สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนธันวาคม ๒๕๔๔
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม :  ตอนนี้มีเคราะห์กรรมเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องทำบุญอะไรที่ว่ามีอานิสงส์สูงมากเพื่อที่จะให้เจ้ากรรมนายเวร ?
      ตอบ :  คืออันนี้จริง ๆ มันไม่ใช่ว่าทำบุญที่มีอานิสงส์สูง แต่ว่าทำให้ถูกคือว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยส่วนใหญ่ เป็นเศษกรรมปาณาติบาตคือการเคยฆ่าคนฆ่าสัตว์มาก่อนในอดีต อันนี้ต้องใช้ชีวิตให้เขาอย่างเช่นว่า ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยไก่ที่เขาจะฆ่า ต้องเป็นที่ ๆ เขาจะฆ่ากินด้วยนะ หรือไม่ก็จะทำร้ายที่ให้มันถึงแก่ชีวิตพวกนั้น เราช่วยให้เขารอดชีวิตไปได้ กุศลตัวนี้จะไปบรรเทาเบาบางกรรมตัวนั้นได้เยอะ
              อาตมาเองสมัยเป็นฆราวาสมันป่วยเรียกว่าหัวอาทิตย์ท้ายอาทิตย์เลย แล้ววันหนึ่งหลวงพ่อก็แนะนำให้ว่า แกเองเป็นทหารมาทุกชาติฆ่าเขาไว้เยอะ เศษกรรมตัวนี้จะทำให้ป่วยบ่อย แกควรจะไปปล่อยปลาซะเดือนละตัว สองตัวก็ได้ เป็นปลาที่เขาจะขายเพื่อให้เขาฆ่า ให้ฆ่าส่วนใหญ่จะไปทำอาหาร ก็กราบเรียนหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับการปล่อยปลามันเป็นการต่ออายุไม่ใช่เหรอครับ ? ผมเองไม่อยากจะอยู่ ๆ แล้ว ๆ จะไปปล่อยทำไม ท่านบอกว่าแกอย่าพึ่งเข้าใจผิดอย่างนั้น การปล่อยปลาจะเป็นการต่ออายุก็ต่อเมื่ออุปฆาตกรรมคือกรรมที่เราเคยฆ่าคนฆ่าสัตว์ใหญ่ในอดีตมันตามทันมาช่วงนั้นจะมาตัดรอนชีวิตของเราลง ถ้าอย่างนั้นการปล่อยชีวิตเขาก็จะเป็นการต่ออายุของเรา แต่ถ้าหากว่าในช่วงนั้นไม่มีอุปฆาตกรรมเราเองได้ปล่อยชีวิตเขาให้รอดไปให้ได้รับความสุขให้ได้รับความสะดวกสบายต่อไปทำอะไรก็สบายก็ง่ายไปหมด
              เลยปล่อยมาเรื่อย ๆ จะ ๒๐ ปีเต็มอยู่แล้ว ปล่อยทุกเดือน ๆ ละเยอะ ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่ค้าก็ยืดคอรอแล้ว (หัวเราะ) เดือนหนึ่งหลายพัน บางทีถึงเจ็ดแปดพัน ถ้าปล่อยวัวด้วยก็ตัวละหมื่นกว่า ปล่อยวัวนี่ชอบใจของมูลนิธิ....(ไม่ชัด)....ก็มีสัญญากันว่าจะต้องเลี้ยงดูเขาให้ดีแล้วก็ห้ามขายห้ามฆ่า ยกเว้นว่าแก่ตายเอง
      ถาม :  อย่างสมมติว่าการเกิดอุบัติเหตุรุนแรง ถ้าสมมติเรารู้ว่าจะมีการเกิดอุบัติเหตุอะไร เราควรจะแก้ไขด้วยวิธีนี้ ?
      ตอบ :  ใช้วิธีนี้ คือการตัดเคราะห์กรรมมันมีตั้งแต่ถวายสังฆทานตั้งใจอธิษฐานโดยเฉพาะเลย ปล่อยชีวิตสัตว์ที่จะถูกฆ่า ทำบังสุกุลตายบังสุกุลเป็น หรือไม่ก็อันดับสุดท้ายเลยจัดงานศพตัวเอง
              หลวงพ่อพระครูโวทานธรรมาจารย์
เป็นอาจารย์สอนเทศน์ให้หลวงพ่อฤๅษีลิงดำของเราท่านจัดงานเผาศพตัวเอง ลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นนักเทศน์มากันที ๔-๕ ร้อยองค์ เพราะฉะนั้นปกติท่านจัดเทศน์กัน ๒ ธรรมาสน์ ๓ ธรรมาสน์ แต่งานศพหลวงพระครูโวนี่จัดกันที ๕๐๐ ธรรมาสน์ ลูกศิษย์ถวายเงินองค์ละร้อยพร้อมกับผ้าไตรชุดหนึ่ง
              โยมลองคิดดู...เงินคนละร้อยพร้อมกับผ้าไตรชุดหนึ่งสมัยก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ เงินร้อยหนึ่งมันเท่าไหร่ของสมัยนี้โยมต้องคิดให้ดี คงเป็นแสนของสมัยนี้ เพราะว่าลูกศิษย์นักเทศน์ของท่านทั่วประเทศไทยจริง ๆ แล้วท่านเองท่านก็เป็นพระที่ปฏิภาณเฉียบแหลมชนิดที่ใครก็ต้อนไม่อยู่ คนก็ไปถามท่านว่าทำไมถึงจัดงานศพตัวเอง บอกว่าถ้ากูตายแล้วกูก็ไม่ได้เห็น เพราะฉะนั้นกูต้องจัดตอนเป็นถึงจะได้เห็นว่ามันทำอะไรให้บ้าง
              แต่ความจริงไม่ใช่ อันนั้นท่านก็พูดไปเรื่อย แต่จริง ๆ แล้วก็คือเป็นการต่ออายุ โยมจะเห็นว่ามีคนจีนหลายคนที่ซื้อโลงเตรียมไว้เลย เตรียมไว้ในบ้านเลยถึงเวลาตายได้ใช้โลงใบนั้น พวกเตรียมตัวตายซื้อโลงเตรียมไว้พร้อมนี่ อาตมาเห็นมาเยอะบางทีประแหงบ ๆ พอซื้อโลงเข้าบ้านมาหายป่วยแข็งแรงดีไปเลย มันเหมือนอย่างกับตัดเคราะห์ไปอย่างหนึ่ง
      ถาม :  เป็นการแก้เคล็ด ?
      ตอบ :  จ้ะ...ลักษณะนั้น อันนั้นวิธีการตัดเคราะห์กรรมอะไรใหญ่ที่จะมาถึงก็มีตั้งแต่ถวายสังฆทาน ปล่อยชีวิตสัตว์ที่ถูกฆ่า ทำบังสุกุกลตายบังสุกุลเป็น จัดงานศพตัวเองแล้วแต่หนักเบา ปล่อยชีวิตสัตว์ที่ถูกฆ่าถ้าเราคิดว่าเคราะห์กรรมมันใหญ่ก็ปล่อยสัตว์ใหญ่หน่อย
      ถาม :  ..........................
      ตอบเรื่องของทาน ศีล ภาวนา ทุกสิ่งที่เราทำคนได้ก็คือเราเอง ถามว่าดีอย่างไรก็ต้องดูว่าตัวผลคืออานิสงส์ที่จะได้เป็นอย่างไร ? เอาเรื่องของศีลเป็นตัวอย่าง ทุกคนไม่มีใครอยากให้คนอื่นมาฆ่าเราทำร้ายเรา เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรที่จะฆ่าใครไม่ควรที่จะทำร้ายใคร เราไม่อยากให้ใครมาลักขโมยของเรา เราก็ไม่ควรจะลักขโมยของ ๆ ใคร คนที่เรารักเราไม่อยากให้คนอื่นมาแย่งไป เราก็อย่าแย่งคนอื่นเขา เราไม่อยากให้ใครมาโกหกเรา เราก็ไม่ควรที่จะโกหกใคร เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์รู้ผิดรู้ถูกรู้อะไรควรรู้อะไรไม่ควรเป็นสิ่งที่ดี ยังไงก็อย่าไปเอายาเสพติดมาย้อมใจตัวเองให้มันมึนเมาจนขาดสติสัมปชัญญะไป ทุกสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนมา ท่านสอนเพื่อให้ตัวเราได้เองทั้งนั้น สิ่งที่เราทำคือเราได้ก่อนแล้ว หลังจากนั้นพอเราทำแล้วตัวเราดี สิ่งที่เราทำดีพอตัวเราดีเสร็จมันก็จะส่งผลไปถึงคนรอบข้างด้วย คนรอบข้างก็เออ...เห็นตัวอย่างที่ดีก็เลียนแบบทำตามมันก็เป็นสังคมที่อยู่เย็นในวงเล็ก ๆ อาจจะเป็นว่าเฉพาะครอบครัวของเราก่อน
              แต่อย่าลืมว่าทุกครอบครัวตั้งใจทำดีอย่างนี้ หมู่บ้านนั้นทั้งหมู่บ้านก็ดี ทุก ๆ หมู่บ้านถ้าตั้งใจทำตำบลนั้นก็จะดี ถ้าทุกตำบลตั้งใจทำอำเภอนั้นก็ดี ทุกอำเภอตั้งใจทำจังหวัดนั้นก็ดี ถ้าทุกจังหวัดพร้อมใจกันทำประเทศของเราต้องดี ทุกสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนท่านสอนเพื่อประโยชน์สุขของเราทั้งนั้น
              สุขในปัจจุบัน คือไม่ต้องไประแวดระวังไม่ต้องไปกลัวภัยอะไร เพราะทุกคนไม่เบียดเบียนกัน สุขในอนาคต ผลที่เราทำ ถ้าหากว่าเกิดจากการให้ทานต่อไปในภายภาคหน้าก็จะเป็นผู้ที่มีฐานะร่ำรวย ผลของการที่เรารักษาศีลก็จะเป็นผู้ที่มีรูปสวย มีจิตใจที่ดีงาม ผลของการเจริญภาวนาเกิดมาก็จะมีปัญญามาก ถ้าหากว่าเป็นทางโลกมีอุปสรรคอะไรก็แก้ไขได้ ถ้าเป็นทางธรรมต้องการจะต้ดกิเลสก็มีปัญญาสามารถตัดกิเลสได้เหล่านี้เป็นต้น
              เพราะฉะนั้นสิ่งที่ท่านสอนท่านสอนให้อยู่สุขทั้งปัจจุบันและสุขทั้งอนาคตค่อย ๆ ดูไปค่อย ๆ ทำไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้พิสูจน์ได้ในระยะยาว ๆ อย่าเพิ่งเชื่ออะไรง่าย ๆ ตามพิสูจน์ตามค่อย ๆ ดูไป เขาบอกว่าพระองค์นี้ดีหลวงปู่องค์นี้ดีหลวงพ่อองค์นี้ดีค่อย ๆ ดูไป ถ้าหากว่าไม่ดีจริงถึงเวลาก็จะมีสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรไม่เหมาะไม่สมหลุดออกมาให้เราเห็นจนได้
              แต่ถ้าหากว่าเป็นสิ่งที่ดีจริง กายวาจาใจของท่านเป็นผู้ที่บริสุทธิ์จริงต่อให้ระยะเวลายาวนานแค่ไหน ไม่ว่าระยะใกล้ไกล ใกล้ชิดหรือห่างไกลขนาดไหนก็ตามเราไม่สามารถที่จะหาจุดบกพร่องของท่านได้ สิ่งที่จะต้องมาตำหนิกันมันไม่มี ค่อย ๆ ดูไปนาน ๆ โบราณเขาว่าหนทางพิสูจน์ม้า เวลาพิสูจน์คนใช่มั้ย ? มันเกิดจากอะไรล่ะต้องใช้คำว่าประสบการณ์ ประสบการณ์ที่ตกผลึกลงมาจนกระทั่งกลายเป็นข้อคิด กลายเป็นคำคม กลายเป็นคำพังเพยขึ้นมา
              ฉะนั้นสิ่งที่ท่านพูดส่วนใหญ่มันก็แฝงไปด้วยความจริงเกือบ ๆ จะ ๑๐๐ เปอร์เซนต์เต็ม ท่านบอกหนทางพิสูจน์ม้าใช่มั้ย ? ม้าไม่ดีจริงมันเดินทางไกลไม่ไหวหรอก หรือไม่ก็เจอหนทางที่ทุรกันดารหน่อยหนึ่งก็ไปไม่รอดแล้ว มันต้องม้าดีถึงไปได้ ขณะเดียวกันเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์คน จะดีจะชั่วยังไงไดูไปนาน ๆ คบกันไปนาน ๆ เดี๋ยวก็เห็นเอง
      ถาม :  สงสัยมีอะไรดลใจช่วงเมื่อเช้า ?
      ตอบ :  เรียกง่าย ๆ ว่ามันถึงวาระที่สมควรแล้ว ในเมื่อถึงวาระถึงเวลาที่สมควรแล้วก็มา ถ้ายังไม่ถึงวาระไม่ถึงเวลา เอาโซ่ไปล่ามเอาเชือกไปลากยังไงก็ไม่มาหรอก ของทุกอย่างจะมีวาระมีเวลาของมัน มันเหมือนยังกับวงกลมสองวงเขาเจาะช่องไว้ข้างละวงหมุนไปหมุนมา ในที่สุดมันก็จะตรงช่องพอดี แต้าถ้าตรงช่องนั้นแล้วเราไม่รีบมุดผ่านไป ถึงเวลามันก็หายไปอีก ต้องรออีกรอบหนึ่งซึ่งไม่รู้เมื่อไหร่ ก็ถือว่าวาระนี้เวลานี้เป็นสิ่งที่เหมาะสมถือว่าเป็นมงคลแล้ว อยู่ ๆ อุตส่าห์เปะปะมาเจอกันได้
              เพราะฉะนั้นอะไรดี ๆ ถ้าเก็บไปได้ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำเลย ใครเขาจะว่าบ้าก็ช่างมัน อาตมาทำมาก่อน ทั้งเพื่อนฝูงทั้งพี่น้องทั้งพ่อแม่เขาว่าเราบ้าทั้งนั้น ประกาศนียบัตรอันนี้ภูมิใจมากเลย ถ้าใครยังไม่ได้เจอคำว่าบ้าในสายตาของคนอื่นเขานี่ยังเอาดียาก อันดับแรกดูศีล ๕ ข้อของเราให้ดี ศีล ๕ ข้อตั้งใจว่าเราจะไม่ฆ่าสัตว์และไม่ทำร้ายสัตว์ให้ลำบากด้วยเจตนา จะไม่ลักขโมยไม่หยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ จะไม่ล่วงเกินบุคคลอื่นที่มีเจ้าของมีคนรักมีคนหวง จะไม่โกหก จะไม่ดื่มสุราหรือว่ายาเสพติดใด ๆ ทั้งปวงตั้งใจอย่างนี้ไว้
      ถาม :  ทั้งหมดจะค้างอยู่ ๒ ข้อ ?
      ตอบ :  จ้ะ...ติดข้อไหนบ้าง ?
      ถาม :  พยายามอยู่ ๒ ข้อนี่ยังทำไม่ค่อยได้ ?
      ตอบ :  อันไหนบ้างเดี๋ยวบอกวิธีให้ โกหกเขาบ่อยมั้ย ?
      ถาม :  โกหกไม่มีค่ะ
      ตอบ :  แล้วติดข้อไหน ?
      ถาม :  ศีลข้อที่ของผู้อื่นเขายั่วยวนเราเหลือเกิน เราก็ไม่รู้ว่าจะทำไงดีตอนนี้เราก็แบบ....?
      ตอบตอนนี้เราไม่ได้ทำจำไว้ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ตรงนี้ตอนนี้ศีลทุกข้อเราบริสุทธิ์สมบูรณ์แบบเลย ตั้งแต่ตอนนี้จนกระทั่งกลับบ้านนอนสบายมาก เพราะฉะนั้นรักษาเอาไว้ ถึงเวลาตั้งใจไว้เลยว่ากุศลผลบุญการที่เราเป็นผู้มีศีล ๕ บริสุทธิ์นี้ขอไปนิพพานที่เดียว เกาะพระได้ก็หลับยาวไปเลยกำไรไปอีกคืนหนึ่งเต็ม ๆ
              ถ้าหากว่ามันลำบากมากให้รักษาเป็นเวลา เอาเป็นว่าตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งไปทำงาน กี่ชั่วโมง สมมติตื่นหกโมงไปทำงานแปดโมง ๒ ชั่วโมงเต็ม ๆ รักษาให้ได้ พ้นจากนี่แล้วมันจะขาดกระจายยังไงช่างมันแต่ ๒ ชั่วโมงนี่ต้องรักษาให้ได้ต้องเป็นคนมีสัจจะ คือมีความตั้งใจจริง เป็นคนจริงจัง คราวนี้พอเรารักษาได้แล้วนาน ๆ ไประยะเวลามันก็จะยาวขึ้น มันก็ได้เป็นวันเป็นคืนเอง
              คราวนี้พอทำได้รักษาได้แน่นอนแล้ว อันนี้แค่ตัวเอง มันจะไปยุให้คนอื่นเขาทำน่ะสิ ตัวเองรักษาได้แล้ว สมมติว่ามดเดินมาเราไม่ฆ่าสัตว์ บอกคนอื่นช่วยจัดการทีซิเอายามาฉีด ตายแหง ...ก็ศีลไม่บริสุทธิ์เพราะเท่ากับสนับสนุนให้คนอื่นเขาทำ ก็ต้องรักษาว่าตัวเองเว้นได้ไม่ยุให้คนอื่นทำ คราวนี้เราเว้นได้เราไม่ยุให้คนอื่นทำเจ้านั่นหวังดีคว้าไบก้อนมาได้ฉีดตายแหงไปเลย เราก็เอ้อ...มันน่าจะทำซะนานแล้ว อ้าว...ซวยอีกใช่มั้ย ? อันนี้ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นทำ
      ถาม :  .................................
      ตอบ :  ต่อไปใช้วิธีนี้ว่า รักษาด้วยตัวเองได้แล้วก็อย่ายุให้คนอื่นเขาทำ แล้วก็ไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นเขาทำ ถ้าศีลได้ครบอย่างนี้สบายมาก สมาธิของเราต้องทรงตัวแน่ ๆ แล้วก็หามาได้โดยถูกต้องตามศีลตามธรรมสิ ถ้าสมมติเราเห็นของ ๆ เขาสวยใช่มั้ย ? อยากได้ ถ้าไปลักขโมยมารู้ว่าผิดศีล ลองสอบถามดูว่ามีขายที่ไหน ราคาเท่าไหร่ ไปเก็บสตางค์หาซื้อเอาเอง เดี๋ยวมันก็ได้มา
      ถาม :  ..................................
      ตอบ :  ถ้าแฟนเขาไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็แก่ แล้วอีกไม่นานมันก็อาจจะตาย
      ถาม :  ตอนนี้มันมีอยู่ ๒ ข้อที่กำลังทำคือ......?
      ตอบ :  ต่อไปใครมาวอแวใกล้ ๆ ชู้ดกระจายไปเลย ตอนนี้ฉันรักษาศีลแล้วอย่ามายุ่งกับฉันได้มั้ย ?
      ถาม :  จะทำยังไงดี
      ตอบ :  อันดับแรกตัดความสัมพันธ์ทั้งปวงเลย เลิกติดต่อไปเลย ภาษาพระเขาบอกไม่รู้ไม่เห็นได้ล่ะดี ถ้าจำเป็นว่าต้องรู้เห็นก็อย่าพูดด้วย ถ้าพูดด้วยก็พูดโดยธรรมคือเอาแต่เรื่องของธรรมะล้วน ๆ มาฟัง เขาเบื่อเดี๋ยวก็ไปเองแหละ (หัวเราะ)
      ถาม :  โทรศัพท์มาไอ้เราก็กำลังอ่านหนังสือพระอยู่อย่างนี้น่ะค่ะ ?
      ตอบ :  "ฮัลโหล ตอนนี้ไม่ว่างนะจ้ะ ขออนุญาตวางหูค่ะ" และก็วางไปเลยง่ายมั้ย ? นั่นแหละหลาย ๆ ทีเดี๋ยวเขาก็เบื่อเลิกติดต่อมาเอง อนุญาตให้มองได้ อนุญาตให้คิดถึงได้ แต่ห้ามแตะต้อง (หัวเราะ) แรก ๆ มันตัดยากนะ ให้คิดได้ให้มองได้แต่ห้ามแตะต้อง ค่อย ๆ ทำไป เพราะว่าตอนนี้ก็ถือว่าเราทำได้แล้ว เพราะว่าเราอยู่ตรงนี้ศีลทุกข้อเราบริสุทธิ์แล้วก็รักษามันไปยาวเลย ตีซะว่าจนกระทั่งพรุ่งนี้มันไปทำงานโน่นแหละค่อยว่ากันใหม่ เราก็ได้ตั้งหลายชั่วโมง วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมงให้เวลาที่ใจของเราอยู่กับศีลกับธรรมให้มีให้มากกว่าเอาไว้ ถ้าหากว่ามันมีมากกว่าก็เป็นอันว่าเราเองได้กำไร แต่ถ้ามันน้อยกว่าเมื่อไรเราก็ขาดทุน
      ถาม :  ถ้าเราทำศีลข้อนี้ไม่สำเร็จแล้วจะ.............?
      ตอบ :  ก็อีกต้อง ๔ ข้อนี่มันก็ยังดีอยู่นี่ มันได้ไปตั้ง ๔ ส่วน
      ถาม :  ก็พยายามแบบสุด......?
      ตอบทำไปเถอะ พอถึงเวลากำลังใจจะมั่นคงขึ้น โดยเฉพาะถ้าเรานั่งภาวนาคือนั่งสมาธิร่วมไปด้วย ตัวสมาธิภาวนามันจะทำให้เราเป็นคนมีจิตใจเข้มแข็ง ไม่อ่อนไหว ไม่เตลิดเปิดเปิงตามเขาง่าย
      ถาม :  เวลานี้ก็รู้ทุกอย่างเลยอะไร ๆ ก็รู้หมด ก็จะพลาดหรือเปล่าเราก็พยายาม ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่ามีความตั้งใจอย่างนี้ต้องสำเร็จแน่ ๆ เพียงแต่ใช้ความพยายามนิดหนึ่ง แรก ๆ ที่เราทำมันเหมือนกับว่ายทวนน้ำ มันจะเหนื่อยจะหนักหน่อย แต่พอเราซ้อมบ่อย ๆ จนร่างกายแข็งแรงแล้วก็กลายเป็นของง่ายไป
      ถาม :  แต่ฟังท่านพูดแล้วก็รู้สึกมีกำลังใจ ?
      ตอบ :  โห....หมูมากเลยจ้ะ สมัยก่อนอาตมาชั่วกว่าโยมเยอะเลย (หัวเราะ) มันไม่มีใครหรอกที่มันไม่เคยทำความผิดมา แต่ถึงเวลาแล้วให้ลืมไปเลยว่าความผิดนั้นเคยทำอะไรไว้ ให้ตั้งหน้าตั้งตาเอาแต่ความดีอย่างเดียว ทำความดีเอาไว้โดยส่วนเดียวถึงเวลามันดีไปเอง