ถาม :  จำเป็นต้องเชิญญาติโยมไปร่วมงาน ญาติพี่น้องไปที่วัดหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ไปก็เกะกะเปล่า ๆ
      ถาม :  กะว่าชวนคุณพ่อคุณแม่กับพี่น้อง ?
      ตอบ :  แล้วแต่เราเห็นสมควร ให้เขาไปด้วยก็ดี เขาจะไปพลอยโมทนายินดี แต่อย่าให้มันประเภทเลี้ยงเหล้ากันเมารำไม่รู้จักเลิกตอนแห่นาค ถ้าเป็นที่อาตมาจัดบวชจะไม่มีพวกนี้เลย เดินวนรอบโบสถ์สามรอบก็เข้าโบสถ์บวชเลย แต่ว่าให้เขาไปด้วยเพื่อให้เขาพลอยโมทนาบุญกับเราด้วยก็ดี แต่อย่าให้เขาไปเลี้ยงพวกสุรา อาหาร ชนิดมากมายจนเกินไป มีบางราย เข้าโบสถ์นี่นาคหัวทิ่มเข้าไปเลย มันจับกรอกซะเรียบร้อย ถือว่าส่งท้าย อุปัชฌาย์ถาม “กุฏฐัง คันโฑ” มันตอบ “แม่โขง ภันเต” มีบางรายอุปัชฌาย์ท่านเข้มงวดมาก ๆ ท่านก็ประเภทคว้าย่ามกลับวัดเลย ญาติโยมร้องไห้ร้องห่มขอร้องให้บวชต่อท่านก็ไม่บวช มันขาดสติสัมปชัญญะอย่างนั้น บวชมันจะเป็นพระได้ไง ท่านไม่ยอม ท่านไปเลย บอกหายเมาเมื่อไหร่แล้วค่อยมาบวชใหม่ ส่วนใหญ่แล้วมันจะทิ้งท้ายกัน เอามั่งมั๊ย แม่โขง ภันเต เขามีแต่ “อามะ ภันเต นัตถิ ภันเต” มัน “แม่โขง ภันเต”
      ถาม :  แล้ววัดนี่จำเป็นไหมฮะ เราต้องเลือกวัดไหน หรือว่าแล้วแต่ใกล้บ้าน ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าดูสิ่งแวดล้อมมันไม่เป็นพิษกับเรามากนักก็เอา คือบางวัดนี่ท่านไม่ได้เป็นพระเลย สักแต่ว่าผ้าเหลืองห่มเข้าไปเท่านั้นเอง ประเภทชกต่อยตีรันฟันแทงเป็นเรื่องปกติเลย ประเภทขายยาบ้างยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ระวังเอาไว้ อย่าไปเจอประเภทนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วอยู่ ๆ จะมีคนเขาไปท้าตีท้าต่อยคุณเข้า เขาหมั่นไส้ เขาก็ท้าต่อยเลย ไม่รู้มันจะบวชไปทำไม
      ถาม :  แล้ววันที่เราบวชสิบวันเนี่ย ถือว่าน้อยเกินไปหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  การทำความดีไม่ถือว่าน้อยนะ หลวงพ่อท่านเคยเปรียบเอาไว้ว่า บวชน้อยแต่ทำความดีก็เหมือนกับเพชร ถึงเม็ดเล็กก็มีค่าสูง บวชมากถ้าทำแต่ความชั่ว ก็เหมือนกับขี้ ยิ่งกองใหญ่ก็ยิ่งเหม็นมาก เพราะฉะนั้นมันสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติ ถ้านับอานิสงส์แล้วทันทีที่ ญัตติ พอเขาบอกว่า อุปสัมปันโน สังเฆนะ บัดนี้ได้รับการอุปสมบทเป็นสงฆ์แล้ว ในวินาทีนั้นอานิสงส์ ๖๐ กัปป์เป็นของคุณแน่นอน หลังจากนั้นแล้วอยู่ต่อ มันจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงอยู่ที่การปฏิบัติของเรา ถ้าทำความดีก็บวกเพิ่มขึ้นไป ถ้าทำความชั่วก็ขาดทุนไปเรื่อย เพราะฉะนั้นคุณบวชเสร็จปุ๊บ จะสึกเดี๋ยวนั้นเลยก็ได้ อานิสงส์ได้เต็มแล้ว
      ถาม :  แล้วถ้าช่วงที่เราบวช อาจจะต้องมีการงาน ธุระการงานเกี่ยวข้อง ?
      ตอบ :  ก็ได้ ถือว่าของเราเองมันยังไม่ทิ้งโดยตรง ใช่มั้ย ? ก็ติดต่อการงานไปตามระเบียบเขา แต่ว่าบางอันมันเกี่ยวข้องกับศีลพระ อย่าให้ศีลพระมันพลาดไปก็แล้วกัน ประเภทถ้าติดต่อกับเลขาฯ อย่าเผลอไปจีบเลขาฯ เข้า ให้งานมันเป็นงานให้หมดเรื่องไป เสร็จแล้วก็เอาแค่ตรงนั้นแหละ พอเสร็จ เราก็มาอยู่ในทาน ศีล ภาวนา ของเราต่อ ยิ่งบวชน้อย ต้องยิ่งรักษาใจให้ดี พูดง่าย ๆ ก็คือว่า เวลายิ่งน้อยเราก็ยิ่งต้องกอบโกยความดีของเราให้มากที่สุด
              นวโกวาท เวลาคุณอ่าน อนุญาตให้เลียนแบบได้ อาตมาเคยทำอย่างนี้ ข้อไหนที่มีโอกาสผิดพลาดได้ง่าย วงแดงแจ๋ไว้เลย หรือไม่ก็กาลงไปเลย สี่ดาว ห้าดาว ก็ได้ ข้อไหนที่ผิดพลาดยากหน่อยก็ลดจำนวนลงมา ที่โอกาสพลาดไม่มีเลยก็ว่ามันอีกสีหนึ่งไปเลยอย่างนั้น
              ปัจจุบันนี้ มีศีลอยู่จำนวนมากด้วยกันที่เราได้กำไรไว้เฉย ๆ เพราะว่าไม่จำเป็นต้องรักษาก็ไม่มีโอกาสที่จะล่วงศีล อย่างเช่นว่า ศีลเกี่ยวกับนางภิกษุณี ภิกษุณีไม่มีแล้วอย่างนี้ ศีลเกี่ยวกับการที่เราทำของใช้ส่วนตัว สร้างอาคารที่อยู่อะไรเหล่านี้เป็นต้น เพราะสมัยนี้ของใช้ทุกอย่างส่วนใหญ่ก็คือโยมซื้อถวายไม่ได้ทำเอง ที่อยู่อาศัยก็ส่วนใหญ่ก็สร้างเป็นส่วนกลางอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ศีลเราตอนนี้จะประเภที่ว่าเข้าไปก็ได้กำไรเพียบเลย อันไหนที่โอกาสพลาดไม่มีเราก็จะว่าอีกสีหนึ่ง อย่างสมัยก่อนก็จะวงสีน้ำเงินไว้ อันนี้ได้กำไรแน่นอนแล้ว อันไหนที่มีโอกาสพลาดได้นิดหน่อยก็ประเภทที่เรียกว่ากาสีแดงซักตัวหนึ่ง อันไหนพลาดเยอะล่อมันสามสี่ตัวไปเลย แล้วก็ทวนมันทุกวัน เปิดดูทุกวัน เช้าครั้งเย็นครั้ง ทบทวนให้มันขึ้นใจให้ได้ มันจะได้ไม่ไปพลาด
      ถาม :  ปกติในชีวิตประจำวันของผมแต่ละวัน เราจะมีเวลาฝึกนั่งภาวนา นั่งสมาธิน่ะ กลางคืนหรือเปล่าฮะ ?
      ตอบ :  เพียบเลย ถ้าหากว่าตอนเช้าออกบิณฑบาต ฉันเสร็จแล้ว ส่วนใหญ่แต่ละวัดเขามักจะทำวัตรเช้า ก่อนออกบิณฑบาต เพราะฉะนั้น ถ้าคุณฉันเสร็จแล้วคุณมีเวลายันเพลเลย ถ้าหากว่าเขาไม่ได้มีการอบรมอะไรเกี่ยวกับพระใหม่ ตอนนั้นก็จะเป็นเวลาส่วนตัวของเรา ถ้าหากว่าฉันเพลเสร็จ เวลาที่เหลือจนกว่าจะทำวัตรเย็นก็เป็นของคุณ ยกเว้นว่าเขาจะมีหน้าที่การงานอะไรที่ขอให้พระใหม่ไปช่วยทำได้อะไรได้ก็เอา มันจะว่างจนเกินไปซะด้วยซ้ำไป เห็นมีใครเขาว่าอะไร “ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ตอนบ่ายพักผ่อน ตอนค่ำจำวัตร” ตกลงมันนอนเช้ายันค่ำ
      ถาม :  ถ้าเข้าไปแล้วทำอย่างนั้น จะถือว่าบาปมั้ยครับ
      ตอบ :  ก็ดูว่าตัวเราเองมันกำไรหรือขาดทุนล่ะ กะจะเจี๊ยะอย่างเดียว สร้างความดีเอาไว้บ้าง สมัยที่อยู่ หลวงน้ามีชัย ตอนนี้ท่านสึกไปแล้ว สึกตอนอายุ ๗๒ ตั้งใจสึกไปแต่งงาน อันนี้ไม่ว่ากัน แต่ตอนท่านอยู่ท่านทำดี ท่านเตือนเอาไว้ว่า คุณก่อนจะออกบิณฑบาต ภาวนารักษาอารมณ์ใจให้มันดีที่สุดนะ ไม่งั้นเราขาดทุน ถามว่า ขาดทุนตรงไหนครับ ท่านบอกเหมือนกับคนหาเงินน่ะคุณ ถ้าเกิดคุณหาเงินได้ยี่สิบ แต่ว่าของมันราคาร้อยหนึ่ง คุณขาดทุนไปแปดสิบ แปลว่า ถ้าหากว่าเรารักษาอารมณ์ได้น้อย แต่ไปถึงโยมเขาตั้งความหวัง เขาทำบุญกับเรา เขาหวังไว้เลยว่ามันจะเป็นสังฆทานได้ทำบุญกับพระอริยเจ้าล่ะ บรรลัย ท่านเตือนเอาไว้อย่างนั้น ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าเท่ากับว่าค่อยกระตุ้นเราให้ทำความดี รักษาอารมณ์ใจสูงสุดเท่าที่่จะทำได้ เพื่อได้เป็นประโยชน์กับคนที่เขาใส่บาตรทำบุญกับเรา เราเป็นเนื้อนาแล้ว ตอนนี้เขาจะหว่านข้าวลงมาแล้ว อย่าให้น้ำท่วมตายหรืออย่าให้มันแล้งตาย อย่างน้อย ๆ ก็ขอให้มันมีดอกมีผลออกมาตอบแทนเขาบ้าง ไม่ใช่เอาแต่กินแล้วนอน
      ถาม :  แล้วช่วงที่เตรียมงานเนี่ยครับ คุณพ่อ คุณแม่เรารู้สึกว่าเหนื่อยกับการเตรียมงานนี่ ไม่ควรใช่มั้ยครับ ?
      ตอบ :  ไม่ควร หาคนที่เป็นแม่งานมาจัดงานแทนดีกว่า ว่าใครที่สามารถรับผิดชอบงานนั้นได้ ตัวเจ้าภาพให้อยู่อย่างสบายใจที่สุด ไม่งั้นถ้าหากว่าจิตใจขุ่นมัวซะ กุศลมันจะลดน้อยลง
      ถาม :  ควรจะอยู่ที่วัดล่วงหน้าซักกี่วัน ?
      ตอบ :  แล้วแต่ไปคุยกับท่าน ถ้าท่านต้องการกี่วัน ถ้าเป็นอย่างอาตมาสองวันก็พอ พอรับปากกับหลวงพ่อว่าจะบวชก็มาท่องคำขานนาค ตอนนั้นวัดท่าซุงเป็นมหานิกาย ก็ล่อ อุกาสะ ใช่มั้ย ? ท่องอุกาสะเสร็จไปอยู่้วัด ปรากฎว่าเขาบอกว่าวัดเราใช้ เอสาหัง เข้าไปท่องคำขอบรรพชาว่า เอสาหัง เสร็จเรียบร้อย สองวันได้อยู่แล้วใช่มั้ย วันแรกมันได้แล้ว แต่วันที่สองซ้อมให้คล่อง พอวันที่สาม บอกว่าของคุณอุปสมบทหมู่ ต้องใช้ เอเต มะยัง ภันเต ตกลงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจะบวชวิธีไหน อาตมาได้หมด
              จนกระทั่งทุกวันนี้เขาข้องใจกันมากเลย บางทีอยู่ ๆ เข้าโบสถ์ไปก็แนะนำขั้นตอนให้พระใหม่เขาหมดเลย โดยที่เขาไม่รู้ว่าเราเองก็โดนมาขนาดไหน ฉะนั้นก็ถามหลวงพ่อหรือท่านเจ้าอาวาสว่าควรจะมาอยู่วัดก่อนกี่วัน เพราะว่าผมทำงานอยู่เวลาก็น้อย สมัยโบราณเรียกว่าอยู่ติตถิยปริวาส คือการอยู่จำกัดเขตแบบคนนอก หัดให้เคยชินกับระเบียบวินัยของพระ
              อย่างสมัยนี้ก็จะมีอย่างของสายหลวงปู่มั่นอย่างนี้ ถ้าหากว่าคุณจะบวชต้องไปเป็นตาผ้าขาวหัดถือศีล ๒๒๗ ข้อ หนึ่งปีเต็ม ๆ ถ้าหากว่าเห็นสมควร อาจารย์อนุญาตให้ถึงได้บวช หรือไม่ก็อย่างสายหลวงพ่อสนอง วัดสังฆทานอย่างนี้ ต้องไปเป็นตาผ้าขาวฝึกหัดเหมือนกัน แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าของท่านต้องหัดนานเท่าไหร่ คราวนี้ติตถิยปริวาส ตามที่พระพุทธเจ้าท่านกำหนดเอาไว้ คือให้อยู่สามเดือน หมายถึงว่าจะบวชแน่นอน ไม่ใช่อย่างของเราประเภท บวช ๆ สึก ๆ อยู่สามเดือน ฝึกระเบียบพระ ถ้าหากสามเดือนไม่ได้ เพิ่มให้อีกสามเป็นหกเดือน ถ้าไม่ได้เพิ่มให้อีกสามเป็นเก้าเดือน ถ้าเก้าเดือนยังไม่เอาไหนไม่ต้องบวช ถือว่าเข็นไม่ไป หัดอยู่เก้าเดือนนะ หัดไม่ได้ อยู่กันจนรากงอกแล้ว นั่นแหละติตถิยปริวาส ไปอยู่ฝึกหัด นี่คราวนี้เก้าเดือน
              ทางสายหลวงปู่มั่นท่านเข้มข้นมาก เดี๋ยวมันจะเอาดียาก ล่อมันสองปี ซึ่งแต่ละคนก็รู้สึกเต็มใจมาก เพราะอย่างน้อย ๆ ได้หัดระเบียบได้ฝึกปรือในลักษณะของฆราวาสก่อนถึงผิดก็ไม่มีโทษ เสร็จแล้วพอเคยชินเข้ามันอยู่ตัวแล้วบวชไปก็สบายเลย มันเท่ากับแค่เปลี่ยนชุดเฉย ๆ เพราะกิจวัตรทุกอย่างทำแบบพระอยู่แล้ว นโยบายนี้ดีมั้ย ? เอาซักสองปีก่อนแล้วค่อยบวชนะ ขาดใจตายไปเลย มีอะไรว่ามา เพราะว่าบางทีครูบาอาจารย์สมัยนี้ท่านก็บวชให้เฉย ๆ ไม่มีเวลาที่จะไปบอกไปกล่าว ไปสั่งไปสอนอะไรมาก
              อาตมาเองก็เพิ่งถูกจับยัดเป็นคู่สวดงานบวชของพระเอที่เพิ่งผ่านมานี่เอง ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้คิดจะเป็นหรอก ท่านเจ้าคุณไปถึง ปรากฎว่าพามหาสันติไปองค์เดียว มหาทองดีไม่ไปด้วย มองทั้งวัดไม่เหลือใครแล้วนี่ ท่านสมพงศ์เจ้าอาวาสที่เป็นคู่สวดได้ท่านก็ติดงาน วันนั้นไปตรวจข้อสอบที่วัดไร่ขิง ทั้งวัดก็เหลืออาตมาคนเดียวที่เป็นงาน ก็ต้องว่าไปเลย เพราะฉะนั้นพระรุ่นนั้นถ้าไม่เฮงที่สุดก็ซวยที่สุด มันเจอคู่สวดตกกะไดพลอยโจน ไม่ได้เจตนาเป็นก็ต้องเป็น
      ถาม :  ของที่ให้ทานยามวิกาล นี่คือ......?
      ตอบ :  ยามวิกาลนี่ท่านอนุญาต อย่างเช่นว่า สัปปิ นวนีตัง เตลัง มธุ ผาณิตัง แปลเป็นไทยก็คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำอ้อยสมัยนี้ก็คือสารพัดของที่เป็นน้ำตาล ให้ระมัดระวังพวกบรรดาน้ำผลไม้ต่าง ๆ อันที่เป็นมหาผล คือเขาประมาณการว่าโตกว่ากำปั้น คือโตกว่าลูกมะตูมเขาห้ามไว้ อย่างเช่น พวกแตงโม ส้มโอ มะพร้าว สับปะรดอะไรพวกนี้ เผลอ ๆ ไปเจอน้ำสับปะรด จ๊าก เข้าไปอีก โยมเขาไม่รู้เขาถวายมา เราก็อย่าไปไม่รู้ด้วยแล้วกัน ระวังไว้นิดว่าเขาปรับเท่ากับกินข้าวเลย
              ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมพระพุทธเจ้าท่านปรับแรงขนาดนั้น ตอนหลังฝรั่งมันตามทันเอาหลังจากสองพันกว่าปีมาแล้ว เขาไปศึกษาและวิจัยเสร็จเรียบร้อย เขาบอกว่าพวกมหาผลประกอบไปด้วยฮอร์โมนสูงมาก พระหนุ่ม ๆ ฟาดฮอร์โมนเข้าไปเยอะอยู่บ่ได้ดอก กระจาย สมัยก่อนเขาห้ามคนท้องกินน้ำมะพร้าว ใช่มั้ย ? สมัยนี้หมอบอก กินไปเยอะ ๆ มีฮอร์โมนที่เป็นประโยชน์แก่เด็กเยอะมากเลย
      ถาม :  พวกโอวัลติน ?
      ตอบ :  โอวัลติน จริง ๆ ถ้าเป็นธรรมยุติเขาไม่ฉัน ถือว่ามีส่วนผสมของข้าวมอลต์ซึ่งเป็นอาหาร พวกข้าว พวกถั่ว พวกงา อะไรนี่เขาถือเป็นอาหารหมด น้ำเต้าหู้เขาก็ถือว่าเป็นพวกถั่ว จัดเป็นอาหาร เขาไม่ฉันกัน แต่ว่าก็ถ้าหากว่าเป็นมหานิกายส่วนใหญ่ไม่ถือ คือว่าเราอยู่ว่าเราฉันเพื่อยังอัตภาพร่างกายนี้เท่านั้น บำบัดความหิวลักษณะที่เรียกว่ายาปานะมัตถ์ คือแค่อาศัยบรรเทาความเวทนาของร่างกายเท่านั้น ไม่ใช่ประเภทฟาดจนจุก ครึ่งชั่วโมงแก้วหนึ่ง มันก็เกินไป แล้วมันมีตัวอย่างเคยทำมาแล้ว เขาตักโอวัลตินใส่ไปครึ่งถ้วย นมข้นตามอีกครึ่งหนึ่ง กวนซะจนเป็นประเภทที่เรียกว่าเหนียวเป็นกาวเลย แล้วก็นั่งโซ้ยกัน เราก็ดู แหม มันกินข้าวซะก็หมดเรื่อง มันน่าเกลียดน้อยกว่า
              เคยมีตัวอย่าง แล้วก็อย่าไปเชื่อรุ่นพี่นะ รุ่นพี่ทำผิด ๆ มาน่ะเยอะ เรายึดตำราไว้ก่อน แต่อย่าไปเถียงท่าน เถียงท่านเดี๋ยวทะเลาะกัน บางทีเขาออกไปปริวาส เจอพวกปั่นน้ำฟักทองอย่างนี้ น้ำมันเทศอย่างนี้ นั่นมันข้าวชัด ๆ เลย ฟักทองต้มเสร็จ ปั่นใช่มั้ย ? เกือบ ๆ จะเป็นคาราเมลอยู่แล้ว นั่นมันจะกินของมันมันก็อ้างว่า กินได้
              ประเภทที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าทำให้พระสัทธรรมเทศนาของท่านเสื่อมไปไง สิ่งที่ไม่ได้บัญญัติไว้ ก็อ้างว่าบัญญัติ ส่ิงที่บัญญัติไว้ ถ้าไม่สมควรแก่ตัวก็ลบล้างว่าไม่มี อย่างนี้ แบบเดียวกับทิดแจ๊ค ทิดแจ๊ค ไปบวชหนึ่งเดือน อดข้าวได้เจ็ดวัน อีกยี่สิบเอ็ดวัน ฟาดตลอดเพราะว่าเขากินกันทั้งวัด กินเสร็จแล้วเขาไปปลงอาบัติ เขาถือว่าการกินข้าวเป็นแค่อาบัติปาจิตตีย์ ปลงได้ มันก็หน้าด้านปลงกันทุกวัน กินเสร็จแล้วมันก็ไปปลง กินเสร็จแล้วมันก็ไปปลง เจริญมั้ยล่ะ ?
      ถาม :  แล้วผลของการกระทำนั้นก็คือว่า ?
      ตอบ :  ลงนรกแน่นอน เจตนาล่วงละเมิดในสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านห้าม เพราะฉะนั้น ครูบาอาจารย์บางสายนี่ ต้องใช้คำว่าตัวเองไม่ได้รับการอบรมมา ก็เลยพลอยลากลูกศิษย์เพี้ยนไปด้วย มันถือว่าปาจิตตีย์ ปลงได้ให้กินข้าวเย็นเฉยเลย
              หลวงพ่อเองท่านก็เจอมา ท่านบอกไปวัด ๆ หนึ่งทางภาคอีสาน อย่ารู้เลยนะว่าวัดชื่ออะไร ขึ้นไปถึงตอนบ่ายเจอเจ้าถิ่นนั่งอยู่ ๓-๔ องค์ เจ้าอาวาสด้วย เขาล้อมวงกันอยู่ มีถาดอยู่ตรงกลาง มีอะไรบ้าง อ้อยควั่นอยู่ครึ่งหนึ่งแล้วก็ถั่วต้มอีกครึ่งนึง กำลังนั่งโจ้กันอยู่ พอหลวงพ่อขึ้นไปถึงก็ดีอกดีใจ โอ้โห ต้อนรับปฏิสันถารดี โอภาปราศัยน่าคบหามาก ถามว่าจะค้างมั้ย ? พอบอกค้างปุ๊บ บอกเด็กวัดให้เชือดไก่ เดี๋ยวจะเลี้ยงพระอาคันตุกะ หลวงพ่อบอก เผ่นแทบไม่ทัน ขืนอยู่ไก่ตายเพิ่มอย่างน้อยตัวหนึ่ง คือการปฏิสันถารต้อนรับแขกของท่านนี่เหมือนอย่างกับฆราวาสต้อนรับกันเลย อบอุ่นน่าอยู่มาก ถึงขนาดให้ลูกศิษย์วัดไล่จับไก่จะมาเชือด จะเลี้ยงตอนเย็น
              จริง ๆ อ้อยควั่นน่ะฉันได้ มันน้ำอ้อย แต่ว่าอย่าไปทำเลย เพราะญาติโยมบางที เขาไม่เข้าใจ ภาษาบาลีเขาว่า ขาทนียัง วา โภชนียัง วา แปลเป็นไทย เขาว่า ของเคี้ยวของฉัีน คนก็เลยไปตีความว่า ถ้าไม่เคี้ยวก็กินได้ เดี๋ยวมันซดโจ๊กกันเฉยเท่านั้นแหละ จริง ๆ แล้วไม่ใช่ พวกของเคี้ยวของฉันก็คือ บรรดาอาหารที่กินกันอย่างเป็นกิจลักษณะ เล่นตีความว่าถ้าไม่เคี้ยวก็กินได้ใช่มั้ย ? สมัยนี้คนอร์คัพโจ๊กชงน้ำสามนาที ได้กิน เดี๋ยวมันใช้หลอดดูดเอา มันอ้างว่าไม่ได้เคี้ยวอีก
      ถาม :  แล้วอย่างผลไม้ล่ะครับ ผลไม้อะไรฉันได้ ?
      ตอบ :  ก็มีอย่างที่ท่านอนุญาต อย่างพวกสมอ พวกดีปลี พวกมะขามป้อม พวกอะไรนี้ เพราะว่ามันเป็นยาช่วยรักษาท้องช่วยให้ถ่ายได้