกัน บางทีเขาอยากได้สีตามกำลังวันของตัวเองอย่างนี้
ถาม : (คุยเรื่องผลไม้ นอกฤดูกาล)
ตอบ : กินตามฤดูจะดีกว่า เพราะจะเหมาะสมกับสภาพธาตุขันธ์ร่างกายในตอนนั้น สังเกตไหมว่าทุกเรียนกับมังคุดจะออกหน้าเดียวกัน อันหนึ่งร้อนกินเข้าไป แล้วอีกอันหนึ่งเย็นกินตามสบาย ของทุกอย่างธรรมชาติจะให้มาดีแล้ว ธรรมะ...ชาติ เกิดโดยธรรม ทุกอย่างที่เป็นธรรมชาติหรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า ๆ ว่าธรรมดา ปล่อยมันตามปกติของมัน มันจะพอเหมาะ พอควร พอดี สมควรบริบูรณ์ทุกอย่าง
สังเกตสักที่แล้วกัน ถ้าเราทิ้งที่ให้รก ๆ เข้าไว้ ปล่อยให้ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นของมันเอง มันจะพอเหมาะพอดี เพราะว่ามันต้องการน้ำ ต้องการอาหาร ต้องการแสงแดดที่พอดีของมัน อันไหนที่มันขึ้นมาเกิน มันจะแห้งตายของมันเอง อย่างกิ่งไม้เล็ก ๆ ที่อยู่ข้างในพุ่ม มันจะแห้งตายของมันเอง แต่กิ่งที่ได้รับแสงแดดมันจะไม่ตาย
คราวนี้ในจุดที่มันพอเหมาะ พอดี พอควร เราไปเพิ่มเข้า มันก็เกิน เราไปตัดมันก็ขาด ถอนหญ้าไปต้นหนี่ง เห็นชัดเลยว่าตรงนั้นมันแหว่งไปใช่ไหม ลักษณะเดียวกับธรรมะของพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า เกวะละ ปะริปุณณัง สมบูรณ์ บริบูรณ์แล้ว ไม่ต้องไปเติม ไม่ต้องไปตัด มีหน้าที่ทำตามอย่างเดียว
ถาม : ........................................
ตอบ : ก่อนมาสามสี่วัน สอบพระ พระจะมีเรียนนักธรรม ตรี โท เอก แล้วก็เรียนบาลี บาลีนี้สอบเป็นเปรียญ ถ้าถึงเปรียญสามนี่เรียกว่ามหา มหาเปรียญ เปรียญสามเรียกว่าเปรียญตรี ถ้าหากว่าเรียนนักธรรมตรีจบ ก็มีสิทธิได้ถึงเปรียญสาม ถ้าหากสอบได้นักธรรมโท ก็มีสิทธิสอบได้ถึงเปรียญหก เรียนนักธรรมเอกจบมีสิทธิสอบได้ถึงเปรียญเก้า
คราวนี้พอสอบพระ พระมันเยอะ ทั้งพระทั้งเณรด้วยกัน ๒๕ องค์ ตรวจการบ้านให้เขา ตรวจข้อสอบให้เขา ปากกาหมึกหมดไปสองอัน เพราะเท่ากับว่าเราต้องทำไป ๒๕ ครั้ง คือส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในลักษณะว่าตอบไม่ตรงคำถามก็มี ตอบผิดก็มี ก็เลยต้องแก้ไปเรื่อย แก้ไปแก้มาทำไมเขียนไม่ติดวะ หันมาดูอ้าว ! ปากกาหมึกหมด คือบางอย่างเขาไม่รู้แต่ว่าพยายามรักษาฟอร์ม พยายามตอบ ตอบมาเราก็หัวเราะไป ท้องไส้คลอนไปหมด เช่น ถามว่า บาปที่หนักที่สุดเรียกว่าอะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? บาปที่หนักที่สุดทางพุทธศาสนาเรียกว่า อนันตริยกรรม เขาตอบมาว่าโคตรบาป แต่มันดันตอบถูกว่ามีฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต ทำสงฆ์ให้แตกกันอย่างนี้ แต่มันดันจำชื่อไม่ได้เลยตอบว่า โคตรบาป เราไม่ได้สอนอย่างนั้นสักหน่อย ตัวเองจำไม่ได้ แต่มันดันวางฟอร์ม กลัวเขาจะรู้ว่ามันตอบไม่ได้
แล้วอีกรายหนี่ง ก็ถาม ชื่อต่อไปนี้หมายถึงใคร มีความสำคัญอย่างไร อย่างอสิตดาบส กบิลดาบส สีหนุ ยโสธรา พิมพา อย่างนี้ พอถึงสีหนุ เขาบอกว่า กษัตริย์เขมร เถียงมันไม่ได้เลย สีหนุกษัตริย์เขมรจริง ๆ ความจริงคือปู่ของเจ้าชายสิทธัตถะ เขาจะมีท่องว่า ปู่สีหนุ ย่ากัญจนา ตาอัญชนะ ยายยโสธรา คราวนี้พอเราเจาะตรงกลางชื่อเดียว มันดันตอบว่ากษัตริย์เขมร คือ มีมาชื่อเดียวมันไปไม่เป็น แต่ถ้าถามมาทั้งแผงเลยก็จะตอบได้ เอากับเขาสิ
พอ... พอ... กับตาอู๋ นั่นแหละ เกศาแปลว่าอะไร ? ผมครับ โลมาแปลว่าอะไร ? ปลาครับ เตะเสียดีไหม ? เถียงมันได้ไหมล่ะ โลมาปลาจริง ๆ แต่ละคน ก็มีเกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เกศาตอบผม ถูกต้อง แต่ถ้าโลมา บอกปลาครับ เป็นไง ? ลูกศิษย์แต่ละคนกวนไหมล่ะ คำถามว่าพระพุทธเจ้าบวชที่ไหน ? รายหนึ่งตอบว่า ประเทศอินเดีย เราก็เกาหัวเลย อีกรายหนึ่งตอบชมพูทวีป ยิ่งแม่นไปใหญ่ คะแนนห้าคะแนน เลยให้ไปสองคะแนน จริง ๆ จะให้ตอบว่าบวชที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา พวกนี้เขาเก่ง ถึงเวลาตะแบงข้างไปเรื่อย ๆ มีลูกศิษย์อย่างนี้ปวดหัวตายเลย อปัณณกปฏิปทา คือการปฏิบัติที่ไม่ผิด มีกี่อย่าง ? คือ ๓ อย่าง อินทรีย์สังวร การสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โภชเนมัตตัญญุตา รู้จักประมาณในการกินพอเหมาะพอควร ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกิน ชาคริยานุโยค ปฏิบัติธรรมของผู้ตื่นอยู่เสมอ คือเป็นผู้ดำรงสติสัมปชัญญะอยู่ตลอด เขาตอบ อปัณณกปฏิปทา มีหลายอย่าง ถามมีกี่อย่าง บอกมีหลายอย่าง เกินหนึ่งก็หลายอย่างใช่ไหม ? น่าเตะจริง ๆ เจอลูกศิษย์อย่างนี้มีสองอย่าง ถ้าครูไม่หัวเสียไปเลยก็หัวเราะดิ้นตายไปเลย ของเราหัวเราะดิ้นคลอนไปหลายวัน เหนื่อยจะตาย ตรวจข้อสอบไปก็หัวเราะไป คนมันคงนึกว่าอาจารย์บ้าไปแล้ว
ถาม : (เรื่องกฐิน)
ตอบ : เริ่มตั้งแต่วันแรกที่ออกพรรษา ความจริงเขาใช้คำว่าจีวรกาล ฤดูที่พระทำจีวร จะเริ่มตั้งแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ไปจนถึงกลางเดือน ๑๒ ถ้าไม่ได้อานิสงส์กฐิน ถ้ามีคนถวายผ้ากฐิน จะขยายไปถึงกลางเดือน ๔ ก็รวมว่า ถ้าจำพรรษาเฉย ๆ ไม่ได้กฐิน ก็เดือนหนึ่ง แต่ถ้าหากว่าจำพรรษาแล้วได้รับกฐินด้วยก็ ๕ เดือน แต่ว่าระยะเวลาทอดกฐินจริง ๆ ก็คือ แรมหนึ่งค่ำเดือนสิบเอ็ด ถึงกลางเดือนสิบสอง สมัยก่อนเรียกว่า จีวรกาล เป็นเวลาที่พระเตรียมหาผ้าเพื่อทำจีวรของตัวเองให้สมบูรณ์
สมัยก่อนไปเก็บผ้าที่เขาทิ้งแล้ว มาซัก มาย้อม มาเย็บ ขึ้นเป็นจีวร เพื่อที่ว่าช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่ฝนเริ่มหมดแล้ว หาผ้ามาทำจีวรเสร็จแล้วจะได้เดินธุดงค์ต่อ ก็เลยเรียกว่าหน้าจีวรกาล พระพุทธเจ้าท่านผ่อนผันให้ในช่วงที่ทำจีวรหลายอย่างด้วยกัน เช่นว่า ฉันคณะโภชนาได้ คณะโภชนานี้ หมายถึงเวลาโยมนิมนต์ออกชื่ออาหาร ท่านไม่ให้ฉันเกินสี่องค์
สมัยก่อนพระอยู่ด้วยกันเป็นพันเป็นหมื่น หรืออาจะเป็นแสนถ้าพระพุทธเจ้าอยู่ด้วย เกิดบ้านโน้นบอกขอนิมนต์พระคุณเจ้าไปรับข้าวมธุปายาส ของดีไม่เคยกินก็แห่กันไปเป็นแสน เล่นเอาเจ้าภาพเจ๊งไปเลย พระพุทธเจ้าท่านก็เลยห้ามไว้ว่า ถ้าหากว่าโยมถวายอาหารออกชื่อให้กินไม่เกินสามคน ถ้าถึงสี่คนให้ปรับอาบัติ คือศีลขาดทุกองค์เลย ยกเว้นว่าหน้าจีวรกาลอย่างนี้ได้ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยได้ อาหารนั้นเป็นของภิกษุด้วยกันเองได้ อย่างนี้เป็นต้น ก็จะมีข้อห้ามและข้อยกเว้นให้
ถาม : (กฐินมีกี่อย่าง)
ตอบ : มันจะมีจุลกฐิน คือการที่จะทอ,เย็บ,ย้อมผ้าไปถวายภายในวันเดียวเสร็จ วันเดียวเลย เล่นตั้งแต่เริ่มสว่างก็ว่าไปเลย มาระยะหลังนี้กฐินหลวงก็จัดเป็นจุลกฐิน แต่ก็จะมีสบงผืนหนึ่งอังสะผืนหนึ่งที่จะเว้นเป็นสีขาวเอาไว้ ถึงเวลารับมาเสร็จก็ต้องรีบไปย้อม ตากแห้ง แล้วเอามากรานกฐิน
สมัยนี้ถ้ากฐินหลวงเขาจะเว้นสีขาวไว้ให้ผืนหนึ่ง เพราะว่าคุณไม่ได้เย็บแล้วก็เอาไปย้อมเองก็แล้วกัน แต่บางความหมาย เขาหมายถึงผ้าผืนเดียว ไตรจีวร ก็คือ สบงผ้านุ่ง จีวรผ้าห่ม สังฆาฏิก็คือผ้าซ้อนห่ม พอถึงเวลาหน้าหนาวก็เอามาห่มซ้อนได้ คราวนี้ผืนใดผืนหนึ่งมีไม่ครบไตรเรียกว่า จุลกฐิน แต่ถ้าเป็นมหากฐิน มีครบไตรและไม่ได้ถวายคนเดียว ประเภทบางวัดมีกี่องค์เขาถวายหมดเลย กฐินนี่เป็นสังฆทานจำกัดเขต เพราะว่าปีหนึ่งมีโอกาสถวายได้หลังจากออกพรรษาแล้วเท่านั้น เลยกลายเป็นอานิสงส์พิเศษ
หลวงพ่อท่านบอกว่าบุคคลใดก็ตาม ถ้าได้เป็นเจ้าภาพกฐินสามปีติดกัน ทำอะไรก็ให้คล่องตัวไปหมด ท่านให้สังเกตจุดนี้ ของเราเองจะรับเป็นเจ้าภาพกฐินลำบากใช่ไหม ? ใครส่งซองมาก็ใส่ไปเหอะ สาธุขอเป็นเจ้าภาพด้วยคนนะ ง่ายดี ไม่เปลืองตังค์เยอะ กฐินอย่างที่สาม เป็นกระถินจิ้มน้ำพริกจ้ะ ทำอะไรทำง่าย ๆ ทำเป็นไม่ต้องจ่ายเยอะ บุญเยอะต่างหาก การทำบุญสำคัญตรงสละออก และก็ทำเป็น ถ้าหากสละออก และทำเป็น ทำน้อยก็ได้มาก ส่วนใหญ่จะไปคิดว่าต้องทำเยอะ ๆ ถึงจะได้มาก ไม่ใช่
ถาม : (อากาศหนาว)
ตอบ : ถ้าหากว่าอากาศต่ำสุดสูงสุดของภาคกลางนี่ จำไว้เลยว่า อ. ทองผาภูมิ เอาไปกินเสียเก้าสิบเปอร์เซนต์ บางทีก็จะมี อ. ชัยบาดาลของลพบุรีแย่งไปได้บ้าง แต่ว่าอันนั้นส่วนใหญ่ก็น้อยครั้ง เมื่อไร ๆ ก็ทองผาภูมิ เขาบอกว่าที่ไหนมีแร่มากที่นั่นจะเย็นมาก แต่คราวนี้ของเขามีป่าซ้ำไปด้วยก็เย็นหนักเข้าไปอีก แร่ธาตุจะดูดความร้อนความเย็นได้เร็วและคายเร็ว พอถึงเวลาสักสี่ห้าโมงเย็น มันเย็นปั๊บ รู้สึกได้เลยว่าความเย็นมันไหลเข้ามา แล้วพอกลางวันมันก็คายความเย็นเร็ว ช่วงเช้าอาจสิบกว่าองศา พอช่วงบ่ายว่าไปสักสามสิบกว่า แร่ธาตุดูดความเย็น ความร้อน คายความเย็นความร้อนได้เร็ว โดยเฉพาะทองเยอะมาก ไปไล่ขุดกันเอาเองแล้วกัน
ถาม : ............................................
ตอบ : เดือนตุลาคมทุกปี จะเป็นวันเกิดหลวงพ่อ ที่บ้านสายลมถึงหลวงพ่อจะมรณภาพไปแล้วเขาก็ยังทำงานวันเกิดต่อมา คราวนี้ว่าเดือนตุลาคมทุกปลายเดือนของปีเหมือนกันเป็นวันมรณภาพของหลวงพ่อ ตกลงว่าต้นเดือนจัดวันเกิด ปลายเดือนจัดวันตาย เดือนเดียวกัน แป๊บเดียวเองสิบปีแล้ว กลายเป็นลูกไม่มีพ่อไปสิบปีแล้ว ทันหลวงพ่อไหมพวกเรา ?
ถาม : ไม่ทันค่ะ ?
ตอบ : น่าดีใจด้วย ถ้าทันคงโดนท่านด่าจมดินไปแล้ว ไม่เป็นไรจ้ะ คือว่าแบบเดียวกับถามว่าเราทันพระพุทธเจ้าไหม ? ไม่ทันหรอก แต่ว่าคำสอนของท่านมีใช่ไหม ? เราปฏิบัติตาม ก็ได้ผลจริง ๆ คนที่ถึงแม้อยู่ทันพระพุทธเจ้า แต่ไม่ปฏิบัติตามคำที่ท่านสอน พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าต่อให้จับชายสังฆาฏิอยู่เขาก็ไม่เห็นตถาคต แต่บุคคลใดก็ตามตั้งใจนำสิ่งที่ตถาคตสอน ตั้งใจไปประพฤติปฏิบัติตาม ตั้งใจทำกาย วาจา ใจ ของตนให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ต่อให้อยู่ห่างไกลแค่ไหนก็เหมือนเกาะชายสังฆาฏิของตถาคตอยู่ แล้วตรัสคำว่า โยธัมมัง ปัสสติ โสมัง ปัสสติ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา
คราวนี้หลวงพ่อก็เหมือนกัน พวกเราถึงไม่ทันก็จริง แต่ว่าหนังสือของท่านมีอยู่ เทปของท่านมีอยู่ ทำไปเถิดจ้ะ ถ้าติดขัดตรงไหน ไปไม่รอด แวะมาถามอาตมาแล้วกัน ถ้าตอบได้ จะช่วยตอบให้
ถาม : ตอนแรกรู้สึกว่าเสียใจมากที่ไม่ทันหลวงพ่อ แต่พอตอนหลังนี้เริ่มปฏิบัติธรรมตามที่หลวงพ่อสอน ก็รู้สึกว่าตอนนี้ไม่เสียใจแล้ว ?
ตอบ : จ้ะ ยิ่งทำก็จะรู้สึกว่ายิ่งใกล้หลวงพ่อไปทุกที ถ้าทำถึงที่สุดก็ไปอยู่กับท่านเอง ก็เลยกลายเป็นว่าไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจ ตั้งหน้าตั้งตาทำไป สิ่งที่ท่านสอนก็คือธรรมะของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนก็เพื่อประโยชน์ของเราทั้งนั้น พระพุทธเจ้าสอนไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของใคร ก็เพื่อประโยชน์ของเราทั้งนั้น
การให้ทาน ท่านบอกว่า ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ก็ได้รับความรักความเมตตา การสงเคราะห์ตอบแทนมาจากคนอื่นเขา การรักษาศีลก็เพื่อตัวเราทั้งนั้น ท่านบอกว่าถ้าเราไม่อยากให้ใครเขามาฆ่าเรา เราก็อย่าไปฆ่าใคร ไม่อยากให้ใครไปลักขโมยของของเรา ก็อย่าไปลักขโมยของของใคร ไม่อยากให้ใครไปแย่งคนที่เรารัก เราก็อย่าไปแย่งคนรักของใคร ไม่อยากให้ใครเขาโกหก เราก็อย่าไปโกหกใคร อยากเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ก็อย่าไปกินเหล้าเมายา อย่าไปทำให้เสียสติสัมปชัญญะไป
ส่วนการภาวนา มันเป็นประโยชน์ในปัจจุบัน คือทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ หมายความว่า ถ้ากำลังใจของเรามั่นคงเป็นผู้มีสติอยู่ รู้เท่าทันความเป็นไปของชีวิต ปล่อยได้ วางได้ เราก็เป็นผู้มีความสุขอยู่ในปัจจุบัน
ถาม : .......................................
ตอบ : อันแรกเรียกว่าทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ประโยชน์ในปัจจุบัน อันหลังเรียกว่าสัมปรายิกธรรมประโยชน์ ประโยชน์ในอนาคต คือว่ากำลังใจทรงตัว ย่อมไปสุคติ ทรงตัวน้อยไปสวรรค์ ทรงตัวปานกลางไปถึงพรหม ถึงที่สุดไปนิพพาน สิ่งที่ท่านสอน สอนแล้วเพื่อตัวเราเองทั้งนั้น ไม่ว่าในทาน ในศีล ในภาวนา เราทำเราได้ แล้วสำคัญที่สุดตอนที่พระองค์ที่สิบ ท่านเสด็จ ท่านบอกว่าเรื่องของธรรมะ ใครทำ ใครได้ ทำแทนกันไม่ได้ ถ้าหากว่าอยากได้ดี อยากไปนิพพานก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำไป มัวแต่ไปเที่ยวอธิษฐานขอจากคนอื่นมันไม่ได้หรอก ท่านบอกขืนให้ไปนาน ๆ ฉันก็ไม่มี กลายเป็นบารจนพอดี มันให้กันไม่ได้ เพียงแต่ว่าผู้ใดที่ต้องการ อยู่ในลักษณะที่เป็นกำลังใจ ท่านก็ให้ แต่ท่านก็จะแทรกข้อคิดอยู่ตลอด
ถาม : มีอยู่วันหนึ่ง มีความรู้สึกว่าไม่สบายเวียนหัว แล้วพอไปเข้าห้องน้ำ แล้วรู้สึกหน้ามืด พอหน้ามืดตอนนั้น จิตมันฉุกคิดขึ้นมาว่า เราเป็นอย่างนี้ เพราะมีร่างกาย พอคิดอย่างนี้แล้วรู้สึกมืดไปหมดเลย ไม่รู้ตัว ?
ตอบ : คืออย่างนั้นแสดงว่ากำลังใจของเราใช้ได้จ้ะ ถึงเวลาเกิดเวทนา เกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยกับร่างกายขึ้นมา เราสามารถนึกถึงข้อธรรมคำสอนได้อะไรได้ ตอนนั้นถ้าตั้งใจหน่อยเดียวว่าถ้าตายตอนนี้เราไปนิพพาน ก็สบายเลย แสดงว่าลูกพ่อจริง ๆ หลวงพ่อท่านก็ไปหน้ามืดอยู่ในห้องน้ำ แล้วท่านไม่ได้หน้ามืดเฉย ๆ หล่นจากโถส้วมไปกองกับพื้นเลย เสร็จแล้วท่านก็อุตส่าห์พยายามทรงตัวถอดกลอนออกมา แล้วมาล้มหมอบอยู่หน้าห้องน้ำ ท่านบอกว่า เดี๋ยวคนมันไปลือว่าข้าตายคาโถส้วม ลูกศิษย์จะขายหน้าเขา ก็เลยตะกายออกมาตายข้างนอก หมดลมอยู่พักหนึ่ง พระท่านไล่กลับมา ก็เลยต้องฟื้นใหม่
ถาม : แล้วตอนนั้นที่มันรู้สึกว่ามืดไปนั้นเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : อันนั้นมีอยู่สองอย่างจ้ะ คือว่า สติมันขาดไป เพราะว่าเวทนาที่เกิดขึ้นมันบีบคั้น อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า สติพอเป็นฌานอยู่บ้าง แต่ว่าตามไม่ทัน ก็ตัดไปเฉย ๆ ลักษณะนั้นเหมือนกับวูบไป อาการมันใกล้เคียงกันมาก ต้องสังเกตดูให้ดี แต่ว่าถ้าทำในลักษณะนั้นได้ก็สบายใจได้เลยว่า อย่างน้อยกำลังใจของเราน่าจะเกาะความดีได้อยู่บ้าง แต่อย่าไปประมาทนะ หมั่นทำบ่อย ๆ
อาตมาตอนป่วยหนักคราวก่อนนี้ เกาะไม่ปล่อยเลย เขาจะหามไปเผาทิ้งเสียแล้ว ถึงเวลาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยมันเกิดขึ้นหนัก ๆ ถึงเวลาก็จับอารมณ์ภาวนาเพื่อหนีความทุกข์ของร่างกาย ปรากฏว่าจับแน่นไป เขาจะเอาไปเผาเสียแล้ว อย่าพยายามเลียนแบบจ้ะ คนไม่เข้าใจเขาจะจับไปเผาแล้วจะยุ่ง
ถาม : แต่ก่อนที่จะวูบไป จิตมันรู้ตัวว่ามันเวียนหัว แต่ไม่มีความทุกข์ ?
ตอบ : จ้ะ มันจะรู้เท่าทันมัน แต่ขณะเดียวกัน จิตก็พร้อมที่จะรับมัน ตอนนั้นนึกถึงพระได้เลยจ้ะ ถ้าหากว่าเราตายตอนนี้ขอไปอยู่กับพระที่นิพพานกับท่านแล้วกัน ทำอารมณ์ใจสบาย ๆ มันจะเป็นจะตายเรื่องของมัน ถ้ามันลืมตาตื่นขึ้นมา เราก็ทุกข์ต่อไป ถ้ามันไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาเราก็สบายไปเลย อาตมาพยายามทำหลายทีแล้ว ตื่นทุกที
ถาม : (เกี่ยวกับสุขภาพสายตา)
ตอบ : มีอยู่สมัยหนึ่ง จะมีพระอยู่หลายคณะ พอออกพรรษาแล้วก็จะไปกราบพระพุทธเจ้าที่เชตวันมหาวิหารโน้น คณะหนึ่งเดินมาทางราบ ชาวบ้านเขาเห็นก็นิมนต์เข้าไปเลี้ยง ตอนที่เขาประเคนอาหารพระอยู่ ปรากฏว่าไฟมันไหม้ไปติดที่เสวียนหญ้าที่เขาเอาไว้รองหม้อ สมัยก่อนจะใช้หม้อดิน เขาจะเอาหญ้ามามัดขดเป็นกลม ๆ สำหรับเอาหม้อวางไว้ มันจะได้ไม่แตก ไม่หก ไม่ล้ม ไฟไหม้ไปติดเสวียนหญ้าแล้วลมตีมันลอยขึ้นไป ปรากฏว่าอีกาตัวหนึ่งบินผ่านไปสวมฉับเข้าพอดีเลย โดนไหม้ร่วงลงมาตาย พระก็แปลกใจว่า เออหนอขนาดอยู่บนอากาศขนาดนั้นยังโดนไฟไหม้ร่วงลงมาตายได้ จะต้องมีอะไรที่เป็นเบื้องหลังชนิดที่เรียกว่าคิดไม่ถึงแน่นอน จำเราจะต้องไปถามพระพุทธเจ้าดู ก็ตั้งใจเดินทางไป
อีกคณะหนึ่งมาทางทะเล อาศัยเรือเขามา ปรากฏว่าเรือแล่น ๆ อยู่ ทั้ง ๆ ที่ลมส่งดีแต่เรือไม่ไป ติดอยู่ เหมือนกับว่าทิ้งลมอย่างนั้น แก้ไขอย่างไรก็ไปไม่ได้ นายเรือก็เลยคิดว่าคนกาลกิณีจะต้องเกิดขึ้นแล้วในสถานที่ของเรา ก็เลยทำฉลากให้จับ ปรากฏว่าไปเจอะเอาเมียสาวสวยเช้งของนายเรือพอดี ก็เลยให้จับใหม่สามครั้ง ปรากฏว่าจะจับก่อน จับหลัง จับตรงกลาง ก็ได้คนเดียวนั่นแหละ นายเรือก็เลยตัดสินใจเพื่อให้คนทั้งหลายอยู่รอด ก็ต้องสละภรรยาตัวเอง เลยจับภรรยาโยนน้ำไปเสีย เรือก็แล่นต่อไปได้ พระที่ติดเรือไปด้วยก็คิดว่า คนเราทำกรรมอะไรถึงปานนี้หนอ จำเราต้องไปถามพระพุทธเจ้าดู
ส่วนอีกรายมาทางป่าและเขา คราวนี้พอค่ำลงก็มาขอพักที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นวัดป่ามีถ้ำใหญ่อยู่ พระเจ้าถิ่นก็จัดที่นอนให้อยู่ในถ้ำ มาด้วยกันเจ็ดองค์ ปรากฏว่าขณะที่นอนอยู่ มีก้อนหินใหญ่ ท่านใช้คำว่า ใหญ่เท่าเรือนยอด เรือนยอดนี่หมายถึงกุฏิมียอดสมัยนี้นะ หินใหญ่เท่าเรือนยอดกลิ้งตกจากเขามาอุดปากถ้ำไว้พอดีเลย พอตอนเช้าพระเจ้าถิ่นเห็นก็ตกใจ รีบเกณฑ์ชาวบ้านมาช่วยกันงัด ช่วยกันแงะ ดึงยังไงก็ไม่ออก พระท่านก็อดอยู่ข้างในนั่นแหละ พอถึงวันที่เจ็ดปรากฏว่าหินมันกลิ้งออกไปเฉย ๆ ไม่ต้องให้ใครทำอะไรเลย เจ็ดองค์ก็หิวโซออกมาเชียว จนกระทั่งเขาเลี้ยงกินอิ่มหนำมีเรี่ยวมีแรงดีแล้ว ก็คิดว่า เออ เราทำกรรมอะไรมาหนักขนาดนี้นะ ถึงได้มาอดข้าวอดน้ำมาตั้งเจ็ดวัน
พอไปถึงพระเชตวันมหาวิหารก็ต่างคนต่างกราบปฏิสันถารเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ทูลถามกันว่าเกิดอะไรขึ้น พวกกรรมต่าง ๆ อย่างนี้ถึงได้มีอยู่ พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า อีกาตัวนั้นสมัยหนึ่งเป็นชาวนา วัวของแกดื้อมาก ทำอย่างไรก็ไม่ยอมไถนา แกเลยเอาฟางมาม้วนพันคอวัวไว้ แล้วจุดไฟเผา วัวมันทนไม่ไหวก็ตาย แกต้องตายเพราะไฟตามกรรมที่สร้างไว้ตลอด ๕๐๐ ชาติ
คราวนี้อีกรายหนึ่งที่เป็นภรรยาของนายเรือนั่น หลายชาติที่แล้วเป็นภรรยาของนายพราน คราวนี้สามีตาย ตัวเองประเภทอยู่สองคนกับหมา หมาก็เป็นนักล่าอยู่แล้ว ไปไหนก็ไปด้วย ทีนี้คนก็พูดแซวไปเรื่อยเปื่อยว่า พรานผู้หญิงเขามาแล้ว เดี๋ยวล่าสัตว์ได้เราจะขอแบ่งไปกินบ้างอะไรอย่างนี้ แซวกันไปแซวกันมา พอหลายวันเข้าแกก็อาย เลยใช้วิธีว่าจับหมาเอาหม้อผูกคอ เอาทรายใส่แล้วผลักลงน้ำ ก็จมน้ำตาย พระพุทธเจ้าก็บอกว่าหมาตัวนั้นในอดีตชาติ ชาติหนึ่งเคยเป็นสามีของผู้หญิงคนนั้น คราวนี้พอเกิดมาเป็นหมาก็เลยจำได้ คอยติดสอยห้อยตามไม่ห่าง ใครเข้าใกล้มาก็คอยป้องกัน ทำด้วยความรักความผูกพัน จากอดีตชาติมา แต่ผู้หญิงเขาโดนแซวอยู่บ่อย ๆ ทนไม่ไหวก็จับถ่วงน้ำไปเลย ชาตินี้กรรมก็เลยพาให้ตัวเองต้องชดใช้บ้าง เรือวิ่งอยู่กลางทะเลแท้ ๆ ไปไหนไม่ได้ ก็เลยเอาฉลากให้จับว่าใครเป็นตัวกาลกิณีทำให้เกิดเหตุนี้ แกก็จับได้ทั้งสามครั้ง นี้เป็นกรรมจากอดีตมา
ส่วนพระอีกเจ็ดองค์ที่ไปติดอยู่ในถ้ำบอกว่าหลายอัตภาพที่แล้วมา เกิดเป็นเด็กเจ็ดคนมีหน้าที่ต้อนวัวไปเลี้ยง ถึงเวลาก็ตามประสาเด็ก มีหนังสติ๊กก็ไล่ยิงนกตกปลาของตัวเองไปเรื่อย เจอเหี้ยตัวใหญ่เข้า คิดว่าจะกินมันล่ะ ก็ไล่ต้อน เหี้ยไม่มีทางหนีก็ผลุบเข้าไปรูที่จอมปลวก พวกนี้เห็นว่าค่ำแล้วไม่สามารถที่จะขุดมันได้ในวันนี้หรอก ก็หาไม้หาอะไรมาอุดรูเอาไว้ เสร็จแล้วก็กลับบ้านไป คราวนี้วันต่อมาลืมว่าตัวเองขังเหี้ยเอาไว้ ก็ต้อนวัวไปหากินทางอื่น ต้อนไปต้อนมา พอวันที่เจ็ดย้อนกลับมาทางเดิมพอดี เห็นจอมปลวกนึกได้ ก็รีบไปดึงไม้ที่อุดอออกมา ปรากฏว่ามันคลานออกมาผอมโหลเหลเชียว จะตายแหล่ไม่ตายแหล่ เลยหมดความน่ากิน อดเจ็ดวันแล้ว ไม่อ้วนเหมือนเดิมแล้ว ก็ปล่อยมันไป โทษที่ตัวเองขังเขาไว้เจ็ดวันไม่ได้กินข้าวกินน้ำ ชาตินี้เลยเป็นเหตุให้ไปติดอยู่ในถ้ำเสียเจ็ดวันอดข้าวอดน้ำเสียเหมือนกัน
พอพระทั้งหมดได้ยินก็เกิดสลดใจว่า เออหนอ คนเราทำกรรมขึ้นมาแล้ว ถึงจะบินอยู่บนฟ้า ลอยอยู่กลางทะเลก็ดี หลบซ่อนอยู่ในถ้ำก็ดี ไม่สามารถที่จะหนีกรรมนั้นได้เลย เลยสลดใจขึ้นมา พระพุทธเจ้าท่านเลยเทศน์สงเคราะห์ให้กลายเป็นพระอริยเจ้าไปเยอะแยะ คือท่านแสดงให้เห็นชัด ๆ ว่าไม่ว่าคุณทำอะไรไว้ก็ตาม ถึงเวลาผลลัพธ์นั้นจะเกิดขึ้นกับตัวเราเอง เป็นไง ฟังแล้วสยองไหม
|