ถาม :  พอดีเอาอันนี้มาเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าจะใช้ในการช่วยฝึกกสิณได้ไหมเจ้าคะ ? (แก้วผลึก)
      ตอบ :  ได้จ้ะได้ อันนี้ก็เป็นอาโลกสิณ ส่วนอันนี้เราสามารถเล่นพลังงานบางอย่างได้อย่างสนุกสนานมากเลย
      ถาม :  จะเล่นยังไงเจ้าคะ จะได้นำไปใช้ค่ะ ?
      ตอบ :  การส่งผ่านนี่ ทั้งส่งออกและการดึงเข้า ไปหาเคล็ดลับเอาเอง อาตมาขี้เกียจสอนแล้ว หรือไม่ก็ไปหาพวกที่เขาสอนเกี่ยวกับการใช้พลังจากแก้วคริสตัลเกี่ยวกับการรักษาโรค เขาจะบอกวิธีให้ได้
      ถาม :  ใช้จักระที่เราฝึกมาได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  ได้เหมือนกัน ลองส่งผ่านมันไป ถ้าหากว่าด้านนี้มันจะกระจายกว้างออกไป ด้านนี้มันจะกระจายแคบ อย่างนี้เป็นต้น แล้วแต่สภาพของการรวมการขยายของมันลักษณะของวิทยาศาสตร์ขั้นต้นเอง พื้นฐานของการหักเหของแสง ทำนองนั้น
      ถาม :  แต่เราใช้พลังงาน ?
      ตอบ :  จ้ะ เราใช้พลังงานนั้นแทน พอถึงเวลาด้านนี้มันแคบไป ส่องมันทั้งตัวเลย รักษาคนสนุกดี
      ถาม :  ใช้สำหรับรักษาโรคได้เลยเหรอเจ้าคะ ?
      ตอบ :  คือมันเหมือนกับแว่นขยายไง เพิ่มความเข้มได้
      ถาม :  ถ้าอย่างนี้เราเอาไป แล้วเราพุ่งกำลังฌานของเราไปในนี้ ก็จะช่วยรักษาความปวดของคนป่วยได้ใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  เขาใช้กันเป็นปกติเลย
      ถาม :  ปีหน้าจะเป็นไงบ้างคะ ปฏิทินของโลกค่ะ ?
      ตอบ :  ปฏิทินของโลกเหมือนกราฟหัวใจ นึกออกไหม ? เคยเห็นหรือเปล่า ? มันเป็นอย่างนั้นตลอด ไม่ได้อยู่นิ่ง ตอนที่คิดว่าดี อยู่ ๆ ก็พัง ตอนที่คิดว่าพัง อยู่ ๆ ก็ดี ขึ้น ๆ ลง ๆ ผันผวนมากเป็นพิเศษตั้งแต่ไตรมาสที่สองเป็นต้นไป ภาวะสงครามมันขยายตัวขึ้น ปลาย ๆ ปี ก็ฟัดกันมั่วเรื่องนี้เรื่องโกหก ห้ามเชื่อจ้ะ ปากเสียบอกเรื่องโกหกอยู่เรื่อย ๆ นี่ไม่ค่อยดี
      ถาม :  อ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องธรรมะเจ้าค่ะ ทีนี้มีคำว่าเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิ แล้วก็เทวดาที่เป็นสัมมาทิฐิ ?
      ตอบ :  คนเขียนนี่ต้องเป็นมิจฉาทิฐิแน่เลย เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิไม่มี แต่ว่าจริง ๆ แล้วก็คือว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ยังไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าจะเรียกว่าเป็นมิจฉาทิฐิก็ได้ทั้งหมด ส่วนท่านที่เป็นมิจฉาทิฐิจริง ๆ เขาจัดเป็นอีกพวกหนึ่ง เรียกว่ามาร มารนี่อยู่เทวดาชั้นสูงสุดเสียด้วยซ้ำ คืออยู่ที่ชั้น ๖ เขาเป็นผู้ที่มีมิจฉาทิฐิ แต่บังเอิญได้ทำบุญใหญ่ ในเมื่อได้ทำบุญใหญ่กำลังบุญสูงมาก ส่งให้เขาขึ้นไปถึงขนาดนั้น แต่ว่าความที่เป็นมิจฉาทิฐิ ทำให้ท่านสนุกสนานที่ได้ขวางคนอื่นเขา
              เอาเป็นว่าถ้าหากว่าบุคคลที่เข้าไม่ถึงความเป็นพระอริยเจ้า มีโอกาสที่จะคิดผิด พูดผิดทำผิดได้เสมอ ลักษณะของการพูดผิด คิดผิดทำผิด ไปจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอน เรียกว่าเป็นมิจฉาทิฐิได้ แต่ว่าเทวดาท่านเป็นผู้ที่่ทรงความดีสูงมากโอกาสที่ท่านจะพลาดยาวเลยนั้นน้อย พอถึงเวลามีโอกาสท่านก็สามารถจะพลิกกลับมาได้ ขณะเดียวกันพวกเราทั้งหมดก็เหมือนกัน สามารถเปลี่ยนจากร้ายเป็นดีได้ ขณะเดียวกัน ดี ๆ ก็อาจเปลี่ยนเป็นร้ายได้
              เพราะฉะนั้นถึงเวลาท่านประเภทเทวดาที่เป็นสัมมาทิฐิให้โมทนาได้ เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิไม่ให้เดี๋ยวท่านก็อดหมดหรอก เพราะเทวดาที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าน้อยกว่าท่านที่ยังไม่ได้เป็น
      ถาม :  เคยเห็นทรงบางที่เจ้าค่ะ มีความรู้สึกว่ามีท่านลงจริง ๆ ลองถามเกี่ยวกับเรื่องของธรรมะแล้วท่านตอบได้เหมือนกับหลวงพ่อเคยสอนไว้ ?
      ตอบ :  อันนั้นต้องขึ้นอยู่กับภูมิธรรมของท่านด้วยว่าท่านทำถึงระดับไหน ถ้าเราถามปัญหาที่สูงเกินกว่าความสามารถของท่านบางทีท่านก็ต้องดำน้ำเอา คราวนี้ดำแล้วจะโผล่หรือไม่โผล่นั้นอีกเรื่องหนึ่ง
      ถาม :  เปรต อสุรกาย นี่ถือว่าเป็นภูมิท้าย ๆ .....?
      ตอบ :  อสุรกายนี่จะสูงกว่าเปรตอีกระดับหนึ่ง จัดอยู่ในอบายภูมิเหมือนกัน ถ้าจัดอยู่ในกาลกัญจิกอสุรกาย พวกนี้จะมีฤทธิ์มาก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ที่ทรงฌานทรงสมาบัติได้ แต่ว่าใช้ไปในทางมิจฉาทิฐิ อย่างเช่น พวกพ่อมด หมอผี เป็นต้น พอได้รับโทษในนรกแล้วเป็นเปรต แล้วก็จะไปเกิดเป็นอสุรกายพวกนี้ ดูถูกเขาไม่ได้นะพวกนี้ บางทีเขาจะตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่เจ้าป่าเจ้าเขา เทวดาที่มีศักดานุภาพน้อย ๆ ยังต้องหลบเขา สมมติว่าคุณเป็นตำรวจแต่บังเอิญว่ายศคุณแค่พลตำรวจ หรือนายสิบเท่านั้น ไปเจอเจ้าพ่อชลบุรีเข้าก็ขาสั่นใช่ไหม ? แบบเดียวกัน
      ถาม :  มีคนที่เขาเคยเป็นร่างทรง แล้วทีนี้เขาประพฤติตัวไม่เหมาะสมเจ้าค่ะ จากที่เคยทรงเจ้าก็กลายเป็นคนอื่นไป ไม่ทราบว่าตรงจุดนี้มันเกิดขึ้นได้เพราะเหตุใด ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่แล้วจากตัวโลกธรรมที่เข้ามาแทรก แรก ๆ ทำด้วยเจตนาหวังสงเคราะห์แต่ว่าพอลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เข้ามาก็ไปหลงยึดติดตรงนั้น เมื่อไปยึดติดตรงนั้นผิดจุดประสงค์ของท่านที่ลงมา เพื่อสงเคราะห์ท่านก็ถอนออกไป คราวนี้ว่าเมื่อเวลานึกถึงตัวจริงไม่มาตัวอาสาแทนมันเพียบอยู่แล้ว เลยกลายเป็นว่าจากที่ดี ๆ ก็กลายเป็นไม่ดีไปก็ได้
      ถาม :  แล้วทีนี้คนที่เขาทรงเขาจะรู้ตัวไหมคะ ?
      ตอบ :  บางรายก็รู้ แต่ว่าอย่างไรล่ะ ? ตัวเองก็พลอยยินดีไปด้วยเสียแล้ว เลยปล่อยไปเลยตามเลย บางรายก็ไม่รู้เพราะว่าเขามาเขาอ้างว่าตัวเขาเป็นอย่างนั้นตัวเองก็รับต่อไป เพียงแต่ว่าถ้าเขาช่างสังเกตความประพฤติมันจะเปลี่ยนไป จากที่ไม่เคยเรียกร้องผลประโยชน์ก็เรียกร้องขึ้นมา
      ถาม :  หนูเคยเจอทำท่าเหมือนจะดีเจ้าค่ะ บอกว่าท่านเป็นกรมหลวงชุมพรฯ ลงมา แต่พอถามท้าวมหาราชทั้ง ๔ แล้วท่านไม่รู้จัก ก็เลยจบเลย ไม่ต้องพูดกันเลยเจ้าค่ะ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่ท่านที่ลงมานี่มักจะต้องอ้างของสูงเพื่อเป็นที่น่าเชื่อถือ แล้วถึงเวลาจะเรียกร้องอะไรมักจะได้รับการตอบสนองง่าย เลยกลายเป็นว่าอ้างของสูงแต่ว่าไม่รู้จริง
      ถาม :  มีไหมครับตอนที่เป็นเทวดาเป็นนางฟ้า แต่เวลาลงมาเกิดในร่างของผู้ชาย ?
      ตอบ :  มีนางฟ้าอาจเกิดเป็นผู้ชายก็ได้ เทวดาอาจเกิดเป็นผู้หญิงก็ได้
      ถาม :  แล้วนิสัยใจคอนี่จะเป็นไปแบบไหนครับ ?
      ตอบ :  แล้วแต่บารมีที่ตัวเองสร้างมา ถ้าหากว่าบารมียังน้อยอยู่ นิสัยใจคอจะออกไปทางผู้หญิง ถ้าหากว่ามากจะไปในทางผู้ชาย เรื่องของการเรียกร้องสิทธิสตรีใช้ที่นี่ไม่ได้ เพราะว่าการสร้างบารมีนี้ ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะบารมีน้อยกว่า ถ้าเป็นอุปบารมีขั้นปลายก็จะค่อย ๆ เป็นผู้ชายขึ้นมา
      ถาม :  เมื่อเดือนที่แล้วเพื่อนหนูผู้ชายเพิ่งเสียชีวิตเจ้าค่ะ แต่พอเขาออกจากร่างไปหนูเห็นเป็นนางฟ้าเทวดาเจ้าค่ะ ?
      ตอบ :  ในระหว่างที่เขาค่อย ๆ เปลี่ยนมาจากผู้หญิงมาเป็นผู้ชาย ความเป็นผู้หญิงก็ยังติดอยู่ ขณะเดียวกันขณะที่เขาใกล้จะเป็นผู้ชาย ความเป็นผู้ชายก็จะติดอยู่ เราก็ไปตราหน้าว่าเขาเป็นทอมบ้างเป็นตุ๊ดบ้าง แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา
              ถ้าศึกษาในเรื่องยถากัมมุตาญาณจะเห็นว่าเป็นเรื่องปกติเลย เพียงแต่ว่าระยะนี้คนทั้งหลายเหล่านี้เขาเกิดมากขึ้น ๆ เพราะอาจเป็นวาระหรือเวลาของเขา เราก็เลยไปคิดว่า เอ๊ะ ! ทำไมมันมากจัง
      ถาม :  พอดีไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องมงคลชีวิต ๓๘ ประการ ทีนี้เขาแบ่งออกเป็น ๑๐ หมวด แล้วในช่วงต้น ๆ นี่เจ้าค่ะ จะเป็นส่วนที่ปฏิบัติได้พื้่น ๆ แต่พอช่วงหมวดที่ ๙ หมวดที่ ๑๐ นี่จะเป็นเกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติในระดับสูง ก็เลยไม่แน่ใจว่าคนธรรมดานี่จะปฏิบัติได้ครบไหม ?
      ตอบ :  ถ้าทำครบได้เป็นพระอรหันต์จ้ะ อย่าลืมว่าอริยะสัจจานะ ทัสนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง การทำพระอริสัจให้แจ้งเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง คนแจ้งในพระอริยสุจนี่พระอรหันต์นะจ้ะ แล้วหลังจากนั้นก็ ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะนะกัมปะติ จิตที่กระทบโลกธรรมแล้วไม่หวั่นไหว อโสกัง เป็นผู้ไม่เศร้าโศก วิระชัง ปราศจากซึ่งธุลี เขมังเป็นผู้เกษมอยู่ตลอดเวลา
      ถาม :  แล้วเราจะแบ่งระดับชั้นอย่างไร ว่าเราควรจะปฏิบัตถึงหมวดไหน ?
      ตอบ :  ได้ทั้งหมดยิ่งดี สมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะทำตามนั้น อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านเทศน์อะไรก็ตามท่านหวังมรรคผล สิ่งที่ท่านสอนทุกอย่าง ถ้าเราปฏิบัติตามนั้นหวังผลได้ถึงจุดสุดท้ายคือพระนิพพานเลย ดังนั้นมังคลสูตร เป็นหนึ่งสูตรจำนวนนับไม่ถ้วนที่พระองค์ท่านเทศน์มา นับถ้วนได้แต่นับยากหน่อย สามารถส่งผลให้เข้าถึงนิพพานได้ ตะโปจะ การบำเพ็ญตบะใช่ไหม พรัหมจริยา จะ การรักษาพรหมจรรย์ มันก็ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปแล้วนี่ พรหมจรรย์ก็ต้องอนาคามีใช่ไหม อริยะสัจจา นะทัสนัง การทำอริยสัจให้แจ้งอย่างนี้ ยิ่งไล่ก็ยิ่งสูงนะ
      ถาม :  เทวดาที่มีวิมานอยู่บนต้นไม้นี่ ต้นไม้สูงเพียงหนึ่งคืบก็มีวิมานได้แล้ว แล้วพอดีต้นไม้ที่มันแคระแกร็นนี่ไม่ทราบว่าท่านจะอยู่ไหม ?
      ตอบ :  ก็ถ้าท่านอยู่ก็เดือดร้อนล่ะจ้ะ
      ถาม :  แล้ววิมานท่านอยู่จะไม่ติดดินเลยหรือครับ ?
      ตอบ :  เขาสามารถจะใหญ่หรือเล็กได้ตามความต้องการของตัว ถ้าทำให้เล็กลง อรรถคาถาท่านเคยบอกว่า หัวเข็มหมุดเดียวอยู่ได้ ๘-๖๐ องค์ ต้นไม้สูงตั้งคืบ
      ถาม :  อยู่กันยังไงคะ ?
      ตอบ :  คอนโดมั้ง ? พูดเล่นนะจ๊ะ ท่านย่อตัวได้เล็กกว่าปรมาณูอีก ขยายก็ได้
      ถาม :  คือว่าตั้งแต่ได้กรรมฐานแล้วก็เอาไปช่วยคน ช่วยยกกรรม ทีนี้เมื่อวันก่อนนั่งสมาธิ พระพุทธองค์ท่านมาบอกว่าวิถีทางช่วยของเราที่ทำอยู่นี่เป็นการช่วยแค่ชั่่วคราว ไม่สามารถช่วยคนให้หลุดพ้นได้จริงแค่แก้กรรมไปได้แต่ละครั้ง ๆ ท่านก็บอกว่าจะต้องใช้หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาเข้าช่วยในการแก้กรรมด้วย ทีนี้ก็ถามพระพุทธองค์ว่าจะใช้ยังไงเจ้าคะ ท่านก็บอกว่าให้มาถามท่านเจ้าค่ะ ?
      ตอบ :  งานนี้เลี่ยงไม่ได้ พ่อใหญ่สั่งนี่เลี่ยงไม่ได้เลยใช่ไหม ? ก็แนะนำเขาในทาน ศีล ภาวนา เพราะว่าบุคคลที่มั่นคงในทาน ศีล ภาวนา ผลกรรมถึงแรงขนาดไหนก็ตามจะตามสนองได้ไม่ถึง ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เต็มที่ได้ไม่เกินนั้น
      ถาม :  แนะนำอะไรนะเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ให้เขาปฏิบัติอยู่ในทาน ในศีล ในการภาวนา ให้มันอยู่ในกรอบของสามอย่างนี้ มันจะได้ไม่หลุดออกไปเป็นมิจฉาทิฐิ
      ถาม :  แล้วเขาบอกทำไม่เป็นล่ะเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ค่อย ๆ แจกแจงรายละเอียดให้เขาสิว่า ให้ทานไม่ใช่ให้ทีหนึ่งเป็นแสนเป็นล้าน ให้ทีบาทสองบาทก็ได้อย่างนี้ หรือถ้าหากว่าเสียดายทรัพย์สินข้นมา เปลี่ยนเป็นรักษาศีลก็ได้ ค่อย ๆ ว่าไป เดี๋ยวชำนาญขึ้นก็จ้อได้ตลอดเอง
      ถาม :  ก็เลยสงสัยเจ้าค่ะ ว่าจะต้องไปนั่งศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนในโรงเรียน ?
      ตอบ :  สมควรจ้ะสมควร เพราะว่าถ้าหากว่าจะไปเป็นครูบาอาจารย์เขา เรียนรู้ให้แม่นตำราไว้ โอกาสที่จะได้เปรียบเขามีเยอะ เป็นที่พึ่งของคนอื่นเขา ถ้าทรงศีล ทรงธรรมได้ จะมีประโยชน์มากเลย ตรงที่ว่า่เราสามารถจะแนะนำเขาได้
      ถาม :  แล้วต้องศึกษาทางด้านไหนก่อนเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ด้านไหนก่อน ? ก็เอาด้านทาน ศีล ภาวนานี่แหละ ทางที่ดีก็เอาคำสอนหลวงพ่อเป็นหลัก กรรมฐาน ๔๐, คู่มือการปฏิบัติ หรือจะเอาปฏิปทาท่านผู้เฒ่า อะไรก็ได้ ว่าให้มันช่ำไปเลยอันไหนที่เราทำได้มั่นใจว่ามันไม่ผิดแน่นอนก็แนะนำเขาไป
      ถาม :  กำลังสงสัยเลยเจ้าค่ะ อย่างคนที่หนูเคยฆ่าตัดศีรษะเขาในชาติก่อน ชาตินี้เขาเอาคืน ทำไมไม่เอาชีวิตเสียเลย ?
      ตอบต้นทุนเราใช้เขาแล้ว ดีไม่ดีก็ลงนรกมาแล้ว ตรงนี้มันมีแค่เศษเท่านั้น เพราะฉะนั้นเศษ ๆ มันเล็กน้อยเท่านั้น จะให้เขาฆ่าเราเลยก็ไม่ได้ แต่่ว่าเขาสามารถทวงเราให้เจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง ให้พบอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ บ้างอย่างนี้เป็นต้น
      ถาม :  คนที่เคยรู้จักเขาบอกว่าเวลาเขานอนหรือเขาอยู่คนเดียว เขาจะเกิดอาการกลัวผีมาก แล้วจะแนะนำเขาอย่างไรเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ให้เขาแต่งงานจ้ะ (หัวเราะ) ตรงไปตรงมาดีไหม ? อยู่คนเดียวแล้วกลัวนี่ หาแฟนให้จะได้หายกลัวไปเลย สอนให้เขารู้จักภาวนา ถ้ากำลังใจทรงตัวมันจะเริ่มรู้จักว่าผีจริง ๆ แล้วคืออะไร ? ความจริงแล้วผีน่าสงสารมาก ไม่ได้น่ากลัวหรอก พอเขารู้ความเป็นจริงเขาก็เลิกกลัวไปเอง
      ถาม :  คนที่มีปัญญามาก ๆ นี่ อย่างคนที่จบปริญญา อย่างอัลเบิร์ต ไอสไตน์ อย่างนี้ ทำไมเกิดมาไม่เจอพระพุทธศาสนาบ้างเลย แต่สร้างระเบิดนิวเคลียร์เอาไปบอมบ์คนตายเป็นแสน ๆ คน ?
      ตอบ :  เดี๋ยว ๆ ใจเย็นหนู ไอสไตน์ เอาไปบอมบ์เองเหรอ ?
      ถาม :  ไม่ใช่ครับ
      ตอบ :  เออ ! มันก็แค่นั้นแหละ แล้วที่เขาเอาไประเบิดหินระเบิดตึกที่มันจำเป็นต้องสร้างใหม่ ไม่มีประโยชน์บ้างเลยหรือไง ? เขาสร้างมาโดยเจตนาดี แต่คนเอาไปใช้มันระยำเอง เหล็กเอามาทำเป็นคราด เป็นจอบ เป็นเสียม มันก็ช่วยในการเกษตรได้ดี แต่เอาไปทำเป็นอาวุธฆ่ากัน มันก็แย่ใช่ไหม ?
      ถาม :  แล้วอย่างคนที่เขาจบสูง จบเมืองนอกนี่ ถือว่ามีบุญไหมครับ ?
      ตอบ :  มีอยู่ แต่ขณะเดียวกันเขาเองอาจไม่ได้ปฏิบัติในพุทธานุสสติ เลยไปเกิดนอกเขตพระพุทธศาสนา
      ถาม :  เวลาคนที่สื่อจิตถึงกัน สภาวะของผู้ที่จะสื่อจิตไปและของผู้ได้รับ สภาวะจิตนี้จะต้องทำอย่างไร่ถึงจะสื่อกันได้ ?
      ตอบ :  อย่างน้อย ๆ ต้องมีพื้นฐานของเจโตปริยญาณอยู่บ้าง ถ้าหากว่าฝึกให้คล่องตัวได้ยิ่งดี ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเครื่องรับรับได้แต่เครื่องส่งส่งไม่เป็น หรือว่าเครื่องส่งส่งได้แต่ว่าเครื่องรับรับไม่เป็น มันก็แย่ เครื่องรับรับได้แต่เครื่องส่งส่งไม่เป็นพอกล้ำกลืนมันไปได้ แต่ว่าเครื่องส่งส่งเป็นเครื่องรับรับไม่ได้นี่ เจ๊งเลย ไม่รู้จะสื่อกันอย่างไร
              เพราะฉะนั้นอย่างน้อย ๆ ต้องให้เขาฝึกพื้นฐานของทิพจักขุญาณ โดยเฉพาะเน้นเจโตปริยญาณให้ได้ ถ้ามีพื้นฐานตรงจุดนี้แล้วต่อไปสบายมาก มือถือไม่ต้องพก
      ถาม :  แล้ววิธีที่เคยลองว่าเวลาโทรศัทพ์มาเราจะรู้ว่าใครโทรมา ?
      ตอบ :  ใช้ได้เลย เพราะว่าตัวนั้นมันจะพิสูจน์ได้ในระยะสั้น ๆ ว่าเราตั้งอารมณ์ถูกหรือผิด ถ้าตั้งอารมณ์ถูกมันก็แม่นทุกครั้ง บางคนเขาก็แปลกใจว่าอาตมาฟังเสียงเขาแล้วจำได้เหรอ ? จะบอกว่าเห็นหน้าเลยก็เกรงใจ
      ถาม :  มีอยู่คืนหนึ่งเจ้าค่ะ นอนอยู่ดี ๆ ตื่นขึ้นมาตอนตีสอง ก็งงเจ้าค่ะว่าตื่นขึ้นมาทำไม ไม่งัวเงียด้วยนะเจ้าคะ พอตื่นขึ้นมาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำสมาธิ ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำ พอทำได้ประมาณตีสี่ ลงมาเห็นคุณพ่อคุณแม่ท่านก็ทำด้วย ก็เลยสงสัยว่าเราตื่นขึ้นมาเพราะท่านหรือเปล่าค่ะ อย่างนี้....?
      ตอบบางทีก็ใช่ บางทีก็ไม่ใช่ ให้ดูเหตุปัจจัยรอบ ๆ ด้วย ของอาตมาเองนี้สมัยเป็นฆราวาสเคยบอกพระภูมิเจ้าที่ไว้ว่าถ้าหากว่ามีอันตรายอะไรที่จะเกิดขึ้นก็ขอให้่ท่านปลุกก่อนห้านาที ขอให้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์เพื่อที่จะได้แก้ไขเหตุการณ์ได้ด้วย คืนไหนที่อยู่ ๆ ลุกพรวดพราดขึ้นมาตาสว่างแจ๋ว ระวังไว้เลย เจอแน่
              คราวนี้ว่าบางทีก็อาจเป็นการที่พระท่านสงเคราะห์ให้ก็ได้หรือเทวดาท่านสงเคราะห์ให้ก็ได้ เนื่องจากว่ากระแสของพ่อแม่ลูกส่วนใหญ่ผูกพันกัน พอถึงเวลาท่านทำเราทำ มันก็หนุนเสริมไปทางเดียวกัน จิตมันก็จะทรงตัวได้ง่ายกว่า
      ถาม :  เพิ่งย้ายบ้านใหม่ จะบูชาพระภูมิใหม่ ถ้ายังไม่ตั้งศาลมีวิธีบูชาอย่างไรบ้างครับ ?
      ตอบตั้งใจจุดธูปบอกท่านด้วยความเคารพไปก่อน ถ้ามีโอกาสก็ทำศาลให้ท่านไป สมัยโบราณเขาไปอยู่ที่ไหน เขาจะใช้ประเภทพาน ตั้งพวกหมากพลูบุหรี่อะไรนั่น แล้วก็สตางค์หนึ่งบาท จะจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางว่าขออาศัยสถานที่นี้ เงินจำนวนนี้เป็นค่าเช่าที่ด้วย ลักษณะนั้น แล้วก็เอาเงินจำนวนนั้นไปทำบุญ ถ้าอย่างนั้นอยู่สบายทุกราย แต่่ว่าถ้าสามารถตั้งศาลให้ท่านได้โดยไม่ลำบากมากนัก ทำไป เพราะว่าเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพ ถ้ามีอะไรที่ไม่เกินวิสัยท่านจะสงเคราะห์ให้เรา
      ถาม :  พอดีเคยพบคนที่เป็นบุคคลที่หนีมาจากนรกเจ้าค่ะ เราก็บอกให้ทำบุญทำกุศลแล้วเขาก็ไม่ทำ แล้วก็เห็นยมทูตเขามาเจอตัว อีกไม่นานเขาก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไป ทีนี้ก็เลยสงสัยว่าทำไมวิญญาณเหล่านี้จึงสามารถจำทางหลบหนีมาได้เจ้าคะ ?
      ตอบ :  คือถ้าหากว่าเขาโดนลงโทษอยู่ในขุมไม่สามารถจะหนีมาได้ คาดว่าจะอยู่ในระหว่างการตัดสินในระหว่างการตัดสินนี่ ถ้าหากว่าตรงกับวันสำคัญ ฟังให้ดี ๆ นะ จะมีวันสำคัญอยู่สี่วัน ก็คือวันมาฆบูชา, วันวิสาขบูชา, วันเข้าพรรษา, วันออกพรรษา จะเป็นวันที่ชาวบ้านเขาทำบุญกันมาก พระยายมท่านจะปล่อยบรรดาผู้ที่ไปรอรับการตัดสินนี่ ให้ไปโมทนาบุญก่อน บรรดาผู้ที่โทษหนักรู้ว่าถ้าหากตัดสินเดี้ยงแน่ ก็เผ่นเลย แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเขามักไปรอการตัดสิน
              เพราะว่าพระยายมท่านพยายามช่วยทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้เขาหลุดพ้นไปได้ จะได้ไม่ต้องรับโทษ จำให้แม่น ๆ ว่าพระยายมไม่มีหน้าที่พาใครลงนรก แต่ท่านพยายามกันไว้ไม่ให้ลงนรก พวกที่กลัวไม่เข้าเรื่องเข้าราว มันก็เผ่นเสียก่อน อย่างนั้นเขาก็ไปตามคืน
      ถาม :  แล้วต้องใช้เวลานานไหมครับ ?
      ตอบ :  เวลาของเขามันนิดเดียว อย่าลืมว่า ที่ตำหนักพระยายมนี่วันหนึ่งเท่ากับห้าสิบปีมนุษย์ เวลาของเขานิดเดียว ทางนี้ั้โตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วก็มี นี่พวกเราใช้แรงงานพรหมเกินขนาดนะนี่ ท่านหยุดงานปีละสี่ครั้งแค่นั้นเอง แล้วก็ครั้งละสามวัน คือว่าขึ้นสิบสี่ค่ำ ขึ้นสิบห้าค่ำ แล้วก็แรมหนึ่งค่ำ แล้วขณะเดียวกัน เวลางานมาก ๆ ก็หยุดแต่ตัวจริง บางทีก็เนรมิตตัวเอาไว้ทำงานแทนต่อ
      ถาม :  พูดถึงหนีนรกแล้ว ประเภทที่หนีจากสวรรค์มีไหมเจ้าคะ ?
      ตอบ :  อย่างนั้นไม่มี มีแต่ตะเกียกตะกายลงมา ส่วนใหญ่พยายามจะขึ้นไป ไม่หนีหรอก มีแต่ประเภทที่ว่าถ้าหากว่าตนลงมาเกิด บางประเภทก็ทำสิ่งที่ไม่ดีไว้เยอะ ถ้ารอให้หมดบุญทีเดียวอาจต้องไปรับกรรมในอบายภูมิเลย ก็ขออนุญาตลงมาเกิดก่อน บางพวกเห็นว่า ถ้าตนเองลงมาเกิดในวาระนั้น เวลานั้นจะสามารถสร้างบุญสร้างบารมีทำให้ตัวเองได้ดีมากกว่าเดิมอีก ก็จะขออนุญาตลงมาเกิด ซึ่งทั้งสองกรณีนี้ต้องมีเทวดาผู้ใหญ่เป็นผู้รับรอง
      ถาม :  แสดงว่าเรื่องการลงมาจุตินี้ เราเลือกเองได้ใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  จ้ะ เราเลือกเองได้
      ถาม :  พวกเราที่ลงตามหลวงพ่อลงมานี้ ก็ต้องมีเทวดาผู้ใหญ่รับรอง ?
      ตอบ :  จ้ะ ท่านย่ารับรองไปกราบขอบพระคุณท่านเสียไม่ค่อยจะนึกถึงท่านเลย
      ถาม :  ไม่รับรองนี่ ไม่ได้เหรอครับ ?
      ตอบ :  ไม่รับรองเป็นไปไม่ได้จ้ะ เพราะว่าไม่รับรองนี่ปล่อยลงมาไม่มีผู้คุมก็เพลิน ส่วนใหญ่แล้วพวกเรากำลังใจมันไปด้านเดียว ถ้าดีก็ดีไปเลย ถ้าหากว่าเลวก็เป๋กระฉูดไปเลย ก็จะต้องมีประเภทไม้เรียวคอยหวดไว้ สังเกตไหม เวลาจะชั่วทีไรมันทำไม่ค่อยได้ มีความรู้สึกอะไรบางอย่างคอยเตือนคอยบังคับอยู่เรื่อย ต่อไปถ้าหากว่าเตือนแล้วไม่ทำอาจมีเท้าใหญ่ ๆ ยื่นออกมาด้วย
      ถาม :  ก็เคยโดนเหมือนกันค่ะ ไปหาหลวงปู่ปานโดยไม่ได้รับอนุญาต โดนถีบตกลงมา แล้วคนที่เขานั่งสมาธิด้วยกันเขาเห็นเหมือนกัน พอออกมาเขาก็นั่งหัวเราะกัน (หัวเราะ) อายเขา ?
      ตอบ :  นั่นฐานกรุณาแล้วจ้ะ แค่ส่งเบา ๆ ถ้ารักมากจะหนักกว่านั้นอีก ยังดีที่ไม่รักเท่าไร
      ถาม :  พอดีมีพี่อยู่คนหนึ่ง บังเอิญวันนั้นเราพูดมากไปหน่อย เขาบอกว่าน้อง ๆ พูดมากไปแล้ว หยุดพูดได้แล้ว เราก็เลยหยุด พอเช้าวันรุ่งขึ้นพี่คนนั้นก็พูดไม่ได้ แล้วมีอีกคนหนึ่ง หน้าเราเป็นสิว เราก็รักษาสิว น้องเขาก็บอกว่าหน้าสกปรกถึงได้เป็นสิว พอวันรุ่งขึ้นหน้าเขาก็สิวเต็มเลยเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าเหตุการณ์มันเกิดมาได้อย่างไรเจ้าคะ ?
      ตอบบางคนที่ตั้งใจทำความดีมีลักษณะเหมือนกับกระแสไฟฟ้า คุณอนันต์ ก็โทษมหันต์ถ้าใครไปแตะต้องผิดจังหวะโทษก็เกิดแก่กับตัวเอง บางทีเราเองไม่ได้คิดจะเอาผิดเอาโทษใคร แต่บรรดาผู้ที่เขาดูแลรักษาเราอยู่เขาเกิดไม่ชอบใจแกล้งเอาเสียบ้างก็เป็นไปได้ แล้วถ้าหากว่ายิ่ิงบริสุทธิ์แบบพระอริยเจ้า เช่น พระอรหันต์นี่ ถ้าเป็นฆราวาสต้องตัดให้ตายไปเลย เพราะถ้าอยู่แล้วจะเป็นโทษแก่คนอื่นเขามาก คล้าย ๆ กับแบบนี้แหละ
      ถาม :  ไม่แน่ใจว่าเขาคิดถูกหรือคิดผิดนะเจ้าคะ เขาบอกว่าเขาสามารถมีภรรยาได้หลายคน ถ้าภรรยายินยอม อาจไม่ได้พูด อาจพูดด้วยปาก แต่ใจไม่ได้บอกว่ายินยอม ?
      ตอบ :  อันนั้นใจจะยอมไม่ยอม ถ้าพูดด้วยปาก ก็เสร็จเขาแล้ว
      ถาม :  เรียบร้อยเลยหรือเจ้าคะ ?
      ตอบ :  จ้า รับรองได้มันตีกิน มีเป็นฝูงเลย
      ถาม :  แล้วเขาถือว่าเขาไม่ผิดศีลได้หรือเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ไม่ผิดจ้ะ ก็แบบเดียวกับว่า คนที่เคยเป็นเจ้ากรรมนายเวร เราเคยกระทำสิ่งที่ไม่ดีต่อเขา ถ้าหากว่าเขาเอ่ยปากอโหสิกรรมให้กับเรา จะเพราะโดนเราหลอกหรืออะไรก็ตามก็เป็นอันว่าจบกัน
      ถาม :  ถ้าหากว่าเจ้ากรรมนายเวรเราบอกเขาให้อโหสิกรรมเป็นอันจบเลยหรือเจ้าคะ ถ้านั้นต้องหลอกล่อเก่ง ๆ ?
      ตอบ :  ลองทำดูก็ได้ ถ้าเขาเก่งกว่าเราก็แย่เหมือนกัน
      ถาม :  ตรงใจมากเลยเจ้าค่ะ ของหนูนี่เขาเคยบอกไว้ว่าต้องกราบเท้าเขาก่อนเขาจะอภัยให้ ทีนี้ชาตินี้จะให้ก้มกราบไม่มีปัญหาหรอกเจ้าค่ะ แต่กลัวเขาจะงงที่ว่าตัวเขาก็ไม่ได้เข้าวัดทำบุญอะไร ?
      ตอบ :  บอกเขาก่อนสิ อาตมาเคยทำมาแล้ว เจอหน้าคนบางคนรู้เลยว่าถ้าหากขืนปล่อยให้เขาเป็นไปตามวาระกรรมตามกาลเวลาของมัน เราที่บวชพระอยู่จะบวชไม่ได้ บอกว่าสิ่งที่พูดต่อไปนี้จะว่าอาตมาบ้าอาตมาก็ยินดีรับว่าบ้า แต่ว่ากรรมอะไรทั้งหมดที่เคยล่วงเกินมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ขอให้เป็นอโหสิกรรมได้ไหม เขารู้เดี๋ยวนั้นเลย เขาบอกว่าได้ แล้วสิ่งที่เขาเคยล่วงเกินก็ขออโหสิกรรมด้วยก็จบกันเลย คือว่าถ้าหากว่ากระแสกรรมนี้มันเนื่องมานี่ ถ้าหากว่าเราเอ่ยขึ้นมาเขาจะนึกออก