ถาม :  ...........................
      ตอบ :  ข้อเดียวจ้ะข้อเดียว ทำเยอะเกินไปก็เหนื่อย ข้อไหน ๆ ถ้าตั้งใจทำจริง ๆ ก็ไปนิพพานได้เหมือนกัน บางคนเขาถามว่าถ้าหากว่าเราเป็นพระโสดาบันตายไปเป็นเทวดาลงมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ จะรู้ตัวมั้ยว่าเราเป็นพระโสดาบัน ไม่รู้หรอก จนกว่าจะมีคนบอกว่า คุณสมบัติของพระโสดาบันเป็นอย่างนี้ ๆ นะ ท่านก็จะ.....โอ๋ ที่แท้เราทำได้ตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังไม่มั่นใจหรอกว่าตัวเองเป็นพระโสดาบัน เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีปัญญาฉลาดมาก จะไม่มีความประมาท จะไม่คิดว่าตัวเองเป็นพระอริยเจ้า แต่ว่ากฎความเป็นพระอริยเจ้ามีอะไรท่านรักษาครบถ้วน
      ถาม :  ปกติถ้าเกิดจะเล่นอะไร จะทำอะไรเนี่ย จะสำเร็จ ถ้าตัวเองตั้งอะไรไว้ ต้องได้ ?
      ตอบ :  พวกนี้นิสัยเสีย เคยต่อว่าท่านย่าทีหนึ่ง ท่านย่าครับ ผมไปแอบดูตัวทานบารมีเก่าที่ผมทำเอาไว้ ให้ผมเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิยังไม่สมบุญเลย แล้วชาตินี้ทำไมให้ผมแค่เนี้ย ท่านบอก ไอ้หน้าอย่างเอ็งถ้ารวยก็เลว เสร็จแล้วย่าก็บอกว่า ลองคิดดูสิลูกว่า ตั้งแต่เกิดมาจนป่านนี้อะไรที่อยากได้แล้วไม่ได้ มีมั้ย ? ก็ทบทวนอยู่พักหนึ่ง ก็บอกว่า ไม่มีครับย่า ถ้าผมต้องการจริง ๆ สิ่งนั้นไม่ช้า ก็เร็ว ผมต้องได้ ท่านบอกว่า แล้วยังไม่พอเหรอ ท่านบอกว่านิสัยของพวกเรามันหนักไปทางหนึ่ง พวกปรมัตถบารมีกำลังใจมันไปด้านเดียว ถ้าดีมันก็ดีสุดกู่ไปเลย แต่ถ้าหากว่าเลวมันเลวกระฉูดไปเลย
              คราวนี้ธรรมชาติของจิตคนมันมักจะลงต่ำได้ง่ายกว่า ถ้าหากว่าให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม เราเองมันห่างไกลความเป็นพระอริยเจ้ามาก มันก็จะไปหลงอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข สนุกอยู่นั่นแหละ ลืม ลืมไปว่าตัวเองควรจะทำอะไร เพราะฉะนั้น ท่านถึงได้ตราหน้าไว้ชัด ๆ เลยว่าถ้ารวยก็เลว ถ้าอยากได้ต้องรีบเป็นพระอริยเจ้า มันถึงจะบุญเก่าคืนมา
      ถาม :  พอมาตอนหลังเนี่ย มีความรู้สึกว่ามันไม่ใช่ค่ะ แต่ช่วงก่อนถ้าหากว่าตั้งเป้าหมายต้องทะลุเป้าภายในหรือว่าก่อนที่กำหนดไว้ด้วยซ้ำ พอได้ซักพักหนึ่งก็จะขยายเป็นรูปบริษัท หลวงพ่อบอกว่าถ้างานนี้ขยายใหญ่จะไปนิพพานช้า พอได้ยินปุ๊บอย่างนี้ก็ตัดสินใจขาย ตอนนั้นรายได้เดือนหนึ่งกำไรคิดแล้วแสนเศษ ๆ คือ ตัดสินใจทันที พอหลวงพ่อพูดอย่างนี้ ก็ตัดสินใจเลยขาย แปลก...ภายใน ๗ วัน มีผู้หญิงคนหนึ่งมายืนหน้าบ้าน ตู้โทรศัพท์ ก็คุยกัน ๆ ตอนนั้น ตกลงอีกประมาณไม่ถึงเดือนเขาวางเงิน ประมาณเดือนเศษโอนกิจการยกให้เขา จากตอนนั้นมาตอนนี้ก็ยังไม่เท่าไหร่ เวลาจะเล่น ไปเล่น ตอนนี้ก็เริ่มออกกำลังกาย ก็ไปเล่นตอนที่จะเล่นไท้เก๊กเนี่ย พอลงมือปุ๊บ จะเป็นที่หมั่นไส้ของคนอื่นเขาตลอดอย่างนี้ แต่มาตรงนั้น เล่นอะไรได้เล่นมาตั้งประมาณเกือบ ๑๐ อย่าง ก็คือผ่านหมด ตรงจุดนี้ พอจะเริ่มเล่นอะไรปุ๊บเนี่ย มันท้อ ?
      ตอบ :  มันเริ่มรู้สึกว่าพอแล้วไง ปีก่อนหน้านี้ กำลังใจที่เรทำมาในลักษณะของปรมัตถบารมีมันมีแต่จะมุ่งมั่นให้สำเร็จ คือกำลังใจของคนที่จะไปนิพพานมันไม่ยืดเยื้อเรื้อรังเหมือนคนอื่นเขา รอบข้างจะสนใจน้อย จะมุ่งเอาเฉพาะหน้า เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเขามุ่งงานเฉพาะหน้า งานจะสำเร็จลงในระยะเวลาไม่นาน มันไม่เหมือนกับคนอื่นเขา ความพยายามก็มากกว่าคนอื่น มันเหมือนกับขยันกว่าเขา เขาเลยหมั่นไส้เอา แต่ว่าตอนช่วงระยะนี้มันจะเริ่มรู้สึกว่าพอ ถ้าตัวพอเข้ามามันก็เหมือนกับท้อนั่นแหละ คือมันไม่อยากได้ใคร่ดีอะไรแล้วตอนนี้ พอมันไม่อยากได้ใคร่ดีอะไรแล้ว เราก็ดูสิ ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็พอแล้ว แล้วเราควรจะทำอะไรเพื่ออะไรอีก มันก็เหลืออยู่จุดสุดท้ายที่ควรจะเหมาะกับเรา ก็คือเกาะนิพพานไว้ เท่านั้นเอง
      ถาม :  ตรงจุดนี้เจ้าค่ะ มันเป็นการทำลายกำลังใจมั้ย อย่างอาแปะ ๘๐ กว่า แกเก่งมาก แข็งแรง แกมีลูกศิษย์เยอะ แต่แกไม่สอนด้วยตัวเองนี้ พอเข้าไปเล่นไท้เก๊ก เขาเห็นเล่นอยู่ เขาก็มาชวนให้เล่นกับเขา เกรงใจรักษากำลังใจ พอเข้าเล่นปุ๊บ เขาจะเข้ามาสอนด้วยตัวเอง มันกดดันเรามาก คือเรา ถ้าเขาสอนด้วยตนเองเราต้องตั้งใจเพื่อรักษากำลังใจเขา แล้วลูกศิษย์หลายคนเขาก็ลุกกันขึ้นมา เขาบอก ก็เข้ามาถามเขาบอกทำไม เข้ามาวันแรก ทำไมขึ้นมาสอน เพราะว่าเรียนตั้งสองปีกว่าแล้วไม่เคยขึ้นมาจับมือสอนเลย คือมันก็เลยอึดอัด มันอึดอัด คือเราก็ไม่ใช่ว่าจะเต็มใจเล่น เราเล่นเพื่อรักษากำลังคนแก่ ตรงจุดนี้ก็ ตอนหลังก็เลยเล่นได้ครึ่งเดียว ก็ออกมา มันเป็นการขาดเมตตาหรือเปล่า ?
      ตอบ :  จริง ๆ จะเรียกว่าขาดเมตตาก็ไม่ได้ เพราะพรหมวิหาร ๔ มีอุเบกขา พอรู้ว่าไม่ไหว ก็เบรกขา เบรกมือ โดยเฉพาะเบรกปากเอาไว้ไม่อย่างนั้นแล้วเราต้องไปรับอารมณ์คนอื่นเป็นจำนวนมาก ถ้าหากเราปล่อยไม่เป็น เราเองก็จะทุกข์มาก เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือถอยออกมาซะดีกว่า หลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ ท่านบอกแล้วว่า “หัดเป็นนักหลบบ้าง อย่าเป็นนักรบอย่างเดียว” รบอย่างเดียวบางสถานการณ์เราสู้ไม่ได้แล้วยังรบ ม้ันจะตายฟรี เพราะฉะนั้นต้องเป็นนักหลบด้วย หลบให้เป็น
      ถาม :  ก็เลยมีความไม่ค่อยสบายใจ เขามุ่งมันกับเรามาก แล้วเราทำลายน้ำใจ ?
      ตอบ :  ความตั้งใจเป็นได้ ความพยายามเป็นของคน ความสำเร็จเป็นของฟ้า (หัวเราะ) สำนวนนี้ คุ้น ๆ มั้ย บอกแล้วว่าอาตมาบ้ามาก่อน ตอนนี้ก็ยังบ้าเป็นปกติ
      ถาม :  อย่างนี้ถ้าเจอกันแล้วทำยังไง ?
      ตอบ :  ก็ไม่มีอะไร เคยอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ท่านก็เป็นครูเป็นอาจารย์ของเราคนหนึ่ง ถ้าหากว่า เขาถามว่าเป็นอะไรก็บอกว่าเวลามันน้อยลง จะมาเล่่นได้เต็มที่เหมือนก่อนมันไม่มี ถ้าหากว่าอาแปะจะเมตตาสอนอะไร ถ้ามีเวลาก็พร้อมที่จะรับ พูดให้ดีมันก็พูดได้ อันนี้ไม่ได้โกหกนะ จริง ๆ การโกหก หลวงพ่อท่านยืนยันว่า การโกหกมีโทษเต็มร้อยเปอร์เซนต์ คือหลอกลวงเขาแล้วผลประโยชน์จากการหลอกลวงนั้นตกแก่เราเอง นั่นเจตนาเต็มที่เลย แต่ว่าถ้าหากว่าเรื่องอื่น ๆ มันก็เบาไปตามส่วน
      ถาม :  ปกติเป็นคนที่ เมื่อก่อนเด็กก็ชอบเรื่องคาดเชือก ก็ไม่ได้เคยเจอที่ไหนมาสอน ก็มาเรียนสะเปะสะปะ มวยไท้เก๊ก มวยอะไร อย่างเนี่ยค่ะ พอมาเจอ โอโห...เจอเอาตอนที่เราหมดแรง ?
      ตอบ :  (หัวเราะ) โบราณเขาว่า "พบไม้งามเมื่อยามขวานบิ่น” ขวานมันบิ่นซะแล้ว จะฟันต้นไม้ก็ลำบากแล้ว
      ถาม :  จะคอยถาม เมื่อไหร่จะมา มีความรู้สึกว่า พอมองไปแล้วมันยากจังเลยค่ะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ มันไม่ยาก พวกเรื่องเหล่านี้ ของเราเองมันเคยชิน ในอดีตมันมีมาแล้ว บางทีแสงชัยเขาไปรำพลองรำอะไรกัน เสร็จแล้วเขาก็ถามว่าเป็นยังไง ก็บอกเขาไป เขาเองเขาก็แปลกใจ ว่า เอ๊ะ เราไม่เคยเรียนมาทำไมมันเป็น ก็เลยคว้าพลองขึ้นมารำให้ขาดู ของเก่ามันมี ถึงเวลามันเป็นไปเอง
              หลวงพ่อท่านเคยเล่าให้ฟังท่านบอกว่า สมัยเด็ก ๆ ท่านแม่ให้ไปตัดหัวปลีในสวน มีสวนกล้วยอยู่ ไม่เคยใช้ตะขอชักเหมือนคนอื่นเขาหรอก พกมีดเล็กทำครัวไปหลาย ๆ เล่ม ขว้างตัดขั้วเอาสั่งได้เลย แบบว่าจะให้ปลายตี จะข้างตี จะให้ด้ามตี จะให้คมฟัน หรืออะไรได้ทั้งนั้น ถามหลวงพ่อบอกว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นครับ ท่านบอก ของเก่ามันตามมา พอจับมันก็นึกได้เลยว่าต้องใช้ยังไง ก็บอกกับท่านบอกว่าสิ่งเหล่านี้มันข้ามชาติข้ามภพได้ ท่านก็ไม่ค่อยเชื่อ ก็หยิบใบมีดขึ้นมาใบหนึ่ง ใบมีดจริง ๆ ลูกศิษย์อาตมาประหยัดมาก มีดด้ามหักมันยังใช้อยู่เลย ก็บอกเนี่ยถ้าจะขว้างก็ขว้างได้ เขาก็ไม่เชื่อก็ขว้างให้เขาดู มันก็ได้ คือถ้าหากว่ามันเป็นซะอย่าง มันชั่งน้ำหนักถูก ยังไง ๆ มันก็ใช้ได้
              เพราะฉะนั้นของเก่ามันเคยมีแล้วมันไม่ยาก แต่ว่าเรื่องของมวย สมัยก่อนที่ท่านอาจารย์เขตศรียาภัย ครูเขตท่านสอนไว้นี่ เฉพาะย่างสามขุมอย่างเดียว ท่านให้เวลาหกเดือนเต็ม ๆ หกเดือนเต็ม ๆ จนกว่าจะเป็นธรรมชาติของเราเลย ถ้ามันเป็นธรรมชาติแล้วมันจะออกซ้าย ออกขวา จะขึ้นหน้า ถอยหลังอย่างไร มันอยู่ในลักษณะที่ทรงตัวได้ตลอด มันเหมือนกับท่าม้านั่งของไท้เก๊กน่ะ นึกออกมั้ย ท่านั่งบนหลังม้า ถ้าหากว่าท่านั้นให้คนเตะขาเราก็ไม่ล้ม หรือไม่ก็ท่าสายน้ำที่ประเภทที่ว่า จะหน้าหนัก หลังเบา หน้าเบา หลังหนัก หรือหน้าคันศร หลังเกาทัณฑ์ อะไรอย่างนั้น จะประเภทหน้าพับขา หลังเหยียดตรง หรือหลังพับ หน้าเหยียด แล้วแต่เรามันจะเป็นไปได้ทุกท่า คราวนี้ก็หัดอยู่มาท่านบอกว่า สมัยก่อนถ้าหากว่าลูกศิษย์อายุไม่ถึง ๒๕ ครูบาอาจารย์จะไม่ปล่อยออกจากสำนักไป เพราะว่าถ้าแพ้เขานี่มันเสียชื่อครูบาอาจารย์ด้วย มาถึงสมัยนี้เด็กหัวเท่ากำปั้นมันขึ้นเวทีต่อยกันอุตลุดแล้ว ฉะนั้น เรื่องอย่างนี้จริง ๆ แล้วมันฝึกไม่ยาก มันเคยชิน
      ถาม :  ขยาดอยู่ ว่าจะไป จะไป ก็ขยาดอยู่ ไม่กล้าไป ?
      ตอบ :  ลองดู ไม่ยากหรอก แต่ว่าอาจารย์ต้า แกยังอายุน้อยอยู่ แกใจร้อน สมัยก่อนกว่าจะประเภทเข้าท่าปั้นหมัด ปั้นมือ อะไรนี่ โน้นนะย่างสามขุมซะก่อน หกเดือน สมัยนี้ สามวันท่านก็สอนข้ามขั้นไปแล้ว อาจารย์ใจร้อน ลูกศิษย์เลยได้ประโยชน์เยอะ เพียงแต่ต้องขยันทบทวนนะ ถ้าไม่ขยันทบทวนมันจะไม่เป็นธรรมชาติ
      ถาม :  ย่างสามขุมนี่ เดินย่างอย่างไรเจ้าคะ ?
      ตอบ :  มันจะเดินลักษณะรูปสามเหลี่ยม ไม่ว่าจะเป็นสามเหลี่ยมตรง สามเหลี่ยมกลับหัวยังไง เราจะเดินลักษณะวงอย่างนั้น ถ้าหากว่าเป็นลักษณะท่าเท้าของจีนจะเป็นพวกแปดทิศ เก้าประสาท คือมันจะมีจุดที่เราจะต้องเดิน จะต้องย้ายน้ำหนัก จะต้องถ่ายน้ำหนัก อะไรมันจะลงตัวของมันหมด
      ถาม :  ลักษณะสามเหลี่ยมอย่างนี้ ?
      ตอบ :  ลักษณะเป็นสามเหลี่ยม ถ้าหากว่าเราก้าวขึ้นหน้าเท้าหนึ่ง อีกเท้าหนึ่งถ้าเราก้าวมันจะต้องออกข้าง แต่ถ้าเราชักถอยหลังมันจะต้องออกด้านนี้ มันจะสลับไปสลับมา ลักษณะสามเหลี่ยม มันจะเป็นสามเหลี่ยมประมาณสองคู่ พลิกกลับหัวกลับหาง ตลบไป ตลบมา อยู่อย่างนั้น ฟังดูแล้วก็ไม่ยากหรอก เดี๋ยวลองดูสิ
      ถาม :  ฟังดูไม่ยาก ทำยาก ?
      ตอบ :  รับรองว่าไม่ยาก อาตมาเล่นเยอะแล้ว ไท้เก๊ก ๒๒๕ ท่า มันยังยากว่าตั้งเยอะ
      ถาม :  ๒๒๕ ท่านี่ เล่นจบเลยหรือเจ้าคะ โอ้โฮ ?
      ตอบ :  (หัวเราะ)
      ถาม :  ยังจำตำราได้ไหมเจ้ิาคะ ?
      ตอบ :  จำได้จ้ะ ถ่ายทอดให้ได้ด้วย เพียงแต่ว่าเลิกมานานแล้ว ไม่เอาแล้วจ้ะ มันแก่แล้ว
      ถาม :  อย่างนี้ ก็เขียนได้สิคะ ?
      ตอบ :  ได้จ้ะ
      ถาม :  อย่างนี้ก็ขอได้ไหมเจ้าคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ตำราไท้เก๊ก ตอนหลังนี่คนเขียนอยู่เยอะเลยนะ
      ถาม :  ๒๒๐ กว่าท่านี่ ....?
      ตอบ :  ๒๒๕ ท่า มันครบชุดไง
      ถาม :  มันสูญหายแล้วเหรอคะ ?
      ตอบ :  ยังมี เพียงแต่ว่าของเราเองมันเรียนไม่จบ ไม่ครูตายซะก่อน ก็เราเลิกซะก่อนน่ะ
      ถาม :  ตอนนี้เขาก็พยายามเหลือ ๙๕ ท่า ๒๒ กว่า ก็เหลือ ๑๐๐ กว่า ตอนนี้มาเหลือ ๙๐ กว่า ตอนนี้ เหลือ ๘๐ กว่า ?
      ตอบ :  แสดงว่าสัญญาและปัญญาทรามลงจริง ๆ พระพุทธเจ้าตรัสอะไรไม่มีผิดเลย
      ถาม :  เสียดาย ทราบแต่ว่า ๒๒๕ ท่าเนี่ย ....แต่ว่าหาคนสอนไม่ได้แล้ว ?
      ตอบ :  จริง ๆ ถ้าเวลาว่างมีน่าสอนเหมือนกันนะ มันช่วยในการปฏิบัติได้เหมือนกัน แต่ว่ามันจะมีปัญหาอย่างที่ว่านั่นแหละ พอเราเดินพลังไปทั่วตัว ถึงเวลาจะมาภาวนาให้จิตสงบ แบบประเภทจับเฉพาะฐานแรก ๆ นี่ปล้ำกันเหงื่อหยดเลย มันไม่เอาด้วย มันจะไหลไปตามจังหวะของมันท่าเดียว ตอนนี้สำหรับอาตมามันก็เป็นของเด็กเล่นนะ ตอนนั้นมันคัน ต้องใช้คำว่ามันคัน คือ มันอยากจะทำ มันต้องทำให้ได้ มันเหมือนกับคนคัน แล้วมันต้องเกา ถ้าไม่เกาเมื่อไหร่มันก็คันอยู่อย่างนั้นแหละ
      ถาม :  .....................
      ตอบ :  จำไว้หลวงปู่มหาอำพัน ท่านเขียนติดหัวเตียงเลย “วิชาโลกเรียนเท่าไรไม่รู้จบ พื้นพิภพกลมกว้างใหญ่ลึกไพศาล วิชาธรรมเรียนและทำจนชำนาญ ย่อมพบพานจุดจบสงบสุขเอย”
              ฉะนั้น วิชาโลกตามมันไปเหอะ เจออย่าง ก็มีอีกอย่าง เจออย่าง ก็มีอีกอย่างไปเรื่อย ๆ มันเหมือนอย่างกับจากต้นน้ำออกทะเล มันมีแต่กว้างขึ้น ๆ วิชาพระพุทธเจ้านี่ จากทะเลย้อนกลับต้น ถึงเวลามันจบ