สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๔
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม :  ทุกวันนี้ยังมีดวงจิตที่เกิดขึ้นใหม่ไหมครับ ?
      ตอบ :  มีจ้ะ เมื่อเวลาถึงวาระที่เหมาะสม สามารถมีเกิดขึ้นมาได้อีกเรื่อย ๆ แต่ว่าเทวดาทั้งหมดรวมกันยังไม่เท่ากับนรกขุมเดียว ข้างล่างนี่รอขึ้นมามีเยอะเหลือเกิน น่าตกใจไหม ? เยอะขนาดนั้น สวรรค์แต่ละชั้นนี่ไม่ใช่เล็ก ๆ นะ เอาโลกมนุษย์หย่อนลงไปในสวรรค์ชั้นหนึ่งคงเหมือนเม็ดถั่วเม็ดหนึ่งในเข่งเบ้อเร่อเลย แต่เทวดาที่เยอะขนาดนั้นแล้ว รวมกันทุกชั้นแล้ว ยังไม่เท่ากับที่อยู่ในอบายภูมิขุมเดียว
      ถาม :  เขามีที่บรรจุหรือเจ้าคะ ?
      ตอบสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดจากการกระทำ ถ้าไม่มีคนทำดีทำชั่ว นรก สวรรค์ พรหม นิพพาน ไม่ต้องมีก็ได้ แต่คราวนี้เมื่อมีการกระทำขึ้นมา สิ่งเหล่านี้ก็เกิดมารองรับการกระทำอันนั้น ผลการกระทำของเราจะดีจะชั่ว จะต้องการไม่ต้องการให้เป็นไปก็ตาม ผลการกระทำของเรานั้นเกิดขึ้นแน่ ในเมื่อเกิดขึ้นแน่ก็ต้องมีสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มา
      ถาม :  แล้วดวงจิตของคนเราเกิดขึ้นมายังไง ?
      ตอบ :  อันนี้พระพุทธเจ้ายังไม่ตอบเลย เอาเป็นอันว่าในจักรวาลของเราประกอบไปด้วยวัตถุธาตุจำนวนประมาณไม่ได้หลายต่อหลายอย่างเมื่อวนไปวนมา ชนกันเข้าก็เกิิดป็นแร่ธาตุต่าง ๆ ขึ้นมา สภาพของจิตที่เกิดขึ้นก็จะมีสภาพคล้าย ๆ กัน มันต้องรอระยะ รอเวลา รอจำนวนสสารต่าง ๆ ที่เหมาะสม เมื่อรวมกันเข้าด้วยจังหวะที่พอดีของมันก็จะเกิดขึ้นมาเอง อธิบายอย่างหยาบ ๆ เข้าใจง่ายกว่านะ อธิบายละเอียดนี่บ้ากันไปข้างหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านถึงได้บอกว่า อจินไตยไง ผู้ที่คิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า....ใกล้ ๆ แล้ว
      ถาม :  แล้วจิตที่เกิดขึ้นใหม่สามารถเกิดเป็นมนุษย์ได้เลยหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ไม่แน่เหมือนกัน อาจเวียนว่ายอยู่ระยะหนึ่งจนกว่าจะหาจุดที่เหมาะสมได้ เพราะว่าการเกิดของมนุษย์ระยะแรก ๆ ก่อนที่จะมีกายทิพย์ก็ต้องรอเหมือนกันใช่ไหม ? ก่อนที่จะมีมนุษย์คู่แรกมันก็ต้องรอวาระรอเวลาเหมือนกัน จนกว่าดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ มาผสมกันในอันตราส่วนที่เหมาะสม ถึงจะเป็นร่างที่อาศัยได้ เพราะฉะนั้นเขาเองก็อาจต้องรอคิวยาวกว่าจะได้เกิด ถึงได้บอกว่าห้าร้อยปีเต่าตาบอดโผล่มาทีหนึ่ง ถ้าหัวสวมห่วงได้เมื่อไรก็มีโอกาสเกิด มันจะกี่ครั้งล่ะ ห่วงก็ดันลอยอยู่ในทะเลที่มีแต่คลื่น
      ถาม :  ลักษณะเช่นนี้ จิตวิญญาณดวงนั้นมีโอกาสแตกสลายได้ ?
      ตอบ :  อันนั้นไม่ทราบจ้ะ มองไม่ถึง อาจเป็นว่าแรงบุญแรงกรรมคอยรักษาเขาเอาไว้ก็ได้
      ถาม :  ......(คุัยเรื่องหิน).....?
      ตอบ :  อย่างนี้เอาไปแลกที่ดวงดาวสิปปังได้ ที่นั่นหินจะมีค่ามากเลย มันมีแต่เพชร เอาไปแลกมันสักกระสอบหนึ่ง ไปถึงก็โกย ๆ ไป ไม่มีใครว่าหรอก มันมีเต็มไปหมด ถึงขนาดเอามาประดับโต๊ะประดับเก้าอี้กัน
      ถาม :  ที่ไหนคะ ?
      ตอบ :  ดาวดวงหนึ่งจ้ะ ชื่อภาษาบาลีเขาเรียกว่าสิปปัง สิปปังนี้ก็คือ ศิลปะ พวกนี้เขาจะช่างแต่งตัว ประดับกันทีหนึ่งก็เป็นกุรุส
      ถาม :  แล้วอยู่ในสุริยะจักรวาลหรือเปล่า ?
      ตอบ :  อยู่กันคนละจักรวาลกัน แต่ว่ายังไงล่ะ ? พอไปไหวถ้าหากว่าเครื่องไม้เครื่องมือของเราเหมือนเขา เพราะว่าดวงดาวอื่น ๆ นี่เขาเจริญกว่าเราเยอะ
      ถาม :  ในจักรวาลอื่น ๆ นี้ มีพระอรหันต์หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ก็ดูก่อน เพราะว่าถ้าหากว่าที่ไหนก็ตามที่ธรรมะของพระพุทธเจ้าคงอยู่และมีผู้ปฏิบัติตาม ที่นั่นก็จะมีพระอริยเจ้า สถานที่เหล่านั้นบางทีพระพุทธเจ้าก็เสด็จไปโปรด บางทีพระอรหันต์ก็เสด็จไปโปรดเหมือนกัน เพียงแต่ว่าของเขาเป็นลำบากอยู่ตรงจุดที่ว่าเขามันสบายเกินไป บอกว่าอนิจจังไม่เที่ยง ก็เขาอยู่กันเป็นหมื่น ๆ ปี บอกว่าทุกขัง เป็นทุกข์ มันก็สบายอยู่ด้วยบุญฤทธิ์เสียด้วยซ้ำไป บางดวงดาว อย่างดาวพุธของเราอย่างนี้ เวลาจะไปไหนก็ลอยไป จะกินข้าวก็....ข้าวมันก็ไม่ต้องมีเปลือกเสียด้วยนะ รูดมาก็ใส่หม้อได้เลยอย่างนี้ ถ้ายิ่งเป็นของอุตรกุรุทวีป เช่น ดาวพลูโต รูดมาถึงก็ตั้งบนแก้วมณี ดีกว่าไมโครเวฟอีก สุกพอดีไม่เคยไหม้เลย อยากได้กับข้าวก็นึกเอา อยู่สบายจนกระทั่งบอกว่าทุกข์ยังไม่รู้เลยว่าเป็นอย่างไร ก็เลยเข้าถึงธรรมได้ยากหน่อย
      ถาม :  แล้วเวลาเขาตายแล้วเขาไปที่ไหนกัน ?
      ตอบ :  ที่เดียวกันจ้ะ นรกเดียวกัน สวรรค์เดียวกัน พรหม นิพพาน เหมือนกัน จักรวาลไหน ก็ยังจัดอยู่ในพวกของมนุษย์โลกอยู่ มีดวงดาวน้อยมากที่มีสัตว์ อย่างสุริยะจักรวาลของเรา ดวงดาวที่คล้ายคลึุงกับเรามากที่สุดคือดาวศุกร์ เพราะว่าเขามีสัตว์ด้วย ดาวอื่น ๆ มีแต่มนุษย์ที่สบาย
      ถาม :  สัตว์เยอะแบบโลกเราไหมครับ ?
      ตอบ :  คล้าย ๆ กัน เพียงแต่ว่าของเขาอยู่ได้แค่ตรงบริเวณช่วงกลางเท่านั้น มันหมุนเข้าหาดวงอาทิตย์ด้านเดียว ด้านที่หมุนเข้าหาดวงอาทิตย์ก็ร้อนอยู่ไม่ได้ ด้านที่หันตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ก็หนาวอยู่ไม่ได้ อยู่ได้แค่เขตกลาง ๆ เท่านั้น คราวนี้อยู่ได้แค่เขตเงามัวของมัน ฝรั่งมันส่องกล้องทีไรก็เล่นแต่ด้านสว่าง ไม่เจออะไร
      ถาม :  แล้วดาวพุธนี้ยิ่งอยู่ไม่ได้ใหญ่เลย ?
      ตอบ :  ลักษณะเดียวกัน คือ ด้านที่หันออกมันก็อยู่ได้
      ถาม :  .....................
      ตอบ :  เห็นส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้ การเห็นพระพุทธเจ้าไม่จำเป็นจะต้องเต็มองค์ บางทีสมาธิไม่ดี อย่างอาตมาเวลาป่วยมาก ๆ บางทีเห็นแค่ปลายเกศนิดเดียว แต่ขอให้เรามั่นใจว่าพระองค์ท่านอยู่ตรงหน้าเราเป็นอันใช้ได้ สำคัญตรงความมั่นใจ
      ถาม :  แล้วจำเป็นมั้ยคะ อย่างสอนลูกสาวอายุ ๕ ขวบนี่ จำเป็นมั้ยที่เราให้เขาทำตามที่ครูฝึกสอน หรือเราให้ทำตามเราสอนและพยายามบอกด้วยตัวเอง ก็ว่าทำให้ถูกและดีที่สุด ?
      ตอบ :  ถ้าเรามั่นใจว่าเราสอนถูกก็ได้ แต่ถ้าไม่มั่นใจให้ครูฝึกเขาสอนหน่อย แต่ว่าสำหรับคนอื่นแล้วมันไม่คุ้นเคย บางทีเด็กเขาอาจไม่ทำตาม ฉะนั้นพ่อแม่จะดีกว่า
      ถาม :  เขาเคยนั่งแล้วเขาเห็นคุณป้าที่เสียไปแล้ว แล้วเขาบอกแทนที่จะเห็นเป็นคุณป้า เขาบอกว่า เห็นเป็นนางฟ้าแต่งชุดเหมือนนางสาวไทย ?
      ตอบ :  เด็กอธิบายไม่ถูก เขาบอกเหมือนนางสาวไทยก็นับว่าเก่งมากแล้วนะ เขาอาจจะเห็นนางสาวไทยแต่งชุดไทย ไม่ใช่แต่งชุดว่ายน้ำ
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ถ้าก่อนจะนอน เราแนะนำให้สวดมนต์ นะโม ๓ จบ กับให้เขา พุทโธ ๓ ครั้ง ?
      ตอบ :  บอกให้พุทโธ นึกถึงภาพพระไว้ คิดว่าถ้าหากว่าเราตายเราจะไปอยู่กับพระพุทธเจ้าแล้วก็ให้เขาหลับไปเลย
      ถาม :  แล้วถ้าหากบอกว่าให้เขาไปอยู่กับหลวงตาฤๅษีนี่ ?
      ตอบ :  ก็ได้เหมือนกัน
      ถาม :  เขาก็คงจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอกค่ะ บอกให้เขาอธิษฐานให้ไปอยู่กับพระ ?
      ตอบ :  ถ้า ๕ ขวบนี่มีพื้นฐานขนาดนี้ โตขึ้นนี่คนอื่นไล่ทันยาก
      ถาม :  ตัดความห่วงนี่มันยากกว่า ....?
      ตอบ :  มีใครเขาตัดได้ล่ะ ? พระพุทธเจ้ายังตัดไม่ได้เลย อาตมาพูดนี่ไม่ได้ลบหลู่พระพุทธเจ้านะ ความห่วงใยในครอบครัวเป็นเรื่องปกติ พระพุทธเจ้าท่านก็ห่วงเหมือนกับพวกเรา เพราะว่าถึงเวลาท่านก็เสด็จไปโปรดพระพุทธมารดา เสด็จไปโปรดพระประยูรญาติ เสด็จไปโปรดพระนางพิมพา พระราหุล ถ้าไม่ห่วงจะไปทำเกลืออะไรเพียงแต่ความห่วงของท่านน่ะท่านทำแค่หน้าที่ ปุตตะทารัสสะสังคะโห สงเคราะห์บุตร ภรรยาและหมู่ญาติเหล่านี้ คราวนี้ถ้าท่านสงเคราะห์ฺแล้วเกิดไม่ได้ผลขึ้นมา ท่านก็จะไม่ไปกังวลกับมัน แต่พวกเราถ้าสงเคราะห์แล้วไม่ได้ผลเราจะกังวล มันต่างกันตรงนี้เอง พระสารีบุตรจนกระทั่งวาระสุดท้ายแล้ว ถ่ายเป็นเลือดจะมรณภาพอยู่แล้ว รู้ว่าแม่เป็นมิจฉาทิฐิก็อุตส่าห์กลับไปโปรด ท่านก็ทำตามหน้าที่ของลูกที่ดีใช่มั้ย ? สงเคราะห์แม่ได้เท่าไหร่ก็แค่นั้น
      ถาม :  หน้าที่นี่ อะไรคือขอบเขตของหน้าที่ของเราที่เราคิดว่าไม่อกตัญญูแล้ว ดีที่สุดแล้ว เหมือนกับว่าเราอกตัญญูเกินไป เออ....ทิ้งพ่อเถอะ พ่อจะคิดยังไง ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าสงเคราะห์ได้ให้การสงเคราะห์ ถ้ายังสงเคราะห์ไม่ได้ปล่อยวางไว้แต่ตั้งจิตหวังไว้ว่า ถ้ามีโอกาสเราจะสงเคราะห์ท่านอีก
      ถาม :  แล้วเวลาพ่อว่าพระอริยะ แล้วเราโกรธ เราจะทำอย่างไรไม่ให้โกรธ ?
      ตอบ :  แล้วจะไปโกรธทำไมล่ะ ?
      ถาม :  กลัวเขาลงนรกค่ะ ?
      ตอบ :  เห็นพ่อลงแล้วเราก็โดดตามใช่มั้ย ? แหม ! ไอ้โกรธน่ะ เราโดดตามไปด้วยแล้ว
      ถาม :  ก็เฉย ๆ เหรอคะ ?
      ตอบ :  ก็วางอุเบกขา ถือว่ากรรมของเขา กัมมัง สัตเตวิภัชชะติ กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ ใครทำใครได้ แต่ถ้าเราจะสงเคราะห์เพื่อให้พ่อได้รู้ได้เข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นอย่างไร นาน ๆ ก็แหย่ไปหน่อย ถ้าเห็นว่าท่านยังรับไม่ไหว เราก็ถอยลงมาอีก การปฏิบัติของเราจะมีตัวทดสอบอารมณ์อยู่ตลอดเวลา ทุกวินาทีสามารถมาได้ตลอด สติสัมปชัญญะต้องสมบูรณ์จริง ๆ ไม่อย่างนั้นเราจะแพ้เขา ข้อสอบมาใน ๔ แง่ รัก โลภ โกรธ หลง แค่นี้ แต่มันออกมาได้เป็นแสนเป็นล้านข้อ อย่าคิดว่ามาแค่นี้เรารู้ทันแล้วเขาจะมาอีก เขาไม่มาอีกหรอก เขาไปอีกแง่หนึ่ง ถ้าเราตั้งหลักไม่ทันก็เสร็จเขาเป็นไงล่ะ ลองนึกถึงวันนั้นสอบแล้วเป็นไง ตกระเนระนาดเลยใช่มั้ย ?
      ถาม :  ที่ผ่านมา่ตัวผมเองเคยสวดมนต์นั่งสมาธิตอนกลางคืน ทีนี้เราตั้งขอบเขตเกินไปว่าเราจะต้องทำ ทีนี้ร่างกายเรา....(ไม่ชัด)....ก็เลยคิดว่าการที่เราอาจจะไม่ได้สวดมนต์นึกพระพุทธเจ้าหรือหลวงพ่อนี่ให้ตลอดวันดีกว่า น่าจะทำได้ ?
      ตอบ :  ดีกว่าเยอะเลย คือการที่จะทำอะไรเป็นแบบเป็นแผน มาทำตอนตื่นนอน เพราะร่างกายเราพักมาเต็มที่แล้ว เหนื่อยมาทั้งวันมันเพลียมาก บางทีร่างกายมันไม่เอาด้วย หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตั้งใจว่าตอนนี้เราจะนอนแล้ว คนนอนลงเหยียดยาวมันก็เหมือนกับคนตาย ขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้าบนนิพพาน ภาวนาแล้วหลับไปเลย อย่างนี้ง่ายกว่า
      ถาม :  การที่เราไม่ได้สวดมนต์นี่เป็นอะไรกับเราหรือเปล่า่ ?
      ตอบสวดมนต์มันยาทา ภาวนามันยากิน อันไหนได้ผลเร็วกว่ากัน เดี๋ยวเจอยาฉีดหนักกว่านั้นอีก พอร่างกายมันดีแล้ว พอเช้ามืดตื่นขึ้นมาแล้วเรามาว่ากันใหม่ จะมีโอกาสปฏิบัติเต็มที่ได้ หลวงพ่อท่านไปช่วยสร้างโบสถ์ทางสมุทรสาคร งานมันเลิกดึกเพราะเขาจัดงานกัน ๗ วัน ๗ คืน หลวงพ่อท่านก็พายเรือกลับทั้งกลางคืนเพราะว่าท่านบอกว่าเดินทางกลางคืนเรือแจวมันสบายดี ไม่งั้นแดดมันร้อน ปรากฏว่าผ่านบ้านทายก ทายกประจำวัดนี่เขาสวดมนต์เก่ง เขาเล่นมหาสมัย เจ้าประคุณเถอะ เขาบรรยายถึงสมัยที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงธรรมแล้ว เทวดากี่เหล่ามาฟัง เขาออกชื่อทีละองค์ ทีละเหล่า เล่าเรื่องกันยาวเหยียด คนสวดเก่ง ๆ ยังเป็นชั่วโมง แต่ทายากเขาขึ้น เอวัม เม สุตตัง เอกัง สมยัง พอได้สติขึ้นมาก็ เอวัม เม สุตตัง คือไอ้ใจมันอยากจะภาวนา แต่กายมันไม่ไหว เอมันอยู่นั่นแหละ จะตี ๒ อยู่แล้วยังเอไม่จบซะที หลวงพ่อท่านพายเรือผ่านไปพอดี เอาพายกระทุ้งข้างฝาเข้าปัง เฮ้ย ! สวดมนต์นั่นยาทา ภาวนานั่นยากิน พุทโธก็พอ หลับได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคืนนั้นไม่ได้หลับหรอก
              นั่นก็คือไปติดสัจจะ เคยทำทุกวัน ไม่ได้ทำไม่สบายใจ ไม่ได้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำต้องตั้งใจ ถ้าตั้งใจจะสวดมนต์หรือภาวนามันทรงสมาธิได้เหมือนกัน ถ้าร่างกายมันไม่ไหว มันหิวมาก ๆ เหนื่อยมาก ๆ มันเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างนี้สมาธิมันจะไม่ทรงตัว จะไปภาวนาหรือสวดมนต์มันไม่ไหว ก็ใช้วิธีรวบรัด จะนึกถึงภาพพระ หรือว่า นึกภาวนาอะไรก็ได้ อาตมาเองระยะหลัง ๆ หากินเอาง่าย ๆ ไม่ค่อยภาวนาแล้ว นึกถึงภาพพระอย่างเดียวพอ
      ถาม :  การที่เราไปเสี่ยงทายดูว่าเราจะถึงนิพพานในชาตินี้มั้ย ?
      ตอบ :  นั่นกำลังใจมันต้องแน่มากเลย ไม่งั้นเดี้ยง
      ถาม :  อย่างนั้นผลมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนครับ ?
      ตอบ :  เป็นไปตามเฉพาะหน้า เหมือนอย่างคุณขับรถความเร็ว ๑๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ๓ ชั่วโมงครึ่งจะถึงทองผาภูมิ ถ้าหากว่าเราลดความเร็วลงมันจะเกิน ๓ ชั่วโมงครึ่ง แต่ถ้าเราเพิ่มความเร็วขึ้นมันจะไม่ถึง ๓ ชั่วโมงครึ่ง คำพยากรณ์ทุกอย่างจะเป็นไปตามกำลังใจเฉพาะหน้าตอนนั้น พอถึงเวลาถ้าหากว่าเราสร้างความดีเพิ่มขึ้นหรือความดีลดลง คำพยากรณ์นั้นก็จะเปลี่ยนแปลงไป อย่าไปทำอย่างนั้น ถ้ากำลังใจของเราไม่มั่นคงนี่โอกาสที่กำลังใจตกมันจะมีเยอะมาก
              อาตมาเองเข้าไปในสถานที่หนึ่ง มันคล้าย ๆ กับเมืองลับแล คือมันเป็นพื้่นที่ ๆ ทางอำเภอเขาบอกว่าไม่มี ทางจังหวัดเขาก็บอกว่าไม่มี แต่เราเข้าไปตรงนั้นมันมี แล้วก็มีชาวบ้านอยู่เยอะ ไปคลุกคลีตีโมงอยู่กับเขาระยะหนึ่ง เขาเห็นว่าเราบ้าจริงเขาก็เลยเล่าโน่นเล่านี่ให้เราฟัง วันหนึ่งเขาก็เล่าว่าบนเขาในป่ามีรอยเท้ายักษ์อยู่ เราพอได้ยินก็เข้าใจเลยว่าเป็นรอยพระพุทธบาท ก็ตั้งใจอธิษฐานเลยว่า ถ้าเราจะเข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้่จริง ขอขึ้นไปแล้วก็หาให้พบด้วย จะลองมั้ยล่ะ ? กี่แสนไร่ก็ไม่รู้ถ้าบ้าพอก็เอา แต่อาตมาขึ้นไปแล้วหาเจอ อาศัยฝีมือดีถามเจ้าที่ก่อนง่าย เดินดุ่ย ๆ ไปเลย ถามไปเรื่อยถามถึงหรือยัง ง่ายนิดเดียวเนอะ ถ้าเป็นเราแย่เลยเป็นแสน ๆ ไร่ ทากเป็นดง ๆ
      ถาม :  เรื่องของศัตรูคนที่มาอาศัยบ้านของเราเขาจะเข้ามาครอบครองปรปักษ์ อาศัยอยู่มาเป็น ๑๐ ปี แล้วก็ไม่ยอมออก ก็อธิษฐานว่าถ้าเขาจะออกไปปีนี้ ก็ขอนึกถึงอะไรสักอย่างก็เป็นรอยพระบาทคู่ เขาจะต้องออกในปีนี้ เขาออกพรุ่งนี้น่ะค่ะ คือไม่เคยจะออกเลยอยู่ ๆ ก็ออก แล้วสามีเขา....คือของหนูน่ะสำเร็จแล้วในเรื่องของคนออกไป แต่ว่ามีเรื่องใหญ่กว่าเยอะ เขาก็เลย....?
      ตอบ :  ชักลังเลใช่มั้ย ? อ๋อ ตอนนี้ที่ศาลหลักเมืองไม่รู้ยังอยู่หรือเปล่า ? ศาลหลักเมืองจะมีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่ง ไม่ทราบว่าทำด้วยโลหะอะไร ไม่ทราบว่าเงินหรือตะกั่ว หน้าตักคงประมาณ ๙ นิ้ว เขาบอกว่าถ้าหากอธิษฐานเรื่องอะไร ถ้าสำเร็จจะยกพระขึ้น ถ้าไม่สำเร็จจะยกไม่ขึ้น ไอ้เราเอง เฮ้ย องค์แค่นี้เอง แรงเราขึ้นอยู่แล้วก็เลยตั้งใจอธิษฐาน ถึงเรื่องมันจะสำเร็จไม่สำเร็จยกขึ้นอยู่แล้ว ก็งัดเต็มที่เลย เกือบหงายท้อง มันหยั่งกับกระดาษไม่มีน้ำหนักเลย เราก็กะเต็มที่เลยว่า พระโลหะหน้าตัก ๙ นิ้วน้ำหนักคงเท่านี้ ไอ้เราก็ว่าซะเต็มที่ของเราเลย แล้วเราลองดูว่าของที่เราว่าน้ำหนักเท่านี้แล้วมันไม่มีน้ำหนักแล้วอะไรมันจะเกิดขึ้น แรงของเราเองมันจะงัดเราหงายท้องไปเอง
              อีกที่หนึ่งก็ที่พระพุทธบาท สระบุรี ที่นั่นเขาจะมีช้ิางทองเหลืองหล่ออยู่ตัวหนึ่ง แล้วก็มีห่วงอยู่ ถ้าเป็นผู้ชายเขาใช้นิ้วก้อยเกี่ยว แต่ถ้าเป็นผู้หญิงเขาใช้นิ้วชี้ แต่ถ้าผู้ชายต้องนั่งคุกเข่าราบ ถ้าผู้หญิงคุกเข่าชันเท้าได้ เราก็เข้าไปถึงเห็นรูปหล่ออยู่ตรงหน้าผู้ที่เป็นแม่กองบูรณะพระพุทธบาทคือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอนงค์ หลวงปู่เราเอง กำลังใจมันเหลือเฟือ เกี่ยวปุ๊บลอยขึ้นมาเลย มันไม่หนักเลยนี่ ก็วาง ตอนวางนี่มันไม่ลงที่เพราะพื้นมันเป็นพรม รอยบุบมันมีอยู่วางลงเสร็จ ๒ มือผลักไม่ไป มันหนักขนาดนั้นน่ะ เพราะฉะนั้นมันขึ้นอยู่กับกำลังใจ ถ้าหากว่ากำลังใจดี เรื่องบางอย่างมันก็สำเร็จลงง่าย แต่ขนาดบางอย่างกำลังใจดีแต่ว่าบุญมีกรรมมาบัง ก็ไม่สำเร็จได้เหมือนกัน
              เพราะฉะนั้นของเรามันมาถึงระดับนี้มันหน้าด้านซะแล้ว สำเร็จไม่สำเร็จข้าก็จะทำ ก่อนหน้านี้ ๙๐% เราถึงจะทำตอนนี้ ๑: ๙๙ ก็เอา เพราะฉะนั้นมันขึ้นอยู่กับกำลังใจของเรา ถ้าไม่มั่นใจตัวเองอย่าเพิ่งไปเสี่ยงในลักษณะนั้น มันจะพาตัวเองฝ่อไปนาน เรื่องแปลก ๆ มันมีเยอะ ตั้งแต่อธิษฐานมายังไม่เจอเรื่องไหนที่ไม่สำเร็จเลย
      ถาม :  แล้วมีอะไรที่จะแนะนำส่วนตัวมั้ยครับ ?
      ตอบ :  ไม่มี จำเอาไว้ว่าถ้าจะปฏิบัติต้องทำจริง ๆ เท่านั้นเอง ส่วนใหญ่ที่ทำมันยังทำไม่จริง เจออุปสรรคเจอเรื่องอะไรลำบากนิดหน่อยก็เลิกกันหมด มันไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ หรอก ทุกอย่างต้องลำบาก เห็นคนอื่นเขาได้มาง่าย ๆ น่ะ มันแค่ที่เราเห็น แล้วชาติก่อน ๆ ที่เขาสร้างสมมามันเหน็ดเหนื่อยกันขนาดไหน เราไม่ได้เห็นตอนนั้น ก็ไปคิดว่าเขาได้มาง่าย ๆ กว่าจะได้แต่ละอย่างเลือดตาแทบกระเ็ด็น