ถาม :  จะขอรบกวนถามเรื่องสมาธิ เคยนั่งสมาธิครั้งหนึ่ง แล้วรู้สึกจิตสงบดี .....(ไม่ชัด)....?
      ตอบ :  แล้วหลังจากนั้นเข้าถึงตรงจุดนั้นได้อีกหรือไม่ ?
      ถาม :  ได้ครั้งเดียว พยายามหลายครั้งแล้วเข้าไม่ได้ ?
      ตอบ :  นั่นแหละ เพราะว่าคุณพยายาม มันก็เลยไม่ได้ จำเอาไว้ว่าถ้าอยาก...ไม่ได้หรอก ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าอารมณ์ฌานทุกระดับมันจะมีตัวสุดท้ายคือเอกัคคตารมณ์ ถ้าหากว่าเป็นผู้ที่จิตละเอียดมากอย่างพระโพธิสัตว์บารมีสูง ๆ ท่านจะแยกออกได้ว่า เอกัคคตารมณ์นี้จะประกอบไปด้วยเอกัคคตากับอุเบกขา คือความปล่อยวาง
              จำไว้เลยว่าถ้าเราอยาก มันจะเข้าไม่ถึงตัวอุเบกขานั้น เราต้องปล่อยลักษณะว่า เรามีหน้าที่ภาวนา มันจะได้หรือไม่ได้ก็ช่างมัน ถ้าถึงเวลา ถึงวาระที่สมควร มันก็จะลงล็อคของมันเอง ถ้าเราสามารถปล่อยกำลังใจได้ว่า มันจะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่างมัน มันจะได้เร็วมาก ตราบใดที่ยังอยากอยู่มันจะไปไม่ถึงตรงจุดนั้น ทำเมื่อไรก็ไปนั่งจ้องมัน อาตมาติดอยู่สามปีเต็ม ๆ ถ้าเป็นคนอื่นเลิกไปนานแล้ว แต่ของเราว่ายังไง ๆ ก็ต้องเอาให้ได้ เลือดบ้ามันเยอะหน่อย ทำเท่าไรไม่ได้สักทีเพราะไปจ้องขั้นตอนมัน คราวที่แล้วมันเป็นอย่างนี้ ขนลุกซ่า ๆ หน่อย พอมาถึงตรงนี้ต่อไปอีกหน่อยมันจะเป็นอย่างนี้ ไปตามจี้ตูดมันอยู่ มันอาย มันไม่โผล่มาหรอก
              จนกระทั่งวันหนึ่งมันเหนื่อยใจเต็มที มันจะได้หรือไม่ได้ก็ช่างหัวมัน เรามีหน้าที่ภาวนาก็ภาวนาไป ป๊อกเดียวลงล็อคเลย คือมันกลายเป็นกำลังที่ปล่อยวางลักษณะอุเบกขาพอดี บังเอิญได้ แล้วหลังจากนั้นก็เลิกโง่ โง่อยู่สามปีถ้วน ๆ โง่นี่หมายถึงเลิกเรื่ืองเดียวนะ เรื่องอื่นยังคงโง่ต่อไป
      ถาม :  เวลาภาวนาไปถึงจุด ๆ หนึ่ง มันหยุดไปเลยครับ ไม่มีภาวนาไม่มีอะไร ?
      ตอบ :  ตอนนั้นให้กำหนดใจรู้อยู่อย่างเดียว มันภาวนาก็ให้รู้ว่ามันภาวนา มันหยุดก็ให้รู้ว่ามันหยุด มันนิ่งก็ให้รู้ว่ามันนิ่ง มันเงียบก็ให้รู้ว่ามันเงียบ ตามรู้อยู่อย่างเดียว พอถึงเวลาถ้าเต็มที่ของมัน มันจะถอนของมันเอง หรือไม่ถ้าหากว่ากำลังพอ มันจะก้าวผ่านไปอีกขั้นหนึ่ง ที่เขาบอกว่า ทำตัวให้เป็นผู้ดูอย่าเป็นผู้เล่น เพราะเราเล่นโดยการไปบังคับมันให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ มันไม่เป็น
              แต่ถ้าหากว่าคอยดูระมัดระวังมันอยู่เฉย ๆ เท่านั้นเอง รับรู้ว่าอาการของมันเป็นอย่างไร ลักษณะที่บางสำนักท่านใช้คำว่ารู้หนอ รู้หนอ ถ้าหากว่ามันเต็มที่ของมันได้แค่นั้นมันก็จะถอยออกมา ถ้าถึงเวลากำลังมันพอ มันจะก้าวผ่านไปได้เอง
      ถาม :  คือถ้าจำอารมณ์ช่วงนั้นได้ มันก็จะติดอยู่แบบนั้น ?
      ตอบ :  ใช้วิธีแบบของหลวงพ่อดีกว่า คือพอมันเต็มที่ถึงตรงจุดนั้น เราคลายออกมาสู่อารมณ์ปกติแล้วพิจารณาไปเลย จะดูตามแบบไตรลักษณ์ คือ ดูอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ได้ ดูตามแบบวิปัสสนาญาณ ๙ ดูการเกิดการดับของมัน จนกระทั่งไปถึงสัจจานุโลมิกญาน ย้อนไปย้อนมาก็ได้ หรือไม่ก็ดูตามแนว อริยสัจ จับทุกข์ตัวเดียวก็ได้
      ถาม :  ............................
      ตอบ :  รอฟังอย่างเดียว ตอนนี้คู่ศึกไม่มาชวนทะเลาะหลายเดือนแล้ว มัวแต่ติดงานอยู่ ลักษณะนั้นเดี๋ยวแย่ ติดงานลักษณะที่ว่ามีความสามารถพิเศษแล้ว ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เข้ามาโดยไม่รู้ คนโน้นขอให้ช่วย คนนี้ขอให้ช่วยก็เมตตาเขาไป แล้วขณะเดียวกันก็รับเอายาพิษเข้ามาโดยไม่รู้ตัว คือบรรดาคำสรรเสริญอะไรต่าง ๆ มันพอใจนะ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่สมควร แต่มันพอใจ พอมันพอใจแล้วครั้งต่อไปพอไปรับงานนี่ชักจะไม่ใช่ตัวเมตตาแล้ว แต่อยากให้เขาชมว่าเก่ง มันจะมีแทรกอยู่ ทีละนิด ๆ โดยไม่รู้ตัว เดี๋ยวก็เจ๊งถ้ามันเป็นอย่างนั้น
              มันต้องคนที่ทำได้อย่างนั้นมานั่งถาม แล้วมันจะสนุก เพราะมันเป็นของจริงต่อของจริงด้วยกัน เป็นประสบการณ์ที่พบมาด้วยตัวเอง บางทีรุ่นพี่ท่านมานั่งถกกันในลักษณะสนทนาธรรม เรารุ่นน้องเพิ่งเข้าไปใหม่ ๆ นั่งอ้าปากหวอ เรื่องของทางจิตมันมหัศจรรย์พิลึกพิลั่นไปได้ขนาดนั้นเชียวนะ คอยนั่งฟังมันทุกวันแหละ ฟังเพลิน เพลินจนกระทั่งลืมทำ (หัวเราะ) มัวแต่ฟังอย่างเดียว
      ถาม :  (ถามเรื่องคุณพ่อเจ้าโทสะ) บางครั้งก็อยากจะหนี แต่ไม่รู้จะหนีไปไหน ?
      ตอบหนีไปไหนก็ไม่พ้นหรอก ความทุกข์อยู่กับตัวเรา จำไว้พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าจะหนีไปอยู่ใต้เม็ดทราย หนีไปก้นมหาสมุทร หนีไปอยู่ในซอกเหวลึก จะหนีไปอยู่ในกลีบเมฆก็ดี ความทุึกข์ก็ยังคงอยู่กับเรา
              เพราะฉะนั้นก็อยู่อย่างยอมรับความเป็นจริง คือยอมรับว่าในเมื่อท่านเองเป็นอย่างนี้ เราพยายามทำอย่างดีที่สุดแล้วในหน้าที่ของความเป็นลูก ถ้าไม่สามารถจะช่วยเหลือได้มากกว่านี้ ก็ต้องยอมรับว่าท่านมีกรรมของท่านอยู่ ของเราเองเราทำความดีให้เต็มที่ไป ให้ตั้งใจว่า ถ้าหากว่าวาระที่สมควรมาถึงก็ขอให้พ่อแม่หันกลับเข้ามาทางด้านธรรมะด้วยเถิด ตั้งใจไป
              แล้วอีกอย่างหนึ่งอานิสงส์ของการบวชสำหรับผู้ชาย คนเป็นพ่อเป็นแม่จะได้รับทันทีเลย ต่อให้ไม่โมทนาก็ได้ เป็นบุญพิเศษ ถ้าหากว่าเราเป็นลูกหญิง เราก็พยายามทำดีให้ถึงพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป เพื่อกุศลจะได้ส่งให้พ่อแม่ได้ด้วย มีงานให้ทำอีกเยอะ เรื่องของพ่อแม่นี่ ถ้าคิดมาก ๆ ก็เปลืองสมอง ตั้งหน้าตั้งตาทำของเราไป มีโอกาสเมื่อไรก็ค่อยไปหยอดให้ท่านสักนิดหนึ่ง เปิดเทปเผื่อท่านสักหน่อยหนึ่ง ทิ้งหนังสือให้ท่านสักเล่มหนึ่งอย่างนี้ เดี๋ยวเกิดท่านคว้าขึ้นมาอ่านสนุกดีติดใจ หาเล่มใหม่ไป ประวัติหลวงปู่ปานก็ได้ แกล้ง ๆ ลืมไว้ อ่านประวัติหลวงปู่ปานนี้มันกว่ากำลังภายในเยอะเลย
      ถาม :  ถ้าเกิดว่าทำอะไรไปแล้วไม่รู้สึกตัว อย่างเช่นยืนอยู่กลางถนนแล้ว อย่างนี้สารเคมีในสมองมันไม่สมดุลหรือเปล่าคะ หรือว่าแค่วิญญาณที่ ......(ไม่ชัด)....?
      ตอบ :  ไม่ต้อง ตัวสมาธินั่นแหละสำคัญที่สดุ อย่างนั้นแสดงว่าตัวสติสัมปชัญญะมันขาดไป ในเมื่อขาดสติสัมปชัญญะที่ดีที่สุดก็คืออานาปานสติ คือการนึกถึงลมหายใจเข้าออก คือตัวภาวนานั่นแหละ
              ถ้าหากว่าเราสามารถทำได้จนจิตทรงตัวในระดับประเภทที่ว่า จะหลับหรือตื่นอารมณ์ใจทรงตัวได้เท่ากัน คราวนี้มันรู้ตลอด จะหลับมันก็ยังรู้เลย จะตื่นมันก็รู้ว่าตื่น เพราะฉะนั้นแค่เดินบนถนนมันรู้อยู่แล้ว
      ถาม :  พระจีนท่านบอกว่าไม่ให้นั่งสมาธิตามบ้าน เพราะว่าจะคุมสติไม่ได้ อธิบายได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องอธิบายจ้ะ เพราะท่านเข้าใจผิด จริง ๆ แล้วลักษณะของการภาวนา คือการสร้างสมาธิ การคุมไม่ได้อย่างดีก็แค่เรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อย เรียกว่าฟุ้งซ่าน คือตัวอุทธัจจะ เราเองพอรู้ตัวก็ดึงมันกลับมา ดึงมันกลับมา เดี๋ยวมันก็ดีเอง ถ้าไม่คิดจะทำเลยแล้วเมื่อไรมันจะดีล่ะ อย่าไปเถียงกับท่านนะ นั่นคือทิฐิ คือ ความเห็นของท่าน ของเราเห็นว่าอย่างนี้ถูกก็ทำของเราไป
      ถาม :  ทำไมบางทีเราต้องเจอปัญหาเดิม ซ้ำ ๆ ซาก ๆ แก้ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เราก็พยายามทำดีแล้ว บางทีผ่านไปแล้วสองสามปี ก็กลับมาเจอปัญหาเดิมอีก ?
      ตอบ :  นั่นเป็นความคิดของเรา ที่ว่าดีแล้วต้องถามว่าดีแค่ไหน ? ถ้ามันดีจริงปัญหามันต้องหมดซิใช่ไหมล่ะ ? ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของพ่อของแม่แบบเดียวกับที่ว่ามา ให้เราตั้งหน้าตั้งตาทำความดีของเราไป ถ้าหากว่าเราทำความดีจนมั่นคง มีการเปลี่ยนแปลงให้ท่านเห็นจนชัดเดี๋ยวท่านก็คล้อยตามมาเอง
              อาตมาสมัยก่อนตอนช่วงวัยรุ่นนี้มาถือศีลภาวนา คนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงรอบข้างว่าเราบ้าหมด แต่หลังจากที่เราตั้งหน้าตั้งตาทำไปเรื่อย เขาจะว่าอย่างไรก็ไม่สนใจในสิ่งที่เขาว่า ตั้งหน้าปฏิบัติของเราไปเรื่อย ๆ มาตอนหลังความประพฤติที่เราเคยเป็น เช่นว่าใจร้อน ชอบตีกับชาวบ้านเขา หรือว่าอะไรเขา เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด เขาก็เริ่ม เออ ! ที่แท้ทำแล้วมันก็ดีนี่หว่า เขาก็ค่อยคล้อยตามมาแล้วก็ตามมาทำด้วย จะกลายเป็นว่าพอถึงเวลาแล้วสิ่งที่เราทำ กระแสที่เร้าสร้างขึ้นพอมากขึ้น ๆ มันจะมีพลังพอ ก็จะสามารถเปลี่ยนให้เขาคล้อยตามเรามาได้เอง จะสามารถชักจูงเขาให้คล้อยตามมาได้ เพราะฉะนั้นต้องอยู่ที่เราแล้ว อย่าเพิ่งไปน้อยใจว่าอุตส่าห์ทำดีมาตั้งเยอะตั้งแยะ จริง ๆ แล้วยังไม่พอ ถ้าพอแล้วป่านนี้การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีต้องมีแล้วล่ะ ตั้งหน้าทำต่อไป ยังไง ๆ ก็ไม่เกินชาตินี้แน่
      ถาม :  แล้วทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าดี ?
      ตอบ :  ดูว่าตัวเราเป็นลูก เราทำหน้าที่ของความเป็นลูกได้เหมาะสมไหม ? ตัวเราเป็นพี่ เราทำความดีของความเป็นพี่ได้เหมาะสมไหม ? ตัวเราเป็นน้อง เราทำหน้าที่ของความเป็นน้องได้เหมาะสมไหม ? พิจารณาแบบไม่เข้าข้างตัวเอง ถ้าหากว่าไม่เข้าข้างตัวเองแล้ว เราทำได้เต็มที่ตามที่ตัวเองต้องการ ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องดีขึ้น คำว่าหน้าที่มันพูดยาก เพราะหน้าที่หลายตำแหน่งเหลือเกิน เป็นพ่อเป็นแม่ทำหน้าที่ของพ่อแม่ เป็นพี่เป็นน้องทำหน้าที่ของพี่ของน้อง เป็นลูกเป็นหลานทำหน้าที่ของลูกหลาน แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้เหมาะให้ควรเท่านั้นเอง ฟังแล้วเป็นไง มันง่าย แต่ทำมันยาก ทำไปเหอะ ผิดบ้างถูกบ้างเป็นมวยวัดไป เดี๋ยวมันก็ถูกเข้าสักทีแหละน่า
      ถาม :  พอดีกระผมจะบวช ขอโอวาทด้วยครับ ?
      ตอบ :  บวชน้อยก็ต้องตั้งใจทำให้ดีที่สุดเท่าที่พึงดีได้ ระวังเอาไว้ว่าอาบัติหนักอย่างปาราชิก ๔ ข้อ สังฆาทิเสส ๑๓ ข้อ อย่าให้มันโดนเป็นอันขาด เพราะว่าโดนแล้ว อย่างปาราชิก ๔ ข้อขาดความเป็นพระไปเลย คือบวชใหม่ก็ไม่เป็นพระ ห่มเหลืองอยู่ก็ไม่เป็นพระ สังฆาทิเสส ๑๓ ข้อ โดนแล้วแก้ไขได้ยาก ก็จะขาดความเป็นพระไปชั่วคราวจนกว่าจะได้รับโทษคืออยู่ ปริวาส ตามกำหนดที่เขาตั้งเอาไว้ แล้วก็ขอให้พระอีก ๒๐ รูป สวดคืนความเป็นพระให้ มันจะลำบาก อาบัติข้ออื่น ๆ นั้นมันจำนวนมากด้วยกัน โอกาสพลาดมีอยู่
              ในเมื่อโอกาสพลาดมันมีอยู่ก็อย่าให้มันข้ามคืน ถึงเวลาถ้าโดนก็รีบแสดงคืน คือสารภาพเสียโดยไว ของวัดท่าซุงเขาดีอยู่อย่างหนึ่งคือเขาใช้ภาษาไทย อย่างเช่นว่า ข้าแต่สงฆ์ทั้งหลายผู้เจริญ ข้าพเจ้าต้องอาบัติปาจิตตีย์ ด้วยได้โกหกคนอื่นเขา ข้าพเจ้าตอนนี้ทราบถึงควาชั่วหยาบของอาบัตินี้แล้ว ต่อไปนี้จะไม่คิดอย่างนี้อีก ไม่พูดอย่างนี้อีก ไม่ทำอย่างนี้อีก ขอสงฆ์ทั้งหลายโปรดรับทราบด้วยเถิด เขาจะได้ช่วยกันให้เราด้วย ขืนทำซ้ำเขาจะได้โห่เอา มันอายเขา จะได้ไม่กล้าทำ จะได้รู้ชัด ๆ ว่าเราทำอะไรผิด
              คราวนี้ว่าเราบวชน้อยก็ให้ตั้งใจไว้ว่า กุศลทั้งหมดที่เราทำนั้นเราปรารถนาอะไร ? ทาน ศีล ภาวนาของเราในช่วงนั้นมีเท่าไรก็ว่าให้เต็มที่ไปเลย อย่างเช่นว่า ออกบิณฑบาตก็ตั้งใจเลยว่า อาหารที่เราบิณฑบาตวันนี้ขอถวายเป็นสังฆทานเลี้ยงพระไปทั้งหมดเลย เราเองก็ด้วย ถึงเวลาเทก็แบ่งกัน ทั้งหมดมีเท่าไร เราก็ได้ส่วนกุศลนั้นด้วย ง่ายออก
              ถ้าหากว่าในเรื่องของศีลก็พยายามทบทวนอยู่ทุกวัน นวโกวาทติดมือไว้ เย็น ๆ ก็เปิดทวนทุกวัน ๆ ให้มันขึ้นใจ เรื่องของการภาวนา เรื่องอื่น ๆ วางให้หมด ไม่ต้องมากมายอะไร เอาใจเกาะนิพพานอย่างเดียว พยายามให้อยู่กับพระบนนิพพานให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้ากำลังใจมันเคยชินเมื่อไร ปุ๊บปั๊บมันไปเลย แค่นั้นแหละ จำคร่าว ๆ ก็พอ ต้องใช้คำว่าทำเอา วัดท่าซุงน่ะเหมาะสมที่สุด เพราะว่ากระแสความดีรวมจุดตรงนั้นสูงมาก ตั้งแต่เริ่มสร้างวัดมาจนถึงปัจจุบัน
              เอาแค่ว่าสมัย หลวงพ่อเล่ง, หลวงพ่อไล้ ถ้าหากว่าคนอายุมากหน่อยยังทัน มีพระอรหันต์ต่อเนื่องกันมาตั้ง ๗๒ องค์ ที่ใดที่พระอรหันต์อยู่ ความดีที่ท่านทำกระแสเย็นที่กำลังใจของท่านส่งออกมา มันจะคงตัวอยู่ในบริเวณนั้น สิ่งที่ท่านใช้ ถ้าหากว่ายังมีสภาพอยู่ เทวดาต้องรักษาอยู่แล้ว
              เพราะฉะนั้นของเราอยู่ในกระแสความดีขนาดนั้น ถ้าตั้งใจทำอยู่ในทาน ศีล ภาวนา อารมณ์ใจจะทรงตัวแล้วทำได้ง่ายมาก เพราะฉะนั้นมีโอกาสต้องกอบโกยมันเข้าให้เยอะไว้ เพราะว่าอยู่ที่อื่นมันอาจไม่เหมาะสมอย่างนั้น ถ้าภาษาพระต้องเรียกว่าสถานที่เป็นสัปปายะ คือเหมาะมาก
              เอาแค่สมัยหลวงพ่อเล่ง หลวงพ่อไล้นะ ๗๒ องค์นี้ นี่ยังไม่นับสมัยหลวงพ่อเรา (หัวเราะ) นี่ยังน้อย ถ้าเป็นเตียงที่พระนาคเสนท่านบรรลุมรรคผล ในที่ ๆ ท่านทำไว้สำหรับนั่งภาวนา คนที่ไปนั่งภาวนาซ้ำรอยท่านบรรลุมรรคผลต่อมาเป็นพันเลย เพราะฉะนั้นอยู่ในสถานที่ ๆ ดีที่สุดต้องพยายามทำตัวให้สมกับสถานที่ด้วย ตัวมโนมยิทธิไม่ต้องมาก เที่ยวเบื่อแล้วเกาะพระนิพพานอย่างเดียวพอ
      ถาม :  (ลางานไปร่วมงานธุดงค์) โกหกที่ทำงานว่าแม่ไม่สบายต้องไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ จะผิดไหม ?
      ตอบ :  ไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก เพราะว่าสิ่งที่เราทำเป็นความดีสูงมาก ที่เราโกหกนั้นมันน้อย พอหักกลบลบล้างแล้วกำไรเยอะ พอลงทุนได้จ้ะ (หัวเราะ) ไม่ใช่ไม่ผิดนะ ผิด แต่พอลงทุนได้ แบบเดียวกับพระไง พระเขาห้ามพรากของเขียว คือห้ามทำพวกบรรดาพืชผักอะไรต่าง ๆ ที่เป็นสีเขียวให้ลุดออกจากที่ แต่ถ้าหากว่าวัดมันรกดูแล้วไม่เป็นที่เจริญตาเจริญใจทำให้ชาวบ้านเสื่อมศรัทธาเราก็ลงทุนได้ อย่างน้อย ๆ ทำให้วัดวาอารามดีขึ้นมา ชาวบ้านเขาเห็นว่าพระไม่เอาแต่กินแล้วนอนเฉย ๆ ใช่ไหม ? ทำให้วัดวาอารามเจริญสะอาดเรียบร้อยขึ้นมาก็ลงได้ ว่าไปเลย
              สมัยอยู่วัดท่าซุงพูดกันเล่น ๆ ว่าถ้าพรากของเขียวไม่ถึงหนึ่งไร่ไม่ถือว่าโดนอาบัติ (หัวเราะ) ก็ที่มันเป็นร้อยไร่ บางทีขับรถไถดันลุยเข้าไป งูเหลือมขาดเป็นท่อนไปเลย มันหนีไม่ทัน เราเองก็ไม่ทันระวัง ตำรานี้อย่าไปใช้วัดอื่น วัดที่ท่านเคร่งจริง ๆ ท่านเห็นแล้วจะช็อคตาย พรากของเขียวไม่ถึงไร่ไม่ถือว่าเป็นอาบัติ
      ถาม :  เอาใจตั้งยังไงคะ ในขณะที่เรารู้ว่า ....(ไม่ชัด).....?
      ตอบ :  ให้อยู่ข้างใน เอาใจให้เหมือนกับบ่อน้ำลึก เพราะว่ากระแสโลกภายนอกนี่ มันจะดึง จะฉุด จะรั้ง จะเบียดเรา เป็นปกติอยู่แล้ว ทำใจให้เหมือนบ่อน้ำลึก คือว่าเปลือกนอกของเรา เหมือนกับน้ำปากบ่อ กระเพื่อมไปตามแรงลมแรงอะไรของมัน แต่ว่าก้นบ่อให้นิ่งอยู่เสมอ ถ้าทำได้อย่างนั้นแล้วจะสบาย สังเกตดูซิท่านที่ทำได้ ไม่ว่าอยู่ในอิริยาบถไหน ท่านจะมีสติอยู่เสมอ ไม่ว่าเรื่องอะไรเข้ามา ท่านจะสามารถแยกแยะออกอย่างสะดวกและก็ง่าย ในเมื่อนิ่งก็สามารถสะท้อนได้อย่างแจ่มชัด เหมือนกับน้ำจริง ๆ
      ถาม :  กระเพื่อมนิดกับกระเพื่อมแรง มันต่างกัน ?
      ตอบ :  กระเพื่อมแรงมันอาจถึงก้นบ่อได้ เพราะฉะนั้นเอาแค่ปากบ่อก็พอ ต้องคอยสังเกตไว้บ่อย ๆ
      ถาม :  แล้ววิธีวางกำลังใจที่เรารู้ชัด ๆ แล้วว่านี่คือเจ้ากรรมนายเวร ?
      ตอบ :  ต้องอยู่ในลักษณะที่ว่าเราเป็นผู้ผิดเราทำก่อน ในเมื่อเราเป็นผู้ผิดเราทำเขาไว้ก็จำเป็นจะต้องได้รับการตอบแทนในลักษณะที่ต้องชดใช้เขา เท่ากับว่าเราเป็นลูกหนี้ไม่มีสิทธิที่จะขอร้อง ต่อรอง อะไรกับเจ้าหนี้ได้มากมายนัก มีหน้าที่อย่างเดียวคือก้มหน้าก้มตาใช้ไป ขณะเดียวก็อย่าไปสร้างหนี้ใหม่ ถ้าหากว่าเราไม่ไปสร้างหนี้ใหม่ ก้มหน้าก้มตาใช้หนี้เก่า ไม่นานมันก็พ้น เป็นลูกหนี้หือกับเจ้าหนี้ไม่ได้
      ถาม :  ผมสงสัยว่าการสร้างวัดสร้างวานี่เป็นการจำลองวิมานทิพย์มาใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่แน่ การสร้างวัดสร้างวาอันดับแรกก็เพื่อการอยู่อาศัย ส่วนการสร้างนั้นเขาจะเอาแบบมาจากไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อาจเป็นวิศวกรออกแบบมาหรือว่าอาจเป็นท่านที่พบเห็นสภาพข้างบนเขาเป็นอย่างไร แล้วลอกแบบมา มันก็จะเป็นที่เรียกว่าแตกต่างกันไปตามแต่สภาพและสถานที่ ตลอดจนถึงตัวบุคคล
              เคยมีคนญี่ปุ่นคนหนึ่ี่งมาวัดท่าซุง เขาถามว่าวัดวาอารามในเมืองไทยที่สวย ๆ มีมาก เอาแค่วัดโพธิ์หรือวัดพระแก้วก็สวยกว่าวัดท่าซุงเยอะแยะแล้ว แต่เขาเห็นแล้วเขาไม่ติดใจ วัดท่าซุงไม่ใช่วัดที่สวย แต่ทำไมเขาเห็นแล้วติดใจมาก ก็บอกกับเขาไปว่าวัดท่าซุงอาคารการก่อสร้างบางส่วนหลวงพ่อท่านจำลองแบบมาจากข้างบน เราเองอาจเคยอยู่ข้างบนบ่อย มันก็เลยเคยชินกับสภาพอย่างนี้ มาเห็นเข้าก็เลยรู้สึกติดใจ
      ถาม :  แล้วข้างบนเกิดรูปร่างขึ้นมาได้อย่างไร ?
      ตอบ :  ตามบุญที่ตัวเองสร้างมา
      ถาม :  แล้วลวดลาย อย่างหน้าบันหรือเสาอะไร ?
      ตอบ :  ที่อยู่ในโลกมนุษย์นี่ไม่ได้หนึ่งในคล้ายของจริงหรอก ข้างบนละเอียดกว่ามหาศาลเลย เปรียบไม่ได้เลย
      ถาม :  ตามกำลังบุญที่ได้สร้างกันมาใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  อันนั้นเรียกว่าบุญทำกรรมแต่ง พูดได้เต็มปากเต็มคำเลย คราวนี้มันก็มีบางอย่างที่เป็นความชอบส่วนตัว บางอย่างก็เป็นไปตามกระแสบุญที่ตัวเองทำ อย่างเช่น วิมานของลาชะเทวธิดา ท่านถวายข้าวตอกกับพระมหากัสสปหนึ่งขัน แล้วโดนงูเห่ากัดตายไปเกิดเป็นเทพธิดา คราวนี้เครื่องประดับของท่านก็ลักษณะที่ห้อยระย้าลงมา แล้วมีข้าวตอกทองคำอยู่ด้วย เป็นขันทองคำ ข้าวตอกทองคำ นี่เป็นไปตามบุญที่ตัวเองทำ
              แต่ขณะเดียวกันที่บางท่านทำไปเป็นความชอบส่วนตัว เช่น แม่ค้าท่านหนึ่ง เป็นแม่ค้าขายปูทะเล ท่านเองติดใจมณฑปแก้วที่วัดท่าซุงมาก ไปทำสังฆทานเสร็จแล้วก็ไปนั่งสบายใจที่ตรงนั้น ใจเคยชินอยู่ตรงนั้น จิตเกาะอยู่ตรงนั้น พอตายแล้วท่านก็มีวิมานเป็นเพชรทั้งหลัง คือมันเป็นไปตามลักษณะบุญบารมีอย่างหนึ่ง แล้วบางอย่างมันก็มีความชอบส่วนตัวเข้าไปด้วย