ถาม :  วิชาชาตรีนี่เป็นยังไง ?
      ตอบ :  ชาตรี... จริง ๆ แล้วมันเป็นการตั้งธาตุปลุกธาตุในตำราการต่อสู้โบราณเรียก พาหุยุทธ์ พาหุยุทธ์นี่เป็นการใช้อาวุธหลาย ๆ อย่างพร้อมกันจนกระทั่งหมัด เท้า เข่า ศอกในร่างกายของเรานี่ต้องใช้เป็นอาวุธหมด ชาตรี มันพูดยาก ต้องใช้คำว่าเหนือกว่าใคร ไม่รู้จะแปลยังไงมันถึงจะได้เต็มใจเต็มอารมณ์อย่างนั้น พวกวิชาการเหล่านี้คนสมัยก่อนต้องศึกษาเอาไว้ อันดับแรกก็คือป้องกันตัว ป้องกันครอบครัวตัวเอง อันดับต่อไปก็คือถ้าเกิดศึกเสือเหนือใต้ขึ้นมา บ้านเมืองต้องการทหารรับใช้ชาติก็จะได้ออกรบได้เลย
              ดังนั้นว่าสมัยโบราณบังคับก่อนแต่งงานคุณต้องบวชเพราะว่าวิชาการทั้งหมดมันอยู่ในวัด คุณต้องบวชไปศึกษาก่อน จะเอาประเภทท่องบ่นเวทมนต์คาถา ดูฤกษ์ล่างฤกษ์บน ดูตำราพิชัยสงครามหรือจะฝึกอาวุธอะไรก็ว่ากันไปเลย ให้มันมีวิชาความรู้เพื่อที่จะรักษาครอบครัวตัวเองได้ ถ้าคุณแต่งงานสมัยก่อนคุณต้องเรียนประเภทคาถาเสกน้ำมนต์ พ่นน้ำหมากไป เวลาเมียท้องก็จะได้เสกให้คลอดลูกง่ายอะไรยุ่งไปหมด
      ถาม :  แล้วคนสมัยนี้ต้องเรียนวิชาพวกนี้ ?
      ตอบ :  สมัยนี้ ปืนง่ายกว่า ถ้าหากจะไปเรียนมันจะทำให้ช้า จริง ๆ แล้ว เราเรียนตรงตามกรรมฐานที่หลวงพ่อสอนก็เหลือเหลือเฟือแล้ว กรรมฐาน ๔๐ นี่ถ้าหากว่ากองใดกองหนึ่งอย่างกสิณอะไรที่เราทำได้มันเหนือกว่านั้นเยอะ เรื่องของคาถาเป็นแค่อารมณ์สมาธิที่ไม่ต้องมากนัก เกินอุปจารสมาธิขึ้นไปหน่อยใกล้ ๆ ปฐมฌานคาถาก็ได้ผลแล้ว เพียงแต่ว่าถ้าสมาธิสูงเท่าใดผลก็จะได้ยิ่งสูงเท่านั้น
              ดังนั้นว่าสมัยนี้ของเราเอาพุทธคุณเป็นหลัก (กลัวว่าวิชาจะสูญหายไป)....ไม่ต้องกลัวมันสูญไปเยอะแล้ว ขนาดของหลวงพ่อท่านศึกษาเอาไว้เยอะ แต่ท่านก็บอกมาไม่กี่อย่าง อย่างเรื่องยันต์เรื่องอะไรของหลวงพ่อนี่เท่าที่เรียน ๆ มาก็ ๑๐ กว่าอย่างเท่านั้น คือท่านเอาที่มันชัวร์จริง ๆ น่ะ แล้วก็ทำไม่ยากจนเกินไป หลวงพ่อท่านมีคติประจำใจว่าถ้ายากไม่ทำ จริง ๆ แล้วงานยาก หลวงพ่อท่านทำได้ทุกอย่าง แต่ว่าถ้าหากมันเสียเวลามากอย่าง ธงมหาพิชัยสงคราม กว่าจะเขียนเสร็จแต่ละผืนมันยากแสนยากเย็นแสนเข็นท่านก็ไม่เอา จนกระทั่ง ท้าวมหาชมพู ท่านต้องอนุญาตให้ไปปั้มมา เพราะฉะนั้นท่านประเภทที่คำที่พูดว่ายากไม่เอาก็คืออะไรที่ทำยากไม่เอาขี้เกียจแล้ว
      ถาม :  :แล้ววิชามวยล่ะครับ ?
      ตอบ :  มันก็ยังมีสืบทอดกันมาตามสายครูบาอาจารย์อยู่ แต่ว่าคนมันทำไม่ถึงอย่างสมัยนี้ประเภทที่ใช้อำนาจจิตรวมกับการต่อสู้นี่รู้สึกว่าปัจจุปันนี้ ถ้าหากว่าไม่มีคนอื่นทำได้ก็คงเหลือแต่ สเกน แก้วผดุง คนเดียว สเกน แก้วผดุงตอนนี้เปิดค่ายมวยอยู่ที่ประเทศอังกฤษ มวยไทยขั้นสุดท้าย ๆ สุด มันจะมีวิชาหนึ่งเขาเรียกว่า เหินเตะ ลักษณะนี้เขาเรียกว่า หนุมานเหินหาว มันจะลอยตัวตามคู่ต่อสู้เตะไปเรื่อยจนกว่า เขาจะหมอบ มันจะเป็นการใช้อำนาจจิตรวมเข้าไปด้วย
              ตามที่เห็นปัจจุบันอยู่นี่เห็นสเกนเขาทำได้ เขาให้ฝรั่งคนหนึ่งขี่คออีกคนหนึ่ง แล้วก็ถือดาบที่เสียบลูกแอปเปิ้ลแล้วชูไว้เขาเตะถึง ก็แค่เตะถึงก้านคอฝรั่งมันก็เหลือเกินแล้วใช่มั้ย ? นี่สูงขนาดนั้นเขาเตะลอยขึ้นไปเตะได้ ถ้าไปโน้นเขาบอกมาสเตอร์สเกนเดี๋ยว ๆ ก็จะมีพวกฝึกวิชาการต่อสู้มาขอลองที เดี๋ยว ๆ ก็ขอลองทีเขาบอกสงสารมัน แต่ว่าเพื่อความอยู่รอดของค่ายก็ต้องอัดมัน เพราะว่าถ้าไม่สู้มันก็จะไปว่าของเรามันแหยไม่มีฝีมืออะไร เดี๋ยวคนก็ไปเรียนกับของมันหมด ไม่มาเรียนกับของเราสะตุ้งสตางค์ก็ไม่มี (หัวเราะ) พออัดมันไป ก็ไปหาคนที่เก่งกว่ามาอีกก็ไม่รู้จบกันซะที
      ถาม :  แล้วในประเทศไทยล่ะครับ ?
      ตอบ :  ที่เรียนรู้อยู่มันก็มีนะ เพียงแต่ว่าอาจจะเบื่อสอนแล้วก็ได้ อยู่ตรงนี้ก็มีอยู่คนหนึ่ง (หัวเราะ) วิชาการต่อสู้ทุกอย่างหลังจากที่ฝึกมาแล้ว ลงท้ายแล้วเหมือนกันหมด ลงท้ายแล้วมันจะเป็นเรื่องของจิตใจควบคุมร่างกาย ถ้าหากว่าสภาพจิตเรามั่นคง โอกาสชนะมีเกินครึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่ามันฝึกหนักเกินไปรึเปล่า อยู่มาจนป่านนี้มันยังอ้วนไม่เป็นเลย จะรอดู ท่านต้า ถ้าท่านต้าเหมือนกันก็แปลว่าเรื่องนี้น่าจะใช่ถ้าหากว่าฝึกหนักเข้าที่จริง ๆ มันไม่อ้วนหรอกเขาบอกว่าอะไรล่ะ กล้ามเนื้อมันตายกล้ามเนื้อตายก็คือมันฝึกหนักไม่สามารถจะเติบโตไปได้มากกว่านั้นแล้วมันรีดไขมันซะจนหมดเหลือแค่ไอ้ที่จำเป็นเท่านั้นเองล่ะ คนอื่นเขาบวชกัน ๒ พรรษา แหม....หุ่นเจ้าอาวาส หุ่นเจ้าคุณ ตูล่อมาจะ ๒๐ แล้วได้แค่นี้ (หัวเราะ)
              สมัยที่เป็นทหารเป็นยุคที่เรียกว่าน้ำหนักร่างกายดีที่สุด ๖๓ กิโลครึ่ง เต็มรุ่นไลท์เวทเลย ๑๓๐ ปอนด์เป๊ะ กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน อดเท่าไหร่ก็ไม่ลด มวยทหารนี่รุ่น ๑๓๐ ปอนด์ นี่ไม่มีใครกล้ายุ่ง (หัวเราะ) เคยสอน ท่านตู่ เขาไปหน่อยหนึ่ง รายนั้นเขาใจร้อน เอางี้ดีกว่าครับหลวงพี่ออกท่ามาให้ดูแล้วผมจะหัดเอง ก็เลยทำให้มันดูเข้าท่าดีว่าเรื่องของมันสำคัญตรงจังหวะ อย่างพวกนาคมุดบาดาล หนุมานถวายแหวน หิรัญม้วนแผ่นดิน อย่างนี้ ถ้าพลาดท่ามันจะชักเองอย่างนี้สิ บางอย่างนี้มันต้องล่อให้เขาเตะมันต้องยื่นหน้าไปหาตีนเขาน่ะ คือถ้าเขาออกอาวุธมาตามจังหวะที่เราต้องการได้ก็เสร็จเรา
              งวดนั้นหลอกท่านตู่บอกว่าคุณเตะผมน่ะ ไม่ต้องคิดว่าผมเป็นอาจารย์นะลองเตะดู (หัวเราะ) นึก ๆ แล้วก็ขำดี มันต้องขยันซ้อมด้วยนา ประเภทเรียนรู้ไปแล้วขี้เกียจก็เท่านั้นล่ะเดี๋ยวจะเป็นพี่มารถอ่อนซ้อม พอขยันซ้อมไปแล้วเรื่องลูกไม้มันจะตามไปเอง แม่ไม้กี่ขบวนท่าถ้าหากว่าเราขยันซ้อมจนกระทั่งมันกลายเป็นอัตโนมัติ ถึงเวลาการต่อสู้ขึ้นมา มันจะมีพวกลูกไม้อะไรต่าง ๆ ออกไปเองตามช่วงจังหวะที่มันเกิดขึ้นในลักษณะนั้น มันจะกลายเป็นอัตโนมัติไปที่ฝรั่งเขาเรียกว่าเคาเตอร์แอทแทคมันจะเป็นการตอบโต้อัตโนมัติ
              สมัยที่เป็นทหารอยู่นี่ หลับ ๆ นี่เพื่อนเเตะตัวไม่ได้หรอกเราเตะกลิ้งเลยเหลือเชื่อจริง ๆ ว่าจะออกอาวุธได้ขณะนั้น มีอยู่คนหนึ่งชื่อว่า ทวี วงศ์รัตน์ มันมาปลุกเราไปเข้าเวร มันก็ปลุกไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา มาถึงมันเอามือตบพุงเรา เฮ้ย ! ลุก ตีนถึงหน้าพอดี (หัวเราะ) มันไปของมันเอง ไอ้เราไม่ได้เจตนาเลย ขอโทษเพื่อน
              แล้วไอ้ที่แย่ที่สุดก็คือว่าก่อนบวชไม่นานน่ะไปเที่ยวกับเพื่อนผู้หญิงแล้วเขาสะกิดเอว โอ้โห....เรียกก็ไม่เรียกสะกิดเอว ไอ้เรากระชากศอกกองอยู่กับพื้น มันไม่นึกเลยมันออกไปเองโดยอัตโนมัติด้วยล่ะโห....อีงานนั้นขอโทษขอโพยกับเป็นเดือนกว่าจะยอมเชื่อ บอกว่าคราวหน้าเรียกนี่ให้เรียก อย่าไปสะกิดอย่างนั้น น่าอเน็จอนาถมากเลย กระทั่งผู้หญิงยังไม่ละเว้น มันไม่ได้เจตนาจริง ๆ สัญชาตญาณติดตัวล่ะ เพราะฉะนั้นจำไว้นะให้เรียกนะ อย่าไปสะกิดอย่างนั้นนะ
      ถาม :  ตอนนี้ยังเป็นอยู่มั้ยค่ะ ?
      ตอบ :  ตอนนี้มันเบาลงเยอะแล้ว ตอนก่อนนั้นมันเรียกว่าประเภทยังไงล่ะ .. มันยังระแวงอยู่ วีรกรรมเรื่องเพื่อนผู้หญิงมีเยอะ ตั้งแต่สมัยทหารนั่นน่ะ เพื่อนผู้หญิงไปหาพาไปฝากแม่ชีไว้ ต้องยอมรับว่าผู้หญิงนี่ร้ายจริง ๆ เขาก็รู้อยู่ว่าทหารที่อยู่ชายแดนที่ไปตั้งค่ายไปอะไรนั้น ร้อยวันพันปีผู้หญิงมันก็ไม่ได้เห็น ประเภทควายยิ้มได้อย่างนั้นน่ะ ควายเดินผ่านยังว่าไอ้ตัวนั้นยิ้มสวย แล้วมันกล้าเข้าไปหา อู้ย...จริง ๆ เราก็เวทนาเห็นเขาเป็นลูกเป็นหลาน ทำไง...พาไปฝากแม่ชีไว้ที่วัดใกล้ ๆ โน้น ตรงจุดที่ตั้งค่ายมันอยู่ห่างจากหมู่บ้านซัก ๒ กิโลมันมีวัดอยู่เหมือนกัน นั่นวีรกรรมครั้งนั้นพวกโห่ไปเป็นปีเลย คนอื่นเขาถือว่าลาภลอย (หัวเราะ)
              เพราะฉะนั้นของเราโดนโห่ไปเป็นปี ผู้หญิงแถวนั้นเขาจะยังไงล่ะ ทหารเขาจะเปลี่ยนกำลังกัน ๔ เดือนครั้งหนึ่งน่ะ จะเป็นหน่วยเดียวกันในหนึ่งปี หน่วยเดียวกันก็จะมี ๓ กองร้อยหมุนเวียน เพราะฉะนั้นปีหนึ่งจะเปลี่ยนกำลังพล ๓ ครั้ง พอครบ ๓ ครั้งแล้วก็หน่วยอื่นจะมาเปลี่ยน อย่างของเราขึ้นไปก็ไปเปลี่ยน ร. ๑๑ พอของเราลงมา ร. ๒ ก็ขึ้นไปแทนมันจะหมุนเวียนไปเรื่อย ผู้หญิงแถวนั้นเขาจะหาสามี ๔ เดือนครั้ง มันก็ตำหนิเขาไม่ได้ เพื่อความอยู่รอดจริง ๆ เพราะว่าชายแดนนี่พวกสินค้าหนีภาษีราคามันดีเหลือเกิน ซิบ YKK ยาวประมาณคืบแค่เนียะ ๖๐ บาท สมัยปี ๒๕๒๔ บุหรี่ตอนนั้นซองละ ๖ บาท แต่มันไปถึงโน้นมันซองละ ๑๒๐ เพราะว่าของพวกนี้เราถือว่าเป็นยุทธปัจจัยไม่ให้ข้ามไปฝั่งโน้น กลายเป็นของขาดตลาด ราคามันจะแพง
              เพราะฉะนั้นพวกนี้ เขาจะพยายามมาตีสนิทจนกระทั่งได้ทหารเป็นสามี แล้วก็รอจังหวะที่สามีตัวเองเข้าเวรที่ด่าน แล้วก็ขนของข้าม มันข้ามได้เที่ยวมันคุ้มแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นพวกนี้เขาจะมีสามี ๔ เดือนคนหนึ่ง ฟังดูแล้วประเภทยังไงล่ะ อเน็จอนาถมั้ยโห.... ทหารแต่ละคนก็เหลือเกินทำยังกะไม่เคยเห็นผู้หญิง พวกสาว ๆ ในหมู่บ้านนี่เย็น ๆ เขาออกมาก็เข้าไปแซวสาวเขาว่ามาหาอะไร มาหาคนจ๊ะ ? พวกนั้นก็ข้อยมาหาด้วย มันเลี้ยงควายมันทิ้งอยู่กลางทุ่ง ภาษาอีสานเขาว่าอย่างนั้นจริง ๆ ใช่มั้ย ? ไอ้พวกนั้นมันบอกเข้ามาข้างในสิมีเยอะเลย (หัวเราะ) โอ้โห....เหลือเกินตกลงมันความหมายอะไรกันแน่ ๆ (หัวเราะ) นั่นน่ะเป็นอย่างนั้น
              เพื่อนบางคนไปเจอไอ้เพื่อนร่วมเบิม เบิมก็คือบังเกอร์ที่เขาขุดเอาไว้เวลาปะทะกับคนอื่น เขามันจะใช้ไม้ท่อนใหญ่ ๆ มาล้อมรอบแล้วทำเป็นหลังคาแล้วก็จะมีกระสอบทรายพวกอะไรกันเอาไว้ นั่นล่ะเบิมหนึ่งจะนอน ๒ คนน่ะ เบิมไหนที่ประเภทที่เรียกว่าตัวเองไม่สนใจเรื่องผู้หญิงแล้วเพื่อนพาเข้าไปทุกคื้นทุกคืน ก็นอนห่มผ้าอุดหูไปเถอะ (หัวเราะ) มันเป็นยังไงมันไม่อยากฟังประเภทเสียงในฟิล์ม เรื่องพวกนี้ตอนอยู่ชายแดนนี่เยอะจริง ๆ เรื่องผีเรื่องสางเรื่องอะไรนี่ก็เจอประจำ ตายซับตายซ้อน ตายทับตายถมอยู่นั้นล่ะ เพราะช่วงที่ขึ้นไปรับหน้าที่โดนเหตุการณ์โนนหมากมุ่นใหม่ ๆ น่ะ ประเภทผีตายเกลื่อนทุ่งน่ะ งานนั้นงานเดียว ๓๐๐ กว่าศพ
      ถาม :  ..................................
      ตอบ :  น้ำมันสังคโรคก็คือน้ำมันชาตรีที่ หลวงปู่ปาน ท่านทำ ท่านเอามาให้พวกเราใช้ก่อนน้ำมันชาตรีหลายปี ท่านไม่ได้บอกว่าเป็นน้ำมันชาตรี คือว่าหลวงพ่อท่านกลับไป กลับไป วัดบางนมโค กลับไปเยี่ยมวัดเก่านั่นล่ะ แล้วท่านก็ขึ้นกุฏิเก่าของท่าน ท่านบอกว่าอะไรต่อมิอะไรมันปล่อยรกรุงรังหมด ข้าวของอะไรที่เคยเป็นของหลวงปู่ ที่หลวงพ่อท่านรักษาเอาไว้ดี มันก็ปล่อยกระทั่งฝุ่นจับหยากไย่ขึ้นเละเทะไปหมด
              ท่านบอกว่าอะไรก็ไม่ว่าหรอก ไปเจอขวดน้ำมันชาตรีหลงอยู่มันแห้งเกือบจะติดก้นขวดท่านบอกว่าเห็นเข้าก็ดีใจแทบตาย ก็ไปถามเขาบอกว่าขอได้มั้ย ? เขาบอกว่าเอาไปเหอะขวดเก่า ๆ น้ำมันชาตรีนี่มีอานุภาพพิเศษก็คือเติมเท่าไหร่ก็ตามอานุภาพยังเหมือนเดิม แต่ท่านไม่ได้บอกเราเพราะว่าอนุภาพของน้ำมันชาตรีถ้าเราสังเกตหลวงพ่อท่านจะเน้นเรื่องรักษาโรค
              คำว่าสังคโรคมันแปลว่ารวมทุกโรค คราวนี้น้ำมันชาตรีนี่ท่านจะเน้นทางรักษาโรค เพราะว่าถ้าไม่เน้นคนมันเอาไปใช้นี่ดีไม่ดีเละ เพราะว่าเห็นคา ๆ ตามาว่าคนโดน ๑๑ ชนิดที่กระสุนแบนแต็ดแต๋ติดเอวเลย เขาบอกไม่รู้สึกอะไร รู้สึกเหมือนกับตัวเเมงบินมาชน มันได้ขนาดนั้น แล้วลองคิดดูว่าถ้าเกิดคนมันเฮี้ยนขึ้นมามันไม่ตีกันกระจายทั้งบ้านทั้งเมืองหรือ ใคร ๆ รักจะเป็นนักมวยก็เอา
              หลวงพ่อท่านบอกว่าท่านขโมยน้ำมันชาตรีหลวงปู่มาครึ่งขวดยานัตถุ์ขโมยเลย พอหลวงปู่กลับมาถามว่าใครขโมยน้ำมันวะ ? บอกว่าผมเองครับ บอกแล้วมึงขโมยทำไมวะ ? ผมคิดค่าเฝ้ากุฏิครับ (หัวเราะ) ไม่ได้ขโมยค่าเฝ้ากุฏิ เออมีมึงคนเดียวล่ะที่กล้าพูดอย่างนี้ แล้วเสร็จแล้วท่านก็บอกว่าให้ เจ้าอั๋น ลูกศิษย์ที่จะขึ้นชกมวย เจ้าอั๋นเวลาขึ้นชกมวยใช้ชื่อนิตย์ ท่านก็เอาก้านไม้ขีดก้านธูปอะไรนั่นล่ะ จิ้มแล้วเจิมหัวให้มันไป ไปชกชนะน็อคเขามายกสาม ถามมันบอกตอนชกรู้สึกยังไง มันบอกว่าเวลาคู่ต่อสู้เตะมาต่อยมาโดนน่ะโดนจัง ๆ แต่รู้สึกว่ามันเบาเหมือนไม่มีน้ำหนัก
              โบราณท่านถึงได้เรียกน้ำมันชาตรีว่า ลูกเบา โดนอะไรมันเบาไปหมด ไม่เบาได้ยังไงล่ะ ฟูลเมตัลเเจ๊คเก๊ตนะ หัวตันน่ะความเร็ว ๙๕๐ ฟูตต่อวินาที นี่แรงปะทะของมันนี่นักมวยปล้ำตีลังกาแล้วโยมผู้หญิงผอม ๆ แห้ง ๆ โดนเข้าไปเต็มเอวแบนเเต๋ติดอยู่อย่างกับประเภทเอาดินเหนียวไปแปะเลยล่ะ นั่นล่ะเขาบอกมันรู้สึกเหมือนยังกะแมงมันบินมาชน เราก็ขอดูแผลมันแดง ๆ หน่อยเดียวเอง เหมือนยังกับเราเอาอะไรไปขว้างแรง ๆ ใส่หน่อยแค่นั้นน่ะ หนังมันเป็นสีแดง ๆ
      ถาม :  อันนี้นี่คือทาไว้ก่อนหรือว่า ?
      ตอบ :  เขาบอกว่าเขากินวันละช้อน (หัวเราะ) หรืออาจจะเอาอย่าง พี่อาจินต์ ก็ได้ พี่อาจินต์เขากินวันละแก้ว พักเดียวอ้วนปี๋เลย ใครเห็นรูปเก่า ๆ หลวงพี่อาจินต์ แหม....หนุ่มน้อยเอวบาง เล่นน้ำมันชาตรีวันละเเก้วพักเดียวล่ะ ตันตึ๊กเลย
      ถาม :  แล้วเวลาเติมนี่ต้องใช้น้ำมันอะไร ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วใช้ น้ำมันมะพร้าว ก็ได้ น้ำมันพืชก็ได้อะไรก็ได้ แต่ว่านิยม น้ำมันงา เพราะกลิ่นมันหอม ใช้น้ำมันชาตรีเติมลงไปในน้ำมันใหม่อย่าเอาของใหม่เททับของเก่า ถ้าของใหม่เททับของเก่าของเก่าจะเสื่อมไปด้วย ให้เอาของเก่าเทใส่ของใหม่ ไม่ต้องว่าคาถงคาถาอะไรทั้งนั้นล่ะเทลงไปเฉย ๆ ด้วยความเคารพก็พอ
      ถาม :  หลวงพ่อค่ะทำไมน้ำมันงาแพงจังค่ะ ?
      ตอบ :  ก็มันอาจจะเป็นเพราะคนใช้น้อย เขาผลิตน้อยมันก็ต้องขายแพงหน่อยไม่งั้นมันไม่คุ้มต้นทุนเขาน่ะ
      ถาม :  แล้วจะใช้....?
      ตอบจะกินจะทาอะไรก็ได้ แต่ว่าถ้ารักษาโรคลองเอาแตะเนื้อดูก่อน ถ้าหากว่าร้อนรักษาโรคไม่หาย แต่ถ้าหากว่าปกติหรือหากว่าเย็นโรคอะไรก็รักษาได้
      ถาม :  เฉพาะคนเหรอค่ะหลวงพ่อ ?
      ตอบ :  ถ้ารักษาสัตว์นี่เราไม่รู้จะลองยังไง มันบอกว่าเย็นได้มั้ยล่ะ ถ้ามันบอกได้ก็เอา น้ำมันชาตรีเป็นวิชาการที่ทำยากที่สุดตามสายของหลวงพ่อ ต้องรอพระท่านอนุญาตเท่านั้นถึงจะทำได้ ไม่งั้นต่อให้คุณได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ อะไรก็ไม่ได้ทั้งสิ้น หลวงพ่อท่านบอกว่าในชีวิตท่านเห็นแค่ ๒ องค์ที่ทำได้คือ หลวงปู่ปาน กับ อาจารย์โภคา ลืมถามท่านไปว่าอาจารย์โภคาอยู่วัดไหนหรือว่าเป็นฆราวาสที่ไหน
              สมัยที่เคยได้ยินคำว่าน้ำมันชาตรีครั้งแรกก็ได้ยินจาก ครูเขตร นั้นล่ะ เพราะท่านสอนวิธีตั้งธาตุ ปลุกธาตุ เรียกธาตุเข้าตัวอะไรเสร็จ สอนวิชาเสร็จท่านบอกว่าเสียดายวิชาการปลุกน้ำมันชาตรีท่านทำไม่สำเร็จ ท่านบอกว่าถ้าทำสำเร็จนี่เราจะสร้างแชมป์เปี้ยนโลกกี่คนก็ได้ แล้วเสร็จแล้วพอพระท่านอนุญาตให้ทำหลวงพ่อก็สั่งโรงงานเลย ผลิตมา ๓๐๐ ปี๊บ เข้าพิธีรวดเดียว ๓๐๐ ปี๊บ เพราะฉะนั้นออริจินอลอย่างน้อยก็มี ๓๐๐ ปี๊บ แต่ว่าจริงแล้วมันเติมเท่าไหร่ก็ได้ แล้วท่านก็บอกว่าในชีวิตของข้า หลวงปู่ปานท่านทำได้ ๒ ครั้ง ตัวข้าเองอาจจะทำได้ครั้งเดียวเท่านั้น เพราะว่าต้องรอพระท่านอนุญาต ปรากฏว่าท่านทำได้ครั้งเดียวจริง ๆ ไม่ทันจะทำใหม่ก็มรณภาพซะเสียก่อน
              น้ำมันชาตรีไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร ชาตรีมันก็เหนือกว่าอื่นใด ขืนไปบอกมันว่าชาตรีใช้ได้ขนาดนั้นรับรองมันตีเขากระจายหมดไม่ต้องกลัวใคร หลวงพ่อท่านถึงได้เน้นไปทางรักษาโรค รู้แล้วอย่าเอ็ดไป (หัวเราะ) ไม่งั้นเดียวมันไม่หามามั่ง ต่างคนต่างต่อยครบ ๆ ยกเหนื่อยลิ้นห้อยมันไม่มีใครแพ้ใครชนะ
      ถาม :  ของทุกอย่างมันมั่นใจกับตัวของผู้ใช้ด้วยหรือเปล่า ?
      ตอบ :  อันนั้นมีส่วน เรื่องของน้ำมันชาตรีนี่มันประเภทที่เรียกว่านอกเหตุเหนือผลคือถ้าคุณใช้อานุภาพก็มี
      ถาม :  แล้ววัตถุมงคลด้วยรึเปล่าค่ะ ?
      ตอบวัตถุมงคลนี่สำคัญอยู่ที่กำลังใจ ถ้ากำลังใจเปิดรับมากเท่าไหร่มีผลมากเท่านั้น แต่ว่าน้ำมันชาตรีนี่ ประเภทที่เรียกว่าคำว่าชาตรีนี่คงตั้งใจสงเคราะห์โดยตรงละมั้ง หลวงพ่อท่านบอกว่าก่อนหน้านี้ ท่านเสกของเสกอะไรก็มีชาตรีเหมือนกันแต่ซุก ๆ อยู่ข้างใน นี่คราวนี้ว่าตั้งแต่ยุคนั้นมานี่ชาตรีนำหน้า เตรียมไว้ให้ตีกับชาวบ้าน
      ถาม :  เรื่องที่ว่าเปิดรับนี่หมายความว่า...?
      ตอบ :  คือ จิตใจของเราเคารพ มีการอาราธนาเป็นปกติ เป็นสมัยของเรานี่ไม่ต้องเสียเวลาเสกน่ะ ถึงเวลาก็กรอกเติมไปเรื่อย ตอนนี้ที่ วัดท่าขนุน นี่ ท่านเอ ทำแจกเลย เป็นไงจ๊ะยังมาโชว์ปานแดงอยู่อีกไม่ดีขึ้นใช่มั้ย ? มันเหมือนกับรอยสักสวยดี เขาเป็นทั้งตัวเขาบอกว่ารักษาแต่หน้าสวยไว้ก่อน นางขุชชุตรา เป็นคนหลังค่อมเพราะว่าไปทำท่าหลังโก่งเลียนแบบพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ท่านหลังค่อมของเราอาจจะไปหัวเราะเยาะพระที่ท่านเป็นขี้กลากล่ะมั้ง ?
      ถาม :  แล้วถ้าเกิดว่าบางทีเราก็มีอาการคุยกับเพื่อนว่าท่านอ้วนท่านหลังโก่ง ?
      ตอบ :  อันนั้นคุยไม่เป็นไร แต่คราวนี้นางขุชชตรา เพื่อนเขาถามว่าพระคุณเจ้าของเราน่ะรูปร่างเป็นยังไง เพราะว่าพวกสาวสรรกำนัลในนี่กว่าจะได้พบผู้ชายยากเต็มที ขนาดจะฟังเทศน์นี่เขายังกั้นม่านเจ็ดชั้นน่ะ คราวนี้นางขุชชตราเป็นผู้หญิงหลังค่อมคนก็ถือว่า เออ.. ยังไง ๆ ก็ไม่สวยไม่งามก็ให้ออกไปจัดการน้ำใช้น้ำฉันอะไรได้ท่านก็มีโอกาสได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วก็เอาหม้อมาใบหนึ่ง เอาผ้ามาห่มเอาหม้อซ่อนไว้ในข้างในผ้าทำท่าเหมือนกับถือบาตรแล้วก็ทำท่าก้มหลังโก่งเดินให้ดู ลักษณะทำท่าล้อเลียนแค่นั้นเองโดยไม่ได้เจตนาร้าย เกิดเป็นคนหลังค่อม ๕๐๐ ชาติ
      ถาม :  แล้วอย่างนั้น ถ้าเกิดว่าเขารู้ตัวก่อนจะตายแล้วก็....?
      ตอบ :  ขอขมาซะก่อน ขอขมาก็แล้วไป ก็ไม่ได้ขอขมานี่น่ะ
      ถาม :  แล้วสมัยปัจจุบันนี่พระปัจเจกพุทธเจ้านี่ไม่มีใช่มั้ย ?
      ตอบ :  ไม่มีจ๊ะ พระปัจเจกพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นก็ในยุคที่โลกว่างจากพระพุทธเจ้าเท่านั้นแล้วไม่ได้เกิดขึ้นทีละองค์แบบพระพุทธเจ้าทั่วไป เกิดขึ้นทีหนึ่งเป็นหลาย ๆ ร้อย ๆ หลาย ๆ พันบางทีก็เป็นแสน พระปัจเจกพุทธเจ้าจะสร้างบารมีมาอย่างน้อย ๒ อสงไขยแสนมหากัป คือในระดับเดียวกับพระอัครสาวก แต่ว่าท่านจะเป็นผู้ที่ต้องการจะตรัสรู้ทุกอย่าง เพียงแต่ไม่ต้องการจะเป็นครูสอนใครก็เลยใช้คำว่าปัจเจกะ (ไม่ชัด )...เป็นช่วงที่โลกว่างจากศาสนาเท่านั้น
              ประวัติของพระเถรีก็คือภิกษุณีผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่ มีอยู่องค์หนึ่งก็คือ นางอุบลวรรณเถรี จะเป็น อัครสาวิกาเบื้องซ้ายผู้เลิศไปด้วยฤทธิ์ นางอุบลวรรณาเถรีในชาติหนึ่งท่านเคยมีลูกเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๑ องค์ แล้วมีโอกาสได้ทำบุญกับลูกด้วยดอกบัว เกิดมาชาติใหม่จะเดินไปไหนก็ตาม แผ่นดินจะมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับ อานุภาพบุญ
              แล้วถามว่าทำไมมีลูกเยอะอย่างนั้น ปรากฏว่าท่านตั้งท้องคนเดียว แต่ตอนคลอดลูกบอกว่าเหงื่อกาฬมันไหลท่วมตัวแล้วเม็ดเหงื่อมันกลายเป็นเด็กไปหมด มันเป็นเรื่องของบุญจริง ๆ ท่านจะมาเกิดน่ะ แต่รุมลงมาในท้องทีเดียวมันไม่ไหว อาศัยเกาะก็ยังดี เสร็จแล้วก็เลยกลายเป็นว่าเม็ดเหงื่อกลายเป็นเด็ก ๆ ๕๐๐ คน แล้วก็ลูกที่จริง ๆ อีกคนหนึ่ง
              ปรากฏว่าทั้งหมดกลายเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าหมด พอบรรลุมรรคผลก็มาโปรดแม่ แม่ก็ได้ทำบุญด้วย เพียงแต่ว่าแม่ไม่ได้เข้าถึงมรรคถึงผล เพราะอาจจะประเภทที่ตั้งความปรารถนาจะเป็นอัครสาวิกาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็ได้ แต่ว่าพอเกิดมาชาติใหม่ท่านก็กลายเป็นอัครสาวิกาที่เลิศไปด้วยฤทธิ์
      ถาม :  แล้วพระรามของพระพุทธเจ้านี่เป็น...?
      ตอบ :  พระรามของพระพุทธเจ้า.... ราโมจะ รามสัมพุทธเจ้า ก็รอเวลาตรัสรู้สิจ๊ะ ไม่ต้องห่วงหรอกยุคของเรานี่ล่ะ ถ้าหากว่าคนยอมรับกฏของกรรมมากกว่านี้หน่อยเดียวเท่านั้นเอง พวกอภิญญานี่จะปรากฏออกอีกเยอะเลย เพราะอภิญญานี่สามารถทำอะไรก็ได้เกินกว่าคนทั่ว ๆ ไปมาก ถ้าหากว่าไม่ยอมรับกฏของกรรมนี่มันทำเขาวุ่นหมด ก็เลยรออยู่นิดเดียวว่าถ้าหากกำลังใจยอมรับกฏของกรรมเมื่อไหร่ กำลังอภิญญาก็ขึ้นมาใช้ได้เต็มที่
              สมัยเด็ก ๆ มี หลวงพ่อยี อยู่ วัดดงตาก้อนทอง ที่ พิษณุโลก นั่นไม่ได้ยึดอย่างเดียวนั่นสารพัดที่จะทำได้เลย คนไปฟ้องร้องจะปรับปาราชิกท่าน ปาราชิกขาดความเป็นพระนี่ต้องบอกอุตริที่ไม่มีมนุษธรรมในตน คราวนี้ของท่าน ๆ ทำได้นี่ก็เดือดร้อน จนกระทั่ง พันเอก ปิ่น มุทุกัณฑ์ ที่เป็นอธิบดีกรมศาสนาตอนช่วงนั้นเดินทางไปดูด้วยตัวเองแล้วก็กลับมาเขียนรายงานว่าท่านทำได้จริงปรับท่านไม่ได้ พันเอกปิ่น มุทุกัณฑ์นี่ท่านรู้จริงเพราะท่านศึกษาพวกนี้มาลึกซึ้งมากตัวเองเคยบวชด้วย
      ถาม :  ท่านทำอะไรได้บ้าง ?
      ตอบ :  สารพัดอภิญญาเลย ประเภทบิณฑบาตข้าวเทวดามาเลี้ยงลูกศิษย์ก็มี ชาวบ้านคนไหนสงสัยไปเอามาให้กินซึ่ง ๆ หน้า บางทีก็มีสมบัติใต้ดินมีอะไรอยู่ตรงไหนท่านก็ประเภทก็ไปล้อมสายสิญจน์วง ๆ ไว้แล้วก็ขุดขึ้นมาหน้าตาเฉยเลย ที่เขาว่าเอาเหรียญบาทมาดึงปื้ดยึดออกมายังกับประเภทยืดหมากฝรั่งอย่างนั้น เป็นโลหะแท้ นั่นจริง ๆ ก็แค่กสิณน้ำ แต่ว่าคนที่ทำไม่ได้จะเห็นเป็นเรื่องประเภทที่เรียกว่ายังไงล่ะ.... ตื่นเต้นก็มีมากต่อมากด้วยกันที่หาว่าท่านเล่นกลหลอกเขา ก็เลยไปกล่าวหาว่าท่านอวดฤทธิ์อวดเดชจะปรับปาราชิกเรื่องของการเล่นฤทธิ์เล่นเดชอะไรจริง ๆ นี่พระพุทธเจ้าท่านก็สั่งห้ามอยู่แล้ว เพราะว่าไม่อย่างนั้นศาสนาจะตั้งอยู่ไม่ได้ เหตุที่ศาสนาตั้งอยู่ไม่ได้เพราะว่าพระไม่ได้มีอภิญญาหมวดเดียว ยังมีพระสุกขวิปัสโก พระวิชชาสาม พระอะไร
              คนเราโดยธรรมชาติมันชอบบุคคลที่มีความสามารถพิเศษเหนือกว่าคนอื่นเขา ในเมื่อชอบลักษณะนั้นพอมีใครเล่นฤทธิ์เล่นอภิญญาให้ดูมันจะแห่ไปที่เดียว แล้วก็จะไปทำบุญอยู่ที่เดียว ที่เหลือก็อดตายแหงแก๋แล้วศาสนาจะอยู่ได้ยังไง ? ท่านถึงได้ต้องห้าม บางคนอาจจะคิดว่าพระพุทธเจ้าห้ามทำไม พระทำได้น่าจะปล่อยให้ลุยไปเลย ถ้าขืนปล่อยให้ลุยไปเลยศาสนาไม่น่าจะอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีหรอก