ถาม :  (ถามเรื่องเกี่ยวกับการสร้างรูปเหมือนพระองค์ที่ ๑๑)
      ตอบ :  คือว่าพระองค์ที่ ๑๑ ท่านเคยมาสงเคราะห์หลายครั้ง ที่ว่าหลายครั้งก็คือประมาณ ๓ ครั้ง ตั้งแต่ครั้งแรกที่ท่านมาในลักษณะของพระองค์ที่ ๑๑ ก็ได้เห็นท่าน แล้วหลังจากนั้นเวลาลำบากมาก ๆ อย่างเช่น ตอนที่อยู่ที่พม่าท่านก็เคยมาสงเคราะห์
              คราวนี้ท่านมาทีไรท่านไม่เคยมาในลักษณะพระวิสุทธิเทพ ท่านมาในลักษณะนี้ เวลามาลักษณะหน้าตาของท่านเหมือนรูปหลวงปู่ปานตอนหนุ่ม ๆ ผ่องใสเนื้อเหลืองเป็นทองเลย
              เพราะฉะนั้นเวลาสร้างลักษณะรูปขึ้นมาเพื่อเคารพบูชาก็จะสร้างในลักษณะนี้คือจากความเคยชินที่เคยเห็นว่าท่านมาสงเคราะห์เราในท่านี้ แล้วเรื่องของพระองค์ที่ ๑๐ ก็คือว่าเขามีการนิมนต์พระ ๙ องค์แล้ว องค์ที่ ๑๐ ท่านมาหลวงพ่อก็เลยเรียกท่านว่าองค์ที่ ๑๐ ทีนี้พอองค์นี้ท่านจะมาบ้างในเมื่อมีองค์ที่ ๑๐ แล้วข้าเอา ๑๑ แล้วกัน มันก็เลยกลายเป็นประวัติพระองค์ที่ ๑๑ ด้วยประการฉะนี้แล
      ถาม :  เวลาเรามีอะไร มีความทุกข์อะไรก็นั่งมองท่าน ก็รู้สึก เออ...สบายใจดีเหมือนท่านยิ้ม แล้วพระขรรค์ในตู้ล่ะครับ ?
      ตอบ :  ไม่มีอะไรหรอก ไปที่บ่อเหล็กน้ำพี้มาเขาทำไว้จำหน่ายก็เลยซื้อมา ของที่อยู่ในตู้เป็นของอะไรบางอย่างที่หายากในสายตาคนอื่น แล้วก็มีค่าในสายตาของเขา ของเรามันบังเอิญได้มาเลยมาใส่เอาไว้ให้เขาดู ของบางอย่างบางคนหาทั้งชีวิตก็ไม่เคยเจอเหมือนกัน ไปนั่งเล็งเอาก็แล้วกันว่ามีอะไรบ้าง
      ถาม :  บางสิ่งที่เราเห็นแปลก ๆ ดูจริง ๆ แล้วมันก็ไม่เห็นมีอะไรแปลก ?
      ตอบ :  มันก็ไม่มีอะไรแปลก คือเราเองยังไม่เคยเห็นมันก็เลยเห็นเป็นของแปลก ถ้าเคยเห็นบ่อย ๆ ก็เซ็งไปเอง ของทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องปกติของมันที่จะเกิดขึ้น อย่างหลวงปู่บุดดาท่านบอกว่า ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้นเอง ธรรมะของมันเป็นอย่างนั้นเอง เพียงแต่เราไม่เคยเจอแล้วบางอย่างมันก็มีพลังงานอยู่ในตัวของมัน ๆ อาจจะเป็นของคู่บุญของเขาอย่างเช่น เขี้ยวหมูตัน เขี้ยวเสือกลวง พวกเพชรตาแมว อะไรพวกนี้ ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็คือพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีก็สิ่งที่เป็นของคู่บุญของเขามา
              ในเมื่อของเราเองนาน ๆ เจอทีมันมีความขลังอยู่ตามความเชื่อของเขาก็เลยพลอยแตกตื่นกันไปใหญ่โตเลย
      ถาม :  อย่างของคู่บุญของพระโพธิสัตว์ที่ว่ากำเนิดมาพร้อมกับตัวท่านนี่ แล้วคนอื่นไปฆ่าท่านแล้วเอามาเป็นของขลังนี่มันจะมีผลหรือครับ ?
      ตอบ :  พูดง่าย ๆ ถ้าหากว่าไปฆ่าเอามาไม่น่าจะมี แต่ว่าของพวกนี้ถึงวาระถึงอายุขัยของเขามันก็จะทิ้งอยู่ ในเมื่อมันทิ้งอยู่คนรุ่นหลังที่เอาไปด้วยความศรัทธาเลื่อมใสใช่มั้ย ? สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคยทำมาในลักษณะ พุทโธอัปมาโน คุณที่ไม่สามารถจะประมาณได้ก็แผ่ปกลงมาถึงเราด้วย ของเราเองถ้าหากว่าเราไปยึดถือเลื่อมใสในสิ่งนั้น ๆ มันก็มีผลเหมือนกัน แต่สิ่งสำคัญที่สุดมันจะอยู่ที่ใจของเรา จะเป็นมโนมยา คือสำเร็จด้วยใจ คือใจของเราไปยึดมันก็มีผลนะ
              แบบเดียวกับที่เขาว่า ไปออกรบอมพระเอาไว้แล้วพระหลุดออกจากปากไปคว้าลูกเขียดมาใส่ปากแทน พอลูกเขียดมันดิ้นก็ได้ใจหลวงพ่อไม่ต้องช่วยผมเองก็ได้ พอรบชนะเสร็จคายออกมาลูกเขียดตายแหงแก๋ไปแล้วอมนานไปหน่อย นั่นแหละก็คือตัว มโนมยาคือ สำเร็จด้วยใจ เขียดตัวนั้นมันซวยจริง ๆ กำลังใจของตัวเองเกินครึ่งแล้วนี่
              ถึงได้ว่าวัตถุมงคลทุกอย่างที่ทำมาถ้าถูกต้องตามพิธีกรรมก็เหมือนกับเครื่องส่ง เครื่องส่ง ๆ พลังงานเต็มที่แล้ว มันก็สำคัญตรงเครื่องรับคือ ตัวเรานี่แหละว่าเราเปิดใจรับแค่ไหน ถ้าหากเปิดใจรับได้มากเท่าไหร่ผลก็ได้รับมากเท่านั้น
              หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ท่านบอกว่า ถ้ากำลังใจของเราเข้มแข็งถึงที่สุด ปืนยิงไม่ออก กำลังใจลดลงมาหน่อยยิงออกไม่ถูก กำลังใจลดลงไปอีกนิดนึงยิงถูกไม่เข้า ประเภทถูกไม่เข้านี่เรานึกว่าดีนี่เริ่มห่วยแล้วนะ ถ้ากำลังใจแย่ไปอีกหน่อยยิงเข้าไม่ตาย ถ้ากำลังใจห่วยแตกจริง ๆ ถึงตายก็ไปสวรรค์ เพราะใจมันคิดถึงพระอยู่ นั่นแหละอย่างน้อย ๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็มีคุณ แต่คนมันไม่คิดกัน บางทีมันก็ว่า ๆ ทำให้ไปยึดติดบ้างอะไรบ้าง
              หลวงปู่ดู่ วัดสะแกท่านบอกว่า ยึดติดในวัตถุมงคลดีกว่าไปยึดติดในวัตถุอัปมงคลนะลูก เจอพระอรหันต์ท่านว่า เจ็บปวดมากเลยแบบเดียวกับที่เขาเอาเขี้ยวหมู เอานอแรด เอางาช้างไปต่างคนต่างอวดว่าของใครดีกว่า แล้วไปอวดใครไม่อวดไปอวดต่อหน้าหลวงปู่ดุลย์ วัดบูรพารามนั่น หลวงปู่ดุลย์นี่ปรมาจารย์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่นองค์หนึ่งนะ แล้วไปให้ท่านตัดสินหลวงปู่ของใครดีกว่ากัน ท่านพูดว่าไงรู้มั้ย ท่านบอกมันของสัตว์เดรัจฉานทั้งนั้น (หัวเราะ) ได้ยินเข้านี่หมดราคาเลย จริงของท่านนะ มันจะประเภทมีอำนาจมีอะไรขนาดไหนก็เป็นของสัตว์เดรัจฉาน ตัวเราเป็นมนุษย์เป็นพวกที่ประเสริฐแล้วแทนที่จะสร้างกำลังใจของตัวเองให้ประเสริฐสมกับที่เป็นมนุษย์ เปล่าหรอกดันไปยึดของสัตว์เดรัจฉานซะ
              อันนี้ก็เหมือนกันเวลาคนเขาไปฮือฮากันก็ไปเตือนเขา บอกว่าจริง ๆ แล้วเพชรตาแมว ๆ มันยังตายเลยแล้วมันจะช่วยเราได้สักเท่าไหร่ คนส่วนใหญ่เขาจะไม่คิดถึงตรงจุดนี้ไง เขาจะคิดว่ามันให้ผลอย่างไรบ้าง
      ถาม :  แล้วที่เป็นหินโดยธรรมชาติล่ะคะ ?
      ตอบ :  ก็พวกนี้แหละคือว่า โลกเรามีพลังงานหลายอย่างด้วยกัน พลังงานอย่างหนึ่งถ้าเขาถือว่าศักดิ์สิทธิ์ ถ้าลงจับกับวัตถุธาตุธรรมชาติจะทำให้วัตถุชิ้นนั้นเปลี่ยนสภาพไป โบราณเขาเรียกว่ากลายเป็นแก้วบ้าง กลายเป็นคด กลายเป็นทองแดง กลายเป็นอะไรอย่างนี้ จริง ๆ ก็คือมันจะแข็งตัวจนกระทั่งอยู่ในลักษณะที่ว่าคงทนอยู่ได้ระยะยาวนานไปชั่วระยะหนึ่ง ไม่เสื่อมสลายไปตามสภาพที่ควรเป็นของมัน
              ทางไสยศาสตร์เขาต้องการของพวกนี้เพราะว่าของพวกนี้จะมีพลังงานในตัวอยู่แล้ว เขาก็แค่มากำกับด้วยคาถาเพื่อเพิ่มพลังงานในการใช้งานของเขาให้มากขึ้น ถึงเวลาก็กลายเป็นของขลังไป ของพวกนี้ส่วนใหญ่เขานิยมในทางอยู่ยงคงกระพันนั่นแหละไปดู ๆ เอาก็แล้วกันเถอะจะเป็นแก้วเป็นหินเป็นทองแดงเป็นอะไรก็เหอะ จริง ๆ มันก็คือวัตถุธรรมชาตินั่นแหละ
      ถาม :  อย่างกัลปังหานี่มันก็คือต้นไม้แล้วจนกระทั่งกลายเป็นหินก็คือแบบนี้ใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  จ้า ของทุกอย่างน่ะมันมีพลังงานในตัวของมันอยู่แล้ว ๆ ขณะเดียวกันในสภาพของกายภาพของมันก็สามารถดึงดูดพลังงานอื่นเข้ามาได้ด้วย เพราะฉะนั้นหยิบหินทุกก้อนมันก็มีพลังของมันอยู่แล้ว
              อย่าลืมว่าไอสไตน์บอกไว้ชัดเลยว่า สสารทุกอย่างแกนกลางของมันมีพลังงานทั้งสิ้น ถ้าเราสามารถทำให้แกนกลางของมันแตกตัวออกมาได้ เราก็จะให้พลังงานระดับหนึ่งแต่เพียงแต่ว่า อย่างก้อนหินทั่ว ๆ ไปมันแตกตัวมามันก็ให้พลังงานน้อยมาก แต่ถ้าเป็นยูเรเนี่ยมแตกออกมาเมื่อไหร่ล่ะก็ให้พลังงานที่ประมาณมิได้ เพราะมันเป็นปฏิกิริยาลุกโซ่ไปอย่างนี้
              เพราะฉะนั้นสิ่งทั้งหลายอย่างนี้นักวิทยาศาสตร์เขาตามทันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันตามทันแบบหยาบ ๆ มันเข้าถึงได้ระดับหนึ่งเท่านั้นเอง
      ถาม :  มีหินอยู่อย่างหนึ่งครับ เขาบอกว่าเป็นเพชรพญานาคอยู่ในก้อนหินเป็นของพญานาคเหรอครับ ?
      ตอบ :  อันนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าถ้าหากว่าเราเชื่อถือยึดถือตามนั้น นี่ไงต้นตำรับอยู่ในหนังสือนี้ทั้งเล่มเลย อาจารย์ศักดาไง อาจารย์ศักดาจริง ๆ ท่านก็เป็นพระโพธิสัตว์ ตั้งใจจะสงเคราะห์คน ก็จะมีเทวดาเขามาบอกว่ามันจะมีวัตถุชนิดนี้อยู่เอาไปลักษณะเพื่อการสงเคราะห์คนหมู่มาก ไปสร้างความดีเพื่อส่วนรวมอย่างที่ท่านสร้างโรงเจ ช่วยเขาสร้างวัดสร้างโบสถ์ ที่ไหนเอาจำหน่ายแล้วเอางินไปทำในลักษณะนี้ วัตถุเหล่านี้มันจะมีพลังงานของมันอยู่ คือเขาทุบออกมาต่อหน้าต่อตามันเป็นตามนั้นจริง ๆ เพราะสิ่งที่อยู่ข้างในมันไม่ใช่แกนหิน กลายเป็นลักษณะของอัญมณีที่ได้รับการเจียรนัยแล้ว ตามที่เขาเล่าต่อ ๆ กันมาเขาว่าพญานาคเขาต้องการจะร่วมบุญด้วยเขาเลยเอามาให้
      ถาม :  เขาเอาไปใช้ในด้านไหน ?
      ตอบ :  อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าด้านไหน ต้องถามต้นตำรับเขาดู เขาบอกว่าสีไหนมีอำนาจทางด้านไหน ก็ไม่รู้เขาแยกสีแยกสันกัน ลองไปถามอาจารย์ศักดาดู อยู่หมู่บ้านอะไรก็ไม่รู้ทางปิ่นเกล้านี่ สายปิ่นเกล้าพุทธมณฑล
      ถาม :  เมื่อก่อนอยู่เชียงใหม่ใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  จ้า เดี๋ยวนี้เขาก็อยู่เชียงใหม่ แล้วที่นี่แล้วก็อีกแห่งแถวนครสวรรค์มั้ง ? สาขาอะไรต่าง ๆ เยอะแยะก็กลายเป็นว่ายุบไปมากแล้ว เพราะทำให้เงินทองมันกระจายไปมากไม่สามารถทำประโยชน์อะไรได้เฉพาะจุด
      ถาม :  เดี๋ยวนี้มีของปลอมก็มี ?
      ตอบ :  คือของปลอมมันมีขึ้นมาทัน ๆ กันเลย อะไรก็ตามที่มันมีของจริง นี่ท่าพระจันทร์หาของปลอมได้ในระยะที่ไล่เลี่ยกันได้เร็วมากเลย วิทยาการเดี๋ยวนี้ก้าวหน้ามากเลยกระทั่งประเภท เพชรเทียม พลอยเทียมที่ทำได้ดีกว่าของแท้เยอะแยะไปหมด ทำได้ในลักษณะที่ความแข็งแกร่งเท่ากัน แต่ว่ามวลสารดีกว่าเพราะสามารถควบคุมแรงกดดันและอุณหภูมิได้ไม่เหมือนกับที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แรงกดดันมันไม่สม่ำเสมออุณหภูมิมันไม่สม่ำเสมอ
              เพราะฉะนั้นวิทยาศาสตร์เดี๋ยวนี้น่ากลัวมากที่เขาเอาเพชรไปหลอกทั้งร้านเพชรได้ สายตาไม่ถึงก็เจ๊ง เขาบอกว่าเพชรของแท้จะมีรอยแตกมีรอยร้าวมีฟองอากาศอยู่ในเนื้อมันต้องตาถึง จึงจะดูออกแต่ที่สร้างด้วยกรรมวิธีอย่างนี้เนื้อจะเรียบแน่นไปเลยจะสวยกว่าปกติ
      ถาม :  แต่ความแข็งเหมือนกันใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  เหมือนกัน ดีไม่ดีจะแข็งกว่าซะด้วยซ้ำไป
      ถาม :  อย่างนั้นก็ใส่ของแบบนี้ไม่ดีกว่าหรือคะ ?
      ตอบ :  ดีกว่า ดีไม่ดีก็คอขาดไปเลย เพราะเขาคิดว่าของแท้ (หัวเราะ) เขาทำดีกว่าของจริงอีก เดี๋ยวนี้ของจริงมันกลายเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ บุญคนมันดีขึ้นมัง ในเมื่อบุญคนมันดีขึ้นวิทยาการก้าวหน้าขึ้น ฤทธิ์ต่าง ๆ มันก็มากขึ้น
              ปัจจุบันนี้วิชชามัยฤทธิ์ครองโลกแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้แล้วว่า ฤทธิ์ ๑๐ อย่างมันมีวิชชามัยฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิชาการสร้างเสริมขึ้นมา ประเภทเหล็กแท้ ๆ หนักตั้งหลาย ๆ ตันเอาขึ้นไปลอยอยู่กลางฟ้านั่นแหละวิชชามัยฤทธิ์แหละ อยู่กันคนละทิศคนละทางคนละมุมโลกแท้ ๆ ยังพูดคุยกันได้แทนที่จะใช้อภิญญาก็ใช้วิชชามัยฤทธิ์มือถือ
      ถาม :  .........................................
      ตอบ :  ได้จ้ะ ไม่เป็นไร คนที่เดินทางโดยปราศจากแผนที่ แสดงว่ามีความกล้าหาญมากกว่าปกติ (หัวเราะ) อย่างน้อย ต้องมีแผนที่เอาไว้ ถึงเวลาจะได้รู้ว่าแต่ละอย่างที่เราทำไปเวลาเราพบเราเห็นแล้วเป็นยังไง จะได้ตั้งใจรับมือได้ถูก
              หลวงพ่อท่านบอกว่าก่อนท่านจะบวช หลวงปู่ปานโยนวิสุทธิมรรคให้คนละเล่ม เอาไปอ่านแล้วจำให้ได้ครบทั้งสี่สิบกอง ว่าแต่ละกองของกรรมฐานมีอะไรเป็นนิมิต ? มีสัญลักษณ์อย่างไร ? แต่ละขั้นตอนมีอาการอย่างไร ? ต้องจำให้ได้หมด จำได้เมื่อไหร่แล้วมาบอก หลังจากนั้นท่านก็เริ่มให้ไปทีละกอง เพราะว่าตอนทำตัวของเราไม่ได้เกิดมาชาติเดียว เกิดมาหลายต่อหลายชาติ ยิ่งถ้าหากว่าต้องการจะปฏิบัตินี่มันยิ่งระดับปรมัตถบารมีแล้วใช่มั้ย ?
              สามัญบารมีให้ทานได้รักษาศีลเจริญภาวนาไม่ได้ อุปบารมีให้ทานได้รักษาศีลได้บอกภาวนาก็ไม่ได้ พวกภาวนานี่ต้องปรมัตถบารมี คราวนี้กว่าจะถึงปรมัตถบารมี เกิดตายมานับชาติไม่ถ้วน ของที่ได้มีมันเยอะอยู่ เพราะฉะนั้นที่ท่านต้องบังคับให้จำได้ทั้งหมด เพราะว่าเวลาทำไป ๆ ของเก่ามันคืนมา
              ถ้าหากว่าฟังในปฏิปทาท่านผู้เฒ่าจะเห็นว่าหลวงปู่ปานบอกว่าถ้าหากว่านิมิตมันเกิดขึ้นให้ละเสีย เอาแต่กองกรรมฐานอย่างเดียว ถ้าไม่ใช่นิมิตในกองกรรมฐานไม่เอา ปรากฏว่ามีกะโหลกศีรษะลอยมา อยู่ ๆ มีกระดูกลอยมาทีละท่อน ๆ ผ่านไป ๆ พอครบแล้วก็เริ่มต้นลอยมาใหม่ หลวงพ่อท่านก็ทิ้งมันซะตามครูบาอาจารย์บอกไม่ยอมสนใจ พอไม่สนใจมันยิ่งเข้ามาใหญ่
              พอตอนเช้ากำลังจะฉันเช้าหลวงปู่ปานก็ถาม เป็นไงคุณ....เมื่อคืนผีหลอกหรือ ? ท่านบอกว่าไม่ใช่ครับกระดูกมันหลอน ท่านบอก แล้วคุณทำยังไงล่ะ ? ผมก็ช่างมันตามแบบหลวงพ่อสอน ท่านบอกไอ้นั่นมันช่างเผือกซะแล้ว (หัวเราะ) มันไม่ได้ช่างมัน ไอ้ที่ช่างเผือกเพราะว่านั่นเป็นกรรมฐานเก่า เขาเรียกอัฏฐิกัง ปะฏิกุลัง เป็นอสุภกรรมฐานกองหนึ่ง ท่านบอกต่อไปถ้าเห็นอย่างนั้น กะโหลกศีรษะลอยมาให้กำหนดใจให้ตกอยู่ตรงหน้า กระดูกคอลอยมาก็ให้ตกอยู่ตรงหน้าต่อ ๆ ๆ กันให้เป็นตัวทั้งตัว แล้วก็พิจารณาต่อไปเลย หลวงพ่อท่านบอก แหม...เจ็บใจ ท่านบอกให้เราละเราก็ละ แต่ที่ไหนได้ไปเจอนิมิตที่ต้องยึด มันรู้จักยึดซะแล้วสิ
              คราวนี้ท่านก็เลยเล่นอสุภกรรมฐานกองนั้น จนกระทั่งช่ำใจ พออารมณ์ทรงใจเต็มที่ท่านบอกจิตมันมัวไปนิดหนึ่ง ลักษณะของมันเหมือนกับเคลื่อนวื๊บ แล้วปรากฏแสงไฟขึ้นมาแทน ตอนนี้รู้แล้ว แสดงว่ากรรมฐานกองเดิมมันเต็มที่ของมันแล้วก็คลายตัวลง กรามฐานเก่าที่เคยทำได้กองใหม่โผล่มาเป็นเตโชกสิณ ท่านก็จับ เตโชกสิณังต่อไปเลย ท่านบอกว่ายอมโง่ครั้งเดียว ท่านบอกให้ละก็ละ คราวนี้รู้อยู่ว่าแต่ละอาการของกรรมฐานเป็นอย่างไร ? นิมิตเป็นอย่างไร ? ท่องตำรามาจนช่ำใจแล้วก็จำได้ จำได้ก็ต่อได้ทีเดียวเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปถามครูอาจารย์
              เพราะฉะนั้นยึดตำราไว้บ้างเพื่อเป็นหลักเท่านั้น แต่ไม่ใช่กอดตำราตายไปเลย เพราะว่าสิ่งที่ตำราเขียนไว้เป็นแค่ส่วนหยาบ ๆ สิ่งที่เราพบเองเห็นเองเป็นส่วนละเอียด มันละเอียดจนถึงระดับที่พระพุทธเจ้าท่านบอกปัจจัตตัง ผู้ที่พบรู้เห็นด้วยตัวเองถึงจะเข้าใจว่าเป็นยังไง
              อย่างเช่นท่านบอกว่าพออารมณ์ใจเข้าถึงตัวสุข มันสุขเยือกเย็นอย่างบอกไม่ถูก มันบอกไม่ถูกจริง ๆ อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ คนเรามันโดนไฟราคะ โลภะ โทสะ โมหะ สี่กองเผาอยู่ตลอดเวลา พอกำลังใจก้าวเข้าสู่ความเป็นฌานปุ๊บ ไฟสี่กองโดนอำนาจของฌานดับไฟชั่วคราว คนที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดอยู่ ๆ ไฟดับไฟมันเย็นขนาดไหนล่ะ ? สบายขนาดไหนอธิบายเป็นคำพูดได้มั้ยล่ะ ? ไม่ได้หรอก
              เพราะฉะนั้นในเมื่อมันเป็นลักษณะอย่างนี้ ก็เลยไม่ใช่ว่าไปกอดตำราตายตัว ถ้ากอดตำราตายตัวนี่เราเองจะไม่เข้าใจอะไรมากไปกว่าตำราที่เขียน มันเป็นส่วนหยาบเพราะส่วนละเอียดที่พบจริง ๆ มันละเอียดเกินกว่าคำพูดและตัวหนังสือจะอธิบายได้
              ขณะเดียวกันถ้าเปรียบกับแผนที่เขาขีดไปทางด้านนี้ เราเองอาจจะเห็นเส้นตรงขีดจากกรุงเทพฯ ตรงไปปทุมธานี ขึ้นไปอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท ไปวัดท่าซุง วิ่งเข้าจริง ๆ ดูสิ มันขีดอย่างนั้นซะเมื่อไหร่ เดี๋ยวโน่นก็ตึก เดี๋ยวนี่ก็ห้างสรรพสินค้า เดี๋ยวโน่นสะพานลอย มันเยอะแยะไปหมดตามแต่สภาพให้เราประสบในลักษณะของการปฏิบัติจริง
              เพราะฉะนั้นมันเป็นแค่แนวทางคร่าว ๆ เท่านั้นที่จะให้เรารู้ได้ว่าจะเจออะไรบ้าง เราเองพอถึงเวลาต้องจัดการด้วยตัวเอง ตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยเฉพาะอารมณ์ใจตัดสินใจด้วยตัวเองอันนั้นสำคัญที่สุด ถ้าทำได้ทำถูกวิธี ต่อไปทุกอันมันก็เหมือนกัน ถ้ายังติดสินใจไม่ได้ ยังตัดสินใจไม่ถูกทำไปก้าวหน้ายาก บางทีไม่ได้อะไรเลย
      ถาม :  .......................................
      ตอบ :  การเกิดมามีวัตถุประสงค์...ตายล่ะหว่าที่ตั้งวัตถุประสงค์มา พวกน้อยคนที่จากข้างบนลงมาเพื่อสร้างบารมี เขาจะตั้งใจลงมาเลย การเกิดของเขานี่อย่างน้อยเขาจะต้องไม่เลวไปกว่าเดิม มีแต่ว่าจะต้องดีกว่าเดิมเขาจึงยอมลงมา พวกชิงมาเกิดเขาเลือกได้ ส่วนพวกทั่ว ๆ ไปที่เป็นไปตามกรรมนั่นมันแล้วแต่บุญบาปจะส่งไป
              แต่ว่าการเวียนเกิดของเขาทั้งหลายเหล่านั้นก็จะใกล้ความดีเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสร้างความดีบริสุทธิ์จนถึงที่สุดก็หลุดพ้นจากการเวียนตายเวียนเกิดทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เทวดา มาร พรหม
              ในที่สุดก็เข้านิพพานหมด เพียงแต่ว่าใครจะเข้าสู่กระแสพระนิพพานก่อนใครที่จะเวียนตายเวียนเกิดเนิ่นนานกว่ากันแค่นั้นเอง แล้วแต่สภาพจิตของเขาว่าเป็นมิจฉาทิฐิหรือว่าเป็นสัมมาทิฐิ ถ้าเป็นมิจฉาทิฐิกว่าจะย้อนเข้าสัมมาทิฐิกว่าจะปฏิบัติสร้างบารมีเพื่อเข้าสู่นิพพานก็เนิ่นนานจนนับไม่ได้
              เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงวัตถุประสงค์เลยพวกที่ตั้งใจเกิดถึงจะมีวัตถุประสงค์ ส่วนที่เหลือนั้นมันเป็นไปตามแรงกรรมบ้างก็เกิดมาเพื่อชดใช้ บ้างก็เกิดมาเพื่อสร้างบารมีเพิ่มเติม
      ถาม :  พอจะรู้ได้อย่างไรครับ ?
      ตอบ :  รู้ได้อย่างไร ? ถ้าหากว่าผู้ที่สามารถให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาได้เป็นปกติถือว่าอยู่ในระดับปรมัตถบารมี ถ้าหากว่ามีความปรารถนานิพพานเป็นปกติก็ถือว่ามีปรมัตถบารมีขั้นละเอียดสูงสุดแล้วได้ ถ้ากำลังใจเกาะนิพพานเป็นปกติ อันนี้ถือว่าเต็มได้ คือว่าถ้าปฏิบัติ มีสิทธิที่บรรลุมรรคผล ที่พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเหมือนว่าบัวที่โผล่พ้นน้ำแล้วเพียงกระทบแสงตะวันเท่านั้นก็จะเบ่งบานไม่ใช่บัวที่อยู่กลางน้ำ ไม่ใช่บัวที่อยู่ในโคลน
      ถาม :  ............................
      ตอบ :  อันนั้นก็ลำบากเพราะว่าหลวงพ่อท่านเคยเทศน์อยู่บทหนึ่ง เคยอ่านมั้ย ที่ท่านบอกว่า บุคคลที่เคยสร้างบารมีมาดีแล้วเท่านั้น ถึงจะได้พบครูบาอาจารย์ที่ดี
              แล้วท่านก็ยกตัวอย่างหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานท่านมีหลวงปู่สุ่นเป็นครูบาอาจารย์ พระอุปปัชฌาย์ก็เป็นพระอรหันต์ พระคู่สวดก็เป็นพระอรหันต์ เสร็จแล้วท่านก็ไม่ได้พูดถึงตัวท่านสักคำ เราก็ไล่ลงมา ว่าไปแล้วหลวงพ่อร่วมอุปปัชฌาย์เดียวกับหลวงปู่เหมือนกัน เพราะว่าพระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพนเป็นอุปปัชฌาย์ ไม่ทราบว่าหลวงปู่ปานนี่น่าจะหลวงปู่สุ่นอุปัชฌาย์มั้ง
              ถ้าอย่างนั้นพระครูรัตนาภิรมย์ก็ถือว่าเป็นครูบาอาจารย์รุ่นเดียวกับหลวงปู่ปาน แล้วก็จะมีหลวงพ่อเล็ก ซึ่งตอนนั้นก็เป็นพระอนาคามี ตอนหลังก็ต้องเป็นพระอรหันต์แหง ๆ เป็นคู่สวดให้ แล้วก็เปรียบเทียบมาเสร็จเรียบร้อย ท่านก็บอกว่าบุคคลที่สร้างบารมีมาดีแล้วเท่านั้นถึงจะได้ครูบาอาจารย์ที่ดี ก็ประเภทที่เรียกว่ายังไง...ถือว่าเป็นสัจธรรมเถียงไม่ได้ ของเขาเองของเขาเกิดมาโดยเฉพาะพวกอุปบารมีขั้นกลางทุกสิ่งทุกอย่างมันจะแทบจะสมบูรณ์พร้อม เพราะว่าสมบุณรณ์พร้อมก็คือกำลังใจกำลังมุ่งมั่นแรงกล้ามาก สังเกตพวกบรรดาพระโพธิสัตว์ต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงเรียงนามส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับอุปบารมี กำลังสร้างบารมีกันอย่างเข้มแข็งเลย ชนิดที่เรียกว่าตัดศีรษะเป็นทาน ตัดแขนตัดขาเป็นทานควักหัวใจเป็นทานได้กำลังใจเขากำลังมุ่งเต็มที่
              คราวนี้ว่าอยู่ในระดับนั้น การมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างเจ้าแม่กวนอิม อย่าลืมว่าถ้าหากว่าเป็นอุปบารมีขั้นปลายแล้วถึงจะเกิดเป็นผู้ชาย ถ้ายังไม่ถึงอุปบารมีขั้นปลายก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่ ยกเว้นผู้หญิงบางประเภทซึ่งเป็นปรมัตถบารมีแล้วแต่ยังต้องเกิดเป็นผู้หญิงอยู่เพราะชาติก่อนเป็นผู้ชายแล้วเจ้าชู้มาก ก็เลยโดนบังคับให้เกิดเป็นผู้หญิง ให้รู้รสชาติซะมั้ง ไม่อย่างนั้นแล้วจริง ๆ ถ้าผู้หญิงทั่ว ๆ ไปการสร้างบารมีเขาจะเบากว่าจะน้อยกว่า ไม่ต้องเรียกร้องสิทธิสตรี สู้ผู้ชายเขาไม่ได้ เพราะผู้ชายเขาเกิดมาเยอะกว่า การสร้างบารมีการเวียนตายเวียนเกิดมันก็จะค่อย ๆ เข้มเข้าไปเรื่อยจนในที่สุดก็หลุดพ้นไปได้
      ถาม :  แล้วอย่างที่บอกว่าเราตาม ๆ หลวงพ่อมา เราก็จะชอบ อย่างน้อยรายที่ตามสายพระธรรมกายมาเขาก็จะชอบ ?
      ตอบ :  บางทีเป็นการสร้างบุญมารวมกัน ร่วมกันมาเขาก็จะตามกันไปถึงได้ว่าเสียดายหลายต่อหลายคนที่ประเภทที่เรียกว่าเข้าสายผิดจนกระทั่งที่เขาสอนนรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นิพพานสูญ นั่นล่ะน่าเวทนามากเลย เพราะว่าคงจะต้องไปอีกกันยาวเลย หาทางจบยาก
      ถาม :  แล้วอย่างนั้นคนที่ก่อนที่จะเกิดมานี่ก็ต้องทราบด้วยสิคะว่าก่อนที่เขาจะลงมาเกิดนี่ .....?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเป็นพวกที่เลือกลงมาเขาจะทราบอยู่แล้ว เพราะว่าตอนอยู่ข้างบนนี้ความเป็นทิพย์จะรู้อยู่ รู้อยู่ว่าถ้าตัวเองลงมาเกิดในแต่ละช่วงชีวิตจะพบอะไร แต่ว่าจุดที่สำคุญที่สุดก็คือได้พบธรรมะในจุดที่ตัวเองต้องการ
              แล้วการปฏิบัติของตัวเองก้าวหน้าเพื่อส่งให้ขึ้นสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นไปดีขึ้นไป เขาถึงจะยอมเสี่ยงลงมา ตอนที่ไปอ้อนเทวดาผู้ใหญ่ให้ท่านช่วยรับรองให้นี่ลำบากหน่อย เพราะว่าท่านที่รับรองให้ท่านก็ต้องคอยควบคุมดูแลความประพฤติด้วย อย่างนี้มันก็จะลำบากหนักเข้าไปอีก อีตอนนั้นลำบากแค่ไหนก็จะทน ลงมาลำบากหน่อยเดียวบ่นกันอุบเลย (หัวเราะ)