ถาม :  อย่างสตางค์นี่เรารู้ว่าเป็นเงิน แต่เรารู้อยู่แล้วเราพิจารณารู้อยู่ว่ามันเป็นโทษมากไปแต่เราก็ต้องใช้ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่คิดอย่างนั้น ปัญญามันจะเกิดรู้ตลอดเลยว่า ถ้าเราคิดมันจะเป็นอย่างไร ? จะรัก จะโลภ จะโกรธ จะหลงอย่างไรเราก็เลยหยุดคิด ถ้าเราหยุดคิดความคิดได้ทันกิเลสจะโดนจำกัดเขต ไม่สามารถจะงอกงามได้ ก็เลยกลายเป็นว่ารู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน แต่ถ้าหากว่าเราไปคิดนี่เผลอเมื่อไหร่นี่มันพาเละเลย ต้องหยุดคิดให้ได้
      ถาม :  แต่ถ้าเราจะใช้ประโยชน์จากมันก็แค่ประโยชน์อย่างเราไปซื้อข้าวกินแค่นั้นเอง ?
      ตอบก็แค่ประโยชน์เฉพาะหน้าแค่นี้เอง จบแล้วจบกันไม่ต้องไปคิดอะไรต่อ จะเห็นเหตุเลยว่าถ้าเราคิดแล้วจะเป็นทุกข์อย่างไรก็หยุดเอาไว้เลย เหมือนกับแจกันดอกไม้นี่ เราเอาไปไหว้พระบูชาครูบาอาจารย์ มันก็ดีใช่มั้ย ? กุหลาบวันวาเลนไทน์เคยเอาไปให้สาวนี่ไปโน่นเลยใช่มั้ย ? พอมองไปอีกทีเราซื้อกุหลาบสวยกว่าไปตัดหน้าซะเสียดาย กลายเป็นโทสะไปอีกแล้ว จะออกของมันไปเรื่อย จะรู้ทันที
      ถาม :  มีอยู่เรื่องหนึ่งครับ เมื่อเดือนที่แล้วผมไปที่ท่านปู่ท่านย่า ผมก็เอ๊ะ...ทำไมอารมณ์ใจของผมมันคิดแต่เรื่องตายอยู่เรื่อย ๆ ขึ้นไปก็ถาม....(ไม่ชัด)....(เล่าเกี่ยวกับว่าไปถามเรื่องนางฟ้าเทวดากับท่านปู่ ท่านย่าว่าทำไมท่านฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าแล้วทำไมไม่ไปนิพพาน) ?
      ตอบ :  กำลังใจยังเข้าไม่ถึง ไปได้ก็ดีซิ ลักษณะของเทวดาจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่ามีบางพวกที่ท่านจะจุติลงมาเพื่อจะสร้างบารมีต่อ แล้วมีหลายคนที่อยากได้ลูกแล้วทำพิธีขอ ตั้งเครื่องบวงสรวงแล้วขอกับท่านปู่พระอินทร์ เทวดาองค์ไหนที่ตั้งใจจะลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมีก็ขอให้มาเกิดกับเรา คราวนี้พอได้มาแล้วก็รักษาให้ดีนะ (หัวเราะ)
      ถาม :  ตอนตรุษจีนมีอยู่วันหนึ่งนั่ง ๆ อยู่ก็คิดว่าลองตามไปดูซิว่า สัตว์พวกนี้จะเป็นยังไงบ้างก็เลยลองดูไปหาท่านพระยายมราช ถามท่านว่าพวกนี้จะไปไหนกันครับ ? ท่านก็เลยชี้ให้ดูเป็นที่แห่งหนึ่ง เห็นหมูโดนเขาแทงคอตาย พอตายปุ๊บหมูนั่นตายแล้ว ไอ้หมูตัวผู้นั่นเป็นผู้ชายหายแว๊บไป พอเป็นตัวเมียก็เป็นผู้หญิงหายแว๊บไป
              เสร็จแล้วท่านก็บอกว่านั่นกรรม ๕๐๐ ชาติที่โผล่มาแล้วหายนั่น ๒๐๐ ชาติเต็ม ๆ แล้ว ท่านก็บอกว่าคนสั่งการก็ดี คนฆ่าก็ดีก็ไปที่โน่นก็หายแว๊บไปเลย สเร็จแล้วก็ไปหาท่านนายบัญชีไปขอดูบัญชีท่านก็เปิดให้ดู รายการของผมนี่ยาวเหยียดเลยเป็นแถว เข่าอ่อนเลย ท่านถามว่ากลัวมั้ย ? บอกกลัวครับ ท่านก็ชี้ให้ดูท่านก็บอกว่ามันมีบาปอยู่ตัวนะ บาปตัวนี้บัญชีเขาไม่บันทึกนะ ถ้าเธอคิดว่ามันเป็นบาปเธอก็ลงนรก ตามไปดู ผมก็เลยกลับมาไม่เอาแล้ว ?
      ตอบ :  เรื่องตรุษจีนนี่มีอยู่ปีหนึ่งก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกสัตว์ต้องมีปัญญาขนาดพระมหาบุรุษถึงจะรู้แจ้งเห็นจริงมันได้
              ตอนนี้สิ่งนี้วางอยู่ตรงหน้าของเราแล้ว มีคุณค่าขนาดไหน ในเมื่อเรารู้แจ้งแล้วว่าการเกิดเป็นทุกข์อย่างนี้ ในเมื่อเรารู้แจ้งแล้วว่าการอยู่ในโลกเป็นทุกข์อย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาเพื่อทุกข์อย่างนี้ การเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนอย่างนี้เรายังอยากมีมันมั้ย ? ในเมื่อเราไม่อยากมี ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็นมันอีกแล้ว รับรู้มันแล้วก็วางไว้ตรงนั้น ให้เห็นว่าทุกอย่างที่เกิดกับเราเป็นธรรมดา เราทำเราจึงได้รับ ในเมื่อทุกอย่างเราทำมาเองทำไมเราจึงยอมรับผลงานของตัวเองไม่ได้
              โบราณท่านว่าปลูกถั่วได้ถั่ว ปลูกงาได้งา เราไปปลูกพริกปลูกตำแยมันก็แสบมั่งคันมั่งเราก็ทนเอา แต่ว่าการขึ้นชื่อว่าเกิดมาแสบคันอย่างนี้มันจะไม่มีกับเราอีกแล้ว เพราะเราขอเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
              ถ้าเทียบกับการที่เราต้องทนมีชีวิตอยู่ไปถึงวันตายซึ่งไม่เกิน ๑๐๐ ปีนี้ กับการเวียนตายเวียนเกิดที่นับกัปไม่ถ้วน มันเป็นเวลาแค่นิดเดียว เหมือนอย่างกับกับชั่วหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นก็ผ่านพ้นไปแล้ว ทำไมเราจะอยู่กับอย่างมีความสุขไม่ได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นก็ เออ....ธรรมดาของมัน เราทำไว้เราถึงได้รับ เออ ! ธรรมดาของมัน ๆ ต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ถ้าเกิดมาเราต้องพบต้องเจอมัน จิตใจก็จะปล่อยวาง ถ้าปล่อยวางคราวนี้ทุกข์มหาศาลที่เรารู้สึกว่าเราต้องแบกมัน ๆ ไม่มีอะไรต้องแบกเลย กองมันลงเมื่อไหร่ก็เบาเมื่อนั้น ก็สบายเมื่อนั้น คราวนี้ในเมื่อเราวางสิ่งที่หนักลงได้ แล้วเรื่องที่จะตะกายไปนิพพานก็ง่ายแล้วไม่มีอะไรถ่วงเรา
              จำเอาไว้ว่าทุกข์มีคุณมหาศาล มีค่ายิ่งกว่าเพชรยิ่งกว่าพลอยอีก โอกาสที่จะได้รู้ได้เห็นด้วยปัญญาน่ะมันยากแสนจะยาก บัดนี้ปรากฏอยู่ตรงหน้าเราแล้ว กรี๊ดโดดใส่เลย ไม่ใช่ว่าไปกรี๊ดสลบ
              พอทำไปถึงจุดหนึ่งจะรู้สึกเลยว่า ตอนนี้เรามีชีวิตอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกแค่นั้น หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายแล้ว ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่แค่ช่วงลมหายใจเดียว มันไม่มีอะไรที่สร้างความกระทบกระเทือนให้เราได้ ตายเมื่อไหร่เราก็ไปนิพพานของเรามันก็แค่นั้นเอง
              คราวนี้ก็สบาย ๆ ไปวัน ๆ มีความสุขมากจนคนเขาอิจฉา ป่วยจะตายนางพยาบาลด่าเอาเลย ไปโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช สงสัยนางพยาบาลจะชื่อสุวรรณี โอ้โห...เจ้าพระคุณเถอะ ว๊าก ! เอาซึ่ง ๆ หน้าเลย จะตายอยู่แล้วยังจะมาหน้าเป็นอีก ก็คนเรามีความสุข เห็น ๆ อยู่แล้วว่ามันเป็นทุกข์อย่างนี้ ยังไง ๆ ข้าก็ไม่เอาเอ็งอีกแล้ว ข้าก็กำลังจะพ้นมันอยู่แล้ว คนที่ประเภทติดคุกมาตลอดอยู่ ๆ รู้ว่าจะพ้นคุกวันนี้ จะมีความสุขขนาดไหน นั่นแหละบังเอิญเจอสุวรรณีเข้า เขามีแต่สุวรรณ กับ สุวารใช่มั้ย ? คราวนี้ถ้าเป็นผู้หญิงก็เป็นสุวรรณี (หัวเราะ) โรงพยาบาลนี้คนขวัญอ่อนไม่ควรเข้า ชื่อโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จริง ๆ อยู่ สุพรรณโน้น ท่านเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)ไปสร้างไว้ เลยชื่อโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราชฟังแล้วสยองขวัญเลย สงสัยว่าคนป่วยเข้าไปอาการจะทรุดหนักหรือเปล่า
              ของเรา ๆ ก็ว่าเรามีความสุขของเราอยู่ได้ทุกวัน เห็นคนอื่นเขาหน้านิ่วคิ้วขมวดมันแบกอะไรของมันเยอะขนาดนั้นวะ นึกไปนึกมา อ๋อ...เราก็เคยแบกไว้เหมือนกัน (หัวเราะ)
      ถาม :  ถ้าเราป่วยแล้วใกล้ตายมากเมื่อไหร่ เราก็จะรู้สึก...?
      ตอบ :  อารมณ์นั้นน่ะจำเอาไว้แล้วเอามาใช้ให้ได้ทุกวัน มาถึงตอนนั้นก็ปล่อย ๆ วาง ๆ ไว้แม้กระทั่งนิพพานก็ไม่เกาะแล้ว เต็มอยู่ในใจของเราแล้วจะต้องไปเกาะทำไม เหมือนเราเดินขึ้นบันไดมาเราเกาะราวบันได พอมาถึงห้องแล้วเราจะไปเกาะราวบันไดให้เสียเวลาทำไม เพราะฉะนั้นที่มันยึดมันเกาะจริง ๆ น่ะตอนแรกแต่หลังจากนั้นก็ปล่อยหมดแล้ว นิพพานก็ไม่ต้องเกาะแล้วเต็มอยู่ในใจของเรานี่แหละ
              เขาจะรู้เลยว่าตายตอนนี้ก็ไปนิพพานตอนนี้แหละ มันจะไม่มีความสุขไปได้อย่างไร ไอ้ทุกข์ ๑๐๘ ที่เขาแบกไว้พอถึงเวลาอยู่ตรงหน้าเราไม่มีอะไรเลย มีแต่ของดี ๆ ทั้งนั้น กระทั่งมารก็กลายเป็นครูที่ดี กระทั่งทุกข์ก็กลายเป็นทรัพย์สมบัติที่ล้ำค่าที่หาได้ยาก ตะเกียกตะกายมาตั้งกี่ชาติกี่ภพกว่าจะได้พบได้เห็นมัน
              ก็ลองดูถ้าเกิดว่าเราไปขุดหาทองขุดจนลิ้นห้อยชาติแล้วชาติเล่าไม่เจอ อยู่ ๆ ไปเจอทองเข้าจะต้องไปนั่งกลุ้มมันหรอก มันก็ต้องดีใจใช่มั้ย ? พอถึงเวลาโลกมันจะพลิกกลับสิ่งที่ไม่ดี มันจะเห็นว่าดีหมด
      ถาม :  พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ?
      ตอบ :  คล้าย ๆ อย่างนั้นเลย สิ่งที่เคยเห็นว่าไม่ดีไม่งามเห็นเป็นของดีไปหมด จำเป็นจะต้องเห็นถึงมันไม่เห็นก็ต้องบังคับให้มันเห็น พยายามย้ำแล้วย้ำอีกว่ามันเป็นอย่างนี้ ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้วอยากได้อีกมั้ย ?
      ถาม :  บางทีเวลาเดินไปแล้วไปเห็นคนจนจะถามตัวเองตลอด ?
      ตอบ :  ไม่ต้องจนหรอก ดูหน้าใครก็ได้ ยิ่งตามป้ายรถเมล์น่ะยิ่งดี ดูนาฬิกาแล้วดูนาฬิกาอีก ชะโงกแล้วชะโงกอีก มากี่คันก็ไม่ใช่คันที่เราจะไปซักที คิดดูเถอะใจมันกระวนกระวายขนาดไหน แบกทุกข์ไว้ทั้งนั้น เดี๋ยวไปทำงานไม่ทันเจ้านายจะด่า เดี๋ยวเขาก็จะขีดเส้นแดงแล้ว โอ๊ย...ประสาทจะกิน แค่ป้ายรถเมล์ป้ายเดียวมันก็จะบรรลุอยู่แล้ว
      ถาม :  มันจะถามตัวเองว่าถ้าเกิดมาแล้วเราไม่รู้ว่าทำอะไรไว้ แล้วเกิดเป็นอย่างนั้นจะเอามั้ย เป็นหมาหรือเป็นหมาขี้เรื้อนเราก็ไม่รู้ว่าเราทำบาปอะไรไว้บ้างถ้าเกิดมาอย่างนั้น ใจมันบอกไม่เอา ๆ ?
      ตอบ :  อาจจะทุเรศกับมันด้วย (หัวเราะ) นั่นแหละดีที่สุดเลยย้ำมันบ่อย ๆ ตอกหัวตะปูให้มันจมให้มิดให้ได้
      ถาม :  บางทีไม่ทันมันก็เซเหมือนกัน ?
      ตอบ :  ก็ธรรมดาเคยแพ้มันมานานนี่ พวกกิเลสนี่แหม ! เหมือนมันรู้ทางจริง ๆ จะเจาะตรงที่เป็นจุดอ่อนของเรา
      ถาม :  แล้วจะทำยังไงครับถ้ามันรู้จุดอ่อนของเรา ?
      ตอบ :  ไม่ต้องทำ ตั้งสมาธิไว้ก่อนเป็นอันดับแรกสเร็จแล้ว เอากำลังสมาธิทั้งหมดของเราเกาะนิพพานไว้ตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่เราจะอยู่ตรงนี้แหละ มันจะมาอีท่าไหนไม่ใส่ใจทั้งนั้น ถ้าหากว่าจิตเป็นสมาธินิวรณ์ ๕ มันดับลงชั่วคราว ถ้านิวรณ์ ๕ ดับลงชั่วคราวจิตใจเราไม่สอดส่ายวุ่นวายกิเลสละเอียดเข้ามามันจะเห็นชัด
              เสร็จแล้วมันจะละเอียดแค่ไหนเรื่องของเอ็ง ราคะเกิดขึ้นเรื่องของราคะ ข้าอยู่บนนิพพานข้าไม่ไปปรุงไปแต่งกับเอ็งด้วย โทสะเกิดขึ้นเรื่องของเอ็ง ข้าอยู่บนนิพพานข้าไม่ไปปรุงไปแต่งกับมันด้วย โลภะเกิดขึ้นข้าอยู่บนนิพพาน ข้าไม่ไปปรุงแต่งกับมันด้วย
              ไม่มีตัวจิตไปคอยใส่พริก ใส่เกลือ ใส่น้ำ ปลาโลภะ โทสะ โมหะที่เป็นสมบัติของร่างกายก็อยู่ไม่ได้ มันจืดชืดไม่เป็นท่า อย่างเก่งก็ตั้งอยู่ได้แป๊บหนึ่งก็สลายไป เพราะฉะนั้นใครได้มโนมยิทธินี่ถือว่าเป็นกุศลมหาศาลเลย เพราะสามารถตัดกิเลสอัตโนมัติตรงจุดนี้ได้ เผ่นขึ้นไปเกาะพระบนนิพพานโน่น มีอะไรเกิดขึ้นเกาะพระท่าเดียวอย่างอื่นไม่สนทั้งนั้น
              ในเมื่อไม่มีจิตไปคอยปรุงแต่ง ตัวจิตสังขารนี่แหละน่ากลัวที่สุดเลย เมื่อกี้บอกแล้วว่าถ้าคคิเราจะคิดยังไง จะมีแต่สาเหตุของความทุกข์ทั้งนั้นเลย เพราะการคิดมันมีฟุ้งซ่านไป ๒ ทาง คือไม่ไปอดีตก็ไปอนาคต
              อดีตผ่านมาแล้วไปนิพพานได้ที่ไหนกัน ถ้าไปได้ไม่มานั่งแหง็กอยู่อย่างนี้หรอก อนาคตก็ยังมาไม่ถึงรถที่ไม่ออกเราไปขึ้นมันมีประโยชน์อะไร ต้องเอาปัจจุบันนี้เอารถเที่ยวปัจจุบันที่ออกอยู่นี่แหละ ต้องรีบไปกับมัน ขืนช้าตกรถไปนิพพานไม่ทัน
              ในเมื่อเราไม่ใส่ใจกับมันไม่สนใจกับมันเราเกาะนิพพานอย่างเดียวจิตก็บริสุทธิ์ขึ้นเรื่อย ๆ เพราะกิเลสมายุ่งด้วยไม่ได้เดี๋ยวมันก็หมดไม่รู้ตัว ที่ว่าหมดนั่นก็คือ กิเลสมันหมดไม่รู้ตัวโดนกดอยู่นาน ๆ เฉาตายไปเอง ตอนนั้นเราก็อยู่ยาวไปเลยไม่ต้องลงแล้ว (หัวเราะ) คนอื่นมาก็ว่าหัวใจล้มเหลว (หัวเราะ) ตายไปซะแล้ว เป็นพระนี่เสียท่านะ ถึงทำได้อย่างนั้นก็ต้องทนอยู่ต่อไป ของโยมถ้าทำได้ก็ไปเลย
              ตัวอย่างคุณจัทนา วีระผล พอทำไป ๆ ถึงตรงจุดหนึ่งจิตมันก็ยั้งเอาไว้ ตอนนั้นปัญญามากความเป็นทิพย์มีเยอะ ต้องรู้ว่าถ้าเรายั้งจิตไว้ตรงจุดนี้จะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีก ๑๒ ปี แล้วถ้าหากว่าเราพิจารณาต่อเข้าถึงที่สุดนี่เราจะตายเลย เสร็จแล้วท่านก็พิจารณาดูว่ามีอะไรต้องห่วงมั้ย ? คนที่รักของที่รัก ทรัพย์สมบัติอะไรทุกอย่าง ไม่มี ในเมื่อไม่มีจะอยู่ต่อไปทำไม ร่างกายก็ป่วยตะแง็ก ๆ อยู่ ไปเลยดีกว่า ก็ไปเลยง่ายดีนอนไปเฉย ๆ
              นี่ ๆ บรรดาท่านที่ปัญญาเยอะรู้แจ้งเห็นทุกข์ชัดเจน พวกที่ปัญญาน้อย ๆ เห็นท่านย่าบอกว่าจะแกล้งให้มันปวดท้องให้มันขาดใจตายไปเลยจะได้เห็นทุกข์ เหมือนวัวดื้อออกนอกเส้นทางต้องเจอไม้เรียว วัวตัวไหนอยู่ในเส้นทางอยู่แล้วไม่โดนตีหรอก เดินตรงไปเดี๋ยวมันก็ไปคอกเอง
              เพราะฉะนั้นคนไหนวัวดื้อไม่ยอมพิจารณาทุกข์นี่เดี๋ยวโดนไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเขาเอาเราจนได้ แต่ถ้าเราพิจารณาอยู่บ่อย ๆ เห็นเป็นปกติ เขาไม่ต้องบังคับเราแล้วนี่ มันก็เหมือนกับวัวไม่ออกนอกทางก็ไม่ต้องเจอไม้เรียว ก็เลือกเอาก็แล้วกันว่าจะให้เขาตีเราดีหรือว่าเราจะเลือกเดินไปเองดี เขาตีเรานี่บางทีเขาตีหนักรับไม่ได้ บางทีลูกศิษย์หลวงพ่อหลายคนกลายเป็นมิจฉาทิฐิไปเลย เป็นมิจฉาทิฐิตรงที่ว่าพอเข้ามาปฏิบัติดีเท่านั้นเองล่ะ สารพัดเรื่องเลวร้ายมันก็ถล่มเข้ามาเลย รู้อย่างนี้ไม่ทำดีกว่า ก็บรรลัยเลยซิ
              นั่นแหละ ถ้าเผลอเมื่อไหร่สติมันไม่ทัน กิเลสมันชักได้ก็กลายเป็นว่าห่างความดีไปเลย ทั้ง ๆ ที่เดินใกล้ประตูนิดเดียวจวนจะผ่านประตูไปได้แล้ว ตอนนี้อะไรเกิดขึ้นมันก็ต้องทั้งอดทั้งทน ขันติบารมีใช้ให้เยอะ ๆ ไว้ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นก็ตามเราจะไม่เปลี่ยนเป้าหมายที่เรามุ่งมั่นตั้งใจไว้ แต่แรกเป็นยังไงปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น
      ถาม :  ถ้าเราเกาะร่างกายอยู่แล้วเราคิดถึงตัวนี้มันมีเลยนะคะ ?
      ตอบ :  ก็ให้มันแค่นี้ ล็อคมันอยู่แค่นี้ มันได้แค่ชาตินี้ให้มันเถอะ ดอกเบี้ยด้วย ไม่ใช่เงินต้นจ่ายมันซะดี ๆ บอกแล้วว่า ธรรมดาของการเกิดมามันเป็นอย่างนี้ ในเมื่อธรรมดาของมันเป็นอย่างนี้ เราเองมีชีวิตแค่ชั่วลมหายใจเดียวจะต้องไปสนใจไปกังวลอะไรกับ จบแล้วจบกัน มัวแต่ไปพะวงอยู่เดี๋ยวก็เสร็จกัน ถ้ามัวแต่ไปพะวงอยู่เดี๋ยวก็เสร็จมัน