ถาม :  การที่เราซื้อรถใหม่นี่จำเป็นมั้ยคะที่เราจะต้องให้พระเจิม ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าท่านทำพิธีถูกต้อง มีเทวดารักษาก็ปลอดภัยหน่อย แต่อย่าไปให้หลวงพ่อลำใยวัด ลาดหญ้านะ ชาวบ้านเขาลือว่ามีรถให้เอาไปให้พระเล็กเจิมนะ อย่าเอาไปให้หลวงพ่อลำใยเจิม ถามทำไมล่ะ ? หลวงพ่อลำใยเจิมคันไหนชนคันนั้น รถหลวงพ่อเองยังชนเลย บอกพวกเอ็งมันไม่รู้เคล็ดลับ ออกมาแล้วก็หาชนอะไรที่มันทำให้รถไม่เสีย พุ่มไม้ ใบหญ้าอะไรสักพุ่มหนึ่ง ชนโครมมันเข้าไปแล้วก็โวยวายว่า รถชนแล้วมันก็เลิกกัน ไม่รู้เคล็ดมันก็ชนเอาจริง ๆ น่ะชิ
      ถาม :  บอกว่าไปหาหลวงพี่เล็กที่วัดท่าขนุน ที่เมืองกาญจน์ บอกทำไมไม่หาพระอะไรน้าที่มีตาทิพย์ เขาบอกคนกรุงเทพขึ้นกันมากเลย ?
      ตอบ :  วัดไหนจ๊ะ ? มีอาจารย์วัชระ วัดถ้ำแฝด อยู่อำเภอไหน ? มีหลายวัด อย่างหลวงพ่อมิตซูโอะเป็นสายหลวงพ่อชาวันหนองป่าพงพระดี เยอะจ้า แต่เอาจริง ๆ มันไม่ถึงคิวอาตมาหรอก ไม่รู้เหมือนกันว่าใครจัด เรื่องของพระปฏิบัติหลอกเขาได้เยอะ อันดับแรกก็ผมสั้น เห็นว่าผมสั้นก็เป็นเด็กไว้ก่อน อันดับที่สองกำลังใจดีหลอกเขาได้เยอะแก่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมแก่กับเขา อารมณ์ดีทั้งวัน
      ถาม :  การถวายของ....(ไม่ชัด)......?
      ตอบมันสำคัญอยู่ตรงกำลังใจของเรา ถ้ากำลังใจของเราคิดว่าดีมันก็ดี ถ้ากำลังใจของเราคิดไม่ดีก็เท่ากับว่าเราแช่งตัวเองพระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามโนเศรษฐา มโนมยา สูงสุดที่ใจ สำเร็จที่ใจ มันก็เลยอยู่ที่ใจ ถ้าใจของเราว่าดี มันก็ดี คนเขาจะต้องเอาของดี ๆ ไปถวายพระใช่มั้ย ? ที่ชื่อดี ๆ อย่างนี้ต่อไปเราจะหา ละมุด มะไฟ หามังคุดที่ชื่อห่วยแตก มันอร่อยทั้งนั้นไปถวายท่าน
      ถาม :  (ถามเกี่ยวกันการฝึกมโน)
      ตอบเคล็ดลับก็คือ นึกเป็นก็ฝึกได้ทุกคน แต่มีความสำคัญอยู่ที่ อันดับแรกต้องไม่กล้ว บางคนถ้ากลัวโดยเฉพาะถ้าจะฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังมันจะไม่ได้ อันดับที่ ๒ ต้องไม่อยาก ๆ มากเกินไป มันยื่นคอเลยช่องมันมองอะไรไม่เห็นหรอก ส่วนใหญ่ของเรามันจะมาติดอีกตรงนี้ อันดับที่ ๓ อย่าทำตัวเป็นคนขี้สงสัย เพราะว่าสิ่งที่เรารับฟังมากับสิ่งที่เราพบเห็นบางที่คนละเรื่องกัน อาตมาขึ้น บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ครั้งแรก เจอลุงกำนันอ้วนพุงปลิ้นเลย นุ่งกางแกงขาสามส่วน มีผ้าขาวม้าคาดอยู่ผืนเดียว เราก็ไปนั่งเกาะ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ มอง ๆ นี่เหรอ พระอินทร์ ท่านลุกขึ้นนั่งถาม เอ็งอยากเห็นแบบไหน....?
      ถาม :  .................................
      ตอบ :  การรับยันต์เกราะเพชร ถ้าท้องแรก ๆ น่ะดี ถ้าคลอดออกมาเป็นผู้ชายยันต์จะติดตัวประมาณ ๗ วัน ถึงจะเข้ากระดูกหมด มันจะเห็นชัด ๆ ถ้าเป็นผู้หญิงจะเข้าหมดเลย ตายเผาแล้วจึงจะเห็น ยันต์มันจะติดอยู่ตรงกระดูก ถ้าใครรับยันต์เกราะเพชรไปแล้วรักษาไว้ได้ยันต์จะติดอยู่ที่กระดูกทุกคน เก็บกระดูกก็จะเห็น แต่ถ้าอยากพิสูจน์ระยะสั้น ๆ ก็หาคนท้องแรกไป หาไปหลาย ๆ คนหน่อย ถ้าคนไหนเป็นผู้ชายก็ได้เห็นเลย แสดงว่าผู้ชายสู้ผู้หญิงไม่ได้
      ถาม :  ...............................
      ตอบ :  การภาวนาคาถา สัมปฏิจฉามิ สัมปฏิจฉามิ แปลว่า สำเร็จทุกอย่าง ใช้ได้กับเรื่องที่ต้องการสำเร็จให้ว่าไปเลยได้ทั้งนั้น เรื่องของการทำไสยศาสตร์จริง ๆ ไม่น่ากลัวนะ เหตุที่ไม่น่ากลัวก็เพราะกำลังใจของเขามันตั้งใจจะเบียดเบียนคนอื่น ในเมื่อตั้งใจเบียดเบียนคนอื่นมันจะไม่เข้าถึงจุดสุดท้ายของตัวสมาธิเพราะว่าจุดสุดท้ายของตัวสมาธิมันจะมีตัวอุเบกขาอยู่ ถ้าตั้งใจจะเบียดเบียนคนอื่นกำลังใจไม่เป็นอุเบกขา ถ้าหากว่าเราตั้งใจภาวนาอยู่เป็นปกติ อารมณ์ใจแค่เกินอุปจารสมาธิไปนิดจะไม่มีไสยศาสตร์อะไรทำอันตรายเราได้เลย ต้องไม่เผลอ ทีนี้ถ้าหากแก้กันตามสาย ของหลวงพ่อท่านปลุกยันต์เกราะเพชรขึ้นมามันจะสะท้อนกลับหมด อีกอย่างหนึ่งท่านให้นึกถึงพระพุทธเจ้ามีพระนามว่า เรวัตตะ สมัยของท่านจะมีพวกทำไสยศาสตร์เหมือนกัน หนักอยู่เหมือนกันบางทีคนฟังเทศน์อยู่มันทำดิ้นพลาด ๆ กลางศาลาเลยก็มี
              เพราะฉะนั้นพระองค์ท่านจะมีความชำนาญในด้านนี้อยู่มาก ท่านแนะนำว่าให้นึกถึงพระพุทธเจ้ามีนามว่า เรวัตตะ แล้วตั้งใจภาวนาว่า สัมปจิตฉามิใครกลั่นแกล้งเราก็จะมีอันเป็นไปเอง อย่าไปเสียเวลาไปทำเขาเลย เพราะฉะนั้นถ้าเจอวิธีนี้เขาก็คงเข็ดไปอีกนาน ทำเมื่อไหร่ตัวเองโดน สมเด็จพระพุทธเจ้าเรวัตตะทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้า เรวัตโต รติวัทฒโน พระพุทธเจ้านามว่า เรวัตตะผู้มีราตรีอันเจริญ คือมีสติอยู่เสมอ ราตรีเจริญ ก็คือว่าทำสมาธิกันทั้งวันทั้งคืน พวกบรรดาสำนักต่าง ๆ ที่เขาแก้ให้นี่ไม่ค่อยไว้ใจเขา เพราะว่าเขาเอาออกได้ เขาก็ใส่คืนได้บางทีมันจะอยู่ในลักษณะที่ว่าให้เราหาประโยชน์ให้เขาตลอด
      ถาม :  อย่างนี้แล้วเราอยากทราบว่าใครทำได้มั้ยคะ ?
      ตอบ :  ต้องถามเขา เพราะโดยมารยาทแล้วเขาก็บอกไม่ได้ โดยมารยาทแล้วเขายอมช่วยเรานี่ถือว่าเต็มที่แล้ว ของพระเราต้องยอมรับกฏของกรรมใช่มั้ย ? ทางด้านโน้นเขายอมช่วยเราเขาก็เสี่ยงมากแล้วถึงขนาดไปเปิดเผยตัวนี่ถือว่าเป็นการประกาศศัตรูโดยตรง เดี๋ยวลำบาก มีอยู่เที่ยวหนึ่งไปหาพระที่ วัดเขาอ้อจะเอามาทำน้ำมนต์แก้พวกนี้ พวกไสยศาสตร์นี่เขามีความสามารถสูงจริง ๆ เลยถึงเวลาเราไปช่วยเขา ครั้ง , สองครั้งนี่เขาจะรู้เลยว่าเป็นเรา แล้วต่อไปมันจะทำใส่เราแล้วล่ะ ?
      ถาม :  โดยที่เราไม่ได้ทำคืนเขา ๆ จะทราบเลย ?
      ตอบ :  จ้าเขาจะรู้เลย ทีนี้พอเขาทำไม่ได้เพราะเราอยู่ ทีนี้เขาก็มีวิธีคือ ทำเราแทน ประเภทที่ว่าเบี่ยงประเด็น เอาพระของวัดอื่นมาทำน้ำมนต์ กระแสมันเป็นของสำนักนั้น ถึงเวลาเขาจับได้ก็ไปถล่มสำนักนั้นไม่เกี่ยวกับเรา แต่อันนั้นมันขี้โกงหน่อย ตั้งแต่เอาพระของสำนักเขาอ้อมานี่ยังไม่เคยใช้เลย เพราะว่ามันยังพอไหว
      ถาม :  การปฏิบัติจะทำแบบไหนดี มีหลายแนว ๆ ไหนถึงจะดี ?
      ตอบ :  จะยังไงดี แนวไหนมันก็ได้ผลดี พระพุทธเจ้าท่านสอนแต่ของจริง ถ้าทำได้จริงสำคัญอยู่ที่ว่าเราจริงหรือเปล่า ? ตรงนั้นสำคัญที่สุด แล้วคิดจะเอาแนวไหนดี สำคัญตรงที่เราทำ แนวไหนก็ได้ว่าไปเถอะ ไม่ถูกใจเปลี่ยนก็ได้ ยังทัน แนวการปฏิบัติมันเป็นไปตามวิสัย ความชอบของแต่ละคน มี สุกขวิปัสสโก ประเภทไปเรียบ ๆ ง่าย ๆ ใครว่ายังไงก็โอเค เตวิชโช ก็ขี้สงสัยหน่อย ๆ ฉฬภิญโญอันนี้ไม่ขี้สงสัยนิดหน่อยหรอก รื้อเลย ส่วน ปฏิสัมภิทัปปัตโต นี่ไม่รื้อเฉย ๆ หรอก แยกเลย ทำวิจัยอีกต่างหาก ก็นึกเอาว่านิสัยเราชอบแบบไหนก็เอาอันนั้นล่ะ ?
      ถาม :  แล้วแบบชอบลองเล่นโน่นเล่นนี่ ?
      ตอบ :  อย่างนี้วิสัยของอภิญญาแล้ว ปฏิสัมภิทาญาณนั้นความสามารถพิเศษ ครอบอภิญญาไปด้วย
      ถาม :  สมมติว่าปฏิบัติธรรมดาแล้วเวลาได้ผลนี่ ผลที่ได้มันจะมีผลแบบนั้นไปด้วยมั้ยครับ ?
      ตอบถ้าพื้นฐานเดิมในอดีตมีมา อดีตนี่ไม่ใช่ชาตินี้นะ ชาติที่แล้ว ๆ มา ถ้าพื้นฐานในอดีตมีมาแบบไหนผลจะเป็นแบบนั้น พวกนี้จริง ๆ แล้วเรียกว่าของแถมดีกว่า เพราะว่าหลักการปฏิบัติจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านสอนเราก็คือให้อยู่สุขในปัจจุบัน ปัจจุบันถ้ากำลังใจทรงตัวสมาธิมีเราเองก็จะเป็นผู้มีสติ อยู่ในท่ามกลางความวุ่นวายอย่างสงบ มีความสุขในปัจจุบันนี้ และถ้าหากว่าทรงความดีเอาไว้ เมื่อตายไปเป็น พรหม เทวดา หรือเข้านิพพานไปนั่นคือความสุขในอนาคต อันนี้คือหลักการจริง ๆ ว่าเพื่อความสุขในปัจจุบันและความสุขในอนาคต แต่ว่าความสามารถพิเศษต่าง ๆ มันเป็นของแถมซื้อรถต้องมีล้อ ถึงเวลาเราต้องการรถไม่ได้ต้องการล้อ มันก็ให้ล้อมา มันเป็นซะอย่างนั้น
              เพราะอย่างนั้นของแถมพวกนี้เวลามันเกิดขึ้นมาแล้ว มันแปลก สังเกตมั้ยอะไรที่มีของแถมคนชอบซื้อ ของแถมนี่ก็เหมือนกันมันเกิดขึ้นก็ไปสนุกอยู่กับมัน ไอ้ไปสนุกอยู่กับมันนั่นมันเป็นหลงผิดทาง เขาจะล่อเราเหมือนกับหลอกเด็ก เอาของไปให้เล่นก็เงียบไม่ซน เราต้องการจะไปตรงโน้นแล้ว เขาล่อเราให้ติดอยู่ตรงนี้ก็จะผิดจุดมุ่งหมายไปเพราะฉะนั้นก็อย่าเผลอไปติดของแถมมันมากนัก
      ถาม :  อย่างนี้ผู้ปฏิบัติง่าย ๆ จะสบายกว่าใช่มั้ยครับ ?
      ตอบ :  ยากกว่า เพราะว่าสิ่งล่อใจมันไม่มี มันเหมือนกับคนเราเข้าร้านก๋วยเตี๋ยวเขาส่งมาให้ ลองไม่เติมอะไรดูสิ เจอไม่มีทีก็เซ็งแล้วใช่มั้ย ? เพราะฉะนั้น สุกขวิปัสสโก จริง ๆ แล้วทำยากที่สุด เพราะสิ่งล่อใจอื่น ๆ ทำให้เราสนตื่นเต้นมันไม่ค่อยมี
      ถาม :  เคยอ่านตำราว่าระบบฌานนี่จะได้ผลดี เพราะว่าจะมีอารมณ์จิต ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้ว ฌานนี่เป็นการเพาะกำลัง สำคัญตรงปัญญาที่เอาฌานไปใช้ ถ้าปัญญาไม่ถึงไม่เป็นก็เท่านั้นล่ะ มันเหมือนกับเพาะกายมาซะล่ำบึก ตัวใหญ่ยังกับนักมวยปล้ำฝรั่งแต่ว่าเอาแรงมาใช้ไม่เป็นก็เท่านั้นล่ะ ฌานเป็นการเพาะกำลังเอาไว้ ถ้าปัญญาเพียงพอใช้เป็นก็จะได้ผลเร็ว แต่ถ้าหากว่าเราไม่สามารถจะเอาไปใช้ได้ก็เหมือนกับว่าเป็นคนมีแต่แรงเฉย ๆ ก็จะไปติดอยู่ในระดับนั้นก็คือว่า กลายเป็นติดอยู่ในรูปฌาน อย่างเก่งก็เกิดเป็นรูปพรหม เป็นพรหมไม่ใช่ดีนะ ดีมากเลย แต่มันหนีทุกข์ได้ชั่วคราวไม่ช้าไม่นานก็กลับมาเดือดร้อนกับมันใหม่
      ถาม :  มันมีแบบสุขวิปัสสโก มันจะได้ฌานพร้อมกับภาวะนั้นเลยใช่มั้ยครับ ?
      ตอบถ้าหากว่าได้เป็นพระโสดาบันตอนนั้นก็จะทรงปฐมฌานได้ตัดกิเลส สุกขวิปัสสโกนี่มีกำลังของฌานสมาบัติ ๘ เหมือนกัน แต่ว่ากำลังอันนั้นไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่าแบบประเภทมีอิทธิฤทธิ์แบบคนอื่นเขา แต่มีกำลังจากการที่พิจารณาจนกำลังทรงตัวเป็นฌานไปเอง พอทรงตัวเป็นฌานเป็นเครื่องช่วย แต่สุกขวิปัสสโกนี่เป็นการบรรลุเขาเรียกว่า บรรลุแบบปัญญาวิมุติ ปัญญาวิมุติคือใช้ปัญญาพิจารณาธรรม การพิจารณามันได้เปรียบตรงที่ว่า พิจารณาไปเรื่อย ๆ แล้วกำลังของการพิจารณามันจะทรงตัว สมาธิมันดิ่งลึกเข้าไปเป็นฌานโดยไม่รู้ตัว
      ถาม :  พอเรากำหนดจนจิตดิ่งแล้วเรากระดุกกระดิกตัวไม่ได้เลยคะ ?
      ตอบ :  ตอนนั้นจิตกับประสาทร่างกายมันเริ่มแยกเป็นคนละส่วนกันบังคับมันยากแล้ว
      ถาม :  แล้วพอมันดิ่งปุ๊บสภาพจิตกับกายมันแยกกันทันที ไม่ทราบว่า ?
      ตอบ :  อันนั้นเราเริ่มคล่องในจุดนี้ แต่ถ้าเราต้องการความคล่องตัวมากกว่านี้เราต้องใช้ในลักษณะใช้งาน คือบังคับร่างกายให้ทำงานได้ด้วย ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาที่อัศจารย์ที่สุดต้องนับ หลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุย หรือ วัดชัยมงคลที่ลำพูน ปกติแล้วพระระดับหลวงปู่นั้นถ้าหากว่าเข้านิโรธสมาบัติ เท่าที่เคยปรากฏแล้วมีอริยาบถเดียว ไม่นั่งก็จะนอน หลวงปู่ชุ่มเข้าได้ ๔ อริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอนได้หมดทีนี้ยืน นั่ง นอนเราไม่แปลกใจมันอยู่กับที่ แต่ใสภาพที่จิตกับประสาทแยกจากกันท่านบังคับสภาพร่างกายให้ยืนกับเดินได้อย่างไร ของเรามันทำไม่ถึงจุดนั้น มันจะเป็นการใช้กำลังอภิญญาอธิษฐานทับไว้ก่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะหลวงปู่มรณภาพไปแล้วไม่ได้ตามไปถาม แต่ท่านทำได้จริง ๆ
      ถาม :  แล้วการที่ทำอยู่ตอนนี้ ภาวะร่างกายมันไม่ได้....?
      ตอบ :  หัดใหม่จ้าหัดใหม่ ต่อไปหัดเดินจงกรมแล้วทรงอารมณ์ก่อน ถ้าจับลม ๓ ฐานแล้วก้าวเดินได้ต่อไปจะสานต่อให้ สมัยที่อยู่วัดท่าซุงสอนน้อง ๆ แล้วมันโวยวายกันขรมเลย เพราะจับลม ๓ ฐานปุ๊บนี้ จิตกับประสาทมันแยกออกจากกัน เดิน ๆ ไปมันค้างเติ่ง ก้าวต่อไม่ได้ เดินให้คล่องก่อนแล้วเดี๋ยวจะบอกให้ มันจะหยุดเองโดยอัตโนมัติเพราะเรายังไม่ชิน ตอนแรกเขาก็แปลกใจว่าทำไมเราทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้พร้อมกันก็เริ่มต้นอย่างนี้ ถึงเวลาคุณภาวนาแล้วจับลม ๓ ฐานก่อน ถ้าหากว่าคุณทำได้เดี๋ยวผมจะสอนต่อให้ พอเขาทำเสร็จมาโวยวายว่าเราหลอกเขา ความจริงเราไม่ได้หลอก เราทำแบบนั้นมาก่อนจริง ๆ
      ถาม :  เรื่องปัญญานะครับ ปัญญาทางโลกกับทางธรรมต่างกันอย่างไร
      ตอบ :  คนละเรื่องกันเลย ปัญญาทางโลก นี่ภาษาฝรั่งเรียกว่า ไอคิวมันเป็นหน่วยความจำเฉย ๆ ส่วน ปัญญาทางธรรมมันเป็นการรู้แจ้งเห็นจริงตามสภาพความเป็นจริง
      ถาม :  ถึงเวลาแล้วก็ได้ผลทางวัตถุใช่มั้ยครับ ?
      ตอบ :  ได้ผลทางวัตถุมากกว่า
      ถาม :  จะมีในแง่เดียว แง่ใจรักอย่างเดียวเลย หรือว่าจะมีแง่อื่นหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  เยอะ ไตรลักษณ์ นั่นมันเป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้น มันมีนัยตามของ วิปัสสนาญาณ ๙ อย่าง ตามนัยของ อริยสัจ วิปัสสนาญาณ ๙ อย่างก็อ่วมแล้ว
      ถาม :  แต่ว่าพอเราจับจุดหนึ่งได้ จุดอื่นจะมาเองใช่มั้ยครับ ?
      ตอบ :  คือว่าหากว่ามันได้ซะจุดหนึ่ง จุดอื่นจะง่ายขึ้น
      ถาม :  แต่ว่าไม่ใช่มาเอง ?
      ตอบ :  ถ้าเราไม่ตะกายไปหา มันไม่มาหรอก เรื่องของปัญญาเป็นสิ่งที่ละเอียด เราต้องตั้งใจค้นคว้าเข้าไปจริง ๆ
      ถาม :  จะพิจารณาอยู่แค่ระบบเดียวใช่มั้ยครับ ?
      ตอบ :  อันนี้มันเกิดอยู่ที่ว่าครูบาอาจารย์ เขาสอนอย่างไรลูกศิษย์ก็ทำอย่างนั้น แต่ถ้าหากว่าลูกศิษย์ใช้ความสามารถสูง พอมั่นใจว่าตัวเองชำนาญในสิ่งนั้นแล้วก็ขยับหาสิ่งอื่นต่อได้ อย่างหลวงพ่อท่านเล่นซะเกลี้ยงเลย กรรมฐาน ๔๐ กอง มหาสติปัฏฐานสูตรว่าครบบรรพ ปัพพะโตพมะพระสูตรอีกอันหนึ่ง คิริมานนทสูตรก็คล้าย ๆ กับวิปัสสนาญาณ ๙
      ถาม :  เราเข้าใจอะไรดีมากขึ้น ?
      ตอบ :  เป็นเหมือนกัน ปัญญามันมีทุกระดับชั้น ปัญญาของปุถุชนคือคนทั่ว ๆ ไปที่เกลือกกลั้วกับกิเลส ปัญญาของผู้ทรงฌาน ปัญญาของพระอริยเจ้าแต่ละระดับไม่เท่ากัน ความหยาบละเอียดต่างกัน พอเราทำถึงจุด ๆ หนึ่งเราจะคิดว่าเออดีแล้ว ถูกแล้ว แต่ความจริงมันไม่ใช่อันนั้นมันดีแค่นั้น มันถูกแค่นั้น พอเรามีปัญญามากขึ้น พิจารณาได้ลึกซึ้งกว่านั้น มันจะมีของที่ถูกกว่านั้น ดีกว่านั้นขึ้นมา พอเรามองย้อนไปที่เราเคยว่าถูกแล้วดีแล้วมันก็ผิดไป ดังนั้นถึงได้บอกว่า มันเป็นสมมติ ผิดถูกมันคือสมมติ สิ่งที่เราทำน่ะ ถ้าหากว่าในส่วนที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติขึ้นมานี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าหากว่าเป็นทิฐิความเห็นของเราโอกาสผิดมันมีเยอะ
      ถาม :  อย่างที่คนเขาคิดแบบนี้ แต่ว่าเราทำแบบนี้ เราคิดแบบนี้ คือถ้าเราไปมองว่าเขาคิดแบบนั้นแล้วเขาคิดถูก มั่นใจแล้วถึงทำ ?
      ตอบ :  ก็ไม่แน่ การยึดหลักปฏิบัติของตัวเองมากเกินไปก็เป็นอุปาทานได้ เขาเรียกว่าสีลัพพัตตุปาทาน ยึดมั่นในศีลพรตของตนมันไม่แน่ว่าจะถูกต้อง เพราะว่าส่วนใหญ่ที่เราทำไม่แน่ว่าถึงที่สุดมันอดไม่ได้ที่จะมีทิฐิคือความเชื่อเฉพาะตนแฝงอยู่ จะกลายเป็นทิฐิเอาความเห็นส่วนตัว ความเชื่อส่วนตัวของตนไปปนกับธรรมะพระพุทธเจ้าพอเราก้าวไปถึงปฐมฌานก็ ฮือ... พระพุทธเจ้าท่านสอนที่แท้จริงมันเป็นอย่างนี้เอง แต่ความจริงมันไม่ใช่ที่ละเอียดกว่านั้นมันมี พอเราก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งก็เอาแล้ว ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่แท้เป็นอย่างนี้ มันไม่ใช่จะก้าวล่วงลึกขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงที่สุด เพราะฉะนั้นที่เราสรุปมา เห็นคนอื่นทำแล้วคิดว่าผิดแล้วเราทำถูกหรือว่าคนอื่นทำถูกเราทำผิด มันไม่ใช่ทั้งนั้น เพราะว่ามันเป็นกำลังใจของเราปัจจุบันตอนนั้น ถึงเวลาพอมีการก้าวล่วงเข้าไปอีก สิ่งที่ดีกว่าถูกกว่ามันมี
      ถาม :  วิธีที่ช่วยลดปัญหาได้มีมั้ยครับ ?
      ตอบง่ายที่สุด ทำตามแบบพระพุทธเจ้าท่าน คือ อยู่ในกรอบของศีล ๕ เป็นอย่างน้อย ถ้าหากว่าเรามีศีลเป็นเครื่องป้องกันแล้ว มันเท่ากับว่าปิดอบายภูมิโดยปริยาย ไม่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสรุกาย สัตว์เดรัจฉานอีก มีแต่จะก้าวหน้าขึ้นอย่างเดียว มันจะง่ายที่สุด ถ้าหากจะให้เราค้นหาเองจริง ๆ แล้วนี่สมัยโบราณเขาเก่งนะ เขาหาได้มากต่อมากด้วยกัน เพียงแต่ว่า ส่วนที่จะทำแล้วดีเพียงส่วนเดียวแบบที่พระพุทธเจ้าท่านสอน คนอื่นเขาหาได้ไม่ครบ ศาสดานอกพระศาสนาเยอะต่อเยอะด้วยกัน
              อย่างอารกะศาสดา อันนี้จะอยู่ในอังคุตตรนิกาย เขาเรียกว่าอารกสูตร อารกะเขาสอนลูกศิษย์ของเขาว่า ชีวิตเหมือนต่อมน้ำ ก็คือฟองน้ำที่ผุดขึ้นมาแล้วก็แตกโป๊ะไป เหมือนกับลำธารที่ไหลจากภูเขา พรวดผ่านมาแล้วก็เลยไป เหมือนรอยไม้ที่ขีดลงในน้ำวูบเดียวแล้วก็หายไป เหมือนโคที่เขานำไปฆ่า ตายแหง ๆ เหมือนชิ้นเนื้อเผาไฟ คือ รังแต่จะไหม้ในเวลาอันรวดเร็ว นั่นนอกศาสนาเขาสอนได้ขนาดนั้น สิ่งที่เขาสอนนั่นเป็นส่วนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเรา แต่ว่าอันนั้นเขาเห็นอนิจจัง ความไม่เที่ยงของมันเท่านั้นเองใช่้มั้ย ? ตัวทุกขังเป็นทุกข์ กับอนัตตาไม่มีอะไรมั่นหมายได้ เขาจับตรงนี้ไม่ติด เพราะฉะนั้นดูถูกกันไม่ได้