ถาม :  ความจริงก็ทราบว่าทุกข์นี่มันทำให้เราเกิดปัญญา มันเหมือนไม่อยากเจอน่ะหลวงพี่ ปวดหัวหน่อยก็กินยาให้มันหลับไปเลย ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไร เพราะว่าสภาพร่างกายของเรา เรายืมโลกมาใช้ในเมื่อเรายืมโลกมาใช้มารยาทของการยืมต้องรักษามันให้ดีที่สุด พระพุทธเจ้าไม่ได้ทิ้งให้มันเจ็บให้มันป่วยซะเมื่อไหร่ ยกเว้นว่ารักษาแล้วรักษาอีกมันไม่มีปัญญารักษาได้อย่างโรคของอาตมา กินยาเข้าไปเท่าไหร่ก็เฉยไม่รู้สึกรู้สา
              อย่างของหลวงพ่อท่านเล่นทีเป็นกำ ๆ แต่ท่านก็พยายามรักษาในเมื่อรักษาแล้วไม่สามารถจะรักษาได้ ดิ้นรนทุกวิถีทางแล้วไม่สามารถจะเอาอยู่นั่นน่ะถึงจะยอมรับว่าเป็นกฏของกรรม ไม่อย่างนั้นมีช่องทางแม้แค่น้อยนิดเดียวก็ต้องว่าไว้ก่อน ที่เราทำน่ะเราทำถูกแล้ว เวทนามันเกิดขึ้น ถ้าหากกำลังใจไปหมกมุ่นกังวลอยู่กับมันจะทำให้ใจเศร้าหมองซะด้วยซ้ำไป ว่ายาเข้าไปเรียบร้อยนั่งจับพระนิพพานให้ใสแจ๋ว จะเป็นจะตายเรื่องของเอ็งเถอะ
      ถาม :  ขันธ์ห้าตอนนี้มันไม่ไหวน่ะ เอาแค่อานาปาก็ยังดี ?
      ตอบ :  เอาแค่นั้นก็ยังดี ใช้วิธีง่าย ๆ ว่าหายใจก็นึกถึงภาพพระพุทธรูป พระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ หายใจปี๊ดก็ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออกก็ไหลตามลมหายใจออกมา คิดว่านั่นคือภาพแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่ไหนหรอก นอกจากนิพพาน เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราตายเมื่อไหร่ขอไปอยู่กับท่าน
              กำหนดใจอย่างนี้ หายใจเข้าก็นึกถึงภาพพระไหลเข้าไป หายใจออกก็นึกถึงภาพพระวิ่งออกมาสนุกดีซะอีก หาอะไรสนุก ๆ เล่นมั่งสิ พลิกแพลงไม่เป็นน่าเบื่อนะ จะเอาสามองค์ห้งค์อะไรก็ได้ หายใจเข้าเอาองค์แรกเข้า ไปกระทบซิ่งองค์ที่สองออกมาอะไรอย่างนั้นสนุกดีเล่นซนอย่างนี้มันซนได้
      ถาม :  เมื่อก่อนนี้ชอบโครงกระดูก ดูแล้วมันก็เฉย ๆ ?
      ตอบ :  เรื่องอย่างนี้ถ้าหากจิตมันชินแล้วบางทีพูดง่าย ๆ ว่าความเคยชินในด้านชั่วมันมากกว่า เคยไปพิจารณาพวกซากศพพวกอะไรที่เขาผ่า ๆ ดูไปดูมาเสร็จกำลังใจพอมันตายด้านมันก็เลือกดูแต่ที่เราชอบ ที่เขาผ่าเราไม่ดูเป็นซะอย่างนั้นไป ลองดูมั้ย ? ไปสมัครเป็นลูกมือหมอพรทิพย์ เผื่อจะได้ออกทีวีมั่ง นั่นผ่าศพอยู่ทั้งวัน
      ถาม :  แต่เขากลิ่นแรงมากเลย ?
      ตอบ :  กลิ่นศพนี่ได้กลิ่นปุ๊บรู้ทันทีเลยว่ากลิ่นศพ ศพใหม่ ๆ สด ๆ แท้ ๆ ยังไม่ทันจะเน่า พอผ่าเปิดหน้าอกนี่มันจะเหมือนมีแก๊สค้างข้างใน มันปี๊บออกมาเรารู้ทันทีเลยว่ากลิ่นศพ ตอนสี กลิ่น รส พร้อมกันนี่มันจะอ้วก
              บางองค์ประเภทสมาธิไม่ค่อยดีไม่ค่อยชอบเลือดด้วยเป็นลมก็มี อาเจียนอยู่ตรงนั้นก็มี คือตอนนั้นพี่สุรินทร์เขาเป็นเจ้าหน้าที่ของนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจอยู่ ตอนนี้เขาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อด้วย เจ้ารังสรรค์ลูกชายเขาก็หลานโยมกิมกีนั่นล่ะ
              พอถึงเวลาเข้าเวรบอกหลวงพี่องค์ไหนจะลงมาดูศพให้ไปวันนั้นวันนี้ ก็ไป เขาก็ผ่า ปรากฏว่าเมาหัวทิ่มกันทั้งวันเลย เพราะต้องเอาเหล้ากลบกลิ่นศพ จะมีแม่โขงแบนหนึ่งเหน็บอยู่ที่กระเป๋าหลัง ถึงเวลาก็ยกขึ้นมา เสร็จแล้วก็ผ่าไปก็วิเคราะห์ไป แผลกว้างเท่าไหร่ ลึกเท่าไหร่ ลักษณะของกระเพาะ ลำไส้ อวัยวะภายในเป็นยังไงบ้าง เสร็จแล้วก็สาเหตุการตาย ลักษณะของแผลเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านบนกว้างด้านล่างแคบ แสดงว่าจะต้องเป็นมีดสันหนาอะไรอย่างนี้ แทงลึกเข้าไปห้าเซ็นติเมตร สาเหตุการตายไม่หายใจโดนถีบกระเด็น (หัวเราะ)
              บางทีเขาไม่มีอะไรทำก็แกล้งกัน ลูกพี่กับลูกน้อง แหม...โดนเสียบเข้าไปตั้งห้าเซ็นต์น่ะ มันเขียนสาเหตุการตายไม่หายใจ เขาเล่นของเขาได้อย่างนั้นล่ะ ไม่งั้นอยู่กับศพทั้งวันมันน่าเบื่อ
      ถาม :  อย่างนี้ถ้าเขาปฏิบัติพระกรรมฐาน....?
      ตอบ :  พวกหมอพวกพยาบาลถ้าหากว่าปฏิบัติได้เปรียบคนอื่นเยอะเลย เพราะเขาเห็นของจริงอยู่ทุกวัน อย่างน้อย ๆ ที่มานี่ไม่สบายดีสักคนล่ะ วิ่งเข้ามาหาเมื่อไหร่แปลว่าเจ็บไข้ได้ป่วยมาทั้งนั้น ถ้าพิจารณาจะเห็นชัด ๆ จะสังเกตว่าพวกหมอนี่ถ้าเขาปฏิบัติธรรมจะเข้าได้เร็วมาก ลูกศิษย์หลวงพ่อเยอะแยะไป อย่างหมอวิสุทธิ์ หมอวัชรี หมอชนะ
      ถาม :  มองกายยังไงก็ไม่เห็นเกลียดเลย ถ้าผ่าศพด้วยน่ะ ?
      ตอบ :  ลองไปของจริงดูสิ นั่นยังไม่มีกลิ่น ได้กลิ่นสักนหน่อยแล้วมันจะซาบซึ้ง วิธีการพิจารณาอสุภกรรมฐานมันต้องยืนเยื้องทางเหนือลม ยืนตรงเหนือลมเลยก็ไม่ได้ เพราะว่าพวกสัตว์ที่กินศพเขาจะรำคาญ เพราะว่าเขารู้ว่าเราอยูใกล้มันจะเป็นอันตราย เขาก็อาจจะเกิดปฏิกิริยาไม่ดีกับเรา ให้ยืนเยื้อง ๆ เหนือลมอย่าไปยืนใต้ลม ถ้ายืนใต้ลมเวลาเราหายใจเข้าไปมาก ๆ กลิ่นเหม็นมันจะเป็นพิษได้ จะทำให้กระเพาะอาหาร ลำไส้ ทำงานผิดปกติไปหมด บางคนท้องเสียไปเป็นอาทิตย์เลยนะ แค่ได้กลิ่นศพ บางคนก็อาเจียนซะไม่มีดีเลย
              คราวนี้ครั้งนั้นมันอยู่ในห้องแอร์ ในเมื่ออยู่ในห้องแอร์เราก็ต้องยืนข้างแอร์ (หัวเราะ) อย่างน้อยมันเป่าไปได้มั่ง แต่ว่ามันอบอยู่ในนั้นมันเหม็นซะไม่มีล่ะ
      ถาม :  ขนาดดูแล้วเอามาทาบ นึกถึงภาพมันก็ยังเฉย ๆ น่ะค่ะ กระดูก ซี่โครง บางทีปวดขาตรงไหนดึงหักขา นึกน่ะค่ะ หักขามันเล่น เอ๊ะ ! มันก็ยังปวด ?
      ตอบ :  ก็มันต้องประเภทหลับตานึกภาพออกลืมตาก็เห็นชัด เจออย่างนั้นจึงจะใช้ได้ อย่างเช่น ของหนุ่ย ชอบโครงกระดูกก็นึกภาพสิว่า เออ...นี่กระโหลกศีรษะนะ กระโหลกศีรษะเราถ้านึกดูมันก็จะต้องเริ่มจากเบ้าตา เบ้าตาของเรานี่มันก็จะมีกระดูกต่อเป็นรอยต่ออยู่ เห็นเป็นชิ้น ๆ ไปเชื่อมกับกระโหลกศีรษะ ไปเชื่อมกับกระดูกขมับ ไปเชื่อมกับกระดูกท้ายทอย ถ้าแยกเป็นชิ้น ๆ ออกมา มันก็ไม่ได้เป็นกระโหลกเลยมันเป็นแผ่น ๆ ซะด้วยซ้ำ
              แล้วกระดูกฟันอย่างน้อย ๆ ก็ ๓๒ ซี่มีครบบ้างไม่ครบบ้าง กระดูกกรามล่างลักษณะเหมือนกับอะไรล่ะ ใส่อยู่ในเบ้าเหมือนกับครกแทนที่มันจะตำลงมันกลับตำขึ้น ถึงเวลากระดูกก้านคอ เป็นข้อ ๆ ลงไป กระดูกไหปลาร้า กระดูกหัวไหล่ กระดูกต้นแขน กระดูกปลายแขน กระดูกข้อมือ กระดูกฝ่ามือ กระดูกนิ้วมือเป็นข้อ ๆ กระดูกเล็บมืออย่างนี้ เสร็จแล้วย้อนกลับมากระดูกหน้าอก กระดูกสันหลังลงไป กระดูกซี่โครงเป็นวง ๆ วิ่งจากกระดูกสันหลังไปชนกันที่กระดูกหน้าอกทีละวง ๆ กระทั่งถึงสามชุดสุดท้ายที่ไม่ถึงมันก็จะไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น เพราะเปิดเป็นช่องท้องลงมา และก็เป็นกระดูกบั้นเอวเป็นข้อ ๆ ลงไปถึงกระดูกเชิงกราน กระดูกก้นกบ และก็จะมีกระดูกต้นขาติดอยู่กับกระดูกเชิงกราน ถัดลงไปก็เป็นกระดูกหัวเข่า จากกระดูกหัวเข่าก็จะเป็นกระดูกหน้าแข้ง เป็นกระดูกข้อเท้า เป็นกระดูกฝ่าเท้า เป็นกระดูกนิ้วเท้า กระดูกเล็บเท้า ดูมันเป็นชิ้น ๆ อย่างนี้ อย่างนี้ แล้วก็ย้อนจากข้างล่างขึ้นบนจากบนลงล่าง ถึงเวลาถ้าหากว่ามันยังคุมกันอยู่เพราะว่ามีเส้นเอ็นดึงอยู่ก็ดี พังผืดรัดอยู่ก็ดี ถ้าหากว่าโดนแดดโดนลมโดนฝนไปมันก็เปื่อย
              มันก็ละเอียด สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็หลุดเป็นชิ้น ๆ กระจัดกระจาย มีสัตว์ลากไปกินบ้าง อยู่กับที่บ้าง ผ่านการเผาของแดด การซะของลมการล้างของน้ำฝน มันก็ค่อย ๆ เก่าเปื่อยผุพังไปเรื่อยจนในที่สุดก็จมดินไม่มีอะไรเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว เสร็จแล้วก็พิจารณาต่อว่า เออ.... นี่ล่ะ ร่างกายของเขาเป็นอย่างนี้ ร่างกายของเราเป็นอย่างนี้ คน สัตว์ วัตถุ ธาตุ สิ่งของทั้งหมด ในที่สุดก็เสื่อมสลายตายพังไม่มีอะไรเหลือ
      ถาม :  แล้วเราก็...?
      ตอบ :  แล้วแต่ความจำนั้น ของเรามันละเอียดไม่พอ การปฏิบัติใหม่ ๆ นี่จะต้องเหมือนยังกับว่าเหวี่ยงแหเอาปลาทั้งทะเล ในเมื่อเหวี่ยงแหเอาปลาทั้งทะเลพอเราตะล่อม ๆ เข้ามาจนถึงท้ายสุด มันก็เหลือนิดเดียว คือพอจิตมันเชื่อเสร็จแล้วแค่บอกว่าร่างกายมันไม่ใช่ของเรา มันก็เชื่อแล้ว แรก ๆ ก็ต้องแยกมันออกเป็นส่วน ๆ เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ส่วนที่แข็ง เป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอัน เป็น ธาตุดิน ได้แก่ ขน ผม เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตับ ไต ไส้ ปอด อวัยวะภายในภายนอกใหญ่น้อยที่เเข็งจับต้องได้เป็นธาตุดินทั้งหมด ที่เหลวไหลไปมาเป็นธาตุน้ำ ได้แก่ เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ไขมันเหลว นึกตามไปเรื่อย ส่วนนี้เป็นธาตุน้ำ ส่วนไหนที่พัดไหวไปมาก็ถือเป็นธาตุลม ได้แก่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ลมที่ค้างในช่องท้องในไส้ที่เรียกว่าแก๊ส ลมที่พัดขึ้นเบื้องสูง ลมที่พัดลงเบื้องต่ำ ลมที่พัดไปมาทั่วร่างกาย (ความดันโลหิต) นี่เป็นธาตุลม ส่วนที่
              อบอุ่นอยู่ในร่างกายนี่เป็น ธาตุไฟ ก็คือไฟธาตุที่เผาผลาญย่อยอาหาร ไฟธาตุที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ไฟธาตุที่ช่วยเผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง นี่เป็นธาตุไฟ ก็แยกออกเป็น ๔ กอง กองนี้เป็นธาตุดิน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตับ ไต ไส้ ปอด ทั้งหมด
              กองนี้เป็นธาตุน้ำนะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ไขมันเหลว กองนี้เป็นธาตุลม ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมในท้องในไส้ ลมพัดขึ้นเบื้องสูง ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมพัดไปมาทั่วร่างกาย กองนี้เป็นธาตุไฟ ไฟธาตุเผาผลาญย่อยอาหาร ไฟธาตุที่ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต ไฟธาตุที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรมลง พอครบสี่แล้วมันเหลืออะไร ? มันก็ไม่เหลือ เสร็จแล้วพอแยกออกเป็นชิ้น ๆ ก็จะเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา ถ้าไม่ถนัดอย่างนี้ก็ดูว่ามันตายเป็นอย่างไร ? สมมติว่า เออ... ตอนนี้เราหยุดหายใจแล้วนะ ธาตุลมขาดไป ธาตุไฟก็ดับ ลมไม่มีไฟดับแน่ ๆ
              ในเมื่อธาตุไฟดับไม่มีตัวควบคุมธาตุน้ำ น้ำมันก็จะล้นเกิน มันก็จะพังทลายทำลายธาตุดิน มันก็จะบวมขึ้น ๆ เพราะน้ำมันดันออกมา พอธาตุดินรับไว้ไม่ได้ก็ปริก็แตกออก น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ไหลโทรมเชียว กลิ่นเหม็นตลบอบอวลไปหมดบรรดาสัตว์ต่าง ๆ ก็มาฉีกทึ้งมาดึงมาลากไปกิน พวกหนอนพวกเเมลงก็มาเจอะไซเละเทะไปหมด พอมันดึงกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทุกทางกระดูกทั้งหลายทั้งปวงก็หลุดเป็นชิ้น ๆ ออกไปจากกระดูก ของใหม่ก็เป็นของเก่า จากเก่าก็เปื่อยก็ผุพังจนกระทั้งในที่สุดก็ฝังจมดินไปไม่มีอะไรเหลือ
              ค่อย ๆ ดู ค่อย ๆ พิจารณาแล้วแต่ว่าเราชอบลักษณะไหน ถึงเวลาก็รวมมันชึ้นมาเป็นตัวแล้วก็ถอดมันเป็นชิ้น ๆ ใหม่ ป่นมันทิ้งไปใหม่อีก ทำกลับไปกลับมาอย่างนี้ ขี้เกียจไม่ได้จนกระทั่งเราบอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา มันยอมรับเดี๋ยวนั้นเลย ไม่มีการถกเถียง ไม่มีการต้านทานอีก ก็แปลว่ากำลังใจใช้ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นแรก ๆ มันต้องเหวี่ยงเอาปลาทั้งทะเล นานไปนานไปปลาทั้งทะเลไม่ต้องล่ะ เรารู้ว่าตัวไหนดี ตัวไหนแพง จับมันตัวนั้นตัวเดียว เพราะฉะนั้นการปฏิบัติยิ่งทำไปทำไปก็เหลือเล็กลง ๆ จนในที่สุดเหลืออยู่กระจึ๋งหนึ่งนิดเดียวนั่นจับให้ติดแล้วกันสุดยอดของมันเลย กลับไปว่าให้ได้นะสัญญาก็ไม่ดี ปัญญาก็ไม่ดี ต้องเจอไม้เรียว
      ถาม :  มันขี้เกียจ โครงก็กระดูกแล้วก็จนบางทีมันไม่ละเอียด ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไร เพราะว่าของเองถ้าหากมันดื้อจริง ๆ ไปไหนไม่รอด เราอาศัยสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องช่วย อย่างเช่นเราไปวัดไปวาไปฟังเทศน์ ฟังธรรม ไปสวดมนต์ ไหว้พระ ให้จิตมันเกาะอยู่ด้านดีด้านเดียวอย่าให้มันคิดชั่ว อย่าให้มันฟุ้งซ่านได้ ขณะเดียวกันอารมณ์สุดท้ายของเราตั้งใจว่าบุญกุศลทั้งหมดถ้าเราตายเราขอไปนิพพาน สรุปมันง่าย ๆ เลย เหมาะสำหรับคนขี้เกียจสร้างสิ่งแวดล้อมให้มันอยู่ทางด้านกุศลให้ตลอด เพราะว่าถ้าสิ่งแวดล้อมเป็นกุศลจิตใจก็ผ่องใส กิเลสมันก็กินได้น้อย เดี๋ยวถ้ามันไม่มีปัญญาเกิดก็ช่างมันเถอะ เราตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่เราไปนิพพาน
      ถาม :  ......................
      ตอบ :  สมัยก่อนนี้ไปนั่งบรรยายให้ลูกศิษย์เขาฟังละเอียดยิบ เสร็จแล้วมีคนเอาไปฟังเสร็จ เขาถามว่าพระองค์นี้เขาเปิดตำราท่องเหรอ ? บอกมันไม่ได้เปิดหรอก พูดกี่ครั้งก็เหมือนเดิมมันทำมาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ในเมื่อนับครั้งไม่ถ้วนทวนไปทวนมาก็เหมือนเดิม แบบเดียวกัน พระพุทธโฆษาจารย์ ไปเขียน วิสุทธิมรรค ไปเขียนฉบับแรก พระอินทร์ ก็จิ๊กไปซะ ท่านหายเหนื่อยลืมตามาอ้าว.... ลมพัดตกทะเลไปมั้ง ก็เขียนอีก เขียนอีกฉบับพระอินทร์ก็เก็บเงียบไปอีก ก็เขียนอีกฉบับหนึ่ง พอฉบับที่สามเขียนเสร็จ พระอินทร์เอาอีกสองฉบับมาคืนปรากฏว่าบรรดาพระเถระของลังกาที่ท่านต้องการจะไปแปลพระไตรปิฏก พออ่านทวนทั้งสามฉบับแล้วก็ทึ่งมากเหมือนกันทุกตัวอักษร
              แสดงว่าของท่านก็ทำมาจนช่ำแล้ว ในเมื่อทำมาจนชินแล้วอะไรก็ตามก็เหมือนกันทั้งนั้น มีญาติโยมหลายคนเวลาที่หลวงพ่อเทศน์แล้วเขาขอจดชวเลขตามไปสมัยนี้ใช้อัดเทป สมัยก่อนเขาขยันจด จดตามไป หลวงพ่อเทศน์ครั้งนี้เรื่องนี้ก็จด ต่อไปเทศน์ซ้ำอีกทีจดเอาอีก เอาไปเทียบกันบอกเหมือนกันทุกคำเลย จะไม่เหมือนได้ยังไงล่ะถ้าทำมา คนทำมากว่าจะได้อย่างที่ต้องการมันต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ทวนแล้วทวนอีก เบื่อไม่ได้เด็ดขาด กิเลสตีตาย ในเมื่อมันต้องทำขนาดนั้นมันย้ำแล้วย้ำอีกขนาดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็ลงรอยที่แน่นอนของมันเพี้ยนไปไม่กี่คำหรอก จะให้ไล่กรรมฐาน ๔๐ ให้ฟังมั้ย ? เหนื่อยตายกันไปข้างหนึ่ง กรรมฐาน ๔๐ ที่มันหนักจริง ๆ สมัยที่ทำอยู่จะมีพรหมวิหาร ๔ กับอรูปฌาน ๔ เพราะว่ามันเป็นของที่จับต้องได้ยาก แล้วก็อย่างพรหมวิหาร ๔ นี่มันต้องเกิดจากสภาพจิตใจของเราเองจริง ๆ ประเภทไปดัดจริตเมตตามันไม่เอากับเราหรอก มันต้องแกะออกมาจากใจจริง ๆ ส่วนอรูปฌานนี่จะเป็นส่วนละเอียดจับต้องได้ยาก อารมณ์มันคล้าย ๆ กับอารมณ์วิปัสสนาญานเลย ยังไม่รู้ว่าปัจจุบันนี้เขามีสถาบันอื่นเข้าสอนเกี่ยวกับกรรมฐานทั้ง ๔๐ หรือเปล่า ?
              แต่ว่าถ้าเป็นศิษย์สายหลวงพ่อที่ท่านสอนครบถือว่าพวกเราโชคดีเวลาไปเจอสำนักกรรมฐานไหนเขาสอนแบบอื่นขึ้นมาก็จะได้ไม่ต้องไปนั่งเถียงเขา อย่างพวกสมาธิหมุน... เคยไปลองมั้ยล่ะ ? สมาธิหมุนจริง ๆ ก็คือมหาสตินั่นล่ะ แต่บอกว่าจะกำหนดจิตหมุนตัวเองเร็วขึ้น ๆ ๆ ๆ เรื่อย ๆ ล่ะ ก็เป็นการกำหนดสติของตัวเองเท่านั้น เสร็จแล้วเขาก็บอกว่ามันสามารถที่จะเหวี่ยงกิเลสให้พ้นออกไปได้ จริง ๆ มันไม่ใช่
              สมัยก่อนหลวงพ่อท่านก็แนะนำหลวงพ่อองค์นั้นดี หลวงพ่อองค์นี้ดี หลวงพ่อวัดท่าซุงเราไม่หวงลูกศิษย์หรอก ท่านต้องการให้รู้ว่าถ้าหากว่าเป็นพระดีที่ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสายไหนก็ตามพูดลงรอยเดียวกันหมด หลวงพ่อท่านก็เลยแนะนำให้ไป สมัยก่อนก็แนะนำไปหาใครล่ะ .. หลวงปู่ชุ่ม หลวงปู่แหวน หลวงปู่สิม หลวงปู่คำแสนใหญ่ หลวงปู่คำแสนเล็ก หลวงปู่วงศ์ หลวงปู่ธรรมชัย นั่นล่ะ มีปัญญาก็ไป
      ถาม :  ถ้าจะถวาย ถ้ารวม ๆ นี่ทุกทีจะถวายหลวงปู่ปาน หลวงพ่อชุดหนึ่ง ถวายเทพพรหมชุดหนึ่ง แต่ยังบอกว่าตั้งสังฆทานทีเดียว แล้วก็ส่งให้หลวงพี่อย่างนี้ก็ได้อานิสงส์ผลเหมือนกัน ?
      ตอบ :  ได้ ถ้าหากว่ากำลังใจของเราดีมันเหมือนกัน แต่ถ้ากำลังใจไม่ดียกหลาย ๆ ครั้งมันเห็นของเยอะ โดยเฉพาะเห็นพระหลาย ๆ หนก็ดีกว่าเลือกเอาก็แล้วกัน