ถาม :  การแก้กรรมมีจริงมั้ยคะ ?
      ตอบการแก้กรรมมีจริง แต่บุคคลที่แก้กรรมให้ต้องรู้จริง ๆ สามารถติดต่อเจ้ากรรมนายเวรได้จริง ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเขาบอกให้ทำแบบไหนแล้ว ทำแบบนั้นสิ่งนั้นก็จะพ้นไปได้ อย่างเช่นว่า บางคนเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยกรรมอะไรบางอย่าง เขาต้องการทดแทนแบบไหน แล้วทำให้เขาไป อาการป่วยนั้นจะหายทันทีเลยไม่ต้องรักษาไม่ต้องอะไรก็ได้ แต่อย่าลืมนะคนนั้นต้องรู้จริง ๆ ถ้ารู้ไม่จริงอาจจะลำบากหน่อย โดนหลอกได้ง่าย
      ถาม :  มีโฆษณาเยอะมาก ?
      ตอบ :  โฆษณานั้นอย่าเพิ่งเชื่อ เรื่องกฏของกรรมนี่ถ้าเรามั่นคงในทาน ศีล ภาวนา เขาจะสนองเราได้ไม่ถึง ๒๕% อีก ๓ ส่วนนั่นโดนอานุภาพของทาน ศีล ภาวนาป้องกันไว้แล้ว
              เพราะฉะนั้นเราแก้กรรมทำด้วยตัวเองก็ได้ โดยเฉพาะทาน ศีล ภาวนามันมีผลบุญสูงสุด ทานให้ผล ๑๐๐ ส่วน ศีลให้ผล ๑๐,๐๐๐ ส่วน ภาวนาให้ผล ๑,๐๐๐,๐๐๐ ส่วน เพราะฉะนั้นภาวนาจะให้ผลสูงสุด ถ้าเราทำจนกระทั่งกำลังใจทรงตัวเป็นปกติพวกกรรมเก่ามันจะตามได้ยาก แล้วถ้าหากว่าเรายิ่งหลุดพ้นไปเลยก็เป็นอันว่าจบกันไม่ต้องตามกันเลย
      ถาม :  แล้วเราอธิษฐานช่วยคนอื่นได้มั้ยคะ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าถึงระดับที่ว่าจบกันไปแล้วมันจะเกิดฤทธิ์อย่างหนึ่ง เขาเรียกว่า อธิษฐานฤทธิ์ กับบุญฤทธิ์ ๒ อย่างนี่สามารถช่วยคนได้
      ถาม :  ถ้ายังไม่ถึงก็ไม่ควรใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  ถ้ายังไม่ถึงช่วยได้แต่มันก็ได้น้อย
      ถาม :  เพราะว่าอย่างแม่เขาจะเป็นโรครักษาไม่หายซักที เสร็จแล้วอย่างหนูสวดมนต์หรือคนอื่นเขาจะทำบุญนี่หนู ๆ ก็จะ...(ไม่ชัด) ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไร ทุกครั้งก็บอกให้เขาโมทนาอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรเขาด้วย ทำไปเรื่อย ๆ ทีละนิดทีละหน่อยดีกว่า ถ้าหากว่าไปแก้กรรมประเภทที่ว่าไม่ถูกต้องตามศีลตามธรรมเดี๋ยวจะเสียหายกันยกใหญ่เพราะมันจะเรียกกันเยอะ ๆ
      ถาม :  ก็จะมีเพื่อนแนะนำให้ไปวัดโน้นวัดนี้บ้างแต่ก็ไม่กล้าไป ?
      ตอบ :  ลำบากหน่อย ถ้าหากว่าไม่มั่นใจก็ย่อง ๆ ไปดูเขาก่อนอย่าเพิ่งพาคนไข้ไป ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เข้าไปเหมือนนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง ไปสังเกตการณ์ก่อนก็ได้ ถ้ายิ่งได้ทิพจักขุญาณก็ดูมันเลย ดูมันทำได้จริงหรือเปล่า ?
      ถาม :  แล้วอย่างหนูทำบุญทุกวันหยอดเงินบาทหนึ่ง หยอดเงินหน้าหิ้งพระค่ะ แล้วหนูยังไม่ได้เอามาถวายถือเป็นการทำบุญหรือเปล่าคะ ?
      ตอบเป็นแล้ว เพราะว่าเราตั้งใจอยู่แล้วว่าเงินส่วนนี้จะทำบุญ ถ้าหากว่าเราตายตอนนั้นผลบุญอันนั้นเราได้เลย แต่พระขาดทุน เพราะยังไม่ได้รับสตางค์ (หัวเราะ) อันนี้ไม่ต้องกังวล อันนี้เป็นบุญอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าของเรานี่ เจตนามันเป็นบุญอยู่แล้ว พอเราได้ทำไปผลบุญนั้นก็เป็นอันสำเร็จแล้ว มันก็เหลืออยู่เพียงว่ามีวาระมีโอกาสก็เอาเงินนั้นมาถวายพระ เพราะฉะนั้นห้ามตายก่อน ตายก่อนพระขาดทุน
              อธิษฐานบารมีนี่สำคัญนะ เป็นบารมีที่สำคัญมาก คนที่ไม่ถึงระดับปรมัตถบารมีใช้อธิษฐานไม่เป็นด้วยซ้ำไป บางคนก็เข้าใจผิดว่า อธิษฐานบารมี อย่างเช่นว่า ทำบุญแล้วขอให้เป็นนั่นขอให้เป็นนี่ ขอให้ได้นั่นขอให้ได้นี่ปรากฏว่าเป็นการโลภเขาไปคิดอย่างนั้น อันนั้นไม่ใช่ อธิษฐานบารมีเป็นการเจาะจงว่าผลบุญที่เราทำจะให้มันเกิดอะไร จะให้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ สำหรับตัวเราเป็นการเจาะจงเวลา ถ้าหากว่าเราต้องการของอย่างหนึ่งตอนนี้ ถ้าเราไม่ตั้งใจไว่กอนมันมาอีกโน่นปี ๒ ปี ข้างหน้า ซึ่งไม่มีประโยชน์กับเราแล้ว
              อธิษฐานบารมีเป็นการยิงปืนเล็งเป้าเพื่อให้ถูกต้องเป้าหมาย ถ้าหากยิงเหวี่ยงแหส่งเดชไปมันอาจจะไม่ถูกเป้าหมายเลยก็ได้ สิ่งที่เราทำไม่ว่าจะดีหรือชั่วเขาส่งผลอยู่แล้ว
              อธิษฐานบารมีนี่เป็นการจำกัดว่าจะให้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ เกิดผลอย่างไร มันไม่ได้โลภอะไรเลย เพียงแต่กำหนดให้มันแน่นอนลงไปเท่านั้น เรื่องของอธิษฐานบารมีนี่ถ้าหากว่าเราสร้างสาเหตุได้เพียงพอ ผลมันก็จะเกิด ทีนี้ถ้าหากว่าเหตุมันยังไม่พอผลมันก็ยังไม่เกิดหรอก
              อย่างเช่นว่าน้ำขวดนี้ ยกตัวอย่างน้ำนี่ง่ายดี ถ้าหากว่าโยมสร้างเหตุเพียงพอก็คือ น้ำมันจะเต็มขวดแล้ว โยมตั้งใจอธิษฐานขอน้ำขวดหนึ่งโยมได้แน่นอน แต่ถ้าหากว่าน้ำมันแค่นี้ แล้วโยมตั้งใจขอน้ำขวดหนึ่งโยมได้แน่นอน แต่ถ้าหากว่าน้ำมันแค่นี้ แล้วโยมตั้งใจขอน้ำเต็มขวด เขาก็ให้เราไม่ได้เพราะว่ายังไม่เต็ม
              เพราะฉะนั้นเราต้องทำเหตุให้เพียงพอ ผลถึงจะได้ เรื่องของธรรมะเป็นเรื่องตรงไปตรงมา
              ที่หลวงพ่อโตวัดระฆัง ท่านบอกว่า ถ้าเจ้าไม่สร้างเอาไว้แล้ว เที่ยวไปขอร้องขอต่อคนอื่นเมื่อไหร่เจ้าจะได้ เพราะฉะนั้นก็เลยจำเป็นอยู่ตรงนี้ว่า เราต้องทำให้เพียงพอ ถึงเวลาอธิษฐานว่าเราต้องการอย่างไรมันถึงจะเป็นอย่างนั้น
      ถาม :  การสวดมนต์นี่ถือเป็นภาวนาอย่างหนึ่งมั้ยครับ ?
      ตอบ :  เป็นแน่นอน เมื่อกี้อธิบายไปแล้วว่ากันได้ยันนิพพานไปเลย สวดมนต์อย่างเดียวแท้ ๆ
      ถาม :  มีอานิสงส์เท่ากับการนั่งสมาธิมั้ย ?
      ตอบถ้าหากาว่านั่งสมาธิแล้วจิตใจไม่มีคุณภาพ กับสวดมนต์แล้วแล้วจิตใจทรงตัวมากกว่า ก็มีอานิสงส์มากกว่าซะด้วยซ้ำไป มันก็ต้องดูว่าคนทำ ๆ ได้แค่ไหน
      ถาม :  ที่บอกว่าจิตมีคุณภาพหมายความว่ายังไงครับ ?
      ตอบ :  จิตมันไม่ฟุ้งซ่านไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ถ้าหากว่ามันทรงตัวแน่นอนไปเลยก็สบาย
      ถาม :  ถ้าเปิดเทปธรรมะนี่แทนที่ตาจะดูหนังสือแล้วสวดตามนี่หลับตาสวดตามได้มั้ยครับ ?
      ตอบ :  ได้เหมือนกัน อย่างน้อย ๆ ถ้าหากว่าไม่มีสมาธิมันจะสวดผิด สมาธิขั้นต้นมันต้องได้อยู่แล้ว
      ถาม :  (ถามเรื่องคนเอาเงินจั๊ตมาถวาย)
      ตอบ :  พวกนี้ไปพม่ามาแล้วเขาเห็นอาตมาไปสร้างวัดไว้ที่พม่า ไปเที่ยวพม่ากลับมาเงินเหลือเขาก็เอามาถวาย เงินพม่าตั้งเยอะตั้งแยะ แลกเป็นเงินไทยได้นิดเดียว ของพม่าเองจริง ๆ เขาอยากถือดอลลาร์มากกว่า ใครเข้าไปนี่เขาบังคับให้แลกดอลลาร์
              ถ้าเข้าไปถูกต้องตามพิธีกรรมของเขา นี่จ่ายอานเลย เพราะเขาจะบังคับให้แลกอย่างน้อย ๓๐๐ ดอลลาร์ ๓๐๐ ดอลลาร์นี่มันตั้ง ๑๒,๐๐๐-๑๓,๐๐๐ เชียวนะ เสร็จแล้วใช้ไม่หมดนี่ห้ามเอากลับด้วย เท่ากับบังคับเราใช้ให้หมด พม่านี่เขาแสบไส้ จริง ๆ ใช้ไม่หมดห้ามเอากลับด้วย
              อะไรก็ไม่ว่าหรอก เงินที่ไปแลกตามสถานที่อย่างเป็นทางการ มันใช้ได้เฉพาะแหล่งเที่ยวเท่านั้น มันเป็นเงินพิเศษต่างหากออกไป ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปใช้ไม่ได้ ถ้าเงินอย่างนี้เขาใช้กันทั่ว ๆ ไป เราไปแลกในตลาดมืดนี่ถ้าหากว่าบาทหนึ่งได้ ๑๙ จั๊ต ปัจจุบันนี้นะ
              แต่ถ้าหากว่าคุณไปแลกดอลลาร์ ปัจจุบันในธนาคารนี่ ดอลลาร์หนึ่งได้ ๕-๖ จั๊ตเท่านั้นเอง พม่ามันไม่ชอบอเมริกา มันกดเงินอเมริกา เลยเล็กกว่าเงินไทยตั้งหลายเท่า จริง ๆ แล้วในตลาดมืดนี่ดอลลาร์หนึ่งแลกได้ประมาณ ๖๐๐ จั๊ต ความไม่ชอบหน้ามันก็เล่นกดซะเลยหมดเรื่องหมดราว เงินพม่าเป็นเงินตลกมาก เงินของเขามันจะมี ๑ จั๊ต, ๕ จั๊ต ๑๐, ๑๕ จั๊ต ๒๐,๒๕,๓๐,๓๕,๔๐,๔๕,๕๐ ไปจนถึง ๙๕ แล้วก็ ๑๐๐ โอ้โห...เราเองมันไม่เคยชินกับเขา เวลาเขาทอนเงินมาทีนี่นับตาเหล่เลย ของเขาชินนี่เขาจับรวบ ๔๕ กับ ๕ เป็น ๕๐ ๙๕ กับ ๕ เป็น ๑๐๐ ส่งมาเรานับจนตาเหล่เลยกว่าจะครบ ไอ้นั่นมันนับแป๊บเดียว แล้วเสร็จแล้วพอถึง ๑๐๐ มันก็จะเป็น ๒๐๐ เป็น ๕๐๐ เป็น ๑,๐๐๐ แต่ว่าแรก ๆ นี่มันลงท้ายด้วย ๕ หมดเรียงเป็นแถวไปเลย ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงทำเงินอัตรานี้ออกมา
      ถาม :  คืบพระสุคตคืออะไรครับ ?
      ตอบ :  คืบพระสุคตก็คือ คืบของพระพุทธเจ้า ๑ คืบ มีอยู่ ๒๘ นิ้วเศษ ๆ คือ ๒ ฟุตกว่า เพราะฉะนั้นที่บอกว่ากว้างคิบครึ่ง ชายคืบหนึ่งนั่นจริง ๆ แล้วของเรามันเกือบเท่าผ้าห่มแน่ะ สมัยก่อนคนหัวโต ในเมื่อคนตัวโตก็จะอยู่ในลักษณะที่ว่าใช้ของชิ้นใหญ่หน่อย
      ถาม :  ..............................
      ตอบ :  คืบมือของพระพุทธเจ้าตามอัตราส่วนแล้วก็ประมาณ ๒๘ นิ้วเศษ ๆ ของปัจจุบันนี้เท่ากับว่าคืบหนึ่งของพระพุทธเจ้าเท่ากับ ๒ ฟุตกว่าของสมัยนี้
      ถาม :  เช็งเม้งนี่ถ้าเราถวายสังฆทานแทนการไปไหว้ ?
      ตอบ :  โอ๊ย ตรงกว่ากันเยอะเลย แต่ว่าตามประเพณีนั่นเราควรจะทำ ไม่งั้นเดี๋ยวคนอื่นเขาว่าเอาแล้วเราจะไม่สบายใจ จริง ๆ แล้วมันได้เยอะ ประเพณีเช็งเม้งนี่คือการแสดงออกซึ่งความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ
              หลวงพ่อท่านบอกว่าให้สังเกตคนจีนดู คนจีนประกอบไปด้วยความกตัญญูเพราะฉะนั้นจะหาคนตกต่ำได้ยาก ท่านบอกว่าตัวความกตัญญูนี่สร้างความรุ่งเรืองให้คนจีนไปอยู่ไหนจะลำบากแค่พักเดียว ไม่ช้าก็ตั้งหลักได้ ท่านบอกพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี
              เพราะฉะนั้นประเพณีบางอย่างนี่มันก็ตรงกับความดีเหมือนกัน แต่ว่าส่วนบุญกุศลที่ทำน่ะมันไม่ค่อยตรง ในเมื่อมันไม่ค่อยตรงถึงเวลาเราก็ถวายสังฆทานทางด้านนี้ตั้งใจอุทิศให้ท่านไปแล้วก็ไปทำตามประเพณีของเขาซะให้มันได้ทั้งสองฝ่ายไปเลย
      ถาม :  ที่เขาเผา ๆ อะไรเขาได้จริงหรือเปล่าครับ ทำไมเขาชอบเอามาเผา ?
      ตอบ :  มันไม่ได้หรอก ไม่มีอะไรได้ อันนั้นเขาเชื่ออย่างนั้น เผาต่อไปก็แล้วกันไม่เป็นไรหรอก อย่างที่บ้านก็เหมือนกัน พอเตี่ยตายเขาทำกงเต็กกัน ตอนนั้นปี ๒๕๑๘ กี่ปีมาแล้วล่ะ ตอนนั้นกงเต็กคืนละ ๗,๐๐๐ ล่อไป ๗ คืน สมัยนั้นเงิน ๔-๕ หมื่นนี่ซื้อรถได้หลายคันเลย (หัวเราะ)
              ถามพี่ชายบอกว่าจะทำไปทำไมก็รู้ ๆ อยู่ว่าทำไปก็เท่านั้นแหละ เขาบอกว่าถ้าทำได้แล้วไม่ทำเดี๋ยวเพื่อนบ้านจะดูถูกเอา เลยกลายเป็นว่าซื้อการดูกถูกของเพื่อนบ้านไปซะเยอะ เสียสตางค์ไปมากเลย
              เรื่องของการปฏิบัติ เราต้องโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยคัดค้านใคร เพราะฉะนั้นประเพณีเคยทำมาอย่างนั้นก็ทำไป รู้ว่าอะไรดีกว่าเราก็แอบทำอย่างนั้นไปซะ
      ถาม :  แต่ถ้าไม่มีคนว่าเราก็ทำในสิ่งที่เราอยากทำ ?
      ตอบ :  ทำไปเลย โดยเฉพาะถ้ารุ่นของเราจะเปลี่ยนแปลงแล้ว รุ่นหลัง ๆ ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก ส่วนใหญ่เขาเบื่อด้วยซ้ำไป บางทีไปตากแดดร้อนก็ร้อนรถก็ติด แม่เจ้าพระคุณตั้งครึ่งค่อนวันวิ่งไม่ถึงซะทีหนึ่ง ลองดูตอนเช็งเม้งออกชลบุรีดูซิ สระบุรีอีกที่หนึ่ง โอ้โห...มันติดได้ติดดี
      ถาม :  แต่เดี๋ยวนี้เขายินยอมเวลาเผาเสร็จแล้วเอาไปลอยน้ำหมด ?
      ตอบ :  ของไทยเขาทำกันอย่างนั้น ง่ายดี บางทีก็เหลือกระดูกไว้นิดเดียวสำหรับทำบุญเท่านั้นเอง นอกนั้นลอยน้ำไปเกลี้ยงเลย ไม่เปลืองที่น่ะ
              เรื่องของฮวงจุ้ยเรื่องของอะไรมันมีผลเหมือนกัน แต่ก็อย่างว่าแหละ ถ้าหากว่าเรามั่นคงในทาน ศีล ภาวนา เรื่องเหล่านี้ก็ให้ผลเราน้อย แต่ถ้าหากว่าเราไม่มั่นคงในทาน ศีล ภาวนาเรื่องเหล่านี้ก็พอมีผลกับเราเหมือนกัน เพราะว่าโลกของเรามีสนามแม่เหล็กโลก มันจะมีพลังงานอะไรของมันอยู่ ถ้าหากว่าถูกที่ถูกทางถูกจุดมันก็หนุนเสริมได้เหมือนกัน
      ถาม :  อย่างนี้คนเราก็ต้องขึ้นอยู่กับดวงเหมือนกันนะครับ ?
      ตอบ :  คือว่าเรื่องของพื้นฐานดวงสำคัญที่สุด ถ้าคุณทำบุญทำกุศลมา กุศลจะส่งซะอย่าง ประเภทที่เรียกว่าไปนอนใต้ต้นไม้ยังได้ทองไปเข่งหนึ่ง ขำก็ขำ
      ถาม :  แต่เห็นคนทำชั่วเยอะ ๆ ก็ได้ดีอะไรอย่างนี้นะ ของเก่าเขาเยอะเหรอครับ ?
      ตอบ :  อย่างนั้นเขาเองเขายังไม่เจอสิ่งที่ทำชั่ว เวลาส่งผลมันเป็นยังไง ก็เลยไปสบายอกสบายใจอยู่กับการกระทำอย่างนั้น พอถึงเวลากุศลมันหมด อกุศลคือ ความไม่ดีมันเข้ามา คราวนี้ร่ำร้องไปก็ไม่ทันการณ์แล้ว
      ถาม :  คนตายนี่เขาเอากระดูกเก็บไว้ไหว้ ถึงเวลา ๒๐-๓๐ ปีนี่ถึงเวลาคนนั้นมันเกิดแล้วนี่....?
      ตอบ :  คือกำลังใจของเรานี่ถ้าหากว่าเรายังยึดอยู่ เช่นว่า รัชกาลที่ ๕ ของเราคนให้ความเคารพมาก ถ้าหากว่าท่านไปเกิดแล้ว แต่คนยังกราบไหว้เคารพอยู่เป็นปกติ ข้างบนจะจัดเทวดาหรือพรหมที่มีบารมีใกล้เคียงกันลงมารับหน้าที่นั้นแทน ท่านเองท่านก็จะสามารถสงเคราะห์ได้ใกล้เคียงเหมือนเดิม
      ถาม :  คนจีนน่ะ บางคนทีตายไปแล้วนี่ พ่อ แม่ พี่น้องคนที่ตายนี่เขาจะเชิญวิญญาณเขาเรียกทังซีกุ้ยอันนี้จะเป็นจริงมั้ย ?
      ตอบ :  อันนี้รู้จัก เป็นปลอมก็ได้ เพราะว่าบรรดาร่างทรงถ้าหากอย่างเป็นเปรต อสุรกายอะไรเหล่านี้ ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะมีความเป็นทิพย์อยู่ เขาจะรู้ว่าคน ๆ นั้นลักษณะท่าทางเป็นอย่างไร ชอบแสดงออกอย่างไรเป็นปกติ เขาจะทำอาการพวกนั้นออกมาหมดเลย เสร็จแล้วสภาพครอบครัวอะไรเป็นอย่างไร
              พวกนั้นเขาจะมีความเป็นทิพย์เขารู้เขาจะบอกถูก แต่ว่าเขาจะถูกเฉพาะในส่วนที่เป็นอดีตเท่านั้น ถ้าถามถึงอนาคตเมื่อไหร่พวกนี้ไปไม่ถึง เพราะว่ากำลังบุญของเขาไม่ถึงตรงจุดนั้น
              เพราะฉะนั้นถามพวกนี้ถามอดีตมันตอบได้จ๋อย ๆ แสดงท่าทางเหมือนกันหมดเคยนั่งไขว่ห้างสูบยายังไงมันทำได้หมด แล้วที่เป็นของแท้น่ะมันหายาก แต่ว่ามันก็ยังดีอยู่อย่างนะ อย่างน้อยเวลาเราไปทำอย่างนั้นเราก็สบายใจใช่มั้ย คิดว่าญาติพี่น้องของเราไปดี
      ถาม :  คือความจริงถ้าไม่เชิญมานี่คนที่ตายไปนี่ต่อไปจะเกิดมาเป็นใบ้ แต่นี่ก็ไม่เชื่อนะครับ เพียงแต่ว่า โบราณเขาเล่าให้ฟัง ?
      ตอบ :  อันนี้ก็เจอมาเยอะ แต่ว่ามันแปลกอยู่อันหนึ่ง อยู่ในลักษณะแบบมโนมยิทธิของหลวงพ่อเลย จะมีการประเภทพอคนตายแล้วเขาจะดูว่าคนตายนั้นไปไหนก็จะมีการนั่งภาวนา เสร็จแล้วตัวอาจารย์ก็เอาตั่วป้อมาปิดหน้าให้ แล้วก็มีการจุดธูปจุดเทียน ลักษณะคล้าย ๆ กับการฝึกมโนมยิทธิที่จะมีกระดาษนะโมพุทธายะปิดหน้า แล้วก็จะมีการส่องไฟแบบนั้น แต่ว่าเขาบอกเอาไว้อย่างหนึ่งเลยว่า ถ้าหากว่าคนตายอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำอย่าข้ามไป ถ้าข้ามไปเราจะตายไปด้วย ให้ตะโกนติดต่อถามกันอยู่ตรงนั้นแหละ ให้ตะโกนถามไปว่าเป็นยังไงตายแล้วสบายมั้ย อยู่ตรงนั้นแหละ เป็นยังไงมีอะไรจะฝากถึงลูกถึงหลานบ้าน เขาจะมีข้อห้ามของเขาอยู่เหมือนกัน
              อันนี้เป็นเรื่องแปลกมาก อันนี้เป็นอาการของคนจีนแท้ ๆ แต่มันมาตรงกับมโนมยิทธิของหลวงพ่อได้ แสดงว่าเรื่องของคนที่เขาทำได้จริง ๆ ถึงวาระ ถึงเวลามันก็คล้ายกันหมด อันนี้ตามดูเขามาตั้งแต่เด็ก ๆ
      ถาม :  ก็อย่างของคนจีนน่ะ ๗ วันเขาก็จะมีทำกงเต็กสะพานก็มี....(ไม่ชัด) ....คือสะพานนี้ ....?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าข้ามไปฝั่งโน้นจะเป็นโลกวิญญาณไปเลย แล้วถ้าหากว่าคนเป็นนี่ถอดจิตไปแล้วข้ามไปฝั่งโน้นจะกลายเป็นคนตาย ทางด้านโน้นพวกยมบาลเขาจะจับตัวไว้ไม่ปล่อยคืนมา
              เพราะฉะนั้นเขาจะกำชับนักำชับหนาว่าอย่าให้ข้ามไป แล้วก็ลักษณะที่เขาภาวนาอะไรไป มันก็จะมีการสั่นตบขาตัวเอง ทุบอกตัวเองเหมือนกับมโนมยิทธิเต็มกำลังอย่างนั้น ตลกมากเป็นไปได้เหมือนกันยังไงไม่รู้
      ถาม :  อันนี้มีจริงมั้ย ?
      ตอบ :  ลักษณะนี้ที่ดูแล้วิชาการมันเหมือนกันมันก็น่าจะจริง แต่แปลกอยู่อย่างหนึ่งว่า เขาดูได้เฉพาะที่มันไปตรงนั้นเท่านั้นแหละ ถ้าหากว่าจะไปนรกไปสวรรค์อะไรแบบที่ของมโนมยิทธิเต็มกำลังนี่เขาทำไม่ได้ เขาติดต่อได้แค่ตรงจุดนั้นเท่านั้นแหละ เด็ก ๆ ชอบยุ่งไปดูเขาอยู่เรื่อย เวลาเขาเข้าทรงอะไรก็ไปดู มันอัศจรรย์จริง ๆ เขาเชือดลิ้นออกมาให้เห็น ๆ เลย พอเขียนฮู้เสร็จเขาก็ใส่คืนไป ก็ไม่เห็นมีร่องมีรอยอะไรเลย
      ถาม :  แต่เขาแสดงอภินิหารแบบนี้ไม่เป็นการ ...?
      ตอบ :  อันนี้ไม่เป็นไรหรอก เขาถือเป็นการสงเคราะห์คนได้ระดับหนึ่งเป็นการสร้างศรัทธาได้
      ถาม :  ถ้าเช้าเราถือศีล ๘ แล้วไปทำงานแล้วงานเราเลิกเที่ยงนี่ เที่ยงเราทานอะไรได้มั้ยครับ ?
      ตอบ :  ได้ ถ้าเราถือศีล ๘ แล้วงานเลิกเที่ยงนี่ หลวงพ่อท่านบอกไว้ว่า อนุญาตให้ไม่เกินบ่าย ๒ โมง ถ้ายังไม่เกินบ่าย ๒ โมง ยังถือเป็นศีล ๘ อยู่
      ถาม :  ศีล ๑๐ ข้อที่ ๙ กับข้อที่ ๑๐ คืออะไรครับ ?
      ตอบ :  ศีล ๑๐ ข้อที่ ๙ ข้อที่ ๑๐ มันก็เป็นข้อที่ ๗ ที่มันยืดออกมา นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกะทัสสนา นี่จะเป็นข้อที่ ๗ แล้ว มาลาคันธะ วิเลปนะ นี่เป็นข้อที่ ๘ ไปเพิ่มข้อที่ ๑๐ ก็คือ ชาตะรูปะ ระชะตะ ไม่ให้จับเงินจับทองเพราะมันเป็นศีลของเณร
      ถาม :  ฝันว่าพระที่ใส่แตก แล้วหยิบขึ้นมาพอดีเป็นพระหลวงพ่อโสธรค่ะ มันหมายความว่ายังไงคะ กรอบแตกแต่พระไม่เป็นไร แต่พอหยิบมามองเป็นพระหลวงพ่อโสธรแทนค่ะ ?
      ตอบ :  ก็หลวงพ่อโสธรเป็นพระมหาลาภ นั่งอยู่เฉย ๆ สร้างโบสถ์ได้ตั้ง ๑,๘๐๐ กว่าล้าน
      ถาม :  แล้วช่วงหลังจะฝันเห็นพระบ่อยมากค่ะ แล้วช่วงหลังจะเดินทางไปไหนจะมีเหมือนพระมาคุยกับเรา เหมือนสอนหรืออะไรอย่างนี้ค่ะ ?
      ตอบ :  ฝันเห็นพระถือว่าเป็นมงคลใหญ่ ถ้าหากว่าฝันเห็นพระใจยังเกาะพระอยู่ แสดงว่ากำลังใจของเราอยู่ในด้านดีมากกว่าก็ควรจะดีใจ
      ถาม :  หนูกลัวว่าจะมีเหตุอะไรหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ถ้ามีเดี๋ยวท่านบอกเองล่ะ พระแตกท่านอยากได้กรอบใหม่มั้งเลี่ยมทองไปเลย (หัวเราะ)
      ถาม :  .............................
      ตอบ :  ดอกบัว พระองค์ที่ ๑๐ ท่านเคยเปรียบไว้ว่า คนเราก็เหมือนกับดอกบัวเกิดขึ้นมากจากโคลนตมแล้วก็พยายามดิ้นรนให้มันพ้นน้ำเบ่งบานขึ้นมาให้ได้กลายเป็นสิ่งที่เขาเอาไปบูชาไปถวายพระ ท่านบอกว่าเท่ากับ เราสร้างคุณค่าให้มันมากขึ้นให้มันสูงขึ้น จนในที่สุดก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากรากเหง้าดั้งเดิมของตัวเอง ไปสู่จุดมุ่งหมาย ที่ดีที่สุดที่จะพึงมี ท่านเปรียบคนเหมือนกับดอกบัว ๔ เหล่า
              ดอกบัวเหล่าแรกเปรียบเหมือนกับพวก อุคติตัญญู ฟังธรรมแต่ห้วข้อก็สามารถเข้าใจได้เพราะว่าสั่งสมปัญญาบารมีไว้มาก มีความเฉลียวฉลาดมาก เพราะฉะนั้นท่านเปรียบเหมือนดอกบัวที่พ้นน้ำแล้วพร้อมที่จะเบ่งบาน ทันทีที่กระทบกับแสงตะวัน
              เหล่าที่ ๒ เปรียบบุคคลเป็น วิปปัญจิตัญญู ท่านบอกว่าเหมือนดอกบัวที่ปริ่มน้ำพร้อมที่จะโผล่ขึ้นมาเพื่อรับแสงอาทิตย์ในวันรุ่งขึ้นบุคคลประเภทนี้ฟังธรรมขยายความเล็กน้อยก็เข้าใจ
              เหล่าที่ ๓ ท่านบอกว่า เปรียบเหมือนดอกบัวที่อยู่กลางน้ำ ท่านบอกว่าเปรียบเหมือนบุคคลที่เรียกว่า เนยยะ คือเป็นผู้ที่ควรแก่การฝึกหัดสั่งสอนได้ก็ต้องเคี่ยวเข็ญกันหน่อย
              ส่วนเหล่าสุดท้ายเป็นพวก ปทปรมะ ท่านบอกว่าเป็นเหมือนกับดอกบัวที่จมอยู่ใต้น้ำ พร้อมที่จะตกเป็นภักษาหารของเต่าและปลา คำว่าปทปรมะนี่มันแปลจริง ๆ มากด้วยบทบาท คน พวกนี้ไม่ใช่คนโง่แต่ฉลาดเกินไป พวกตะเเบงข้างเก่ง พวกนี้เขาประเภทที่เรียกว่าฟังธรรมแล้วจะไม่น้อมจิตตามไป แต่จะหาช่องว่างรอยโหว่เพื่อที่จะเถียงมันก็เลยกลายเป็นว่าสอนไม่ได้ เพราะฉะนั้นบางทีเราไปคิดว่าปทปรมะ นี่พวกโง่เต่าตุ่น ไม่ใช่ พวกปทปรมะนี่ฉลาดเกินไปจนสอนไม่ได้ โง่จริง ๆ ถ้าหากว่าเป็นบุคคลที่บำเพ็ญบารมีมาถึงขนาดได้ฟังเทศน์ฟังธรรมกับพระพุทธเจ้า ถ้าโง่จริง ๆ ไม่มีหรอก อย่างดีก็เป็นพวกเนยยะ เคี่ยวเข็ญกันได้ ปทปรมะนี่ฉลาดเกินเหตุ