ถาม : ช่วงนี้ท่านบอกว่าราหูแรง ?
ตอบ : ท่านให้ใช้ของดำ คือจะมีธูปดำ ๑๒ ดอก เทียนดำ ๑๒ ต้น จำง่าย ... ๑๒ ทั้งหมดเลย เพราะ พระราหูกำลัง ๑๒ นะ ธงดำ ๑๒ อัน ธงดำนี่ทำง่ายตัดกระดาษเป็นสามเหลี่ยมเล็ก ๆ ทำเป็นธง ใช้ไม้เสียบลูกชิ้นทำตามก็ได้ง่ายออก ธูปดำ เทียนดำ ธงดำ อาหารสีดำอย่างเช่นว่าพวกอะไรล่ะ (พวกขนมเปียกปูน เฉาก๊วย ) ได้จ๊ะ อย่างนั้นล่ะ อย่างละ ๑๒ แล้วก็สตางค์ ๑๒ บาทเอาไปถวายพระ และก็ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้พระราหูท่านว่าอะไรที่จะเกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะร้ายจะดีอย่างไร เราขอดีอย่างเดียว (หัวเราะ) ตำราอื่นเขาใช้ ๘ ไอ้ ๘ นี่มันกำลังพระอังคารไม่ใช่พระราหู จริง ๆ แล้วมันต้อง ๑๒ ถึงจะถูก
ถาม : คราวนี้มันมีเครื่องรางที่เป็นพระราหูติดตัวไว้จะดีมั้ย ?
ตอบ : ตั้งใจนึกถึงท่านให้ดี พระราหูจริง ๆ แล้วท่านเป็นพระโพธิสัตว์จะตรัสรู้ในภัทรกัปนี้ด้วย จะเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่า นารทะ ท่านเคยช่วยงานหลวงพ่อสมัยอยู่วัดท่าซุงอยู่ด้วย หลวงพ่อก็ถามท่านว่าทำไมท่านไปเที่ยวไล่อมพระจันทร์ ท่านบอกว่าใครจะไปอมขี้ดิน (หัวเราะ) คือพระจันทร์ในสายตาท่านก็ขี้ดินก้อนหนึ่ง คือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติแล้วคนไปบอกว่าราหูอมจันทร์ ท่านบอกว่าไม่ได้เกี่ยวกัน อสุริทราหูนี่ท่านก็ในสมัยพระพุทธเจ้า ก็เคยไปโปรดท่าน
ก็จะมีพระพุทธเจ้าปางหนึ่งคือ ปางไสยาสน์ ถ้าหากว่าเป็นปางไสยาสน์พระบาทเสมอกันนั้นเรียกว่า ปางปรินิพพาน แต่ถ้าพระบาทเหลื่อมกันเขาเรียก ปางโปรดอสุรินทราหู กายท่านใหญ่มาก คราวนี้ว่าถ้าเราบูชาเราก็บูชาพระราหูในแง่พระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตถ้าอย่างนี้จะได้ตรงกันจ้ะ
ถาม : บางคนเขาบูชาธรรมจักรกะลา ?
ตอบ : มันจะเป็นกะลาตาเดียวแบบนั้น ถ้าหากว่าเขาเอามาทำแล้วก็จะมีการปลุกเสกตามวิชาการของเขาก็เชื่อว่าจะตัดเคราะห์ได้ จริง ๆ ก็คือว่าถ้าหากว่าราหูจริง ๆ ก็เป็นดาวนพเคราะห์ดวงหนึ่ง คราวนี้บรรดาดาวนพเคราะห์ทั้งหมด จะมีเทวดาชั้นจาตุมหาราชเป็นผู้รักษา จริง ๆ แล้วแขกเก่งตั้งเทวดาได้ คือเขาจะบอกว่าพระอาทิตย์เป็นอย่างนั้นมีอานุภาพอย่างนั้น ๆ พระอังคารเป็นอย่างนั้น ๆ พระนารายณ์ พระอิศวรเป็นอย่างนั้น เขาต้องหาเทวดาที่มีอนุภาพใกล้เคียงหรือความสามารถใกล้เคียงอย่างที่เขาว่ามาเพื่อมารับตำแหน่งนั้น
คราวนี้ราหูในดาวนพเคราะห์ก็จะเป็นเทวดาองค์หนึ่งในจาตุมหาราชที่ดูแลอยู่ คราวนี้ว่าในเมื่อเราจะตั้งใจบูชาท่านก็นึกถึงเทวดาชั้นจาตุมหาราชก็ได้ แต่ว่าถ้าจะเป็น อสุรินทราหู จริง ๆ นั่นจะเป็นพระโพธิสัตว์
ถาม : เห็นบางคนบอกว่าคนบางวันบูชาไม่ได้ ?
ตอบ : จริง ๆ การทำความดีมันได้ทุกวัน เรื่องหลักการต่าง ๆ เขากำหนดขึ้นมาทีหลังทั้งนั้น แล้วอีกอย่างเรื่องเคราะห์กรรมต่าง ๆ ที่จะบังเกิดขึ้นก็ต้องชมอีกเหมือนกันว่าแขกเขาเก่ง เขาช่างสังเกตและเก็บมาเป็นสถิติต่อเนื่องกันมาเป็นพัน ๆ ปีว่า คนที่เกิดในวันนี้ เดือนนี้ ปีนี้ลักษณะแบบนี้ใกล้เคียงกันจะมีดีมีร้ายอะไรที่มันเข้ามาใกล้เคียงกันในแต่ละระยะของชีวิต เขาก็เก็บสถิติมาจนกระทั่งจดจารเป็นตำราขึ้นมา
จริง ๆ แล้ว ถ้าเปรียบทางพุทธศาสนาก็คือว่าคนที่เกิดในระยะเวลาใกล้เคียงกัน คือคนที่ทำบุญทำบาปมาใกล้เคียงกัน ถึงเวลาผลบุญผลบาปก็เลยส่งผลให้ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันด้วย ก็เป็นอันว่าของเขาใช้ได้เหมือนกัน
หลวงพ่อท่านบอกว่าตำราที่แม่นจริง ๆ ได้ผลถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าไม่เลวเทีเดียว เพราะฉะนั้นพอถึงวาระถึงเวลาอย่างเช่นราหูเข้า ก็คือมันเป็นช่วงระยะที่กุศลกรรมของเราขาดช่วงลง อกุศลกำลังจะเข้า
ถ้าเรามีการทำบุญมันก็เหมือนกับเราเพิ่มกำลังในการหนีห่างเคราะห์กรรมนั้นไปได้ เสร็จแล้วว่าเราประมาทเมื่อไร เคราะห์กรรมนั้นก็ตามใกล้เข้ามาอีก เราต้องหาทางทำบุญใหญ่เพื่อหนีไปอีกอย่างนั้น เคราะห์กรรมไม่สามารถจะล้างได้ คำว่าสะเดาะทำให้หลุดก็ไม่หลุด แล้วก็ไม่สามารถจะกลบได้ด้วยความดี หากแต่ว่าเราทำความดีเพื่อหนีห่างไปได้
ถาม : เรื่องวันนี้ก็ไม่ใช่สาระที่....?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเราจะตั้งใจทำความดีมั้ย ? ถ้าอยากจะทำความดีวันไหนก็ได้ ถ้าหากว่าเรามั่นใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งที่เราทำมา เราทำความดีเอาไว้พอ คงจะไม่ตกระกรรมลำบากอะไรก็ตามสบายมันเลยจ้ะ
ถาม : ( ถามเรื่องการท่องคาถาเงินล้าน )
ตอบ : อย่างนี้ยิ่งได้เปรียบเลย เวลาคนอื่นเขาลำบากเราก็ไปของเราเขาได้เรื่อย ๆ สังเกตดูลูกศิษย์ของหลวงพ่อหลายต่อหลายคนใช้คาถาเงินล้านเป็นปกติเวลาคนอื่นเขาลำบากกันพวกนี้เขาไปของเขาได้ลื่นเลย แบบประเภทที่อย่างแย่ ๆ เลย ขี้เกียจ ๆ ไม่ค่อยจะท่องเท่าไหร่อย่างน้อย ๆ ก็หมุนทัน เพราะฉะนั้นถ้าเราได้ทำอย่างสม่ำเสมอด้วยในลักษณะนี้ดีไม่ไดีก็มีความคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา
ถาม : (ถามเรื่องคาถาอิติปิโสแปดทิศ)
ตอบ : บทแรกเรียกว่า กระทู้เจ็ดแบก ถือว่าเป็นเรื่องของทรหดอดทนโดยเฉพาะ รู้จักไม้กระทู้มั้ย ? ไม้ไผ่นั้นล่ะแบกมาตั้งเจ็ดหอบตีเท่าไหร่ไม่รู้สึกล่ะ บทที่สองเรียกว่า ฝนแสนห่า ใช้ในทางแคล้วคลาดเดินตากฝนเม็ดฝนไม่ถูกตัว ต่อไปบทที่สามเรียกว่า นารายณ์เคลื่อนสมุทร เขาจะเอาไว้รักษาโรคภัยไข้เจ็บอะไรต่าง ๆ บทต่อไปเรียกว่า นารายณ์ถอดจักร นี่เอาไว้ถอนคุณไสย ต่อไปเรียกว่า นารายณ์ขว้างจักรตรึงไตรภพ อันนี้ไว้ขับพวกผีร้ายต่าง ๆ ต่อไปเรียก ตวาดป่าหิมพานต์ บทนี้ให้เป็นมหาอำนาจ
บทสุดท้ายเขาเรียกว่า นารายณ์แปลงรูป เวลาตกอยู่ในวงล้อมศัตรูตั้งใจภาวนาคาถาบทนี้เขาจะเห็นเราเป็นคนอื่น สมมุติว่าเขาเห็นหน้าเราเขาจำได้ว่าศัตรูเขาจะเฉ่งเราแน่ ๆ แต่ถ้าภาวนาคาถาบทนี้เขาจะเห็นเป็นคนอื่น เขาก็ไม่รู้จะทำอะไรมันไม่ใช่ศัตรูเขาแล้วนี่
อาตมาเองเวลาไปพม่าถ้าทหารมันจะตรวจมากก็แปลงเป็นพระพม่าไปเลยใช้มาเยอะแล้วจ้ะ มันต้อง นารายณ์พลิกแผ่นดิน ก่อน จากตวาดป่าหิมพานต์แล้วก็เป็นนารายณ์พลิกแผ่นดินนี่เขาใช้ตอนสู้ความคดีความอะไรเปลี่ยนจากร้ายเป็นดี อันสุดท้ายเรียกว่านารายณ์แปลงรูปลองแปลงตัวดูบ้างสิเผื่อจะกลายเป็นอุลตร้าแมน
ถาม : (อานุภาพของมีดหมอดาบฟ้าฟื้น)
ตอบ : ติดตัวก็เป็นมหาอำนาจ สามารถล้างอาถรรพ์ได้ เหนียวแค่ไหนก็ฟันเข้า เสร็จแล้วท่านก็เฉย ๆ น่ะสิ ท่านจะมีประเภทบรรจุกระดูกผีตายโหง ผงผีพรายตายท้องกลมอะไรไว้ ถึงเวลามีอะไรที่มันจะเป็นภัยมาถึงเจ้าของดาบจะเตือนภัยให้ได้ด้วย
ถาม : ตรงบนตัวดาบนี่ต้องมียันต์อะไร ?
ตอบ : อันนี้จริง ๆ แล้วสมัยนั้นไม่มี เขาไม่ได้มาลงยันต์แบบสมัยนี้ สมัยก่อนเขาจะทำเป็นอาวุธใช้งาน แต่ว่าอาวุธใช้งานนี่ของเขาจะมีตำราของเขาอยู่ ว่าเขาจะทำด้วยโลหะแบบไหนบ้าง ต้องเสาะหากันอุตลุดเลยล่ะกว่าจะได้ครบ เขาเรียกว่า ตำรามหาศาสตราคม คือตำราที่ว่าด้วยอาวุธที่ว่าด้วยอาคม เขาจะสร้างขึ้นมาเป็นอาวุธคู่มือเป็นอาวุธพวกขุนศึกถึงเวลาฝึกปรือวิชาของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ต้องหาอาวุธคู่มือที่ถนัดและก็เหมาะใจตัวเอง เขาว่าอะไร... จะจัดแจงตีดาบไว้ปราบศึก ตรองตรึกหาเหล็กไว้หนักหนา เสร็จสมอารมณ์ตามตำรา ที่ว่าไว้ในมหาศาสตราคม เอาเหล็กยอดเจดีย์มหาธาตุ ตั้งพานชำระหนี้สงฆ์ด้วยนะ มันเล่นยอดเจดีย์เลย ยอดปราสาททวารามาประสม
อันนี้มันต้องประเภทมีเส้นมีสายหน่อยยอดปราสาท เก่าที่ไหนมันผุพังแล้วเก็บเหล็กอันนั้นมา เขาถือว่าเป็นของสูงเป็นของสูงเป็นของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลม ไอ้เหล็กที่เขาสะกดผีตายทั้งกลมเลยล่ะ ถอนออกมาเมื่อไหร่ ผีมันก็อาละวาดเมื่อนั้น ไม่แน่จริงมันก็เดี้ยง เหล็กตรึงโลงตรึงปั้นลมสลักเพชรหอกสัมฤทธิ์กริชทองแดงพระแสงหัก เหล็กปฏักสลักประตูตะปูเห็ด ตะปูเห็ดนี่มันไม่ใช่ตะปูสังกะสีสมัยนี้ ตะปูเห็ดนี่สมัยโบราณเขาเรียก ตะปูสังขวานร เป็นตะปูหล่อหัวโต ๆ ส่วนใหญ่เขาเอาไว้ย้ำประตูโบสถ์ อีกทั้งเหล็กเบญจพรรณกัลเม็ด เหล็กบ้านพร้อมเสร็จทุกสิ่งแท้เอาเหล็กไหลเหล็กหล่อบ่อพระแสง เหล็กกำแพงน้ำพี้ทั้งเหล็กแร่อีกทองคำสัมฤทธิ์นาคอะแจ เงินที่แท้ชาติเหล็กทองแดงดง ไปหาเอาเหอะ นั่นล่ะหาเสร็จเรียบร้อยก็หาวันเสาร์ขึ้น ๑๕ ค่ำนุ่งขาวห่มขาวตีดาบไปก็แล้วกัน
ถาม : แล้วช่างตีนี่ชำระหนี้สงฆ์ ?
ตอบ : อะไรก็ตามที่เป็นของสงฆ์นี่รีบชำระซะ เพราะว่ามีหลายอย่างอยู่ด้วยกันที่ส่วนใหญ่แล้วมันจะเกี่ยวข้องส่วนใหญ่เขาถือขลังกัน อย่างเช่นว่าของโบสถ์อย่างนี้พระต้องลงอุโบสถกันทุกกึ่งเดือนสวดกันอยู่ทุก ๆ ครึ่ง ๆ เดือนทีหนึ่งก็ว่ากันต้องเต็มที่ทีหนึ่ง เขาถือว่าขลังในตัวอยู่แล้ว ถึงได้ว่ากระเบื้องหลังคาโบสถ์ วัดหลวงพ่อโสธร มาเท่าไหร่ไม่เหลือหรอก พวกป่นสร้างเป็นพระเกลี้ยงเลย
จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ไม่ใช่กระเบื้องหลังคาโบสถ์ หลวงพ่อโสธรก็ว่าไปเรื่อย แล้วก็อ้างว่ากระเบื้องหลังคาโบสถ์ยันเตเลย อะไร ๆ ก็พระเป็นที่พึ่งไว้ก่อนใช่มั้ย ? ไอ้ที่อะไรน่าโก้งโค้งแล้วจะเห็นผีเวลาเขาแห่ศพน่ะ เขาให้โก้งโค้งมองลอดหว่างขา มองให้ดี ๆ ว่ามีโบสถ์อยู่ใกล้ ๆ รึเปล่า พวกนี้ถ้าเราเห็นเขาลักษณะนั้นเขาจะไล่มาทำร้ายเอา หนีเข้าโบสถ์ให้ทันก็แล้วกัน (หัวเราะ) ถ้าอยู่ห่างโบสถ์เดี๋ยววิ่งกันตับแตก
แต่ว่ามีอยู่หลายรายสมัยเด็ก ๆ จะเป็นการแห่ศพแถว ๆ บ้าน คนแบกมันก็บ่นว่าอะไรวะยิ่งแบกยิ่งหนัก ปรากฏว่ามีหลายคนที่เห็นด้วยตาเปล่า ๆ เลย เห็นว่ามีพวกผีเจ็ดตัวแปดตัวกระโดดโลดเต้นอยู่บนโลง ดีใจได้เพื่อนใหม่อย่างนั้น คราวนี้มันขึ้นไปกระโดดโลดเต้นอย่างนั้น คนความรู้สึกดี ๆ รู้สึกว่าน้ำหนักเพิ่มขึ้นเยอะเลย เหมือนกับแบกคนหลาย ๆ คนพร้อม ๆ กัน ไม่ใช่แบกศพ ๆ เดียว นั่นล่ะไอ้คนเห็นก็รีบไปหาน้ำมนต์มาล้างมาอาบอะไรให้ยุ่งกันไปหมด ความจริงมันเป็นความดีกำลังใจของเราอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในอุปจารสมาธิถึงจะเห็นเขาได้ แล้วก็ดันไปกลัวเขา ถือว่าเห็นผีแล้วซวยต้องรีบล้างซวยซะ บางคนอาบน้ำมนต์เจ็ดวัด น้ำมนต์เจ็ดวัด
น่ะจริง ๆ แล้วก็คือบทที่พระสวดที่เรียกว่า มงคลจักรวาลน้อย จะมี....อายุวัฑฒโก ธะนะวัฑฒโก สิริวัฑฒโก ยะสะวัฑฒโก พละวัฑฒโก วัณนวัฑฒโก สุขะวัฑฒโก ทั้งหมดความเจริญเจ็ดประการ ตัววัฒนะน่ะเวลาเขาว่าสั้น ๆ เขาเสียกว่าวัดเฉย ๆ เล่นการันต์นอหนูไปอย่างนั้น เขาเรียกน้ำมนต์เจ็ดวัดคือเสกด้วยบทนี้ คนไม่รู้ แหมตระเวณหาพระซะเจ็ดวัดเลย จริง ๆ น้ำมนต์เจ็ดวัด ทำวันเดียวก็ได้แล้ว
สมัยก่อนอย่างเช่นของเมืองจีนเขา เขาทำกระบี่วิเศษอะไรกันทีหนึ่งก็ลักษณะนี้ล่ะ เหล็กสามร้อยชั่งหลอมเหลือสามสิบตำลึงยี่สิบตำลึงเป็นหนึ่งชั่ง เหล็กสามร้อยชั่งหลอมเหลือสามสิบ เหล็กสามร้อยชั่งหลอมเหลือสามสิบตำลึงคือเหล็กแค่ชั่งครึ่ง สร้างกระบี่ได้เล่มเดียว โอ้โห ! สงสัยหมดไม้เป็นป่าไอ้ที่หมดไม้เป็นป่า เพราะมันต้องสุมหลอมเหล็กไล่ขี้ไปเรื่อยไงเคยไปดูเขาหลอมเหล็กมั้ย ถึงเวลาพอหลอมปุ๊บนี่เวลาที่มันเป็นส่วนที่ไม่ดีมันจะลอยหน้า ๆ เป็นฝ้าขึ้นมา ก็นั่นล่ะหลอมไล่ไปเรื่อย เสร็จแล้วก็ที่เหลือก็มาตีควบเป็นแท่ง จากแท่งก็ตีเป็นรูปอาวุธมาขัดมาเกลามาตะไบกว่าจะเป็นอาวุธได้ แต่ว่ามันเหลือเชื่อจริง ๆ ว่าคมมันจะขนาดนั้นแล้วความคงทนมันจะขนาดไหน เราดูถูกโลหะศาสตร์แบบโบราณไม่ได้เลยนะ นั่นล่ะ ยายหมวย เธอไปดูปืนใหญ่ที่กระทรวงกลาโหมมีกระบอกไหนมีสนิมกินบ้างมั้ย ? ไม่มีเขียวปลอดเลย นั่นล่ะ วิชาโลหะศาสตร์ แบบโบราณเขาใช้หลาย ๆ อย่างมารวมกัน
อันนั้นก็เหมือนกันเคยดูสารคดีเรื่องจีนแผ่นดินมหัศจรรย์เขาขุดได้กระบี่วิเศษเล่มหนึ่ง จากสุสานของฮ่องเต้องค์ไหนจำไม่ได้ ลักษณะก็จะเป็นตัวกระบี่ยาวแค่เนียะ ส่วนด้ามที่เป็นโลหะหรือเป็นไม้อย่างอื่นผุหายไปหมดแล้วเหลือแต่ตัวกระบี่ของเขาส่งแสงเป็นประกายรุ้งเลย ไม่มีสนิมแม้แต่แต่จุดเดียว เคยอ่านมั้ยของโก้วเล้งที่ฟันผ่าสองซีกแล้วมันยังไม่รู้ตัว ๆ เองโดนน่ะ มันต้องลักษณะอย่างนั้นล่ะ
ถาม : มันยังวิ่งต่อไปได้ซักพัก ?
ตอบ : มันวิ่งต่อไปซักพักหนึ่งแล้วมันก็แบะเป็นสองซีกร่วงแผละลงไปกับพื้น น่ากลัวขนาดเห็นแล้วสยองเลย เหมือนกรีดกระดาษปรี๊ดทั้งปึกเลย ไม่ใช่แผ่นเดียวซะหน่อย เพราะฉะนั้นวิชาการของโบราณดูถูกไม่ได้เหล็กเหนียวเหล็กแข็งของไทยเรานี่สูญไปแล้ว แต่จริง ๆ ถ้าเขามานั้นสูตรใหม่น่าจะได้นะ อย่าง เหล็กแข็ง พวกอะไรยังมีตัวอย่างอยู่ เหล็กเหนียว นี่ไม่รู้จะหาตัวอย่างที่ไหน
เห็นหลวงพ่อท่านบอกสมัยหนุ่ม ๆ ท่านได้ดาบมาเล่มหนึ่ง ดาบเหล็กเหนียวท่านเรียก เหล็กกำพล เหล็กกำพลคือเหล็กเหนียวเหมือนกับผ้าท่านบอกว่าสามารถงอปลายมันติดด้ามได้ ของเขาน่ะเราหยิบเล่มไหนก็สั่นหัวเล่มนั้นล่ะ น้ำหนักมันไม่ได้ จนกระทั่งเขาทนไม่ไหวเขาเอาไอ้ที่เขาตียาวพิเศษเมตรห้าสิบมาให้เราจับดูก็เบาเกินไปอีก ถึงได้บอกเขาว่าถ้าอาตมาสั่งตีพิเศษต่างหากได้มั้ย ? เขาบอกว่าได้ ถามว่านานมั้ย ? เขาบอกว่า ๒ อาทิตย์ถึงจะได้ ก็เลยบอกเขาว่าถ้าหากว่าโยมทำดาบลักษณะอย่างนี้สำหรับอาตมาสันมันต้องหนาอย่างน้อยเซ็นต์หนึ่งเพราะของเขา ๆ พยายามที่จะลดวัสดุมันเหลือบางน้ำหนักมันไม่ได้สำหรับเรา คืออย่างน้อย ๆ สันมันควรจะหนาสักเซ็นต์หนึ่งถึงจะพอเหมาะสำหรับเรา ที่เขาทำลักษณะเหมือนกับให้ซื้อไปโชว์หรือไม่ก็ไปเข้าพิธีแล้วก็เป็นของป้องกันภัยอะไรอย่างนั้น ไม่รู้จะเอาอันไหนดี
พอดีไปเจอเล่มนี้เข้าน้ำหนักมันดี อันนี้ไม่ขี้เหนียวมันตีหนาหน่อย ก็เลยซื้อมาอันนี้พร้อมกับฐานของเขา อันนี้เขาทำเป็นพระขรรค์มีลงยันต์อะไรมาด้วย ถามว่าเหล็กน้ำพี้ขึ้นสนิมมั้ย ? เผลอก็เอาเหมือนกัน แต่ว่าอันนี้ตั้งแต่ซื้อมามันยังไม่เป็นไร ที่โบราณเขาว่า สีปีกแมลงทับ น่ะ จริง ๆ มันน่าจะ สีปีกแมลงภู่ มากกว่า ปีกแมลงทับมันออกเขียว แมลงภู่สีปีกมันออกสีน้ำเงิน
|