ถาม :  ...................
      ตอบ :  จริง ๆ ทุกอย่างมันอยู่ที่เรา ถ้าตั้งใจจริง ทำจริง ๆ มันง่าย แต่ถ้าหากไม่ตั้งใจจริง ไม่ทำจริงๆ เจออุปสรรคนิดหน่อยก็ถอย มันยากหมด
      ถาม :  ผมเคยอ่านของท่านกฤษณะ แล้วผมสงสัย ?
      ตอบ :  อ่านมาเยอะแล้วพวกนั้น ไม่ต้องเสียเวลาไปสงสัยหรอก มันคลำได้แค่เงาในน้ำ กฤษณะ มูรติ ก็ดี คาริล ยิบราน เฮอร์มาน เฮสสะ มันแค่เงาในน้ำ เขาเห็นอะไรบางอย่างแต่เขาจับต้องไม่ได้ เคยไปนั่งวิเคราะห์เขาอย่างละเอียดเลย มันเหมือนกับเขาเดินวน ๆ ไปจนจะถึงประตูแล้วเขาก็ออกมา เดินวน ๆ ไปจนจะถึงประตูแล้วก็ออกมา ไม่เชื่อลองไปอ่านดูก็ได้ มันเหมือนเข้าใกล้จุดหมายแล้ว แต่เสร็จแล้วเขาจับไม่ได้ว่าจุดหมายอยู่ตรงไหน แล้วก็วนหาอีก ส่วนใหญ่มันจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับปรัชญาเยอะแยะไปหมด มันเหมือนกับเงาในน้ำแหละ เขามองเห็นแล้ว พอเอื้อมมือไปมันก็แตกกระจาย จับไม่ติด
      ถาม :  เท่าที่ผมอ่านดูจะเป็นลักษณะที่ว่าจะเชื่อในสิ่งที่เห็นเท่านั้น อย่างพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เนี่ย อาจจะไม่เชื่อเลย อย่างนี้มันจะถือว่าเป็นอวิชชาหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ก็เรียกได้เต็ม ๆ เลย
      ถาม :  เพราะว่าความจริงมันเป็นแบบนี้ แต่เขาพิสูจน์ด้วยตัวเองเลยว่า สิ่งที่เห็นนั้นมันไม่ใช่ ?
      ตอบ :  ก็อย่างนั้นล่ะ เขาเรียกทิฏฐปาทาน ยึดถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่ เห็นคนเขาไล่ยิงกันมา เราก็โทรแจ้ง ๑๙๑ ก็โดนตำรวจเตะซิ เขากำลังถ่ายหนังกัน นั่นน่ะสิ่งที่ตัวเองกำลังเห็น เขากำลังถ่ายหนังกัน
      ถาม :  งั้นความคิดจะเอามาใช้ไม่ได้ ?
      ตอบ :  ใช้ไม่ได้ อันนี้มันความจริง ของเขามันเป็นปรัชญา คือ เทียบเทียมกับของจริง แต่ว่าศาสนาพุทธเป็นอริยสัจ คือความจริงแท้มันต่างตรงนี้ ฉะนั้นใครเริ่มต้นเอาพุทธศาสนาเป็นปรัชญามันเข้าป่าไปครึ่งตัวแล้ว เหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่งจะรอดมั้ย ? พุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญา ไม่ต้องเสียเวลาตีความ เป็นอริยสัจ คือ ความจริงแท้ ตั้งหน้าตั้งตาทำตามก็พอแล้ว
      ถาม :  แสดงว่ามันเชื่อว่า มีที่ไหนมันก็ไปที่นั่น ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่ตะเกียกตะกายไปแล้วก็ไปผิด จิตเดิมแท้จริง ๆ ก็กำลังแค่อาภัสราพรหมใช่มั้ย ? ในเมื่ออาภัสราพรหมเป็นกำลังของฌาน ๒ เท่านั้นเอง ในเมื่อมาโดนย้อมด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน กิเลสต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้รัก โลภ โกรธ หลงมันทับถมจิตใจ จิตเดิมแท้ก็เลยหมองมัวลงไป ก็ต้องขัดเกลาเริ่มขึ้นมาใหม่ เพราะฉะนั้นย้อนกลับไปถึงจุดเดิมแท้ของมันจริง ๆ ก็ยังใช้ไม่ได้ มันต้องไปให้มากกว่านั้น
      ถาม :  วันหนึ่งพอไปกำหนดมรณานุสสติค่ะ พอกำหนดไปร่างกายมันก็ปล่อยวาง พอปล่อยวาง พอจิตวางแล้วมันวางหมดเลยค่ะ หนังสือหนังหาก็วางค่ะ ทำยังไงดีเจ้าคะ ?
      ตอบแรก ๆ จะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าพอกำลังทรงตัวเป็นฌานมันมีอุเบกขาอยู่ อย่าลืมว่าตัวเอกัคคตารมณ์นั่นก็คืออารมณ์เป็นหนึ่ง จะต้องประกอบไปด้วยตัวอุเบกขา เราต้องซ้อมบ่อย ๆ ให้เคยชิน ทีนี้เรากระจายออกเสร็จแล้วมันต้องเอาเข้าด้วย มันรวมเข้าย้อนกลับมาตรงจุดที่ว่าตอนนี้เรายังมีชีวิตอยู่ ในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่เราควรจะทำก็คือทำปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด ถึงเวลามันจะตายเมื่อไหร่เราก็จะไปนิพพานของเรา เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าคนที่ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดนี่ ทุกสิ่งทุกอย่างมันกลับทำมันเหมือนกับคนที่มีเวลาตรงหน้าเท่านั้นเอง
              อย่างไปพม่านี่ไปนั่งรออยู่ที่เรือ รอจนแดดเผาหัวแดง พวกนั้นมันก็ยื้ออยู่นั่นแหละ จะไปไม่ไป เราก็นั่งหัวเราะ คนอื่นเขาก็สงสัยไอ้นี่มันบ้าหรือเปล่าตากแดดหัวเราะ ความจริงไม่ใช่หรอก คือคนจะเกิดอีกนานเวลามันเยอะ ของเรามันไม่มีเวลาแล้วรีบลงเรือไปก่อน ก็เลยต้องไปนั่งตากแดดรอคนมีเวลา แล้วเราก็นั่งหัวเราะอยู่คนเดียว คนอื่นเขาสงสัยว่าพระองค์นี้บ้าหรือเปล่าตากแดดแล้วก็นั่งหัวเราะ ก็ใกล้เคียงบ้านะ
      ถาม :  เมื่อสองอาทิตย์ก่อนที่ผ่านมาท่านชีวกโกมารภัจจ์ท่านมาแล้วบอกว่าให้มาเป็นลูกศิษย์ท่าน ท่านจะทำให้สามารถช่วยไปรักษาคนเพื่อจะได้รักษาโรคให้คนได้ เราก็รับปากกับท่านว่าจะไปครอบครู แล้วหลังจากนั้นผ่านมาเกือบเดือนแล้วก็ยังเฉยอยู่ พอเฉยเข้าก็เลยป่วยเลย ป่วยไปป่วยมาก็เลยเสียงไม่มี พูดไม่ได้ เสียงเป็นเป็ดเลย ?
      ตอบ :  พวกเดียวกัน อาตมาอาทิตย์ก่อนก็ไม่มีเสียงเหมือนกัน แย่กว่าเป็ดเยอะ แต่นี่ไม่ได้ดื้อกับท่านนะ คนที่ท่านจะให้รักษามันดื้อ เราก็เลยแย่ไปด้วย
      ถาม :  ท่านเล่นงานหนักเจ้าค่ะ ขนาดหายใจไม่ได้หายใจไม่ถึงท้องกำลังจะแย่เลยค่ะ ?
      ตอบ :  อาการนั่นใกล้จะตาย จำไว้คนใกล้จะตายมันหายใจไม่ถึงท้อง
      ถาม :  ท่านเล่นจะตายเลยค่ะ จนต้องบอกกับท่านว่า ยอมแล้ว แล้วอาการเสียงที่เป็นเป็ด คือเพื่อนเขาว่าเป็นกะเทยควายเลยค่ะ น่าเกลียดมาก ๆ เลย เวลาเดินไปไหนแล้วพูดนี่เสียงเหมือนกะเทยเลย แต่พอรับปากท่านปุ๊บ เวลาไม่กี่นาทีนี่เสียงเปลี่ยนมาเป็นปกติเลย ?
      ตอบ :  นั่นยังดีนะ ยังดีที่ท่านไม่ให้ไปกินอะไรก่อน อาตมาเจอเทวดาหลอกมาแล้ว
      ถาม :  เสียงเปลี่ยนทันทีจนเพื่อนเขาบอกว่าเราเล่นละครเหรอ เมื่อกี้นี้เสียงยังเป็นกะเทยควายอยู่เลย ?
      ตอบ :  อาตมาก็เจอมา อันนั้นเทวดาเขาแกล้ง เป็นปอดอักเสบมาลักษณะอย่างนี้ ขยับตัวก็ไอ ไปถึงตอนนั้นเทวดาผู้หญิงชั้นจาตุมหาราชด้วย ผู้หญิงที่อยู่ชั้นจาตุมหาราชนี่หายาก ไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้ เขาบอกว่าอยากหายมั้ย ? อยากหาย ๆ อาบน้ำเย็นซิ โอ้โหเชื่อดีมั้ย ? คนปอดอักเสบขนาดขยับตัวแล้วไอแบบนี้บอกให้อาบน้ำเย็นแล้วหาย มันจะบ้าหรือเปล่า พอเข้าห้องน้ำเขาตามเข้ามาอีก แหม ! ยายนี่ตื๊อจัง ปิดประตูแล้วยังตามมาอีก ไปบอกว่าอาบน้ำเย็นแล้วจะหาย เราก็นึกได้ว่า เออ...เทวดาเขาไม่โกหก ในเมื่อเขาไม่โกหกนี่อาบน้ำเย็นมันคงหาย ก็ราดโครมลงไปเลย ไอตัวมันออกชนิดควันกลบทั้งห้องเลย แล้วหายเดี๋ยวนั้นเลย นึกขึ้นมาได้มันหลอกเรานี่ หนาวจะตายชักอากาศแค่ ๗-๘ องศา หลอกให้เราอาบน้ำเย็น ความจริงถ้าเขาจะช่วย แค่นึกให้เราหายเราก็หายแล้ว เป็นไงโดนซะเต็ม ๆ ต้อนรับน้องใหม่ ดันหลงเข้าไปในถิ่นเขาโดนต้มซะเปื่อย
      ถาม :  เลยสงสัยว่าท่านทำำได้อย่างไร ?
      ตอบ :  ยังดีไม่ให้ไปกินมัสตาร์ดซะกำหนึ่ง ถ้าให้กินซะก่อนแล้วค่อยหายจะชอกช้ำกว่านี้ แสดงว่าของท่านยังมีจรรยาบรรณอยู่ เจ้าแม่แกเล่นหมดจรรยาบรรณเลย หลอกให้เราอาบน้ำเย็น
      ถาม :  พอเวลาเราจะเข้าไปร้องเพลงคาราโอเกะ พอย่างเท้าเข้าไปเสียงหายเสียงเป็นเป็ดเหมือนเดิม พอก้าวเท้าออกไปเสียงดีเหมือนเดิม ?
      ตอบ :  ถ้าไม่ทำอย่างนั้นเดี๋ยวมันเสียเวลาเยอะ แทนที่จะเอาเวลามานั่งศึกษาเรื่องช่วยคนดันไปร้องคาราโอเกะ ถ้าหากว่าเรื่องของพระเรื่องของเทวดาเราขัดความประสงค์ของท่านไม่ได้หรอก
      ถาม :  ทำไมท่านคอนโรลเราได้ขนาดนี้เลยเหรอคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ไม่ได้คอนโทรลหรอก เป็นเรื่องที่ควรจะทำ ในเมื่อเราเหลวไหลท่านก็เอาซะหน่อย ของเราเองมันอย่างกับตุ๊กตาที่เขาใช้ชักใยเอา ชนาดเดียวกับหุ่นกระบอก ท่านจะบงการให้เราทำอะไรที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ท่านจะยอมรับในกฎของกรรม เวรกรรมของใครของมัน ทำกันไปเถอะ ถ้าไม่มีอะไรเกี่ยวเนื่องกันมาจริง ๆ ท่านไม่ยุ่งกับเราหรอก
      ถาม :  ท่านบอกว่าเราไปรับปากท่าน แล้วไม่ทำตามที่สัญญา ?
      ตอบ :  อันนั้นเราผิดสัจจะเอง โดนแค่นั้นก็บุญมากแล้ว
      ถาม :  ก็รีบรับวันรุ่งขึ้นเลยค่ะ ทีนี้ไม่ทราบว่าต้องอยู่ในคอนโทรลท่านอีกนานมั้ยคะ ?
      ตอบ :  ก็จนกว่าเราจะชำนาญแบบท่านน่ะ ๑ โยชน์รอบบ้าน ถ้ามีสิ่งที่ทำยาไม่ได้ท่านจะปล่อยเรา
      ถาม :  ท่านบอกให้ไปเรียนสมุนไพรที่กระทรวงสาธารณสุข เรียนเวชกรรมค่ะ ?
      ตอบ :  โน่นไปศึกษากับพี่ีมุกดาโน่น ตำราเป็นกระตั๊ก ไม่รู้ว่าจะสอบปีนี้หรือปีหน้า นั่นเรียนเวชกรรมเหมือนกัน
      ถาม :  ท่านบอกว่าให้เรียนจนกว่าจะได้ใบรับรองแพทย์ ?
      ตอบ :  ท่านต้องการในจุดที่ว่าถ้ากฎหมายมันจะเล่นงานเรามันจะทำอะไรเราไม่ได้ เพราะว่าของเรามันผ่านมาจริง ๆ ถึงเวลามีสิทธิจ่ายยาได้ ไม่อย่างนั้นจะโดนแบบหมอน้อย อันนั้นจ่ายยารักษาโรคเอดส์ ปรากฏว่าไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ เสร็จ แง่กฎหมายเขาเอาคุณผิดเต็ม ๆ อยู่แล้ว
      ถาม :  เหมือนโดนควบคุมตัวยังไงไม่รู้ค่ะ มันแปลก ๆ ค่ะ ท่านดุจริง ๆ เลยค่ะ พูดคำไหนคำำนั้น ?
      ตอบ :  ไม่แปลกหรอก คนจริง ไม่ใช่ดุ โดยเฉพาะท่านหมอชีวก ท่านเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่เทวดาธรรมดา พอพระพุทธเจ้าปรินิพพาน?ท่านก็คิดว่าหน้าที่ ๆ ท่านคิดจะทำมันก็ไม่มีแล้ว คนไม่มีหน้าที่แล้วนี่น่ากลัวมั้ย ? มีแต่พระอรหันต์นะที่ไม่มีหน้าที่แล้ว ใจท่านปล่อยวางได้ขนาดนั้น เดินเข้าป่าไปเลย เจอถ้ำ ๆ หนึ่งก็นอนเขลงตายมันตรงนี้แหละ อยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ เสร็จแล้วร่างกายมันก็แย่ลง ๆ มันไม่ได้กินอะไรนี่ นอนอย่างเดียว แล้วอยู่ ๆ ก็ได้ยินเหมือนกับฟ้าผ่าลงมาพร้อมกับพระพุืทธเจ้าท่านถามในลักษณะที่ว่าห่วงร่างกายมั้ย ? ท่านบอกท่านไม่ห่วงแล้ว พร้อมที่จะตาย มันก็ไปที่เดียวคือ พระนิพพานตรงนี้ไม่มีในตำราไม่ต้องไปค้นหาประวัติท่านหรอก ยกเว้นว่าพวกเราจะเอาคำพูดอาตมาไปเขียนต่อ
      ถาม :  ปัญญาทางโลกที่ต้องทบทวนเพื่อที่จะหาเหตุผล กับที่รู้ข้างในต่างกันอย่่าไร เมื่อก่อนผมต้องคิดใคร่ครวญ แล้วตอนนี้มันเกิดขึ้นเอง แล้วตรงนี้มันต่างกันอย่างไร ?
      ตอบ :  ต่างกันลิบโลกเลย ปัญญาที่เกิดจากการสั่งสมบารมีในทาน ศีล ภาวนามา ถ้าเกิดขึ้นจะรู้แจ้งเห็นจริงตลอดไปหมด แล้วจิตก็จะยอมรับด้วย แต่ว่าปัญญาทางโลกมันเป็นแค่ความจำของเราเอง ถ้าหากว่ามันผิดไปจากที่เคยชินของเรา เช่น เขาบอกว่า ๒ บวก ๒ เป็น ๔ ถ้าเขาบอกว่า ๒ บวก ๑ เราเริ่มค้านแล้ว เพราะฉะนั้นมันต่างกันอยู่ตรงนี้
      ถาม :  แสดงว่ามันเป็นปัญญา เป็นด้านไหน ?
      ตอบ :  มันเป็นอยู่ แต่ที่นี้ว่ามันเป็นปัญญาทางด้านไหนล่ะ มันเป็นโลกียปัญาหรือโลกุตระปัญญา ที่พูดมานี่ คำว่า ปัญญานี่ควรจะเป็นโลกุตระ ก็คือว่ารู้ในทางที่จะหลุดพ้น ถ้าอย่างนั้นเขา จะยอมรับสภาพความเป็นจริงที่รู้อยู่ แล้วก็ปล่อยวาง รับแล้วไม่แบกเอาไว้ มันเหนื่อย
              คราวนี้ของเราที่พูดมาบางทีมันอาจจะปน ๆ ทั้ง ๒ อย่าง เพราะไปปล่อยให้รู้เองไง สิ่งที่รู้เองนี่ถ้ามันเกิดจากการสั่งสมบารมีมา มันอาจจะเป็นตัวปัญญาในทางธรรมก็ได้จริง ๆ แล้วเรามาเสียเวลาในการคลำ มันมัวแต่มาอย่างเช่นว่า นี่เขาเรียกว่าอะไร ถ้าหากว่ามีอยู่ตรงหน้าแล้วคุณใช้มันได้ก็ใช้ไปเถอะ ไม่ต้องมัวเสีย เวลาไปถามหรอกว่ามันเรียกว่าอะไร
      ถาม :  เวลาเรากำหนดดูสิ่งที่เราได้มา พอได้มาเราก็กำหนดดู เรารู้เลยว่าสิ่งที่เราได้มานี่ต้องทำอย่างไร อันนี้เป็นปัญญาอะไรคะ ?
      ตอบ :  อันนี้เขาเรียกว่า ความเป็นทิพย์ของจิต ส่วนใหญ่จะเป็นปัญญาในทางธรรม แต่ว่าขณะเดียวกัน ความเป็นทิพย์ของจิตนี่ไม่ว่าทางโลกทางธรรมจะอยู่ในลักษณะที่ว่าสมบูรณ์พร้อม คือ พอมันรู้ขึ้นนี่ความรู้สึกจะเกิดอาจจะไม่ถึงนาที แต่ถ้าให้อธิบายนี่หลายหน้ากระดาษ มันจะรู้พร้อมสมบูรณ์หมด เห็นภาพขึ้นมาจะรู้เลยว่ามันจะต้องจัดการอย่างไรตั้งแต่ต้นยันปลาย ความเป็นทิพย์นี่ใช้ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม ถ้าหากว่าทางโลกเกิดเหตุการณ์อย่างนี้จะทำอย่างไร ทางธรรมเกิดเหตุนี้จะจัดการอย่างไรจะบอกไว้หมด ตัวนี้ภาษาพระเรียกว่า ญาณ คือเครื่องรู้มันเกิด ในเมื่อเครื่องรู้มันเกิดถ้าหากว่าเรายึดติดอยู่ตรงนั้นมันจะเป็นอุปกิเลส แต่ถ้าเราไม่ยึดติดแต่อาศัยเครื่องรู้นี่เสริมเพื่อความก้าวหน้าขึ้นไป
              จำได้มั้ย อุปกิเลส ๑๐ อย่างมีอะไรบ้าง โอภาส นั่นมันแสงสว่างอย่างเดียว ปีติ ความอิ่มใจใช่มั้ย ปัสสัทธิ ความสงบ คิดว่าบรรลุแล้วทั้งนั้นล่ะ ไปถึงท้าย ๆ ยิ่งหนักเลย นิกกันติ ความใคร่น้อยลง อารมณ์ทางเพศเหมือนกับไม่มี คิดว่าบรรลุแล้ว ความจริงมันเต็ม ๆ เลย มันโดนกดไว้ชั่วคราว อุปัฏฐาน จิตตั้งมั่นเหมือนกับเสาที่ไม่เคลื่อน เหมือนก้อนหินใหญ่กลางน้ำ น้ำซัดมายังไงก็ไม่หวั่นไหว คิดว่าตัวเองบรรลุแล้ว คิดว่าก้าวไปถึงจุดที่จิตไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรม ความจริงไม่ใช่ มันเป็นกำลังฌานล้วน ๆ
      ถาม :  แล้วปัญญาจริง ๆ แล้วพอถึงสำเร็จแล้วจะเป็นการเข้าใจทุกอย่าง ?
      ตอบทุกอย่างที่เข้าใจนั่นเอาเฉพาะที่หมดกิเลสอย่างเดียว อย่างอื่นถือเป็นข้อรุงรังเขาจะตัดหมด มันจะเหลือเฉพาะหน้า งานเฉพาะหน้าที่เท่านั้นอย่างอื่นจะไม่เอาเลย ต้องการรู้อะไรมันรู้แต่ว่าความต้องการไม่มีซะแล้ว สนใจขึ้นมาก็แวบไปหน่อยหนึ่งแต่ก็แวบไป ด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างสูง มันเหมือนกับนักมวยเปิดการ์ดเมื่อไหร่ คู่ต่อสู้ชกร่วง ต้องตั้้งการ์ดแน่นก่อนแล้วค่อยไปสนใจเขา
      ถาม :  อธิบายเรื่องพละ ๕ กับอินทรีย์ ๕ หน่อยซิครับ ?
      ตอบอินทรีย์ ๕ กับพละ ๕ มันอันเดียวกัน อินทรีย์ ๕ มันเป็นการสะสม พละ ๕ มันเป็นการใช้งานแค่นั้น ฟังรู้เรื่องมั้ย ? ไม่มีพื้นฐานมึนตายเลย วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาอะไรเหล่านี้มัน ๒ อย่าง มันเหมือนกันเป๊ะเลย มีอยู่ ๕ อย่างเหมือนกันเขาเรียกอินทรีย์ คือความเป็นใหญ่อย่างหนึ่ง พละก็คือพลังอีกอย่างหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้ว ๒ อย่างนี่มันเป็นตัวเดียวกัน เพียงแต่ว่าตัวหนึ่งมันอยู่ในระหว่างสะสมกำลังของมันเขาเรียกว่า อินทรีย์ คือค่อย ๆ เพิ่ม อย่างวิริยะ ความเพียรของมัน ส่วนพละที่มันเป็นวิริยะ คือ ใช้ความเพียรในการตัดกิเลส เพราะฉะนั้นมันต่างกันอยู่นิดเดียวเท่านั้น อันหนึ่งเป็นการสะสมกำลัง อันหนึ่งใช้ผลของการสะสมไปเท่านั้นเอง
      ถาม :  แล้วกับบารมีล่ะครับ ?
      ตอบ :  ลักษณะมันก็คล้ายกัน วิริยะในบารมี ๑๐ นี่เขาคลุมหมด วิริยะในอิทธิบาทก็ดี วิริยะในพละ ๕ อินทรีย์ ๕ ก็ดีมันตัวเดียวกัน แต่ถ้าหากว่าในบารมี ๑๐ นี่ตัววิริยะบารมีนี่คลุมหมดตั้งแต่ต้นยันปลายเลย ตัวอื่นอาจจะเป็นเฉพาะหน้าก็ได้ อาจจะเป็นต้น เป็นกลาง เป็นปลายก็ได้ แต่วิริยะในบารมี ๑๐ นี่เขาคลุมไว้หมด เหมือนกับพระพุทธเจ้าท่านบอก รอยเท้าช้างใช่มั้ย ? รอยเท้าสัตว์ทั้งป่าจะมีมากเท่าไหร่เหยียบลงในรอยเท้่าช้างก็ไม่ใหญ่เกินไปกว่านั้น
      ถาม :  อย่างนี้ก็หมายความว่า ในเรื่องของบารมีก็วิริยะในบารมีต่าง ๆ กำลัง ๕ ตัวนี้ก็มีส่วนที่จะเสริมกำลัง ?
      ตอบ :  ก็เป็นอันนั้น จริง ๆ แล้วที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์สวดบทใดบทหนึ่ง สูตรใดสูตรหนึ่ง บรรพใดบรรพหนึ่งถ้าตั้งใจทำตามมันได้ทั้งนั้น เข้าถึงมรรคผลทั้งนั้น แต่เพียงแต่ว่าที่ท่านต้องเทศน์เอาไว้เยอะต่อเยอะด้วยกัน ก็เพราะว่าจริตนิสัยของแต่ละคนไม่เสมอกัน คนหนึ่งพูดอย่างหนึ่งถึงจะเข้าใจ อีกคนหนึ่งต้องพูดอีกอย่างหนึ่งถึงจะเข้าใจ อย่างนี้เป็นต้น
              ท่านก็เลยต้องว่าเอาไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ แบบด้วยกัน แต่ว่า ๘๔,๐๐๐ แบบพระพุทธเจ้าท่านว่าไว้นี่ไม่ค้านกันเลย มันสอดคล้องกันไปหมด
      ถาม :  ..................
      ตอบ :  ทุกอย่างมันทำได้ ทางโลกกับทางธรรมมันไปด้วยกันได้ คนที่มีธรรมะอยู่เป็นปกติอยู่แล้วนี่ ถ้าหากไปปฏิบัติอยู่ในทางโลกคนเขาจะสบายใจกว่าด้วยซ้ำไป เพราะว่าของเราจะประเภทตรงไปตรงมา เพียงแต่ว่าเราเองจะรักษากำลังใจของเราให้ทรงตัวได้มั้ย
              ตอนที่ไปเจอประเภทแรงกดดันกระทบกระแทกจากคนกิเลสมาก ๆ เราไม่คิดจะทำอย่างนั้น แต่เขาคิดแทนเรา แล้วถึงเวลาในเมื่อเขาคิดว่าเราจะทำ เขาก็จัดการบีบเราบ้างอะไรบ้าง จะเกิดปัญหาขึ้นมาอีก สำคัญอยู่ตรงที่ว่าเราสามารถรักษากำลังใจได้มั้ย ถ้ารักษาได้ลุยไปเถอะ ไม่มีใครว่าหรอก