ถาม : คือแม่หนูเขาชอบสวดมนต์ตอนเช้าแต่เขาสวดแบบเสียงดัง เวลาที่หนูอยู่ข้างบนนี่พอได้ยินเสียงแม่สวดมนต์จะมีความรู้สึกว่าหนูรำคาญเสียงแม่ แต่เพียงที่จะทำใจให้สบาย ๆ คือก่อนที่เขาจะเอาข้าวมาถวายพระภูมิจะรู้สึกว่ามันเกะกะรำคาญตายังไงก็ไม่ทราบค่ะ แต่หนูพยายามปลดอารมณ์ใจว่าไม่ ๆ ๆ ๆ
ตอบ : อันนั้นมันเป็นตัวทดสอบอารมณ์อย่างหนึ่งเขาเรียกว่า กิเลสมารมันจะทำให้เราเป๋ไปจากความดี ทั้ง ๆ ที่เห็นคนอื่นทำความดีแต่ไม่ได้ยินดีและโมทนาด้วย มันจะกลายเป็นประเภทนึกคิดเบียดเบียนเขาซะด้วยซ้ำไป จิตมันแทนที่จะประกอบไปด้วย อนุโมทนาจิต มันกลายเป็น วิหิงสาวิตก คือคิดเบียดเบียนคนอื่นเขาแทน อารมณ์ใจอย่างนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดี บอกกับมันบอกว่า ข้ารู้จักหน้าเองแล้วไม่ต้องมาแกล้งซะให้ยากหรอ พวกมารนี่ขี้อายพอเรารู้ทันเขาก็เลิก
ถาม : แล้วหนูเห็นอย่างนี้หนูก็ต้องโมทนากับเขา ?
ตอบ : จริง ๆ คือว่าในส่วนนั้นเราไม่ได้ทำ แล้วแม่ทำเราก็พลอยยินดีและโมทนาไปกับความดีที่แม่ทำด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายพยายามกลั้นเอาไว้อย่าให้เข้าในใจ ถ้าเข้าในใจปุ๊บมันจะเกิดอันตรายกับเรา เพราะว่ามันจะเริ่มชอบหรือไม่ชอบ พอชอบหรือไม่ชอบปุ๊บถ้าเรามาคิดต่อนี่ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่เลย ถ้าไม่ชอบก็พลอยจะพาลโกรธพาลเกลียดไปเลย ถ้าหากว่าชอบก็อยากมีอยากได้ขึ้นมา มันไม่ได้เรื่องทั้งสองฝ่ายพยายามทำใจให้เป็นกลาง ๆ ไว้
ถาม : ตามที่เคยได้ยินมาเขาบอกว่าถ้ามีคู่ครอง.....
ตอบ : มีคู่นี่ยิ่งไปง่ายเลย คนจะไปนิพพานจะต้องเห็นทุกข์รู้ทุกข์ เมื่อเห็นทุกข์รู้ทุกข์แล้วรู้สึกเข็ด ในเมื่อรู้สึกเข็ดนี่ก็หาทางหนีทุกข์ซึ่งมันจะไปนิพพานได้ ดีไม่ดีไปง่ายด้วยเพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่ที่มีคู่ถ้าหากว่าจิตใจมัวแต่ไปกังวลกับการทำมาหากิน ห่วงลูกห่วงผัวห่วงเมียมันกังวลอยู่มันก็จะไปยาก แต่ถ้าหากว่าผู้ใดก็ตามที่มีคู่แล้วเห็นทุกข์โอกาสที่จะไปมันง่ายกว่าคือถ้าตั้งใจปฏิบัติจริงเห็นทุกข์จริงจิตมันยอมรับได้ง่ายกว่า มันลำบากจริง ๆ แล้วนี่คนเดียวก็ทุกข์จะแย่แล้วใช่มั้ย ? จาก ขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของตัวเองก็กลายเป็นขันธ์สิบของสามีอย่างนี้ กลายเป็นขันธ์สิบห้าของลูก มีซะสองคนก็ยี่สิบไปเลย มันทุกข์กว่าเดิมหลายเท่ามันน่าจะไปง่ายกว่า ใครบอกว่ามีคู่แล้วไปนิพพานไม่ได้อย่าไปเชื่อ พระพุทธเจ้าก็มีใช่มั้ย ? นั่นจะต้นตำรับนิพพานเลย
ถาม : เราทำบุญอะไรละค่ะถึงจะได้รู้ว่าเนื้อคู่เราคือแบบว่าเรามีทำบุญหรือทำกรรมอะไรมาคือว่าต้องมาผิดหวังในเรื่องของคู่ครอง ?
ตอบ : เรื่องนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าสมัยก่อนไปแย่งของคนอื่นเขาไว้รึเปล่า ? จริง ๆ แล้วหลวงพ่อเขาบอกว่า อยู่คนเดียวเปลี่ยวกายแสนสบายแต่ไม่สนุก ถ้าอยู่สองครองทุกข์ถึงสนุกก็ไม่สบาย ความจริงเราสบายนะเราลดทุกข์ลงไปครึ่งหนึ่ง คอยดูคนรอบ ๆ ข้างเราสิถึงรักกันปานจะกลืนก็เหอะ ถึงเวลามันก็ต้องทะเลาะเบาะแว้งกระทบกระทั่งกันอยู่ตลอดลิ้นกับฟันน่ะ ถึงจะมีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจก็จริงแต่ถ้าคนเราเวลาเหนื่อยมา เวลาหิวมา เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยอารมณ์มันเสียง่ายเดี๋ยวทะเลาะกัน ดูว่ารอบข้างเรามีคู่ไหนที่เขามีความสุขจริง ๆ มั่ง มันจี๋จ๋าหวานจ๋อยกันได้พักเดียวแล้วหลังจากนั้นก็ทุกข์ล้วน ๆ ถามคนข้าง ๆ สิเขาแต่งมาแล้ว ถามว่าพี่มีความสุข์จริง ๆ มั้ย ? ไม่มีหรอก ลำบากจะตายชัก เหนื่อยจากข้างนอกมาด้วยกันแท้ ๆ กลับมาบ้านเรายังมีเจ้านายเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ถ้ามีลูกก็เพิ่มขึ้นอีกก็เพิ่มขึ้นอีกสองคน บางครอบครัวเห็นแล้วก็น่าสงสาร
ถาม : .......................
ตอบ : พระอรหัง สุคะโต ภะคะวา นะ เมตตาจิต แค่นั้นแหละว่าทุกวัน ๆ เจ้าของคาถาคนแรกคือ หลวงปู่แช่มวัดฉลอง ภูเก็ต ถัดมาก็ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ถัดมาก็ หลวงพ่อวัดท่าซุง คาถาบทนี้ถ้าเราต้องการให้ใครรักใครเมตตาเราสงเคราะห์เรา ให้นึกถึงหน้าเขาแล้วภาวนาคาถาบทนี้เรื่อย ๆ สักครึ่งชั่วโมง ทำให้ตัวเองกำลังใจทรงตัว เสร็จแล้วก็ไปเหอะ
ถาม : (เรื่องการพิจารณาระหว่างรับประทานอาหาร) ?
ตอบ : จริง ๆ คือพิจารณาต่อยาวไปทีเดียวเลยจ้ะ แล้วตอนท้ายนี่ สรุปรวบกลับมาว่า ในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ ยังจำเป็นต้องกิน ก็กินเพื่อให้ร่างกายนี้ทรงอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมเท่านั้น ไม่ได้กินเพื่อความอ้วนพีของร่างกาย ไม่ได้กินเพื่อความผ่องใสของผิวพรรณ ไม่ได้กินเพื่อตั้งใจจะยั่วกิเลสให้เกิดขึ้น หากแต่ว่ากินเพื่อรักษาร่างกายนี้ไว้ให้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้นกินให้มันสักหน่อย ถ้าตะขิดตะขวงใจมากว่าเขาจะต้องตายเพราะเรา เราต้องมากินเขาแท้ ๆ ก็ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของเลือดเนื้อเขาไปเลย
ถาม : แล้วถ้าเห็นว่าภาวะรอบข้างว่าอย่างนี่เป็นทุกข์ ให้คิดไปเลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ให้เห็นจริง ๆ ว่าทุกอย่างมันเป็นทุกข์ นั่นเป็นสิ่งที่ดีมากเลย แล้วเราก็มาถามตัวเองว่าโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนแบบนี้ การที่เรามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ เรายังต้องการมันอีกไหม ? ถ้ามันตอบว่าไม่ต้องการ ก็ถามตัวเองว่าในเมื่อไม่ต้องการแล้วจะไปไหน ? ถ้าอารมณ์สุดท้ายเกาะนิพพานก็เกาะยาวไปเลย แล้วรักษาอารมณ์เกาะนิพพาน ประคับประคองเอาไว้ ทำอย่างนั้นทุกวัน ๆ จนอารมณ์จิตชินกับนิพพาน ต่อไปสบายตายเร็ว (หัวเราะ) ถ้าหากมันเกาะจริง ๆ ไม่เอาอะไรจริง ๆ เอานิพพานนี่ตายเร็ว ซึ่งมันเป็นความต้องการของเราอยู่แล้ว
ถาม : ต้องเฉพาะตะวันออก ? (ถามเรื่องศาลพระภูมิ ที่ตั้งอยู่ทิศตะวันออกของบ้าน )
ตอบ : เฉพาะศาลที่อยู่ด้านทิศตะวันออก ไม่ใช่หันทิศตะวันออกนะ อยู่ด้านทิศตะวันออกของตัวอาคาร ทุกหลัง ที่อยู่ทิศตะวันออกมีหน้าที่พิเศษ คือ ให้หวยด้วย ถ้าใครขอเป็น เหมือนยังกับโดนบังคับแต่ให้คนขอเป็น ถ้าขอไม่ได้เรื่องนี่ก็แย่เหมือนกัน สำหรับของเราที่พอถึงเวลาฝันแล้วไม่เล่นมันจะแม่น นั่นน่ะเขามาลองใจเรา ถ้าเราเล่นเมื่อไรมันจะเคลื่อนทันที เล่นสามตัวมันจะออกสองตัว เล่นสองตัวมันจะออกตัวเดียว เล่นตัวเดียวมันไม่ออกเลย มันจะเป็นอย่างนี้ แล้วถ้าเราบอกเขาโดยที่เขาเองไม่มีบุญในด้านนี้มาก่อนเลขมันก็จะเคลื่อนเลื่อนไปงวดอื่น เลื่อนให้เจ็บใจเล่นเท่านั้นแหละ สมัยหลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี ที่ สมุทรสาคร ยังอยู่ หลวงพ่อเนื่องมีอาชีพให้หวย ใคร ๆ ก็ไปหาท่าน ขอหวย ๆ หลวงพ่อเนื่องให้ บางทีก็เขียนใส่กระดาษยัดใส่มือมาเลย บางทีก็เขียนใส่กระดานดำทิ้งเอาไว้ไปลอกเอาเอง บางทีคนเอาแบงค์ไปถวายทั้งปึกท่านก็ดึงเอามาคืนให้ใบหนึ่ง ใบนั้นน่ะออกแหง ๆ
วันที่หลวงพ่อเนื่องมรณภาพกรรมการเข้าไปจัดการเกี่ยวกับการเงินในกุฎีท่าน โอ้โห!ค้นมันทุกซองทุกมุมเงินเต็มไปหมด เพราะท่านรับมาท่านก็โยนโครม! กองเอาไว้ไม่ได้ใช้อะไรเลย คือไม่ได้ยึดติดในเรื่องเงินเรื่องทอง จริง ๆ แล้วไม่ได้ใส่ใจเลยรับมาท่านก็โยนไว้รอบตัวนั่นแหละ กรรมการตรวจนับเงินได้ยี่สิบกว่าล้าน ปรากฏว่าหลวงพ่อเนื่องมรณภาพ
หลวงพ่อบอกว่า หลวงพ่อเนื่องเป็นพระอรหันต์ มันขอหวย พระอรหันต์ตายไปทั้งองค์ไม่ได้คิดจะขอธรรมะกันเลย หลวงพ่อเนื่องท่านก็อยู่ให้ เป็นหน้าที่ของท่านนี่ ปรากฏว่าหวยหลวงพ่อเนื่องคนเอาไปเล่นถูกบ้างไม่ถูกบ้างเพราะไม่รู้วิธี หลวงพ่อท่านบอกวิธีให้ว่า ถ้าพระท่านบอกเป็นสาธารณะอย่างนั้นบุญคนมันไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะถูกมันยาก ท่านบอกว่า ถ้าอยากจริง ๆ ให้ตามไม่เกินสิบสองงวดจะออก ท่านแนะนำวิธีเล่นว่าถ้างวดแรกเราเล่นสิบบาท งวดที่สองให้เล่นยี่สิบ งวดที่สามให้เล่นสามสิบ งวดที่สี่ให้เล่นสี่สิบ ถ้าทำอย่างนี้แล้วถึงเวลาออกมันจะได้คุ้ม รับรองว่าไม่เกินสิบสองงวดจะออก แล้วออกตรง ๆ ด้วย แต่ถ้าอยากได้งวดนั้นเลย ให้ตัดท้ายเล่นตัวเดียวจะได้ แต่คราวนี้เล่นตัวเดียวมันได้น้อยเขาไม่ต้องการกัน
พอได้เคล็ดลับมาแทนที่จะเล่นหวยหลวงพ่อเนื่อง ก็เล่นหวยหลวงพ่อเราเอง หลวงพ่อท่านบอกหวยปีละครั้งตอนกฐิน คอยฟัง ๆ เถอะ ถ้าคนเฮเมื่อไรก็เลขนั้นแหละ แต่คราวนี้ท่านบอกทีอย่างกลางศาลาสองไร่คนมีเป็นหมื่น บุญคนมันไม่เท่ากัน งวดสุดท้ายก่อนท่านมรณภาพท่านก็บอกว่า เฮ้ย.....ใครมีเงินบ้างหว่า ขาดเงินอยู่ ๖๘๓ บาท พวกฮากันตรึม ใช่แน่แล้วตัวนี้ ปรากฏว่างวดแรกมันออก ๖๘ งวดหลังมันออก ๘๓ แล้วงวดที่สี่มันออก ๘๓๖ มันไม่ใช่ ๖๘๓
ปรากฏว่า พี่สุรกานต์ เขาได้เคล็ดลับแล้วเขาตามไปเรื่อยแหละ คนอื่นเลิกกันหมดแล้ว คนได้ ๖๘ แล้วเลิกก็มี ได้ ๘๓ แล้วเลิกก็มี ประเภท ๓๘๖ หรือ ๘๓๖ งวดนั้นก็มี แต่ของหลวงพ่อนี่ถ้าบอกเมื่อไรตรง ๆ ไม่ต้องกลับ พี่เขาก็ตามไปเรื่อย ๆ ไปออกเอางวดที่เก้าได้ไปแสนแปดค่อยยังชั่วหน่อย ถามพี่เขาเหมือนกันถ้างวดที่สิบเอ็ดแล้วไม่ออกล่ะ ? เขาบอกว่าขายบ้านแล่น ( หัวเราะ ) คือเขามั่นใจแน่แล้ว พอได้เคล็ดลับไปแล้วลองตามดู จริง คนที่มีบุญไม่ถึงนี่บารมีไม่ถึงมันจะเลิกเสียกลางคัน คนที่สมควรได้มันจะมีกำลังใจตาม มันตามจนออก เก้างวดนี่เท่าไร สี่เดือนกว่าใช่ไหม ? เพราะฉะนั้นก็ตามไปเหอะ
ถาม : ของหลวงพ่อใช้ได้กับทุกองค์ไหม ?
ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกัน แต่หลวงพ่อเนื่องกับหลวงพ่อนี่ใช้ได้ (หัวเราะ) องค์อื่นก็ลองดู ถ้าสิบสองงวดไม่ออกก็เพิ่มเป็นร้อยยี่สิบงวด (หัวเราะ) ใส่ศูนย์ไปอีกตัวหนึ่ง
ถาม : ที่เคยสอนว่าเวลาภาวนาไปด้วยให้นับลูกประคำโดยนับจำนวนเม็ดไปด้วย ทีนี้ถ้าตอนนับกับภาวนาไปด้วย ภาวนามันไปเรื่อย ๆ เหมือนกับว่าเราจะต้องเอาจิตไปดูที่จำนวนนับหรือดูที่มือแตะจำนวนนับล่ะคะ ?
ตอบ : รู้ทั้งสองอย่าง
ถาม : เครียดนะคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเขาเอาสำหรับพวกฟุ้งซ่านมาก พวกที่ฟุ้งซ่านมากถ้าให้ทำงานหลายอย่างแล้วจิตมันจะจดจ่ออยู่กับตรงนั้นมันก็จะไม่ฟุ้งซ่านไปที่อื่น ของเราถ้าเอาธรรมดา ๆ รับรู้อย่างเดียวก็พอแล้ว ไม่งั้นจะเครียดเกินไปหนักเกินไป แต่ที่หัดทำตอนนั้นเพราะต้องการจะซ้อมประเภทแยกจิตแยกกายหลาย ๆ อย่างพร้อม ๆ กัน ไม่งั้นเดี๋ยวนั่งคุยตรงนี้โยมนินทาเราอยู่ที่ปักษ์ใต้ไม่ได้ยิน (หัวเราะ) จริงแล้ว ๆ มันก็ไม่ได้ยินนั่นแหละ
ถาม : แต่มันก็ได้ผลนะคะ แต่ค่อนข้างเครียด ?
ตอบ : นั่นแหละ ของเราถ้ามันไม่เคยชินมันจะตึงหน่อย แล้วอย่าลืมตัวสุดท้าย ถ้าเราทำจนคล่องแล้วต่อไปภาวนาอยู่มันก็ฟุ้งซ่านได้ ถ้าหากว่าถึงตอนนั้นแล้วมีปัญหานี่ให้ดึงใจกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกให้ความรู้สึกจดจ่ออยู่ที่ความรู้สึกตรงหน้า อย่าไปแบ่งความรู้สึกรับรู้อันอื่น ไม่อย่างนั้นกำลังใจมันจะไม่เป็นหนึ่งเดียว มันจะแยกไปคิดเรื่องอื่น ๆ ได้ต่อไปเรื่อย จะกลายเป็นว่าทั้ง ๆ ที่เราภาวนาอยู่แท้ ๆ ทรงฌานอยู่แท้ ๆ มันก็ฟุ้งซ่านได้ ไปคิดเรื่องอื่นหน้าตาเฉยเลย
ถาม : ใช้สมาธิ ใช้แบบไหน ?
ตอบ : ทำได้แค่ไหน ก็ต้องใช้แค่นั้นแล้ว
ถาม : ตอนปวดหัวมาก มันไม่มีอารมณ์ ?
ตอบ : การที่เราหิวมาก ๆ เหนื่อยมาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าไม่คล่องตัวมันจะจับสมาธิยาก คราวนี้ว่าอาตมาป่วยเป็นประจำมายี่สิบปีแล้วมันก็กลายเป็นปกติของเราว่ามันหนีทัน พรวดเดียวก็ไปแล้ว
ถาม : เคยเห็นคนตายแบบใกล้ชิด รู้สึกชัด ๆ เลยว่าปุ๊บปั๊บมากเลยเสียความรู้สึกเลย ?
ตอบ : ลักษณะอาการนี้แหละ คือสภาพของเราจริง ๆ แล้วยังรับไม่ได้ พอเรารับไม่ได้ร่างกายจิตใจพลอยแย่ไปด้วย อาตมาเห็นตัวขนาด เจ้าศีล นี่โดนสิบล้อเหยียบเข้าหัวเหมือนทุ่มแตงโมใส่พื้นเลย แล้วคราวนี้เลือดมันนองเต็มถนนไปหมด ตัวมันซีดเหลืองยังกับขี้ผึ้ง แม่ก็ร้องไห้จะขาดใจอยู่ข้างถนน แล้วลองนึกดูถ้าเป็นเราจะทำยังไง มืออ่อนตีนอ่อน นอนอยู่ตรงนั้นเลย
ถาม : อย่างนี้พวกโจร พวกเสืออะไร อย่างตี๋ใหญ่พวกนี้ ต้องมี .....?
ตอบ : ใช่ กำลังใจเขายึดมั่นมาก เคยถามคนที่มันเคยเป็นโจรมา ถามเขาบอกว่าทำยังไงถึงเหนียว โดยเฉพาะ เสือฝ้าย เสือฝ้ายไป วัดท่าซุง หลายครั้งแล้วก็โดยเฉพาะไปนอนอยู่ที่ตึกที่อาตมาอยู่ ก็ได้คุยกัน ที่แกไปแกไปขอให้หลวงพ่อไปขุดทองญี่ปุ่นที่แกฝังเอาไว้ แกปล้นทองญี่ปุ่นเป็นตู้รถไฟเลย ถามแกบอกว่าปล้นอีท่าไหนได้เป็นตู้รถไฟ แกบอกว่าให้ลูกน้องปีนขึ้นไปแอบถอดสลักยึดระหว่างตู้มัน พอเข้าจังหวะทางโค้งก็ปลดสลัก พอมันโค้งตัวเหวี่ยงเสร็จตู้โบกี้มันจะหลุดออกมา แล้วก็เข็นไปซ่อนระเบิดปิดกัน โน่น.... กว่าจะรู้หายไปแล้ว
คราวนี้เขาบอกว่า สมัยก่อนที่ส่วนใหญ่หนังเหนียว เพราะว่าต้องเป็นคนมีสัจจะเป็นคนเอาจริงเอาจังและว่างเมื่อไหร่ต้องภาวนา พวกเรายังทำอย่างเขาไม่ได้เลย เพราะเขาอยู่กับปากกระบอกปืนตลอด ไม่รู้ว่าจะโดนยิงตายเมื่อไร เพราะฉะนั้นมันประมาทไม่ได้ ว่างเมื่อไรต้องภาวนา สถานการณ์มันบังคับ ในเมื่อว่างเมื่อไรต้องภาวนาจิตเป็นสมาธิสูง พออาราธนาพระเครื่องเข้าเท่ากับว่าตัวเองเปิดกำลังใจรับเต็มที่แล้วอานุภาพสูงมาก สมัยนั้นเลยส่วนใหญ่ก็จะหนังเหนียวกัน
ถาม : อย่างนี้ก็ไม่มีสิทธิตกนรก ถ้าเผื่อตายก็ไปเป็นพรหม ?
ตอบ : ก็หลวงพ่อท่านส่งเข้าป่าไปเกือบสามสิบองค์ เป็นพระอภิญญาหมดเลย เพราะว่ากำลังใจพวกนี้ท่านเอาจริงเอาจังอยู่แล้ว คราวนี้งานนั้นพวกนี้ไปพักในวัดก่อนจะไปปล้นเขา แล้วก็มีสองคนที่พูดง่าย ๆ ว่าบุญพอจะมี มากราบหลวงพ่อก่อน หลวงพ่อพอเจอหน้าก็ถามว่าแกจะไปปล้นเขาใช่ไหม ? หลวงพ่อบอกว่าพวกนี้เรียบร้อยเกินเหตุ ประเภทเข้ามาหาพระปูผ้ากราบท่านบอกว่าระแวงเอาไว้ก่อนได้เลย สมัยก่อนโจรไปปล้นเขามันแต่งตำรวจแล้วมันหล่อเกินตำรวจ โอ้โห ....ตำรวจมัวแต่ตามล่าโจรชุดเก่ายังกับผ้าขี้ริ้ว พวกนี้รีดกลีบโง้งเลย ถามว่าจะไปปล้นเขาใช่ไหม ? พวกนั้นก็ตะลึง หลวงพ่อบอกว่าถ้าเองไปคืนนี้เอ็งตายโหงทั้งคู่ พวกนั้นพอทักถูกแล้วแถมบอกก็ตกใจ อยากจะรอดเอ็งไปซื้อยาถ่ายมากินให้มันขี้ไหลขี้ร่วงไปเลย
ปรากฏว่าคืนนั้นเข้าปล้นพวกตายหมดจริง ๆ สองคนนี้นอนแผ่อยู่กับวัด ประเภทกินยาถ่ายระดมพลเข้าไป ลูกพี่บอกไม่ต้องไปไม่ต้องไปก็รอดมาได้ใช่ไหม หลวงพ่อก็บอกให้เลิกเสียไม่อย่างนั้นถ้าไปอีกก็ตายอีก ไม่เลิกก็ไม่ได้ เห็น ๆ อยู่ ตกลงยอมบวช หลวงพ่อเลยส่งไปให้เพื่อนสององค์ที่อยู่ในป่า สององค์นี้ไปก็ได้ดีเพื่อนฝูงมาถาม ๆ กันเสร็จไป ๆ มา ๆ หลวงพ่อบอกว่าพวกลายพาดกลอนส่งเข้าป่าไปสามสิบกว่าองค์เป็นพระอภิญญาหมด
คือว่า ความดีความชั่วเท่าที่มีอยู่ในทุกศาสนามันก็เป็นแค่สิ่งสมมติเท่านั้น การกระทำของเรานั่นแหละที่จะเป็นตัวกำหนด สิ่งที่เราตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามผลของการกระทำนั้นมีแน่ และจะตอบแทนให้แก่ผู้กระทำได้เมื่อวาระและเวลาอันสมควรมาถึง ถ้าทำในสิ่งที่ตามสมมติเขาเรียกว่าดี ผลตอบแทนก็คือความสุขความเจริญ แต่ถ้าหากว่าทำในสิ่งตามสมมติที่เขาเรียกว่าไม่ดีคือความชั่ว สิ่งที่ได้รับตอบแทนก็คือความทุกข์ ความเดือนร้อน คราวนี้จะเรียกว่าใครเป็นผู้กำหนด ก็คือการกระทำเป็นผู้กำหนดคือกรรมเป็นผู้กำหนด ถ้าหากว่าคนไม่ทำความดีความชั่วเลย นรก เปรต อสรุกาย สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา มาร พรหมอะไรก็ไม่จำเป็นต้องมี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับการกระทำของเราทั้งนั้น ถ้าเลิกทำก็ไม่มีอะไรเหลือ
|