ถาม :  .............................
      ตอบ :  อ้าว ! หลวงปู่ปลื้มไปซะแล้วสิ มรณภาพนานหรือยัง ?
      ถาม :  เมื่อสัปดาห์กว่า ๆ นี่เอง ?
      ตอบ หลวงปุ่ปลื้ม วัดสวนหงส์ มรณภาพไปอีกองค์แล้ว พระดี ๆ ท่านจะเลือกจังหวะที่ประเทศชาติแย่ ๆ ก็ไปซะเพื่อตัดเคราะห์กรรมเพราะฉะนั้นเรื่องที่ควรจะเกิดก็เลื่อนไปหน่อยหนึ่ง เดี๋ยวถ้าพ้นวาระก็ไม่ต้องเกิดเลย รู้จักหลวงปู่ปลื้ม สัดสวนหงส์ บางปลาม้า สุพรรณมั้ย ? พวกเรานี่ไม่ค่อยสรรหาก็เลยไม่ค่อยได้เจอ ขณะเดียวกันเวลาสรรหา ก็ไปสรรหาไปเจออะไรก็ไม่รู้ วิชาที่หลวงพ่อสอนเอาไว้โดยเฉพาะมโนมยิทธิน่ะเรื่องหาพระดีนี่เรื่องหมู ๆ เลย หลวงปู่ปลื้ม วัดสวนหงส์ คนสุพรรณวิ่งไปหา หลวงพ่อคูณ โคราช โน่น หลวงพ่อคูณก็ถามพวกมึงมาจากไหนกันล่ะลูก ? มาจากสุพรรณเจ้าค่ะ อำเภอไหนหว่า ? บางปลาม้าเจ้าค่ะ แล้วมึงจะมาทำไม....หลวงปู่ปลื้มเก่งกว่ากูอีก (หัวเราะ) ขนาดหลวงพ่อคูณบอกเลยนะ หลวงปู่ปลื้มอยู่ใกล้ ๆ เก่งกว่ากูอีก
              ก็แบบเดียวกับอะไร.... พวกจากตาคลี พวกจากตาคลีขึ้นไปกราบ หลวงปู่แหวน หลวงปู่แหวนถามว่ามาจากไหนกันล่ะลูก ? มาจากตาคลี นครสวรรค์ โห... แล้วมาทำไมอาจารย์ฉันอยู่ตาคลีนั่นล่ะ ถามว่าใครเจ้าค่ะ ? หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำ บูนนาค ไม่รู้จัก (หัวเราะ) บางคนก็ไปต่อว่าหลวงปู่สีไม่ค่อยจะทำอะไรให้เลยครับ ว่างั้น เอาของไปเสกก็มือแปะ ๆ สามทีเท่านั้นเอง (หัวเราะ) หลวงปู่แหวนบอกว่าท่านเอามือแปะสามทีดีกว่าข้าเสกสามเดือนอีก (หัวเราะ) พระที่กำลังใจท่านทรงตัวอยู่นี่พลังงานมันส่งออกตลอดเวลาอยู่แล้ว แปะสามทีดีกว่าเสกสามเดือนอีก
              นี่ถ้าเป็นอาตมานี่ดีกว่าอาตมาเสกสามสิบปียังสู้ไม่ได้เลย นั่นล่ะคือไม่ค่อยจะรู้จักกันไง เพราะว่าพระดีนี่ท่านจะไม่ได้ประกาศตัวว่าได้อะไร แล้วทำตัวซะยิ่งกว่าธรรมดา เข้าหาง่ายอะไรง่ายไปหมดจนกระทั่งคนเขาชักจะไม่เชื่อว่า เอ๊ะ ! จะดีจริงหรือเปล่า ? คิดว่าพวกดีจริงจะต้องมีประเภทคนคอยกีดคอยกันให้อยากเข้าไป
      ถาม :  เมื่อก่อน โบราณเขาบอกว่ารัชกาลที่ ๑๐ นี่ไม่มี ?
      ตอบ :  ไม่มีได้ไง เยอะแยะไป ถ้าไม่ตายซะก่อนเดี๋ยวก็ได้รู้ รับประกัน ราชวงศ์จักรีอายุยาวมากเป็นร้อย ๆ รัชกาลล่ะคราวนี้ ต่อไปในภายภาคหน้าพวกประเทศต่าง ๆ ที่มีกษัตริย์อยู่เห็นว่าระบบกษัตริย์แบบไทยดี ช่วยให้ประเทศชาติร่มเย็นประชาชนเป็นสุข ก็พยายามจะฟื้นระบบกษัตริย์ของตัวเองคืนมา ประเทศที่ไม่มีเห็นว่าดีบางทีอยากจะมีบ้าง ก็อาจจะมีการตั้งราชวงศ์กันขึ้นมา
              ถ้าหากว่าใครเกิดใหม่ก็ตามดู ต่อไประบบกษัตริย์จะปกครองเยอะมาก พื้นฐานใหญ่ก็ รัชกาลที่ ๙ นี่ล่ะ กลายเป็นคนของโลกไปแล้ว เจอฝรั่งเดนมาร์กคนหนึ่งห้อยเหรียญในหลวง บอกเฮ้ย ! ยูเอาคิงของไอไปห้อยได้ยังไง ? เขาบอกว่าเราใจคับแคบ ในหลวงเป็นคนของโลกไม่ใช่คนของคนไทย เขาย่อมมีสิทธิ์ เขาว่าอย่างนั้น อ๋อ ... มันว่าเราเสียหมาเลย (หัวเราะ) เราก็ปากเสียเจอฝรั่งความคิดเค้าอิสระดี เขาเห็นว่าอะไรดีอะไรเหมาะสมเขารับไว้เลย เขาไม่มีการมาดัดจริตกัน เห็นว่าสมควรก็เอาแล้ว เขาเห็นว่าพระมหากษัตริย์ไทยของดีเขาก็เก็บไว้เป็นที่ระลึก เอาเหรียญไปเลี่ยมห้อยคอเฉยเลย เหรียญที่เราใช้ซื้อของกันนี่ล่ะ ก็ไม่ได้เลือกที่ดีที่เด่นอะไรอย่างของเรา อาตมาอุตสาห์หาเหรียญพระมหาชนกมาให้ ของเขาเขาไม่หาหรอก แสดงว่ากำลังใจมันเต็มกว่าเรา เอาเหรียญบาทเลี่ยมใส่คอ ทุกประเทศพูดถึงในหลวงก็มีแต่ชื่นชม
              จนกระทั่งบางประเทศบอกว่า ถ้าหากว่าคนไทยทำงานให้ได้ครึ่งหนึ่งของในหลวงนี่รับรองว่าไม่มีประเทศไหนในโลกสู้ได้ แต่ญี่ปุ่นนี่แสบที่สุด ญี่ปุ่นมันบอกว่าคนไทยนอกจากในหลวงแล้วมันโกงทั้งนั้นล่ะ (หัวเราะ) เหมารวมพระไปด้วย (หัวเราะ) คำว่าโกงของเขา เขาใช้คำว่าคอร์รัปชั่น คอร์รัปชั่นนี่ฟังดูแล้วมันเบา คำว่าโกงแรงหน่อย นอกจากในหลวงแล้วคอร์รัปชั่นทั้งนั้น เล่นเหมาหมดทุกวงการเลย
              อย่างน้อย ๆ ของเราถ้าเอาตั้งแต่ราชวงศ์จักรีมาเราก็มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรมเป็นพระมหากษัตริย์ที่เหมาะกับยุคสมัยตลอดมา ตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ ๑ ยังมีศึกเสือเหนือใต้อยู่เป็นปกติต้องรบทัพจับศึกอยู่เป็นปกติ เราก็มีรัชกาลที่ ๑ ที่เข้มแข็งเก่งกล้าในการรบ พอมาถึงรัชกาลที่ ๒ แผ่นดินเริ่มสงบลง ของท่านเองท่านก็มาทางด้านศิลปวัฒนธรรม วรรณคดี ดนตรีการ จนขนาดฝากฝีมือเอาไว้ที่ปานประตูวัดสุทัศน์ โอ้โห... แกะสลักลายนี่ประเภทที่พูดง่าย ๆ ว่าแทบจะหลุดจะบินออกมาจากข้างในได้เลย
              พอมาถึง รัชกาลที่ ๓ พวกฝรั่งต่างชาติเข้ามาเยอะ ท่านเองท่านมองการณ์ไกล ค้าขายกับต่างประเทศถึงขนาดมีกองเรือพาณิชย์ของตัวเอง ค้าขายกับจีนหาเงินเข้าท้องพระคลังเอาไว้ถ้าหากว่ารัชกาลที่ ๔ ขึ้นครองราชย์จะได้มีเงินส่วนนี้เอาไว้กอบกู้ประเทศชาติเวลาที่ฝรั่งยุโรปมาเบียดเบียน
              พอ รัชกาลที่ ๔ เข้ามา พวกฝรั่งเยอะแล้วนี่ แล้วรัชกาลที่ ๔ เก่งภาษาอังกฤษมากเลยเก่งอย่างชนิดที่ฝรั่งเขาทึ่ง เขาบอกว่านึกไม่ถึงว่าคนที่อยู่ไกลขนาดนี้จะใช้ภาษาได้ดีขนาดนี้ แล้วก็ยังมีการเอาพวกข้าราชการฝรั่งอะไรต่าง ๆ มารับราชการสำรวจทำแผนที่บอกเขตประเทศให้ชัดเจน บังเอิญว่ายังทำไม่สำเร็จ พอมา รัชการที่ ๕ นี่พวกบรรดาอังกฤษ ฝรั่งเศสก็แย่งกันครอบครองดินแดน เราก็มีพระมหากษัตริย์ที่เปรื่องปราชญ์ปรีชาสามารถ สามารถตัดสินใจยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนมากได้ มีการเลิกทาส มีการนำความเจริญสมัยใหม่มา ไม่ว่าจะเป็นโทรเลข โทรศัพท์ การไฟฟ้า รถไฟ อะไรพวกนี้
              มาถึง รัชกาลที่ ๖ สมัยนี้แผ่นดินจนหน่อย เพราะว่ารัชกาลที่ ๕ ทุ่มเทเพื่อแผ่นดินมาก รัชกาลที่ ๖ ก็จะมีการดุลข้าราชกาล คือว่าปรับสมดุล สมัยนี้ก็เหมือนกับเลย์เอ้าท์ให้ออกเพื่อให้ส่วนที่เหลืออยู่สามารถทำงานได้ พระองค์ท่านก็เปรื่องปราชญ์ถือเป็นนักปราชญ์เอกเลย แต่งหนังสือหนังหาเอาไว้เยอะมาก พอมาถึง รัชกาลที่ ๗ นี่ยุคสมัยของประชาธิปไตรโดยท่านเองท่านตั้งใจจะให้นานอยู่แล้วแต่คณะราษฏร์ใจร้อนไปหน่อย รีบเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าแปลงดินไปเลย ท่านก็ไม่ได้หวงราชอำนาจอะไร วินิจฉัยได้ถูกต้องซะด้วยซ้ำไปว่าท่านมอบพระราชอำนาจให้ประชาชนทั้งประเทศไม่ได้ให้แก่หมู่คณะใดขณะหนึ่ง
              มาถึงรัชกาลที่ ๘ ช่วงสงครามโลกพอดี เราก็มีพระราชาที่เรียกว่าเป็นหนุ่มน้อยน่ารักใครเห็นก็รักใครเห็นก็ชม พระองค์ท่านสามารถวางพระองค์ได้ถูกต้องกับเหตุการณ์ได้หมดจนคนเขาทึ่ง ครองราชย์ตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ทำไมถึงทำได้ดีขนาดนี้ อันนี้ต้องยกเครดิตทั้งหมดให้กับสมเด็จย่า สมเด็จย่าอบรมมา พอมาถึงรัชกาลที่ ๙ นี่อายุท่านยืนยาวกว่า ท่านต้องทำงานเหมือนกับทำงานสองรัชกาลเลย พี่สวรรคตตั้งแต่อายุยังน้อยอยู่ น้องขึ้นครองราชย์เท่ากับว่าทำงานยาวมาถึงปัจจุบันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่เหมือนยังกับว่ามันเป็นไปตามวาระ ตามเวลาถึงกรรมจะมีแต่บุญก็แรงอยู่ เราก็เลยมีพระมหากษัตริย์มีผู้นำที่พูดง่าย ๆ ว่าเหมาะสมกับยุคสมัยตลอดมา เพราะฉะนั้นรัชกาลที่ ๑๐ ก็ต้องเหมาะสม
      ถาม :  จะเป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย ?
      ตอบ :  เขาว่าอะไรน่ะ โบราณคำทำนายของ สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ สมัยอยุธยาว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์ รัชกาลที่ ๑ กับสมเด็จพระเจ้าตากสิน พอรัชกาลที่ ๒ ก็รู้จักธรรม ไม่รู้จักธรรมได้ไงบูรณะวัดไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ขนาดสร้างวัดสุทัศน์แกะสลักบานประตูเอง รัชกาลที่ ๓ จำต้องคิด ไม่คิดก็ไม่ได้ฝรั่งมันล่าเมืองขึ้นอยู่
              รัชกาลที่ ๔สนิทธรรม บวชเองตั้งยี่สิบกว่าพรรษา กำเนิดธรรมยุติด้วย รัชกาลที่ ๕ จำแขนขาด ต้องเสียแผ่นดินบางส่วนเพื่อรักษาประเทศเอาไว้ รักษาความเป็นเอกราชเอาไว้ รอบข้างของเรากลายเป็นทาสของฝรั่งเศสกับอังกฤษแต่ประเทศไทยอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ รัชกาลที่ ๖ ราษฏร์ราชาจน จนพอกันเงินหมดพระคลัง
              รัชกาลที่ ๗ นั่งทนทุกข์ ปฏิวัติต้องระเห็จไปอยู่ต่างประเทศแล้วก็สิ้นพระชนม์ต่างประเทศด้วย รัชกาลที่ ๘ ยุคทมิฬ ยุคสงครามโลกนับอีกทีก็พระมหากษัตริย์โดนปลงพระชนม์ด้วย รัชกาลที่ ๙ นี่ ถิ่นกาขาว โดดเด่นไม่เหมือนใคร เขาเป็นคอมมิวนิสต์ก็ไม่เป็นกับเขา เศรษฐกิจล่มประเทศอื่นจะเป็นจะตายคนไทยก็เชื่อในหลวงอย่างเดียว
              รัชกาลที่ ๑๐ นี่ชาววิไล ถึงเวลาสบายซะที เพราะรัชกาลที่ ๙ วางพื้นฐานเอาไว้ดีแล้ว พอรัชกาลที่ ๑๑ ก็ ไทยมหารัฐ เริ่มมีอำนาจขึ้นมารอบข้างเราต้องพึ่งพา พอรัชกาลที่ ๑๒ จักรพรรดิราช ถึงเวลาประเทศอื่น ๆ เขาปกครองด้วยระบบพระมหากษัตริย์ก็ต้องลอกเลียนแบบของเราไป ก็เท่ากับว่ามาจากของเรานั่นเอง ว่าไปเรื่อยเดี๋ยวครบ ๑๕๐ รัชกาลแล้ว จะยุ่ง
      ถาม :  ...........................................
      ตอบ :  บอกว่าอยู่เป็นพันปี ตอนนี้เพิ่ง ๒๒๐ ปี เมื่อวานมีใครไป วัดพระแก้ว มั่งมั้ย ? ประสาทพระเทพบิตร เปิด พระบรมรูปทั้ง ๘ รัชกาลก็อยุ่ที่นั่น พระบรมอัฐิก็อยู่ที่นั่น ถ้ามีโอกาสก็ไปกราบไหว้ให้เป็นสิริมงคลแก่ตัวบ้าง พวกเรานาน ๆ ไปนี่จิตสำนึกเกี่ยวกับชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์มันจาง ๆ ลง ต้องไปดูจะได้รู้ว่าบรรพบุรุษของเราน่ะทำมาอย่างไร ? ปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ? ประเทศชาติบ้านเมืองทุกตารางนิ้วสละเลือดทาแผ่นดินเอาไว้เขาว่าอะไร ..ดาบไทยหลายแสนเล่มตกอยู่เต็มปฐพี
      ถาม :  ................................................
      ตอบ :  ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่นา รู้สึกก็คือรู้สึกเราอาจจะเคยบวชมาจนนับชาติไม่ถ้วนแล้วก็ได้ แต่มันยังเอาดีไม่ได้ซักที ชาตินี้ว่าใหม่มันอีกซักรอบมั้ย เผื่อมันจะได้ดีมั่ง จำเอาไว้ว่าการบวช บวชส่งเดชแบบที่เห็นนั่น เขาว่าพวก อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารเสื่อม เอือมเจ้านาย คุณยายให้บวชแก้บน พวกนั้นช่างมันเหอะ บวชไปก็เลวระยำ แต่มันมีความสุขของมันคือกำลังใจเขาไม่รู้สึกว่าผิด แต่ขณะเดียวกันอย่างพวกเรานี่ เรารู้ว่าถ้าบวชไปแล้วรู้สึกว่าผิด แต่ขณะเดียวกันอย่างพวกเรานี่ เรารู้ว่าถ้าบวชไปแล้วไม่ดีจะได้รับโทษอย่างไร ? ทำดีจะมีคุณอย่างไร ? คราวนี้ตัวเกร็งเลย แต่ละวันกว่าจะผ่านไปได้อย่างกับเป็นปี จนกว่าคุณจะทำกำลังใจของคุณให้ลงได้กับศีล ชนิดที่เรียกว่าขยับไปไหนปุ๊บ สติสมาธิพร้อมว่าศีลจะขาดหรือไม่ขาด มันระวังตัวมันเองโดยอัตโนมัติ นั่นแหละถึงจะค่อยมีความสุขขึ้นมาหน่อยหนึ่ง
              เพราะฉะนั้นบวชพระไม่ใช่เรื่องง่าย เห็นพูดกันเยอะต่อเยอะแล้วบวชพระแล้วสบาย ๆ บวชทีไรมันสึกทุกที ถ้าสบายจริงมันสึกไปทำไม ที่ วัดท่าขนุน ตอนที่มีพวกระบบเสียงตามสายแล้ว ถึงเวลาเช้าตื่นขึ้นมาเปิดเทปธรรมะของหลวงพ่อนั่งกรรมฐานเสร็จก็สวดมนต์ทำวัตรกันต่อ คราวนี้พอเราเปิดระบบเสียงตามสายมันก็ดังเข้าไปตัวอำเภอด้วย ญาติโยมเขาชื่นชมกันมากเลย บางคนเขาขนาดออกปากเลยว่า ทำกันได้อย่างไร ตีสามตีสี่ลุกขึ้นมาสวดมนต์ทำวัตรนั่งกรรมฐานกันแล้ว มันต้องแหวกกิเลสกันขึ้นมาเชียวนะ (หัวเราะ) เขาใช้คำพูดอย่างนั้น รู้สึกชาวบ้านเขาชื่นชมมาก พระทำได้
              ตอนนี้มาตฐานสูงเสียแล้วสิ ชาวบ้านเขาให้เครดิตมากเลยยิ่งต้องระวังมาก เขาใช้คำว่าแหวกกิเลสขึ้นมาเลยนะ เป็นไงแหวกไหวมั้ย ? นอนเพลินเห็นหลวงตาบัว ท่านบอกเหมือนกับ หมูพาดเขียง หมูมาถึงเห็นขอบไม้เขียงที่เขาไว้สับหมูนั่นแหละมาถึง เออ... น่านอน ก็นอนอิงสบายใจเฉิบ ไม่รู้หรอกมีดมันจะมาเมื่อไหร่
      ถาม :  ตอนนี้มันเหมือนรอวันตายอย่างเดียวเจ้าค่ะ ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว ?
      ตอบ :  จ้ะ ไม่เป็นไรจ้ะไม่เกิน ๑๐๘ ปีจ้ะ อาจจะ ๑๐๗ ปี ๑๑ เดือน ๒๙ วัน
      ถาม :  ตายก็ตายไปเลย เบื่อ ...?
      ตอบ :  ถ้าอย่างนั้นต้องขยัน ถ้าเราขยันพิจารณาเป็นพระอรหันต์เมื่อไหร่มันตายเลยไม่ต้องเสียเวลามาเบื่อ เพราะฉะนั้นต้องขยัน ขี้เกียจไม่ได้ ถ้าขี้เกียจมันไม่ตายหรอกมันอยู่ไปเรื่อย ๆ อย่างนี้แหละ
      ถาม :  มันนั่งแป๊บ ๆ เดี๋ยวนี้นั่งแล้วไอ ไปวัดนั่งแป๊บเดียว ?
      ตอบ :  นอนซิ ไม่ต้องนั่ง
      ถาม :  นอนก็หลับ ?
      ตอบ :  (หัวเราะ)
      ถาม :  มันจะมีอะไรที่เรารู้ว่าเป็นอะไรแบบนี้เดี๋ยวนี้ไม่รู้เลย มันลืมไปเลย ?
      ตอบ :  อ๋อ...แสดงว่าจิตมันหยาบขึ้น ถึงว่ายิ่งฝึกยิ่งถอยหลัง (หัวเราะ) เอาใหม่จ๊ะเอาใหม่ อะไรที่เคยได้แล้วมันไม่ยากย้อนทวนไปมันได้ แต่บังเอิญว่าเราทิ้งมันนาน คนที่ว่ายทวนน้ำแล้วพอทิ้ง น้ำมันพัดไปไกลลิบเลย คราวนี้มันท้อเลยต้องพยายามสู้ใหม่ ถ้าสู้นี่ได้แน่นอน รับรองเพราะว่าเคยประสบมาด้วยตัวเอง
              ตอนที่หัดปฏิบัติใหม่ ๆ เมื่อ ๒๗-๒๘ ปีก่อนนั้น เจ้าประคุณเถอะ ประภทหกล้มหกลุกวันหนึ่งเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ตอนบวชพระใหม่ ๆ ก็เหมือนกัน นึกอยากจะสึกวันหนึ่งเป็นร้อยครั้งเพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ทุกคนเคยเป็นมาก่อน แต่ว่าสิ่งต่าง ๆ ถ้าเคยทำได้แล้วมันไม่ยาก ถ้าย้อนทวนมันจะได้ใหม่ เพียงแต่ว่าแรก ๆ ต้องฝืนใจหน่อย ปล่อยทิ้งมานานสนิมมันขึ้น รีบ ๆ ขัดสนิมให้เยอะหน่อย
      ถาม :  จริง ๆ เราไม่ได้มีเจตนาจะละเมิดของเขา แต่ว่าเราวิสาสะหยิบมาแต่ใช้ร่วมกันอย่างนี้ ?
      ตอบ :  ของพระเขาก็วิสาสะได้ แต่คราวนี้ของพระ พระพุทธเจ้าอนุญาตให้วิสาสะ ท่านบอกต้องเคยรู้จักกันมา ต้องเคยได้เห็นกันมา ต้องเคยได้พูดกันมา และข้อสุดท้ายสำคัญที่สุด รู้ว่าถ้าเราทำดังนั้นแล้วเขาไม่ว่าอะไร เพราะฉะนั้นของฆราวาสนี่ผ่อนผันได้เยอะกว่าพระเยอะ เราอย่าไปเอามาเป็นของ ๆ เราก็แล้วกัน ถ้าของใช้ร่วมกันบางทีปากกาเพื่อนคว้ามาใช้ชั่วคราว วิสาสะอย่างนั้นไม่เป็นไรหรอก
      ถาม :  สมมุติว่า เราไปกินอาหารอะไรที่เราไม่รู้ว่าเขาผสมเหล้า หรือเปล่านี่ไม่แน่ใจ ?
      ตอบ :  ก็กินอย่างพระสิ พระก่อนกินเขาพิจารณาต้องคอยระวังอยู่ตลอดเวลา คือถ้าคิดว่าหากว่าไม่มีรสไม่มีกลิ่นก็แล้วไป ถ้าหากได้รสได้กลิ่นเมื่อไหร่หยุดทันที
      ถาม :  คนที่เขาฆ่าตัวตาย จะหยุดเมื่อไหร่ ?
      ตอบ :  จะหยุดเมื่อไหร่ ....เลิกฆ่าเมื่อไหร่ ก็หยุด (หัวเราะ)
      ถาม :  เขาบอกว่าอีก ๕๐๐ ชาติ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่พวกที่ฆ่าตัวตายจะมีประวัติฆ่าตัวตายของเขามาอยู่แล้ว มันไม่แน่หรอกว่าจะ ๕๐๐ มันอาจจะเป็นชาติที่ ๕๐๐ พอดีก็ได้
      ถาม :  ไม่ได้ทดไปเรื่อย ๆ ?
      ตอบ :  ไม่มีจ้ะ ไม่อย่างนั้นบวกเข้าไปตายชักเลย
      ถาม :  : แค่ ๕๐๐ ก็หยุด ?
      ตอบ :  อื้มม์ .. พอแล้ว เรื่องของธรรมเขาตรงไปตรงมา เป็นอย่างไงจะต้องลองฆ่าดูมั่ง จะได้เริ่มนับหนึ่ง วิธีแนะนำก็คือกินให้ครบสามมื้อเสร็จแล้วก็ทำงานทำการอะไรไป พยายามหายใจเข้าไว้อีกไม่เกินร้อยปีตายแน่เลย ลองฆ่าตัวตายวิธีนี้ดูมั่งมั้ย ? กินให้ครบสามมื้อ กินอาหารที่มีประโยชน์ด้วย รับรองไม่เกินร้อยปีตายแน่ ฆ่าตัวตายบางคนไม่ใช้ความต้องการของเขานะ
              มีพระอยู่องค์หนึ่ง ต้องเรียกพระโบราณหน่อย ไม่ใช่สมัยอาตมาหรอก ในสมัยนั้นเขามีส้วมหลุม รู้จักส้วมหลุมมั้ย ? เขาขุดลงไปเอาไม้พาด ๆ แล้วก็ไปนั่งถ่ายกัน แล้วก็จะมีล้อมข้างฝาเอาไว้หน่อยหนึ่ง อาจจะเป็นประเภทใบกล้วย ใบตาล ใบจากอะไรอย่างนั้น ข้างบนก็เปิดโล่งก็มี มีหลังคาก็มี
              ปรากฏว่าที่พระท่านถ่ายประเภทที่เรียกว่าเปิดโล่งเขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งปีนขึ้นต้นไม้ แล้วก็มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งตามไป คนที่ปีนนำหน้านั่น แกเอาผ้าสไบของตัวเองผูกกับกิ่งไม้แล้วก็คล้องคอตัวเอง แล้วผู้หญิงคนที่ปีนตามขึ้นไปน่ะกระโดดขึ้นไปบนบ่าแล้วก็ขย่มจะให้เขาตกลงไปตาย พระเห็นก็ร้องเอะอะขึ้นพอร้องเอะอะขึ้นผู้หญิงที่ปีนขึ้นไปขย่มมันหายไป เขาก็เลยโวยวายเสียจนลูกศิษย์แตกตื่นกันมาทั้งวัด ช่วยกันหาผู้หญิงคนนั้นลงมาข้างล่าง แล้วก็มาถามว่าขึ้นไปทำอะไร จะผูกคอตายรึ ? เขาบอกเขาไม่รู้ตัวหรอก เขารู้สึกว่ามีคนชวนไปเที่ยวงาน มันเป็นงาน รื่นเริงลักษณะเหมือนกับว่าเป็นงานบุญงานวัด งานสงกรานต์ตามต่างจังหวัดอย่างนั้น
              แล้วก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง เขาอธิบายหน้าตาให้ฟัง ก็คือผู้หญิงที่พระเห็นว่าปีนขึ้นไปขย่มไหล่เขานั่นแหละ ผู้หญิงคนนั้นเอาพวงมาลัยให้เขาพวงหนึ่ง บอกว่าให้คล้องคอเสียแล้วก็ไปสนุกด้วยกัน เขาเองเขารับพวงมาลัยมาแล้วแต่ว่าใจมันไม่อยากจะคล้อง คิดอยู่อย่างเดียวว่าถ้ามัวแต่สนุกเดี๋ยวกลับบ้านไม่ทันแม่จะด่า ผู้หญิงคนนั้นก็ยื้อจะใส่ให้ได้ ทีนี้ถ้าหากคล้องคอเมื่อไหร่เสร็จเขาเลย
              เพราะฉะนั้นลักษณะการฆ่าตัวตายนี่บางทีมันไม่ใช่ความต้องการของเขา เป็นช่วงที่อุปฆาตกรรมเข้ามาถึงพอดี อุปฆาตกรรม ฝ่ายอกุศลก็คือกรรมหนักที่เราได้ฆ่าคน ฆ่าสัตว์ใหญ่ในอดีตเอาไว้มันตามมาถึง ถึงวาระนั้น ถึงเวลานั้นบางสิ่งบางอย่าง ที่เขารอจังหวะอยู่เขาฉวยโอกาสสวมรอยเลย เพื่ออาศัยโอกาสนี้ ทำลายชีวิตของเราเสีย
              อีกรายหนึ่ง หลวงพ่อเล่าว่าอยู่ทางโน้น ทางสมุทรสาครนั่นน่ะ กำลังจักตอกเหลาตอกอยู่ เหลาไปเหลามาอยู่ ๆ แกก็ลุกพรวดพราดถือมีดเดินลงบันไดไป คราวนี้บ้านแกอยู่ริมน้ำ บันไดโผล่พ้นน้ำแค่สองสามขั้นเท่านั้นเองที่เหลือมันจมอยู่ในน้ำหมด แกก็เดินผลุบหายลงไปเลย ลูกหลานเขาคิดว่า เออ...ปู่ ตา ของตัวเองคงร้อนเต็มที่ก็ผ้าขาวม้า
              ปรากฏว่าหายไปนานเหมือนกันก็ร้องเอะอะขึ้นมาว่าเอ๊ะ ... ทำไมหายลงไปนานช่วยกันดำลงไปค้นปรากฏว่ากอดโคนเสาตีนบันไดอยู่ พอแงะขึ้นมาได้พยาบาลแกจนฟื้นขึ้นมาถามว่าลงไปทำอะไร ? เขาบอกว่ากำลังนั่งเหลาตอกอยู่มีคนมาท้าให้ลงไปสู้กัน เลยถือมีดลงไปสู้กันกำลังกอดปล้ำแทงกันอุตลุดเลย แล้วก็ไปลากแกขึ้นมา แต่ตอนที่ไปนั่งเห็นแกกำลังกอดตีนบันไดอยู่และก็จมอยู่ใต้น้ำ อีกสักพักคงหมดลม
              ดังนั้นว่าการฆ่าตัวตาย มันไม่ใช่ความต้องการของตัวเขาเอง อาจจะมีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่มาดลใจหรือมาอาศัยจังหวะที่กรรมมันเปิดเข้าพอดี ก็มาช่วยซ้ำช่วยสวมรอยให้ ที่โบราณเขาว่า ผีซ้ำด้ำพลอย รู้จักไหม “ ด้ำ ” คืออะไร “ ด้ำ” ก็คือ ผีป่า ภาษาโบราณอีกเหมือนกัน พวกเรานี่ไม่ีรู้จักหรอก “ ผี” ก็หมายถึงผีทั่ว ๆ ไป อาจจะเป็นผีบ้านผีเรือนอะไรก็ได้ใช่ไหม แต่ “ ด้ำ” นี่ผีในป่า
      ถาม :  อย่างนี้ถ้าเขาตายไปแล้ว อายุขัยเขาก็ยังไม่หมด จนกว่าจะหมดอายุเข้าถึงไปเกิด ?
      ตอบ :  ยังไม่หมดจ้ะ เป็นอุปฆาตกรรม ยกเว้นว่าได้รับการทำบุญก็สบายไปเลย