ถาม :  พอดีสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของการให้ทานและผลของการให้ทาน มีอยู่ข้อหนึ่ง ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกหรือเปล่าเจ้าคะ ก็คือว่า ที่ผู้ให้ท่านมีจิตอนุเคราะห์ในการให้ทาน การให้ทานนั้นจะก่อให้เกิด ผู้นั้นมีจิตโน้มไปในทาง ...(ไม่ชัด).....?
      ตอบ :  ลักษณะนั้นเราต้องเข้าใจว่าผลของการให้ทานนี้ยังเป็น กามาวจร คือว่ายังเป็นไปอยู่ในแวดวงของกรรมจะเกิดหมายถึงว่ายังเป็นประเภทที่จากสัตว์เดรัจฉานเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาอย่างนี้ ทีนี้อานิสงส์นี้ยังเป็นของเขาอยู่อย่างนั้น พูดตรง ๆ อย่างนั้นเลยก็ได้ ขณะเดียวกันว่า ทานบารมี ผู้ที่ตั้งใจทำจนสูงสุดแล้วก็เข้านิพพานได้เหมือนกัน แล้วถ้าหากว่าเราพ้นจากตรงจุดนั้นไปถึงความเป็นพระอริยเจ้า กระแสกรรมมันก็จะลดลง ขณะเดียวกันว่า อย่างไฟใช่ไหม เราใช้ให้เป็นคุณก็ได้ ใช้ให้เป็นโทษก็ได้ เราจะรู้จักเลือกใช้เอง
      ถาม :  วิธีในการตัด รัก โลภ โกรธ หลง ตัดอย่างไร ให้ขาดเร็วที่สุด ?
      ตอบต้องเอากรรมฐานคู่ศึกของเขา ในเรื่องของ กามราคะคือความรัก นี่ต้องใช้กรรมฐานคู่ศึกของเขา อย่างเช่นว่า เอา มรณานุสติกรรมฐาน ก็ได้ หรือใช้ อสุภกรรมฐาน หรือ กายคตานุสสติ ที่เป็นคู่ศึกโดยตรงของเขาก็ได้ ตัวโลภ ก็ ทานบารมี กับ จาคานุสสติ ตัวโกรธ ก็ใช้ เมตตาบารมี หรือว่าจะใช้ กสิณสี่ ก็ได้ ถ้าตัวหลง นี่สารพัดเลย โดยเฉพาะตัว อานาปานุสสติ นี่ จำเป็นต้องเจริญให้มากเข้าไว้ ไม่นั้นเดี๋ยวเผลอสติเมื่อไร โอกาสที่จะหลงไปยึดติดอยู่กับ โลภะ โทสะ โมหะ มันก็จะมีอีก ตราบใดที่ยังรัก ยังโลภ ยังโกรธอยู่ หลงแน่ ๆ จ้ะ เพราะฉะนั้นตัวหลงตัดยากที่สุด แต่ขณะเดียวกัน มันเหมือนกับม้านั่งสี่ขา ถ้าหากว่าเราตัดขาใดขาหนึ่งได้ที่เหลือก็ไม่แข็งแรงแล้วล่ะ
      ถาม :  การนั่งกรรมฐานนี้ตัดกรรมได้จริงไหมครับ ?
      ตอบตัดได้จริง แต่ไม่ใช่ว่ากระแสกรรมนั้นขาด มันเกิดจากว่าเราได้สร้างสิ่งที่เป็นบุญกุศลอย่างแรงกล้าขึ้นมาทำให้เราวิ่งห่างจากกรรมนั้น ถึงเวลาถ้าหากว่าตัวบุญนั้นมันขาดช่วงลง กรรมมันก็ตามทันอีก ถ้าจะตัดจริง ๆ ก็ต้องต่อเนื่องไม่ยอมหยุด
      ถาม :  บุคคลที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรกันนี่ แล้วมาเกิดร่วมภพร่วมชาติกัน อาจเกิดเป็นพี่ เป็นน้อง เป็นพ่อ เป็นแม่กัน อย่างนี้มีไหมครับ ?
      ตอบ :  มีร้อยเปอร์เซ็นต์
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ไม่เป็นการจองเวรจองกรรมกันตลอดไปหรือครับ ?
      ตอบ :  มันตลอดไป จนกว่าจะเลิกลากันไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง คือ ได้รับอโหสิกรรมต่อกัน หรือไม่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นพระอรหันต์ไปก็ตามจองไม่ได้ การเป็นพระอรหันต์นี้จะเป็นการอโหสิกรรมโดยอัตโนมัติเพราะความดีท่านสูง
      ถาม :  คือว่า อยากจะได้ยาอายุวัฒนะเจ้าค่ะ ?
      ตอบ :  ก็ศีลห้าข้อเป็นอย่างน้อย ถ้าหากว่าชาตินี้สามารถรักษาศีลได้บริสุทธิ์อย่างชนิดว่าไม่บกพร่องเลย เกิดต่อไปอายุจะยืนมาก อยู่จนลืมเลย
      ถาม :  อายุยืนแล้วขอให้สุขภาพแข็งแรงด้วยเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ถ้าอย่างนั้น อานิสงส์ของการไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก็จะได้ด้วยเพราะว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยนี้ จะเป็นเศษกรรมของปานาติบาตเขา
      ถาม :  แล้วยากินล่ะเจ้าคะ ?
      ตอบมันมีตัวยาบางอย่าง แล้ววิธีการบางอย่าง แต่ผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่เขาไม่ใช้กัน เพราะลักษณะของผู้ที่ชำนาญในกสิณสิบสามารถอธิษฐานปรับธาตุของตัวเองได้ แต่ผู้ปฏิบัติเขาไม่ใช้กันหรอก มันน่าเบื่อหน่ายจะตายไป
      ถาม :  พอดีมีญาติเจ้าคะ เขามาฝึกมโนมยิทธิที่บ้าน คุณพ่อกับแม่จะสอนฝึกสมาธิ แล้วเขากลับไปฝึกอโนมยิทธิที่บ้านเองสักประมาณเดือนหรือสองเดือน พอกลับมานี่เขามาอาการเพ้อเจ้อ ก็เลยไม่ทราบว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดกับคนอื่นที่เขามาฝึกกัน ?
      ตอบ :  อันดับแรกเตือนเขาเลยว่า สิ่งที่เรารู้เห็นจริง ๆ แต่เรื่องที่เรารู้เห็นไม่แน่ว่าจะเป็นจริงตามนั้น เพราะว่ายิ่งเรารู้เห็นชัดเจนเท่าไร การทดสอบก็ยิ่งแรงขึ้นเท่านั้น ในเมื่อเป็นการทดสอบ ถ้าหากว่าสติสัมปชัญญะของเรามันไม่สมบูรณ์ รู้อะไรพูดเท่านั้น มันจะออกอาการเพ้อเจ้อ
      ถาม :  ป้องกันได้ไหมเจ้าคะ ?
      ตอบวิธีป้องกันก็คือว่าพยายามท่องคำว่าไม่เชื่อไว้ก่อน สมัยก่อนที่ยังอยู่ วัดท่าซุง พอมาไล่อารมณ์กันว่าพี่เขาได้เท่าไร น้องเขาได้เท่าไร มันสรุปมาตอนท้าย ๆ คล้าย ๆ กันว่าลูกศิษย์หลวงพ่อที่เป็นพระเหลือคาถาช่วยตัวเองไว้ตอนสุดท้ายว่ากูไม่เชื่อ เรื่องที่เรารู้มาเรื่องที่หนึ่งรู้แล้วถูกต้องแล้ว เรื่องที่สองถูก เรื่องที่สามก็อย่าเพิ่งเชื่อ เตือนตัวเองไว้อย่างนี้ตลอด ไม่อย่างนั้นแล้วโอกาสพลาดมีสูง ท่องคาถาไว้นะอย่าเชื่อง่าย
      ถาม :  ทำอย่างไรถึงเป็นคนความจำดีเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ตัวนี้ใช้คาถา ท่านปู่พระอินทร์ ช่วยได้ คาถาสหัสสะเนตโต เคยได้ยินไหม ? ใช้คาถาบทนั้น เวลาตั้งใจจะจำอะไร ใช้คาถาสหัสสะเนตโต นึกถึงท่านปู่พระอินทร์ให้ช่วยเตือนความจำให้ด้วย รับรองว่าท่านปู่ไม่พลาดหรอก ตั้งกำลังใจไว้นิดหนึ่งว่าเรื่องนี้ถึงเวลาแล้วเราจะทำ
      ถาม :  ใช้คาถานี้กับการอ่านหนังสือได้ไหมเจ้าคะ ?
      ตอบ :  หนังสือนี่เป็นเรื่องถนัดเลยล่ะ เพราะว่าหลวงพ่อท่านแนะนำให้นักเรียนที่สอบใช้คาถานี้แทบทุกคน
      ถาม :  ........(เรื่องเจ้ากรรมนายเวร).........?
      ตอบ :  มีรายการจองเวรที่สนุกมากเลย ก็คือสมัยที่พระพุทธเจ้าเป็น เจ้าชายกุสราช จองเวรพี่สะใภ้ตัวเอง ตอนนั้นท่านยังติดนิสัยขี้โมโหอยู่ พระปัจเจกพุทธเจ้ามาบิณฑบาต พี่สะใภ้ก็....เขาใช้คำว่าแป้งทอด สมัยนี้น่าจะเป็นโรตีนะ ทำเอาไว้สำหรับส่วนของตัวเอง ส่วนของสามีและส่วนของน้องสามีด้วย เอาส่วนตัวเองใส่บาตรแล้วรู้สึกไม่สมกับใจที่อยากจะทำ ก็เอาส่วนของสามีใส่ไปด้วย พอใส่ไปแล้วก็รู้สึกว่ายังไม่สมกับที่อยากจะทำ ก็เอาส่วนของน้องสามีใส่ไปด้วย เสร็จแล้วรีบไปทำใหม่ ยังไม่ทันจะเสร็จสองคนหิวโซกลับมา มาถึงถามหาปรากฏว่าใส่บาตรไปแล้ว น้องสามีก็ด่าเช็ดเลย คราวนี้ท่านเองท่านโกรธ แต่ว่าพอทำเสร็จก็แบ่งให้แต่ละคนเอาของตัวเองไปใส่บาตรเพิ่ม แล้วอธิษฐานว่าอย่าให้เจอหน้าน้องสามีคนนี้อีกเลย รายโน้นพอได้ยินก็โมโหไฟแลบอีกเหมือนเดิม เอาไปใส่บาตรก็อธิษฐานว่าเกิดชาติไหนก็ขอให้ได้ผู้หญิงคนนี้เป็นเมีย ระวังเขาจะจองแบบนี้นะจ้ะ
      ถาม :  แล้วคราวนี้จะอยู่กันดีหรือเปล่า ?
      ตอบ :  พยายามให้มีทาน มีศีล มีปัญญาเสมอกัน อยู่กันได้ แต่ถ้าหากว่ามันไม่เท่ากัน ขาดส่วนใด ส่วนหนึ่งไป ก็อยู่กับลำบากนิดหนึ่ง
      ถาม :  ถ้าเกิดว่าระลึกชาติได้ว่าคนที่เราไปพบนี้เขาเคยเกิดเป็นบิดามารดา ควรที่จะให้ความสำคัญบุคคลนั้นเทียบเท่าบิดามารดาเราหรือแค่รับทราบว่าเคยเป็นบิดามารดามา ?
      ตอบ :  จริง ๆ คือรับรู้ไว้ด้วยความเคารพ แต่เราต้องเข้าใจว่านั่นเป็นสถานภาพในอดีต ปัจจุบันนี้มันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ถ้าหากว่าสามารถที่จะแสดงออกใน อปจายนมัย คือนอบน้อมถ่อมตนต่อท่านได้ก็ให้แสดงออกลักษณะที่ว่าท่านเป็นบิดามารดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ผ่านไปแล้วนี้ มันเหมือนกับเงาในสายน้ำ เราจะไปงมมันเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์อันใด มีแต่จะเหนื่อยเอง เพราะเรื่องมันผ่านมาแล้ว เราจะเป็นผู้หลุดพ้นได้ต่อเมื่อเราปล่อยวาง ถ้าหากว่าเราไปแบกรับเอาสิ่งเก่า ๆ ที่ผ่านไปแล้วกลับคืนมาอีก แทนที่จะปล่อยได้กลายเป็นว่ายิ่งแบกหนักกว่าเดิม
      ถาม :  ถ้าอย่างนั้นก็แค่รับรู้ แล้วปล่อยวาง ?
      ตอบ :  จ้ะ....รับรู้รับทราบแล้วปล่อยวางได้จะดีที่สุด
      ถาม :  แต่ว่า ถ้าทางเขาไม่ปล่อยวางเจ้าคะ
      ตอบ :  ก็นั่นแหละ พวกมโนมยิทธินี้จะมีจำนวนมากที่เขาไปฟื้นความหลัง เสร็จแล้วแทนที่จะจดจำว่าแต่ละชาติที่เกิดมามันก็ทุกข์พอแล้ว กลายเป็นว่าไปฟื้นความหลังเข้ากลายเป็นกอดคอตายกันทั้งพวงเลย คือต่างคนต่างยังขึ้นฝั่งไม่ได้ แทนที่จะละกลับไปยึด
      ถาม :  ถ้าในอดีตเราเคยทำกรรมไม่ดีไว้ ถ้าเราไประลึกตรงจุดนั้นแล้วผลกรรมจะให้ผลคืนมาทันทีเลยหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าตายตอนนั้นก็สบายมากเลย รับรองว่ามีเท่าไรก็รับไปทั้งต้นทั้งดอก พระพุทธเจ้าท่านถึงได้สรุปหลักการปฏิบัติว่า ละเว้นความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม ทำจิตให้แจ่มใสอยู่เสมอ การที่ระลึกถึงความชั่วในอดีต ทำให้จิตใจเศร้าหมอง
      ถาม :  พอดีมีน้องคนหนึ่งเจ้าคะ เขาจะมีจิตที่ผวาอยู่เป็นประจำพอกำหนดจิตดูอดีตชาติแล้วนี่เขาเป็นผู้ที่เคยถูกลอบฆ่าในขณะที่หลับเจ้าคะ แล้วสภาวะจิตที่เขาตกใจก่อนตายทำให้สภาวะของเขาไม่ว่าจะนั่งกรรมฐานหรือนอนจะผวาตื่นเป็นระยะ ๆ ไม่ทราบว่าจะช่วยแก้ปัญหาเขายังไงได้เจ้าคะ ?
      ตอบ :  ให้เขาใช้ความพยายามในการฝึกสมาธิต่อไปนะ ไม่ต้องมากหรือ เอาแค่ปฐมฌานก็แก้ได้แล้ว บอกเขาว่าเป้าหมายแค่ปฐมฌานพอ มันผวาก็ให้ผวาไป พยายามเข้าหน่อยหนึ่ง พอสภาพจิตมันเคยชินเดี๋ยวมันผ่านตรงจุดนั้นได้เอง
      ถาม :  เขาไม่แน่ใจว่าเขาจะไปได้ ?
      ตอบ :  ช่วยกระตุ้นเขาหน่อย ถีบ ๆ ส่งไปหน่อย ไปยุ่งกับเขาขนาดนั้นแล้วก็เอาเสียหน่อยสิ
      ถาม :  ถามเคล็ดลับเจ้าคะ ทำไมผู้ที่ปฏิบัติธรรมเป็นปกติท่านไม่ค่อยจะแก่เลยเจ้าคะ เป็นเพราะอานิสงส์อะไร ?
      ตอบ :  โดยเฉพาะถ้าหากว่าภาวนาตัวภาวนานี่จะทำให้กำลังใจเยือกเย็น มันไม่เครียดในเมื่อไม่เครียด ร่างกายมันก็ทรุดโทรมช้า นี่หมายถึงทำถูกนะ ถ้าทำผิด ทำมากเกินไปก็อาจแก่เร็วได้เหมือนกัน
      ถาม :  อันนี้ปฏิบัติธรรมเพื่อลดอายุได้หรือเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ลดอายุ หลอกเขาได้ อายุมันเท่าเดิม อายุมันก็เป็นปกติของมัน เพียงแต่ว่าร่างกายมันทรุดโทรมช้า
      ถาม :  พอดีช่วงนี้ก็แปลกเจ้าคะ ตัวเองก็จะมีเวลาลืมของหรือว่าต้องเอาของอะไรไป จะมีเสียงเตือนเป็นระยะ ๆ ว่าต้องเอาอะไรไป ต้องเตรียมอะไรไปล่วงหน้า ?
      ตอบ :  ถ้าอย่างนั้นคาถา ท่านปู่พระอินทร์ ไม่ต้องใช้แล้วจ้ะ ใช้ท่านที่เตือนมาเลย
      ถาม :  ไม่ทราบว่าเสียงมาได้อย่างไรเจ้าคะ ?
      ตอบ :  อย่าลืมว่าของเราเองนี่จะมีเทวดาประจำตัวรักษาอยู่ บรรดาเทวดาประจำตัวก็คือพ่อแม่ครูบาอาจารย์หรือว่ามิตรสหายสนิทที่ในอดีตเคยคบหากันมาเคยมีความสำคัญกันมา ท่านตายไปแล้วท่านก็ยังจำเราได้อยู่ ในเมื่อเห็นเราตั้งใจทำความดีก็ช่วยส่งเสริมความดีของเรานิดหนึ่ง มันไม่เกินวิสัยที่จะสงเคราะห์ได้ก็เอาสักหน่อยหนึ่ง ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่มี ทิพจักขุญาน ตรงนี้ถึงเตือนแทบตายมันก็ไม่รู้สักทีหนึ่ง ท่านก็คงไม่เตือนให้เสียเวลาเหมือนกัน
      ถาม :  เพื่อนเขาอยากได้มั่งเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ก็ทำอย่างเราสิ
      ถาม :  เราก็ไม่รู้ว่าทำอีท่าไหนถึงได้ ?
      ตอบ :  บอกเขาว่าเกิดบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ได้เอง (หัวเราะ) มันต้องขยันเกิดหน่อย แต่ละชาติก็ต้องสร้างสมไป เดี๋ยวพอถึงวาระถึงเวลามันก็ได้เอง
      ถาม :  ไม่ทราบว่าพวกผีที่เขาอยู่สิงตามบ้านเขาจะอยู่ในลักษณะยังไงเจ้าคะ ถึงจะเข้าสิงคนได้ ?
      ตอบ :  เรื่องเขาสิงคน ต้องทำความเข้าใจว่า ถ้าไม่มีกรรมอันเนื่องกันมา แล้วจังหวะเวลาเหมือนเปิดให้นี่เขาสิงยากมากเลย เราเองอาจคิดว่าง่าย ๆ แต่ความจริงเขารอจังหวะ บางทีอาจรอเป็นร้อย ๆ ปีหรือรอกันข้ามชาติข้ามภพกว่าจะได้จังหวะของมันนะ สภาพของเขาก็น่าสงสารมาก คล้ายกับว่าของเขาเองโดนจำกัดเขตด้วยกรรมที่เขาทำมาต้องอาศัยอยู่ที่ใดที่หนึ่งโดยเฉพาะอย่างนั้นเป็นต้น
              เพราะฉะนั้นเขาลำบากมาแล้ว น่าสงสารมาก สภาพเขาบุญไม่พอ เลยโดนบังคับให้มีที่อยู่ได้แค่นั้น เทวดาเขามีวิมานสวยเชียว แต่นี่ชาวบ้านเขามีแค่ไหนก็อยู่ได้แค่นั้น เสร็จแล้วถ้าหากว่าวาระและเวลามันเปิดให้ก็อาศัยสื่อผ่านร่างของคนนิดหนึ่งบ่งบอกถึงความต้องการของเขาว่าต้องการอะไร ? จริง ๆ แล้วไม่ใช่ว่าสิงใครง่าย ๆ นะ ยากมากเลย แบบเดียวกับคนเกิดใช่ไหม ? เราเห็นว่าเดี๋ยวคนนั้นท้อง เดี๋ยวคนนี้ท้อง แต่จริงแล้วเขาบอกว่าเอาเต่าตาบอดตัวหนึ่งโยนไว้ในทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นลม แล้วก็มีห่วงอยู่หนึ่งอัน ห้าร้อยปีโผล่มาทีหนึ่ง หัวสวมห่วงได้เมื่อไรก็ได้เกิดเมื่อนั้น เต่าตาดี ๆ ยังมุดไม่ค่อยจะเจอ เต่าตาบอดอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นสภาพที่เราเห็นเราคิดว่าง่าย แต่สำหรับเขาแล้วยากมาก
      ถาม :  แล้วที่สิงเข้าไปแล้ว ต้องการชีวิตนี่.....?
      ตอบมันขู่ไปอย่างนั้นเองแหละ ทำให้ตายจริงไม่ได้หรอก เท่าที่เจอมาก็สามารถคุยกับเขาได้ ถ้าประเภทที่จะเอาชีวิตอย่างเดียวก็ต้องไล่แล้วละ อาจเคยอาฆาตแค้นกันมาก่อนไปทำอะไรให้เขาบาดเจ็บล้มตายขึ้นมา ถึงเวลาเขาจะเอาคืนบ้าง ความสามารถมันไม่พอหรอก ถ้ามันพอ มันเอาตายไปแล้ว ไม่มาสิงหรอก เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวมาก พวกนี้ขู่เราไว้ก่อน แบบเดียวกับ อดิศร ไง มาถึงตรงนี้ ลั่นมาเชียว กูยิ่งใหญ่ที่สุดโลกนี้ไม่มีใครใหญ่กว่ากูอีกแล้ว ก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นขอเชิญผู้ยิ่งใหญ่นั่ง ถ้าขืนยืนค้ำหัวจะโดนพระเตะเสียก่อน มันขู่ได้แต่คนกลัวมัน อันนั้นโทษใครไม่ได้หรอก เขาไปจุดธูปเชิญเอง มันรอจังหวะมานานแล้ว ในเมื่อเชิญเขาเข้าก็ลงเลย แทนที่จะลงกระดาน ลงตัวเลย ไปเปิดช่องให้เขาเอง ถึงเวลาภาวนากันไว้ก่อน ถ้าภาวนาไว้ลงไม่ได้ เคยทำมาแล้ว สมัยเด็ก ๆ เพื่อนเล่นผีถ้วยแล้ว เราก็กลัว เราก็พุทโธ มันเชิญเท่าไรผีก็ไม่มาสักทีมันยัวะใหญ่ เชิญกี่ทีก็ได้ ทำไมเราไปทีไรเชิญไม่ได้สักที เรากลัวผีก็ภาวนาพุทโธไว้ แล้วผีที่ไหนมันจะมาล่ะ ?
      ถาม :  แล้วพวกที่ทรงเจ้า ทำไมถึงได้ ?
      ตอบ :  พวกนั้นส่วนใหญ่ประเภทมีกรรมเนื่องกันมา แล้วถ้าหากว่าเจ้าของร่างปฏิเสธก็ลงทรงไม่ได้ ยกเว้นจะกลั่นแกล้งให้ได้รับความลำบากบางอย่าง เช่น ให้เจ็บไข้ได้ป่วย ให้ฐานะทรุดตังลง จนยอมรับเขาจนได้
      ถาม :  ถ้าเราจะไม่ย่อมจริงก็ได้ ?
      ตอบ :  ได้ ก็งั้นเอาแบบ อดิศร อย่างนั้นแหละ เขาทำอะไรไม่ได้แต่มันทำให้ตัวเองต้องอับอายขายหน้าเขาเวลาได้สติขึ้นมา มันอาละวาดไปเยอะแล้ว
      ถาม :  (ถามเรื่องหิน ทำไมถึงสร้างหลังในการทำสมาธิ) ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วทุกอย่าง อย่าลืมว่าเขาเองเขาอยู่มานานเป็นล้าน ๆ ปี พลังของดินน้ำลมไฟมันย่อมอาศัยอยู่ได้ แล้วขณะเดียวกันบางอย่างนี้อยู่ในลักษณะที่เก็บพลังได้มากเป็นพิเศษ คนที่รู้ในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็สามารถอาศัยพลังงานนั้นไปใช้ในด้านต่าง ๆ ได้ อย่างเช่น แร่ยูเรเนียมใช่ไหม ? ทำให้แกนกลางมันแตกตัวเมื่อไหร่ก็บรรลัยเท่านั้น เพราะฉะนั้นทุกอย่างมีพลังงานอยู่แล้ว ไอสไตน์ ว่าอะไรนะ ? แกนกลางของสสารทุกชนิดก็คือพลังงานใช่ไหม ? เพาะฉะนั้นไม่ต้องเถียงเขาหรอก
      ถาม :  ส่วนใหญ่ทุกคนเคยผ่านมาหลายภพหลายชาติแล้วและก็เคยมีเนื้อคู่มาหลายภพหลายชาติแล้ว ทีนี้ชาตินี้เรามีคู่แล้ว แล้วเราไปเจอเนื้อคู่ในอดีตแล้วรู้สึกชอบเขา อย่างนี้จะผิดศีลไหมคะ ?
      ตอบถ้าหากว่าเป็นแค่ความคิดไม่เป็นไร แต่อย่าให้เป็นการกระทำ ความคิดเป็นมโนกรรม ส่วนของธรรมะมันหมองแต่ว่าศีลไม่ขาด แต่ลักษณะของการเป็นเนื้อคู่ก็อย่างที่ว่ามา เราเกิดมาเยอะก็ย่อมต้องเจอคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง ถ้าหากว่าคนไหนเกิดร่วมกับเรามากลักษณะบุพเพสันนิวาสเจอหน้าก็จะรักชอบเลย คนไหนที่เกิดร่วมกันน้อย โอกาสที่จะเกิดความรู้สึกเหล่านั้นก็จะเบาบางลงไปตามลำดับ ถ้าหากว่าเราสังเกตตัวเราจะเห็นว่าบางทีเราเจอคน ๆ นี้เราก็ชอบเขา แต่ถ้าถึงเวลามันผ่านพ้น ตรงช่วงวาระกรรมนั้นมันแคล้วคลาดกันไปเราไปเจอคนอื่น อ้าว ! เจออีกแล้ว ถ้าใช้มโนมยิทธิดูก็จะรู้ว่าแต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นคู่เรา เพียงแต่จังหวะเวลาของกรรมส่งให้เขามาก่อนมาหลังต่างกันไป
              เพราะฉะนั้นตัวเรานี้จะต้องมีสติสัมปชัญญะอยู่ในตรงจุดที่ว่าศีลของเราต้องไม่บกพร่อง ถ้าหากว่ายอมให้ศีลบกพร่องเมื่อไรโอกาสที่จะลงอบายภูมิมีสูงมาก เพราะฉะนั้นทุกอย่างทำตามทำนองคลองธรรม ชอบใจคน ๆ หนึ่ง คือ ลุงปาน ตอนนี้มีเมียมาคนที่เก้าแล้ว เขาตั้งเป้าไว้ว่าจะมีให้ครบสิบสองคน แต่ตอนนี้เขี้ยวชักไม่เหลือ ตอนนี้ฟันร่วงแล้ว หกสิบกว่า ลุงปานนี้แกชอบออกป่านอนไปป่ามากกว่านอนบ้าน เมียเบื่อขึ้นมาก็ทิ้งแกไป พอทิ้งแกไปเสร็จแกค่อยหาคนใหม่เรียกว่ามารยาทดี ถ้าหากว่าเลิกร้างกันไปแล้วค่อยหาคนใหม่อย่างนี้ไม่ผิดศีล มีลูกอยู่ห้าคนไม่ได้มีแม่เดียวกันเลย ต่างคนต่างแม่หมด คือต้องอยู่ในลักษณะนั้น ต้องมีสติสัมปชัญญะพอ ไม่ใช่ว่าเห็นแล้วชอบก็กวาดไว้ในฮาเร็ม อันนั้นใช้ไม่ได้จ้ะ ถ้าจะทำต้องให้เจ้าของเก่าอนุญาตก่อน
      ถาม :  อย่างที่บอกว่าภรรยาอนุญาติแล้ว ?
      ตอบ :  นั่นแหละจ้ะ แล้วแต่ฝีมือ (หัวเราะ)