ถาม :  อย่างหลวงปู่ปานที่ทำบารมีครบแล้ว ถ้ามาเกิดเป็นพระเวสสันดรอย่างนี้ ท่านเกิดมาหรือยังครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าบารมีเต็มก็รอตรัสรู้นี่เกิดมาครบแล้ว
      ถาม :  ครบแล้วเหรอครับ ?
      ตอบ :  ครบแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าเกิดเป็นพระเวสสันดรนะ อาจจะเป็นเป็นผู้ใดก็ได้ที่มีโอกาสได้ถวายทานลักษณะปรมัตถบารมี ถึงวาระสุดท้าย แล้วให้ลูกเป็นทาน ให้เมียเป็นทาน
              สมัยนั้นเขาทักท้วงแล้ว พระเวสสันดรละเมิดสิทธิเสรีภาพของสุภาพสตรี จริง ๆ อันนั้นเขาอธิษฐานตามกันมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติแล้ว แล้วก็รับรู้แล้วด้วยว่า อธิษฐานมาเพื่อจะให้ท่านถวายเป็นทาน ในคำอธิษฐานจะมีลักษณะว่าอยากจะเป็นสำเภาทองรองรับพระองค์ท่านให้ข้างวัฏฏสงสารเพื่อบรรลุซึ่งพระสัมมาสัมโพธิญาน เขาตั้งใจกันมาอยู่แล้ว
              แต่ว่าลักษณะของปุถุชน เมื่อถึงเวลาต้องพลัดพรากจากกัน ก็จะต้องเดือดเนื้อร้อนใจเศร้าโศกอาลัยเป็นปกติ พวกแก่ ๆ หน่อยเรียนกันทันหรือเปล่าหว่า ? ตรง ม.ศ. ๕ เขาจะมีเหมือนเทศน์มหาชาติ เกี่ยวกับเรื่องพระเวสสันดรกัณฑ์กุมาร โส โพธิสัตตัง สมัยนี้ตัดออกเกลี้ยงเลย ไม่ได้เรียนกัน ไหวมั้ย ? ตัดแขน ตัดขา ควักหัวใจ เชือดเนื้อตัวเอง สละเลือดตัวเอง ตัดศรีษะตัวเองเป็นทาน ได้ยินก็สยองแล้ว
              สมัยนี้บริจาคเลือดก็ถือว่าสละเลือดเป็นทาน ๓ เดือนบริจาคได้ทีหนึ่ง สมัยก่อนวิทยาการไม่ก้าวหน้า อย่างอสุรกายไล่ตามกวางทองมา พระโพธิสัตว์อยู่บริเวณนั้นก็ไปกั้นเอาไว้ อสุรกายเกรงอำนาจของพระโพธิสัตว์ไม่กล้าที่จะทำร้ายกวาง แต่ก็ต่อว่าท่านว่าเมตตาแต่กวางเท่านั้น ไม่เมตตาตัวเขาผู้หิวโหยเลย ท่านเลยต้องสละเลือดตัวเองให้กิน กินซะจนตายไปเลย หรือไม่ก็เหยี่ยวไล่นกพิราบมา ท่านเองท่านไปช่วยนกเอาไว้ เหยี่ยวโวยวายว่าท่านช่วยแต่นกพิราบเท่านั้นแหละ ตัวของเขาเองหิวจะตายลูกเมียเขาจะหิวตายอยู่แล้ว ทำไมไม่คิดห่วงเขาบ้าง ท่านก็ต้องเชือดเนื้อตัวเองให้เขา เชือดเนื้อให้เท่ากับน้ำหนักนกตัวนั้น นกก็หนักเหลือเกินกว่าจะเชือดครบตายก่อนอีก สงสัยนกพิราบสมัยก่อนตัวเท่าตึก
      ถาม :  แล้วอย่างนี้หลวงปู่ท่านอยู่บนสวรรค์ก็รอนานล้าน ๆ ปี เลยสิครับ
      ตอบ :  จะไปเดือดร้อนอะไรล่ะ ? ตายแล้วนี่ รอนานเท่าไหร่ก็รอได้ คนที่ยังต้องเกิดสิต้องเดือดร้อนของท่าน ๆ ลงมาครั้งเดียวก็จบแล้ว
      ถาม :  พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ กับวิริยาธิกะ มีความสามารถต่างกันอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ต่างกัน อย่างปัญญาธิกะบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารของท่านก็จะมีดี มีชั่ว มีรวย มีจน มีสวยงาม มีอัปลักษณ์ ปะปนกัน ถ้าหากว่าศรัทธาธิกะ ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารของท่านจะดี รวย สวย เสมอกันหมด เขตที่ท่านประกาศศาสนาคนชั่วจะเข้าไม่ได้ แต่ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะ ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป นอกจากบริวารจะดี รวย สวย เสมอกันหมดแล้ว โลกยุคนั้นคนชั่วไม่ได้เกิด ตกลงที่ท่านต้องเหนื่อยกว่าคนอื่นเขาเป็นเท่าตัวไป เหนื่อยเพื่อบริวารของตัวเอง แต่ว่าสิ่งที่ท่านทำก็จะทำให้บุญญาบารมีท่านมากกว่าองค์อื่นที่ทำมาน้อยกว่า ถ้าหากว่าอยู่ข้างบนพระวรกายของท่านจะใหญ่โตกว่าเขา
      ถาม :  การที่เราพูดตรง สิ่งที่เรารู้มากการพูดตรงของเรานี่มัน....(ไม่ชัด)....?
      ตอบ :  มันต้องดูกาละเทศะด้วย ขาดสัปปุริสธรรม ๗ ประการ คือธรรมะ ๗ ประการที่เหมาะสำหรับนักปฏิบัติหรือฆราวาสทั่ว ๆ ไป จะมีตั้งแต่ ธัมมัญญุตา-รู้เหตุ, อัตถัญญุตา-รู้ผล, อัตตัญญุตา-รู้ตน, มัตตัญญุตา-รู้ประมาณ, กาลัญญุตา-รู้กาล (เวลา), ปริสัญญุตา-รู้ชุมชน (หมู่คน), ปุคคลปโรปรัญญุตา-รู้บุคคล แต่ปุคคลปโรปรัญญุตานี่รู้เฉพาะคน กาลัญญุตาน่ะกาลไหนเหมาะ กาลไหนควรกับอะไร จำเป็นต้องรู้ ถ้าไม่รู้นี่เอาดียาก ไปพูดตำหนิติเตียนการกินเหล้ากลางวงเหล้าก็เจ๊งเลยใช่ไม๊ ? นั่นล่ะ ไม่รู้กาล ไม่รู้บุคคล
              เรื่องนี้อาตมาเจอมาแล้ว สมัยออกจากวัดท่าซุงไปอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ ตรงจุดที่อยู่เป็นสำนักงานป่าไม้เขาจะมีพวกครูบาอาจารย์เอาพวกลูกเสือมาเข้าค่ายกันทีหนึ่ง ๒๐๐-๓๐๐ คน อาจารย์กินเหล้าไปคุยกับพระไป กินไปกินมาสักพักหนึ่งทนไม่ได้มันถาม ถามจริง ๆ เถอะอาจารย์ ใจคอจะไม่ห้ามผมเลยเหรอ ? กินเองจะให้เราห้าม เลยบอกเงินของเอ็งข้าไม่ได้เสียอะไรด้วยสักอย่างจะห้ามทำไมล่ะ ? นาน ๆ จะเจอพระแบบนี้สักทีหนึ่ง เขาบอกส่วนใหญ่แล้วเขาเจอพระ เพียงแต่รู้ว่าเขากินเหล้าก็โอ้โห...สาระพัดจะบรรยายเลย ของเราเองทั้ง ๆ ที่กินต่อหน้าปล่อยมันไปเรื่อย
              แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกว่า ถ้าหากว่าเขาไม่เลิกด้วยตัวเอง คนอื่นว่าให้ตายไม่รู้ตัวหรอก บทจะเลิกก็เลิกได้ดื้อ ๆ เยอะ อย่างสมัยหลวงพ่อทำหนังสือประวัติหลวงปู่ปานมานี่ คนอ่านแล้วเลิกเหล้าไปตั้งเยอะ คนได้ยินข่าวก็เอาไป ภรรยาอุตส่าห์เมตตาซื้อไปให้สามีอ่าน จะให้เลิกเหล้า โดนสามีด่ากลับมาอีกว่า ซื้อหนังสืออะไรมาไม่รู้อ่านไม่รู้เรื่อง ของพรรค์นี้มันขึ้นอยู่กับวาระอยู่กับเวลา จังหวะของบุญของกรรมเหมือนกัน บทมันจะเลิกมันเลิกเอาดื้อ ๆ ก็มี
      ถาม :  พ่อผมท่านก็ทานเหล้าบ่อยนะครับ ทานเป็นประจำเหมือนกัน แต่ว่าตอนเย็นพ่อก็นั่งสมาธิบ้าง ไหว้พระสวดมนต์บ้าง กินเบียร์ตอนเช้าบ้าง ผมกลัว...?
      ตอบทำดีส่วนทำดี ทำชั่วส่วนทำชั่ว มันหักกลบลบล้างกันไม่ได้ แต่ถ้าอำนาจของความดีมีสูงกว่า มันสามารถจะหนีความชั่วได้ อย่างพระองคุลีมาล พระองคุลีมาลนี่ถ้าหากว่าคนไหนติว่าตัวเองชั่วต้องถามว่าขนาดรพะองคุลีมาลหรือเปล่า ? ฆ่าคนมาเป็นพันเสร็จแล้วพอท่านตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระอรหันต์ กลายเป็นพระอรหันต์ไปได้ บรรดาพระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี ที่เข้าพระนิพพานไปแล้วไม่มีใครใช้กรรมเก่าหมด ส่วนใหญ่ความดีของท่านมากกว่าจนหลุดพ้นไปนิพพานทั้งนั้น เพราะฉะนั้นความดีส่วนความดี ความชั่วส่วนความชั่ว
      ถาม :  ..............................
      ตอบ :  เพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว เรื่องของญาติพี่น้องไม่เหมือนอาตมา พอหลวงพ่อถาม หลวงพ่อว่าจะให้ผมไปอยู่วัดเมื่อไหร่คือตอบรับตกลงท่านแล้ว ท่านบอกไปเดี๋ยวนี้เลย บอกไปเดี๋ยวนี้เลยก็โดดขึ้นรถไปเลย เรามันตัวคนเดียวอยู่แล้ว อยู่ไหนก็ได้ใช่มั้ย ?
              ปรากฏว่าสมัยก่อนเวลาวัดมีงานจะไปก่อนงาน ๒ วัน ไปเพื่อไปเตรียมงานช่วยงานวัด แล้วหลังจากงานไปแล้ว เก็บงานวันหนึ่งเพราะฉะนั้นไปก่อนงาน ๒ วันกลับหลังงานวันหนึ่งยังไงก็ไม่เกิน ๕ วัน งวดนั้นพอวันที่ ๗ แม่ก็หอบผ้าไตรหอบอะไรไปเพียบเลย รู้ใจลูกไม่มีใครเกินแม่หรอก ลองว่าไปอยู่วัดเกิน ๕ วันนี่มันตั้งใจบวชแน่แล้ว แกหอบไปให้เลย พอไปถึงเอาไปถวายหลวงพ่อ บอกว่าตั้งใจจะบวชพระลูกชาย หลวงพ่อบอกว่าให้เปลี่ยนความตั้งใจใหม่ ให้ตั้งใจว่าหลวงพ่อบวชพระกี่องค์เอาหมด ถ้าบวชลูกชายได้องค์เดียว นี่ ตกลงงวดนั้นแม่ได้บวช ๓๖ องค์ ๓ โหล เหลืออยู่องค์เดียว
      ถาม :  ตั้งใจ ๗ วัน ?
      ตอบ :  ตั้งใจ ๗ วันจริง ๆ แต่ว่าช่วงนั้นบังเอิญว่าครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์ โดยเฉพาะหลวงปู่ขนมจีน รู้จักหลวงปู่ขนมจีนมั้ย ? หลวงปู่ขนมจีนเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๒ ถัดจากหลวงปู่ใหญ่ ไปกวนหลวงปู่ขนมจีนท่านเข้า ท่านเฉ่งซะเกือบตาย เรามันก็คนหน้าด้าน พอรู้ตัวว่าเป็นฝีมือหลวงปู่ ก็เอาพานธูปเทียนแพไปขอขมา บอกว่าหลวงปู่ครับ...ฟังให้ดี ๆ นะ คนหน้าด้านเขาทำยังไง....บอกหลวงปู่ครับ หลวงปู่เฉ่งผมก่อนเป็นคนแรก ผมถือว่าผมเป็นลูกคนโต ขอความเมตตาหลวงปู่ด้วยครับ ผมอยากรู้จริง ๆ ว่าพระที่ท่านปฏิบัติถึงจริง ๆ อารมณ์ใจเป็นอย่างไร ? ถ้าหลวงปู่สามารถสงเคราะห์ให้ผมรู้ได้ ต่อไปถ้าผมทำถึงตรงจุดนั้น ผมจะได้รู้ว่าผมถึงแล้ว
              ในเมื่อเราท้าท่านก็รบด้วย ท่านบอกเอ็งจะเอานานเท่าไหร่ล่ะ ? บอกว่าถ้าหลวงปู่ให้ได้ ๓ เดือนผมจะบวชเอาพรรษาเลย ท่านบอกตกลง โอ้โหทันทีที่่ท่านตกลงพอเย็นนั้นทำการภาวนาคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์จริง ๆ อารมณ์ใจมันละเอียดมาก ละเอียดจนบอกไม่ถูก รู้แต่ว่าจะหลับจะตื่นจะยืนจะนั่งจิตมันรู้ตลอด อารมณ์มันทรงตัวตลอด กิเลสมันจะเข้ามาตอนหลับตอนตื่นมันกันทันหมด มันรู้ตั้งแต่สาเหตุมันเลย
              สมมุติเราหยิบปากกาขึ้นมาอันหนึ่งอย่างนี้ เออ....มองเองรู้แค่ปากกากองไว้ตรงนั้นแหละ มันรู้หมดเลยว่าถ้าคิดต่อมันจะเป็นยังไง เอ้านี่ปากกาเขียนหนังสือได้นี่หว่า อ้าว...ไอ้นั่นมันเคยว่าเรา เขียนไปด่ามันดีกว่า ออกไปโทสะแล้วใช่มั้ย ? เออ...ปากกาเราเคยเขียนจดหมายไปจีบสาวนี่หว่าเออ....คนนั้นเขาก็สวยดีตอนนี้เขาเป็นยังไงน้อ ? อ้าว....หนักเข้าไปอีกแล้ว มันคิดต่อหน่อยเดียว แต่ว่าอารมณ์ใจตอนนั้นท่านจะตัดตั้งแต่ต้นเหตุเลย ในเมื่อตัดเหตุผลมันก็ไม่เกิด ความฟุ้งซ่านต่าง ๆ จะไม่มีกับใจนึกว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์แล้ว ๓ เดือนนั้นน่ะ พอวันที่ ๙๑ ร่วงลงมาเป็นหมาตามเดิม
      ถาม :  ถ้าตายตอนนั้นไปนิพพาน ?
      ตอบ :  สงสัยจะไปเหมือนกัน เพราะว่ากำลังใจมันเกาะหนับเลย ทำให้มั่นใจว่าเรื่องของมรรคผลนิพพานมีจริงแน่นอน ที่เราไขว่คว้ามาตั้ง ๑๐ กว่าปีนั้น เพราะว่าเรายังทำไม่จริงทำไม่ถึง เอ้า บวชต่อก็บวชต่อ เลยลุยกันมายาวตลอด จนกระทั่งทุกวันนี้ท่านยังตามสงเคราะห์อยู่ อย่าคิดว่าออกนอกวัดท่าซุงแล้วท่านไม่ช่วยนะ นึกถึงท่านเมื่อไหร่ ท่านก็ช่วยเมื่อนั้นแหละ
      ถาม :  แปลว่าได้มโนก่อนที่จะบวช ?
      ตอบ :  อาตมาได้ตั้งแต่ก่อนอายุครบ ๒๐ บวชเอา ๒๘ แล้ว
      ถาม :  แล้วหลวงปู่ขนมจีนท่าน...(ไม่ชัด)...?
      ตอบ :  จริง ๆ ท่านชื่อหลวงปู่เส็ง แต่ว่าถ้าเรียกตามนั้น มันเสียมารยาท เหมือนกับไปจิกหัวเรียกผู้ใหญ่ คราวนี้ท่านชอบขนมจีนจริง ๆ จะเป็นขนมจีนน้ำพริก ขนมจีนน้ำยา ขนมจีนซาวน้ำเอาทั้งนั้นแหละ ให้เป็นขนมจีนเถอะ พวกเราก็เลยเรียกหลวงปู่ขนมจีนกันเป็นปกติไป น่าลองมั้ย ?
              ถ้าเจออย่างนี้เข้า น่าลองรึเปล่า ? ถึงได้บอกคนหน้าด้านทำความดีมันต้องหน้าด้านเหมือนกัน ถ้าหน้าไม่ด้านพอ มันทำไม่ทน ทำไม่นานหรอก เอามั้ยอนุญาตให้เลียนแบบได้
      ถาม :  แล้วหลังจากบวชพระมา หายไปซักสองสามปียังจำอารมณ์นี้ได้ ?
      ตอบ :  จำได้จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็จำได้ ถึงได้จะพยายามตะเกียกตะกายไปให้ถึง
      ถาม :  จำได้เป็นเพราะว่าอยู่นั่น ๓ เดือน ?
      ตอบ :  มันมีเลา ๆ อยู่แล้ว อะไรที่มันเคยได้นี่มันมั่นใจแล้วว่าไม่ยาก พยายามทำไปพยายามค่อย ๆ ตัดค่อย ๆ ละไป ของเราตอนนี้มาพิจารณาดูเราบกพร่องตรงไหนแก้ไขตรงจุดนั้น อันไหนที่มันดีอยู่แล้วทำให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไป มันก็เท่่ากับว่าเราค่อย ๆ สลัดสิ่งที่ไม่ดีออกไปทีละน้อย ๆ ตัวมันจะเบาขึ้นใจมันก็จะเบาขึ้นไปเรื่อย
      ถาม :  พระโสดา พระสกิทาคาเขาจะมีความ....(ไม่ชัด).....ความสุขจะมีตลอดเลย ?
      ตอบ :  ตลอดเพราะว่า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ท่านเป็นพระอริยเจ้าแล้วมีแต่เจริญขึ้นไม่มีต่ำลง อริยะคือเจริญขึ้นโดยฝ่ายเดียว คราวนี้ท่านเปรียบเอาไว้ว่า ความสุขของพระเจ้าจักรพรรดิที่อยู่สุขอยู่เย็น มั่นใจว่าโลกนี้ไม่มีใครเป็นศัตรูของท่านได้ มีความสุขเท่าไรไม่ได้เศษหนึ่งส่วนสิบหกของพระโสดาบัน พระเจ้าจักรพรรดิท่านเป็นหนึ่งในสี่ประเภทที่กลัวอะไรไม่เป็นจำได้มั้ย ?
              สี่ประเภท หนึ่งช้างศึก สองม้าอาชาไนย สามพระเจ้าจักรพรรดิ สี่พระอรหันต์ สี่ประเภทนี้กลัวอะไรไม่เป็น พระอรหันต์ท่านกลัวอะไรไม่เป็น เพราะท่านไม่เป็นทุกข์เป็นโทษกับใครอยู่แล้ว ใครจะเป็นทุกข์เป็นโทษกับท่าน ๆ ก็ไม่สนใจ เพราะมันเบียดเบียนได้แค่ร่างกาย เบียนเบียนจิตใจท่านไม่ได้
              ส่วนพระเจ้าจักรพรรดิท่านปราบได้ในทวีปทั้งสี่ไม่มีใครเป็นศัตรูกับท่านได้ คนที่มั่นใจได้ขนาดนั้นจะไปกลัวอะไร เรื่องของช้างศึกกับม้าอาชาไนยเขาผ่านการฝึกฝนมาดี ผ่านการเคี่ยวกรำมาอย่างสาหัสสากรรจ์จนกลัวอะไรไม่เป็น เสียงดังแค่ไหนก็บุกไปข้างหน้า อาวุธขนาดไหนก็บุกไปข้างหน้า เจ็บแค่ไหนก็บุกไปข้างหน้า
      ถาม :  ท่านเคยลองฝึกกสิณ ?
      ตอบ :  ฝึกกสิณรึยัง ? ฟาดมาตั้งแต่อายุยังไม่ทันจะครบยี่สิบไม่ได้ลอง เอาจริง ๆ เลย
      ถาม :  ทำให้น้ำแข็ง ?
      ตอบ :  สะใจมากเลย อ๋อ ! น้ำแข็งสมัยนี้เหรอห้าบาทก็ได้แล้ว ถุงเบ้อเร่อไปมันเรื่อย เขาว่าพอไปถึงท้าย ๆ แล้ว เหมือนปลาไหลแช่น้ำ มันจับไม่ค่อยติดหรอก (หัวเราะ)
      ถาม :  การไปธุดงค์นี่จะได้อภิญญาเร็วขึ้นไม๊คะ ?
      ตอบ :  ถ้าอภิญญาก็ได้เร็วขึ้น ได้เร็วขึ้นตรงว่ากำลังใจเข้มแข็งขึ้น พอกำลังใจเข้มแข็งขึ้นการปฏิบัติมันก็ง่ายขึ้น
      ถาม :  หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านจะมาสอนอยู่ประจำ ถามตรงได้เลยใช่มั้ยเจ้าคะ ให้แต่กำลังใจให้ทำได้เต็มที่ ?
      ตอบ :  อย่างนั้นมันน่าจะโดนไม้เท้า ของอย่างนี้ถ้าหากมีโอกาสต้องทำจริง ๆ เพราะว่าเรื่องของบุญเรื่องของกรรมนี่เราไม่ได้ทำอย่างเดียวกัน เราทำสลับกันไปสลับกันมา ผลบุญผลบาปมันจะให้ผลสลับกันไป
              ช่วงระยะเวลาที่กุศลกรรมเข้า ส่งผลให้นี่ต้องรีบกอบโกยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่อย่างนั้นพอจังหวะเลยไป อกุศลกรรมเข้ามาเราอาจจะฟุ้งซ่านไม่เป็นท่าเลย เพราะฉะนั้นตอนช่วงที่ความดีเข้านี่ต้องตุนเอาไว้ให้เยอะที่สุด จะได้เพียงพอที่ไปจะลุ้นตอนที่ความดีมันถอยไป เรื่องของพระนี่เขาห้ามประมาท ถ้าขี้เกียจแปลว่าประมาทมาก
      ถาม :  การที่ต้องนั่งสมาธิ....(ไม่ชัด)....?
      ตอบ :  ท่านบอกอย่างไรให้ทำอย่างนั้น เพราะว่าเวลาของพระของเทวดาเขาแน่นอน ถึงเวลาท่านจะมาสงเคราะห์ช่วงไหนก็ช่วงนั้นเลย ทำงานทำการอะไรก่อนให้วางให้หมด ถ้ารู้ตัวว่าเราเป็นคนขี้ง่วงนอน เรานอนตั้งแต่หกโมงเย็นแล้วตั้งนาฬิกาปลุกไว้เที่ยงคืน พอถึงเวลาเที่ยงคืนขึ้นมาล้างหน้าล้างตาเสร็จจุดธูปเทียนบูชาพระ ตั้งใจอาราธนาบารมีพระบารมีหลวงพ่อท่านช่วยสงเคราะห์
      ถาม :  ส่วนใหญ่ท่านจะไม่ให้หลับเลย ?
      ตอบ :  ถึงได้ว่าถ้าหากว่าของเราเองคิดว่ามันอาจจะง่วงนอน ตอนนั้นก็นอนตุนไว้ก่อน น้อยคนนะที่พ่อจะไปสอนอย่างนั้น ของอาตมาเองยังต้องมาตามเก็บอยู่เลย
              สมัยที่ไปสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ พวกช่างกินเหล้าเมาหัวราน้ำทุกวัน พอเรามากรุงเทพฯ หลวงพ่อไปคุมงานโผล่ให้มันเห็นเป็นตัว ๆ เลย เราก็มานั่งน้อยใจ ของเรากว่าจะเจอหลวงพ่อได้ปล้ำกันแทบเป็นแทบตาย ใช้มะนงมะโนให้ยุ่งไปหมด พวกนี้มันกินเหล้าทุกวันหลวงพ่อโผล่มาให้มันเห็น อันนั้นมันประเภทไม่เข้าเรื่อง น้อยใจครูบาอาจารย์