ถาม :  หนูเห็นท่านแม่เป็นนักรบด้วยค่ะ
      ตอบเห็นท่านแม่เป็นนักรบน่ะมันอาชีพของแม่เลย ยังไม่รู้ว่าท่านแม่น่ะฝีมือระดับไหน ท่านยิงธนูทีเดียว ๓ ดอก แล้วแต่ละดอกแยกเป้าได้ด้วย (โอ้โห) ๓ ดอก ๓ เป้าหมาย ยิงได้นะแค่บังคับด้วยนิ้วแค่นั้นเองน่ะ บังคับด้วยนิ้วมันจะแยกไปคนละเป้าที่ต้องการได้เลยแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่ชำนาญมากที่สุดก็คือซัดหอกด้วยเท้า ข้าศึกระวังไม่ทันหรอก ฟันกันอยู่ดี ๆ หอกโผล่มาจากที่ไหนไม่รู้ล่ะ หอกซัดนี่เขาจะเสียบไว้ที่ข้าง ๆ ของม้าใช้เท้าคีบซัดขึ้นไป กำลังข้อขนาดไหนนึกเอาก็แล้วกัน ตอนก่อนนี้ หลวงพ่อท่านปรารภว่าจะสร้างรูปท่านแม่ ๓ องค์ ขณะที่ออกศึกให้อาจารย์ที่กรมศิลปากรไปออกแบบไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาหมดปัญญาหรือไง มันเงียบไปเฉย ๆ จะสร้างในลักษณะ ขี่ม้าออกศึกแต่ละองค์ให้ใช้อาวุธที่ท่านถนัด
      ถาม :  นี่ขนาดว่าเราควบคุมสติได้นะเจ้าคะ แต่ว่ามือมันไปเอง
      ตอบ :  ครั้งแรกที่ฉลองพระเจ้าพรหมมหาราชไง พอหลวงพ่อท่านบวงสรวงเสร็จก็บอกผู้การศรีพันธ์ ตอนนั้นท่านยังไม่ได้ติดนายพล ก็ยังเป็นพันเอกอยู่ บอก แดง...เอาธงไทยวิ่งรอบอนุสาวรีย์สัก ๓ รอบวะ โห่ไปด้วย
              ปรากฏว่าพอพี่แดงเขาคว้าธงออกวิ่งปั๊บ ไอ้ของเราเหมือนกับมีใครฉุดไปเลย มันตามเขาไปเลย ของเราอยู่ในพิธีเราก็ถอดรองเท้า แต่พี่แดงแกทหารแกเล่นไอ้โอ๊บแกเหยียบตีนเรา (หัวเราะ) มันวิ่งคู่ ๆ กันไป นี่พวกก็ตามหลังกันเป็นพรวน ไอ้เราก็เอ๊ะ...นี่ไม่ใช่ความต้องการของเรานี่หว่า เราก็ปล่อยมือชิ่งตัวออกมา ขนาดชิ่งตัวออกมานี่รู้สึกเลยนะว่ามีกำลังดึงเรากลับ แต่ของเรากำลังเราแข็งพอเราแยกออกมาได้ พี่แดงน่ะถ้าแยกแกแยกออกมาได้แต่ว่าเป็นคำสั่งของหลวงวพ่อก็เลยต้องทำหน้าที่วิ่งต่อ คนอื่นที่กำลังอ่อน ๆ ไม่มีใครแยกออกสักคนไปกันทั้งพรวนเลย
      ถาม :  หนูก็พยายามบอกตัวเองให้แยกให้ออก อายเขา ๆ
      ตอบ :  ไม่ได้หรอก ถึงเวลามันไปเอง แล้วงานนั้นน่ะได้เลือดไม่น่าเชื่อ เสาข้างรั้วข้างพระจุฬามณีน่ะ จะเห็นว่ามันเป็นเหล็กสี่เหลี่ยมน่ะนะมันบาดได้ บาดส้นเท้านี่เว่อเลย แล้วพอรุ่งขึ้นหลวงพ่อสั่งช่างปิดทอง ถามว่าทำไม ท่านบอกว่าสีดำเป็นสีขณะออกศึกต้องมีเลือดเซ่น โธ่...เล่นเอาตูไปเซ่น (หัวเราะ) ท่านบอกว่าให้ปิดทองซะ ถ้าปิดทองนี่เป็น ตอนบวชจะได้เบาลง ของเรานี่โดนเซ่นซะส้นเท้าเว่อเลย ถ้าบาดที่อื่นยังพอไหวยังไง ๆ ก็ไม่ได้กินเราแน่ล่ะ ท่านเล่นนอกข้อนี่ หลวงพ่อท่านบอกว่านอกข้อออกไปนี่กันไม่ได้
      ถาม :  จริง ๆ แล้วลักษณะอย่างนี้พวกเทวดามิจฉาทิฏฐิ สามารถมาทรงเราได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  สามารถจะทำได้แต่ทว่าขณะเดียวกันว่าไอ้เรื่องอย่างเนี้ย มันจะต้องมีกรรมเนื่องกันมาจริง ๆ ถ้าไม่มีกรรมที่เนื่องกันมาถ้าเราบอกว่า “ไม่” ท่านทำอะไรไม่ได้ เพราะว่ากฎเกณฑ์กติกามารยาทของท่านมีอยู่ ขนาดว่าเป็นร่างทรงประจำของเทวดาองค์นี้แต่ถ้าผีมันมาแทรกก่อน เทวดาท่านก็ไม่ลงท่านถือว่าคนมาก่อนเป็นสิทธิ์ของเขา เขามีมารยาทขนาดนั้น
      ถาม :  ถ้าอย่างนี้เราก็จับสมเด็จองค์ปฐมตลอดเวลาแล้วทำไมออกมารำได้ยังไงคะ ?
      ตอบ :  ไอ้นั่นมันสันดานเดิม มันไปเอง ความเคยชิน ภาษาวัยรุ่น เขาเรียกว่านิสัยถาวร ไม่มีใครละนิสัยถาวรของตัวเองได้ นอกจากพระพุทธเจ้า ตัวอย่างก็คือ พระสารีบุตรน่ะ นั่นพระอัครสาวกเบื้องขวาในพระสงฆ์ทั้งหมดถือว่าใหญ่ที่สุดแล้วนะ แต่ถึงเวลาที่ ๆ คนอื่นเดินข้ามท่านกระโดดเฉย พระพุทธเจ้าบอกว่าท่านเกิดเป็นลิงมาหลายชาตินิสัยเก่ามันติดมา
      ถาม :  ผมเคยไปวัดเเขาสมโภชน์น่ะครับ พอดีผมไปหลวงพ่อคงจับผมฝึกน่ะครับ
      ตอบ :  เป็นไงออกอาการเหมือนเขาไหม
      ถาม :  ก็ออกนะครับ สัญชาตญาณก็คือทหาร คือเป็นทหารมาหลายชาติ
      ตอบ :  ท่านบอกแล้วว่าทำตามวิธีของท่านนี่ ไอ้กฏของกรรมเก่าเป็นยังไงมันออกมาหมดแหละ เคยทำอะไรไว้มันก็ทำอย่างนั้น
      ถาม :  พูดไม่ออกเลยครับ
      ตอบ :  มันตื้อขึ้นมา คอหอยมันตันหมด ดีไม่ดีน้ำตามันไหลเอาเฉย ๆ (นี่ก็ไหลครับ)
      ถามท่านสงเคราะห์ให้เรารู้ว่าเราเคยทำอะไรคะ
      ตอบ :  ท่านสงเคราะห์ให้เรารู้ว่าเอ็งทุกข์มาเยอะแล้วต่อไป อย่าเกิดอีกเลย (หัวเราะ) เอ๊ะ ตีความคนละอย่างแฮะ จะได้รู้เอาไว้ว่าแต่ละชาติที่เราเกิดมามันทุกข์ยากขนาดไหน ต้องเอาเลือดทาแผ่นดินต้องรักษาผืนแผ่นดินนี้เอาไว้เจ็บตายมาตั้งหลายต่อหลายชาติจนป่านนี้ ก็ยังทุกข์อยู่ควรจะดิ้นรนหนีมันได้หรือยัง ? เป็นนักรบมาทุกชาติ ชาตินี้ก็รบให้หนัก รบกับกิเลส ใช่ไหม เป็นนักรบของอาณาจักรมาเยอะแล้วตอนนี้ก็เป็นนักรบของพุทธจักรบ้าง
              พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า “ธรรมเสนา” คือ เป็นทหารของกองทัพธรรม เป็นมาทุกชาติก็เป็นมันซะอีกชาติหนึ่ง แต่เปลี่ยนมาเป็นทหารของกองทัพธรรมแทน รบกับกิเลสคราวนี้ของใครของมัน รบไม่เยอะหรอก ไม่ต้องรบเพื่อคนอื่นรบเพื่อตัวเองก็พอ
      ถาม :  เวลาเรารบกับกิเลสเราต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันหรือคะ ?
      ตอบ :  ก็อย่างนั้นแหละ ตายเป็นตาย ถ้าหากมันไม่ตายเราก็ตาย ต้องอย่างนั้นเลย ถ้าไม่เด็ดขาดขนาดนั้นกินมันยาก ไอ้พวกนี้ลูกอ้อนมันเยอะ ไอ้กิเลสนี่มันอ้อนสะเด็ดยาดเลย ไอ้ประเภทอย่าเพิ่งเลยน่า...อยู่กันก่อนอีกนิดเหอะ
      ถาม :  การที่เราจะปฏิบัติให้มั่นคงหรือเฉียบขาดแสดงว่าต้องมีสัจจะ เด็ดเดี่ยวมั่นคงใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  คือบารมีทั้ง ๑๐ ตัวต้องมีครบถ้วน ตัวใดตัวหนึ่งถ้านำหน้าอีก ๙ ตัวตามมาหมด เพราะเรื่องของสัจจะบารมีก็ดูได้เลย พวกนี้พูดคำไหนเป็นคำนั้น นัดใครตรงเวลาเป๊ะไม่เคยพลาดหรอกมีแต่ก่อนไม่มีหลัง ไอ้คนนัดแล้วผิดเวลานี่สัจจะบารมีพร่องแน่ ๆ เลย
      ถาม :  แล้วคนบำเพ็ญสัจจะบารมีเนี่ยสามารถที่จะว่าใคร ก็เป็นวาจาสัตย์ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าทรงตัวจริง นี่มันเหมือนยังกับพระร่วงน่ะ มีวาจาศักดิ์สิทธิ์พูดอะไรเป็นอย่างนั้นจริง ๆ แล้วคนที่ำทำถึงระดับนั้นแล้ว ต้องถนอมปากถนอมคำ ไม่อย่างนั้นยุ่ง

      ถาม :  ประวัติพระร่วงเป็นยังไงครับ ?
      ตอบ :  ประวัติพระร่วงเป็นยังไง ? เกิด แก่ เจ็บ ตาย จบ (หัวเราะ) อ้าว กินความครบเลยใช่ไหม ?
      ถาม :  ว้า อย่างนี้ถ้าเกิดถามประวัติท่านแม่ศรีก็ตอบอย่างนี้สิคะ ?
      ตอบ :  (หัวเราะ) เรื่องที่เลยมาแล้วตามคิดถึงไม่มีประโยชน์ ยกเว้นอย่างเดียวคือดูไว้เป็นบทเรียนของเรา แต่ละชาติแต่ละภพเกิดมา รวยที่สุดก็รวยแล้ว จนที่สุดก็จนแล้ว มีอำนาจมากที่สุดก็มีแล้ว ด้อยวาสนาที่สุดถึงขนาดที่เป็นขอทานอดตายข้างทางก็มีแล้ว แล้วแต่ละชาติมีชาติไหนที่เราไม่ทุกข์บ้าง ปัจุบันของเราชาตินี้ เราเกิดอยู่เราก็ทุกข์อีก อนาคตข้างหน้าเกิดใหม่ก็ทุกข์ต่อไป ควรจะตัดสาเหตุของมันได้สักทีหรือยังล่ะ ?
      ถาม :  เวลาที่เราไปปล่อยปลาแล้วคนเขาไปเก็บของเรามาขายต่ออย่างนี้ล่ะครับ ?
      ตอบ เราปล่อยบุญเป็นของเราแล้ว อานิสงส์เป็นของเราแล้ว ไอ้คนตามเก็บมันกำลังก่อเวรใหม่ ปล่อยมันเถอะ ถ้าเกิดว่าห้ามปรามได้ก็เมตตาห้ามปราม แต่ถ้าห้ามไม่อยู่จริง ๆ ก็ปล่อยวาง มันอยากลงขุมไหนปล่อยมันไป
      ถาม :  ลูกสวดมนต์ทุกวัน ทำไมใจมันไม่เห็นจะสบายเลยเจ้าคะ ?
      ตอบ :  เราเองสวดจริง ๆ หรือเปล่าล่ะ ปากมันสวดแล้ว ใจนึกอะไรอยู่ ?
      ถาม :  คือ หนูมักจะเศร้าหมองอยู่น่ะเจ้าค่ะ
      ตอบ :  นั่นแหละ มันตั้งอารมณ์ผิด อารมณ์ใจขณะที่สวดมนต์ อารมณ์ใจต้องอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ เราว่านะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ คำแปลก็คือ ข้าพเจ้าขอนอบน้อม ต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น กายเราน้อมตามวาจา จิตของเราน้อมตามวาจาไปหรือเปล่า ? พุทธัง สรณังคัจฉามิ ข้าพเจ้ายึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มันยึดจริง ๆ หรือเปล่า ? หรือว่ายึดแต่ปาก ?
      ถาม :  แต่พอทำถึงตอนหนึ่งมันชอบร้องไห้
      ตอบ :  อย่างนั้นก็จงร้องต่อไป ถ้ามันอยากร้องปล่อยมันร้องให้เต็มที่ไปทีเดียว นะ บางทีมันเป็นตัวปีติของขุทกาปีติมัน ถ้าหากเราไปห้ามเอาไว้ทำถึงตรงนั้นเมื่อไหร่มันก็ร้องเมื่อนั้น อาจจะไม่ใช่ตัวเศร้าหมองอะไรหรอก มันอาจจะเป็นตัวปีติ ลองซัดให้มันเต็มที่สักทีสิ ปิดห้องให้ดีก่อน เดี๋ยวคนเขาตกใจ เตรียมทิชชุไว้สักกล่องหนึ่ง ปล่อยให้มันเต็มที่สักทีเดี๋ยวมันเลิกไปเลย อย่าให้ขายหน้าแบบอาตมาแล้วกันดันไปร้องกลางบ้านสายลม คนเป็นพัน อารมณ์ใจมันขึ้นอีตอนนั้นพอดีน่ะ ตั้งใจจะกลั้นเอาไว้ คิวด่ากลั้นได้แน่ไม่เป็นไร
              ปรากฏว่าพอตั้งท่าจะกลั้น หลวงพ่อท่านบอกว่า ปล่อยมันเต็มที่ไปเลยลูก ถ้าไปกลั้นเอาไว้ถึงตรงนี้มันก็เป็นอีก ตั้งแต่นั้นมาก็ซัดมันแตั้งแต่เช้ายันบ่ายสี่โมง เช็ดหน้าจนแสบไปหมดน่ะ วันนั้นหน้าคงบางไปเยอะเลย ปกติเป็นคนหน้าหนามาก (หัวเราะ)
      ถาม :  แล้วอาการอย่างนี้จะเกิดขึ้นนานหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  แล้วแต่บางคน อย่างอุเพ็งคาปีติของอาตมาโดนเกือบ ๓ เดือน มันหกคะเมนตีลังกาโลดโผนของมันไปเรื่อยน่ะ มันจะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับคน ตัวที่เกิดนานก็มีอุเพ็งคาปีติกับโอกกันติกาปีติ หกคะเมนตีลังกาไปลอยไปอะไรไปมันว่าของมันไปเดือน ๆ กว่ามันจะเลิก แต่ตัวอื่น ๆ มันป๊อบแป๊บ ๆ มันก็ผ่านได้แล้ว ตัวผรณาปีติตัวสุดท้าย มันเกิดขึ้นพร้อมกับอุเพ็งคาปีติ
              ตอนนั้นโดนหลวงพี่โอท่านแกล้ง นอนเฝ้าหน้าห้องหลวงพ่อท่านอยู่ เป็นพระองค์เดียวที่เฝ้าหน้าห้องหลวงพ่อด้วยวิธีนอน นอนภาวนา ตีโปงอยู่ หลวงพี่โอมาถึงท่านก็เอานิ้วจิ้มหัว แหมท่านนี่เอาแต่ภาวนาจังเลยนี่ พอท่านจิ้มปั๊บตัวมันลอยพั่บขึ้นมา ไอ้ของเราใจมันก็ยั้งปุ๊บเลยว่า เฮ้ย ไม่ได้ เดี๋ยวคนเขาแตกตื่นกันทั้งวัดหรอก มันลอยพ้นพื้นขนาดมือสอดได้ แต่เราเอาจีวรตีโปงอยู่ พี่โอเขาเลยไม่ได้สังเกต ใช่ไหม ทีนี้มันเกิดอาการว่า เหมือนกับตรงที่ท่านจิ้มนี่หัวเราเป็นรู แล้วมันมีของไหลจากข้างในออกมาซู่ เหมือนยังกับลมมันออกน่ะ พอมันไหล ๆๆ ออก มันเหมือนกับว่ามันออกไม่ทันใจมันก็ออกซ้ายออกขวา ออกหน้าออกหลัง ทั้งตัวพรุนเป็นฝักบัวไปเลย มันไหลซู่ซ่า ๆ ของมันอยู่ตลอด ไอ้เราก็ดู เออ...ไอ้ตัวนี้มันตัวปีติ
              หลวงพ่อเคยบอกไว้แล้วอาการแบบนี้ ไม่กลัวมันหรอก ก็กำหนดใจรู้ไว้เฉย ๆ มันเป็นของมันอยู่พักใหญ่เกือบชั่วโมง มันก็แปะลงกับพื้นของมันตามเดิม หมดลม แฟบ (หัวเราะ) นั่นล่ะ เต็มที่ทีเดียวจบ
      ถาม :  ต้องเกิดทุกคนเลยเหรอครับ ?
      ตอบถ้าหากว่าวิสัยพุทธภูมิมาก่อนนี่จะพบทุกตัว ถ้าไม่ใช่วิสัย บางทีก็เป็นแค่อย่างสองอย่าง ๓ อย่าง ๔ อย่าง คนที่ปรารถนาพุทธภูมิคือ จะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าไปสอนเขา ถ้ารู้ไม่ครบมันสอนลูกศิษย์ไม่ได้ต้องเจอให้ครบ
              ตัวที่อยากเตือนก็คือว่า เราได้ฌานได้สมาบัติแล้วจะพ้นปีติน่ะไม่ใช่หรอก ถ้ามันจะเจอตัวใหม่กำลังมันจะลดลงไปเจอเอง อยู่ ๆ มันลดพรวดลงไปเหลือ แค่ปีติน่ะ แล้วมันก็เป็นปีติตัวใหม่ขึ้นมาเลย สังเกตมาตั้งแต่ครั้งแรก ๆ เป็นอย่างนี้ทุกที พอข้ามปีติเป็นสุขมันก็เป็นฌานไปเลยใช่ไหม ? แต่คราวนี้อยู่ ๆ กำลังมันถอยลงมาเจอตัวใหม่เอง ไม่ได้อยากจะเป็นเลย พอเราเข้าฌานคล่องถึงเวลา ก็โดดปั๊บไปเลย โดดปั๊บไปเลยมันข้ามขั้นไปเลยไง นี่มันถอยของมันมาเองบังคับมันก็ไม่ได้ มันอยากจะเป็น
      ถาม :  แล้วที่บอกว่าคนที่ปรารถนาพุทธภูมิ ต้องมีใจรักพระนิพพาน นี่หมายถึงว่าเขาจะต้องทำยังไงหรือไม่ ?
      ตอบ :  รู้มากกว่าเราหลายเท่า
      ถาม :  จำเป็นจะต้องไปเจอหรือ ?
      ตอบพระโพธิสัตว์ตั้งแต่อุปบารมีตอนปลายนี่ท่านไปนิพพานเป็นปกติ ไปสำรวจมันซะทุกซอกทุกมุม ไม่งั้นบอกลูกศิษย์ไม่ถูก
      ถาม :  แล้วคนที่บอกว่าไม่เคยไปพระนิพพานแต่บอกว่าปรารถนาพุทธภูมินี่ ?
      ตอบ :  ยังห่างลิบเลยจ๊ะ (หัวเราะ) ปรารถนาพระโพธิญานแล้วยังไม่เคยไปพระนิพพานนี่ยังห่างลิบเลย อย่าเพิ่งท้อ สมัยนี้เครื่องทุ่นแรงเยอะ (หัวเราะ)
      ถาม :  เด็กที่บ้านหนูน่ะค่ะ เขาชอบทำความสะอาดพระพุทธรูป
      ตอบ :  ทำไปเถอะจ๊ะ ท่านไม่รำคาญหรอก (หัวเราะ) ถ้าวันไหนท่านบอกพอซะทีสิโว้ย แล้วค่อยหยุดทำไปเถอะ สมัยก่อนก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน เพราะว่าโรงครัวมันอยู่ติดกับห้องพระ แล้วเสร็จแล้วไอ้ด้านบนที่ติดกับเพดานเราไม่ได้ตีฝ้า พอทำครัวไอน้ำมันก็วิ่งข้ามมา เรารำคาญแทนพระ จับพระอาบน้ำเป็นปกติเลย ประเภทละลายน้ำยาล้างจานเป็นกาละมัง ๆ แล้วอุ้มพระลงไปเอาฟองน้ำขัดเลยล่ะ ทีละองค์ ๆ แล้วก็เอาขึ้นมาเช็ดให้แห้ง พอแห้งดีแล้วค่อยจับเข้าที่ ทำอย่างนั้นประจำเพื่อความสบายใจ
      ถาม :  ทำได้ใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ทำได้ ทำไปเถอะ ทำความสะอาดพระนี่ทำเท่าไหร่ก็ดีเท่านั้น จะมีอยู่ ๓ ฤทธิ์ นรฤทธิ์ เทพฤทธิ์ พลฤทธิ์ ๓ ฤทธิ์นี่สร้างความปวดกะโหลกให้อาตมาตลอด เทพฤทธิ์ยังน้อย พลฤทธิ์สิ โอ้โห เล่นกรรมฐาน ๔๐ บวกสติปัฏฐานสูตรทุกขั้นตอนเลย แล้วเขาถามเอาความรู้จริง ๆ นะ จิตเขาละเอียดถึงขนาดเขาตั้งคำถามว่า วาโยกสิณ อากาศกสิณ กับ อากาสานัญจายตนฌาน มันต่างกันตรงไหน เป็นเรา ๆ คิดคำถามงี้ได้ไหม ? คุณพลฤทธิ์ รอดรักษา นั่นแหละ พอเขาได้รายละเอียดทั้งหมดแล้วเขาก็ขึ้นเขาไปเลย ออกมาอีกทีนี้เหาะไม่ได้ไม่มาหรอก เขาเอาอาตมาเป็นเครื่องประกันความเสี่ยง ของเราเองบางอย่างเราคลำอยู่ตั้งหลาย ๆ ปีกว่าจะผ่านมันถามแป๊บเดียวน่ะ แล้วดันเชื่อซะด้วยว่าเราทำได้จริง จด ๆ รายละเอียดไปจนเกลี้ยงเลย แล้วเสร็จแล้วก็ไปทำ เขามั่นใจว่าไม่ผิดแน่
              ตอบได้ไหม ถามว่า วาโยกสิณ อากาศกสิณ กับอากาสานัญจายตนฌานต่างกันตรงไหน ? (หัวเราะ) มันต่างกันตรงอาการของมัน วาโยกสิณเราจับอาการความเคลื่อนไหว อากาศกสิณเราจับความว่าง อากาสานัญจายตนฌานเรา จับความไม่มีขอบเขตของอากาศ ไอ้ของเรานี่ถ้าไม่เคยเดินเฉี่ยว ๆ ตำรามานี่วันนั้นตายเลย โอ้โห คำถามแต่ละคำถามเขาเอาตายเลย จิตเขาละเอียดมาก ละเอียดจนเชื่อว่าเขาทำได้มาก มากจนสามารถจะตั้งคำถามประเภทนี้ขึ้นมาได้ แล้วเขาเป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติ