ถาม :  เป็นพระโพธิสัตว์อยู่แล้วท่านฆ่ารากษสที่มีอายุ ๘๐ ปีแล้ว ทำให้ท่านต้องมีพระชนมายุเพียง ๘๐ พรรษาก็เลยสงสัยว่าทำไมถึงมีผลมากขนาดนั้นในการฆ่ารากษส ?
      ตอบ :  อย่าลืมว่าการฆ่าที่ต้องใช้กำลังใจสูงมากเท่าไหร่ผลกรรมมันก็หนักเท่านั้น เขาถึงได้บอกว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าไปกินเนื้อสัตว์ใหญ่ ประเภทวัวทั้งตัวจะฆ่ามันให้ตายต้องใช้กำลังใจมากกว่าไก่ หรือใช้กำลังใจมากว่าปลาเล็ก ๆ อย่างนี้ นั่นมันกินคนมาเยอะแล้ว ถ้าหากว่ากำลังใจไม่เข้มแข็งจริง ๆ คิดจะไปฆ่านี่ประเภทได้ยินชื่อ ก็คงเดินถอยหลังแล้ว
              อันนั้นจริง ๆ ท่านเห็นแก่โยมแม่ คือว่าฐานะลำบากยากจนมากแม่ก็แก่แล้ว อยากให้แม่มีความสุขความสบายบ้างเลยไปรับอาสาเพราะว่าเขาบอกว่าใครทำได้จะให้ทองเท่าลูกฟัก อย่างน้อย ๆ ก็เลี้ยงแม่มีความสุขความสบายไป ถ้าหากว่าในยุคสมัยของเราอายุขัยมันร้อยปีสมัยพระพุทธเจ้าท่าน ก็มีหลายท่านที่อยู่ถึง ๑๒๐ ปี สมัยของเรานี่อายุ ๗๕ ปีเป็นอายุขัยแต่ว่าคนอยู่กันเก้าสิบร้อยกว่าก็มี เพราะฉะนั้นว่าถึงอยู่ต่อไปก็อยู่อย่างคนแก่ ถึงจะแก่อย่างพระพุทธเจ้าก็เถอะ ร่างกายของคนแก่นี่มันไม่ค่อยดีหรอกอยู่ต่อก็ทรมานมาก พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานไปในวาระนั้นไปในเวลานั้นก็ถือว่าพอเหมาะพอสมแล้ว
      ถาม :  แล้วคนเราอยู่ ๆ จะไปเป็นยักษ์ได้ยังไง ?
      ตอบ :  คงจะต้องทำกรรมอะไรไว้เยอะ พวกอสูรนี่ต้องทำบุญผสมความโกรธ ถ้าหากว่าเราตั้งใจไว้ว่าเราทำบุญอันนี้ขอเกิดเป็นยักษ์มันก็เป็นเหมือนกัน ขณะเดียวกันว่าถ้าหากว่าเป็นผู้ืที่มีจิตใจดุร้ายฆ่าฟันเขาเป็นปกติหรือว่ามีกำลังใจที่เข้มแข็งสามารถทรงฌานทรงสมาบัติได้แต่กลายเป็นมิจฉาทิฐิพอถึงเวลาหลังจากตกนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นอะไรมา อาจจะต้องมาเกิดเป็นพวกเหล่านี้ได้ เพราะว่าวิสัยเดิมสัญชาติเดิมที่ตัวเองทำมามันทำให้ผลกรรมเหล่านี้ส่งผลให้ไปเป็น ภาษาไทยมันฟังยากยักษ์ ยักษ์กลายเป็นเทวดา รากษสนี่เป็นอมนุษย์พวกหนึ่งที่กินเนื้อคนกินสัตว์เป็นอาหาร ผีเสื้อผีเสื้อในที่นี้มันไม่ใช่ผีเสื้อที่บินนะสิ มันมีผีเสื้อที่อยู่ในตระกูลประเภทพวกปีศาจ พวกยักษ์ พวกอสุรกายเหมือนกัน
      ถาม :  การปลุกเสกนี่ใครปลุกเสก ? (ถามเรื่องพระกริ่งพิชัยสงคราม)
      ตอบ :  ใครปลุกเสก ? ถ้าหากว่าตามสายหลวงพ่อก็เป็นหน้าที่ของพระท่าน แล้วแต่ว่าท่านจะบัญชาการหรือว่าแล้วแต่ท่านจะทำ ของเราเองนี่มีหน้าที่อยู่อย่างเดียวคือนั่งมองแล้วก็คอยทำตามที่ท่านสั่งแค่นั้น สายหลวงพ่อนี่ปลุกพระไม่เป็นหรอกมีแต่พระปลุกถึงเวลาพระจะมาบอกให้ทำโน่นทำนี่
      ถาม :  อย่างเวลาที่วัดอื่น ๆ เขานิมนต์พระมาหลาย ๆ องค์มานั่งปลุกเห็นท่านหลับตาแล้วท่านไปไหน ?
      ตอบ :  อันนั้นต้องถามท่าน บางองค์ก็นั่งหลับ หลวงพ่อเคยเล่าใหฟังว่ามีหลวงพ่ออยู่องค์หนึ่งเวลาไปนั่งปลุกท่านก็ค่อย ๆ ทรุดลง ๆ จนกระทั่งเกือบถึงพื้นแล้วค่อยยืดขึ้นมาใหม่อย่างนั้นอยู่ตลอดเป็นชั่วโมง จนกระทั่งคนไปสะกิดท่านว่าหมดเวลาหมดพิธีพุทธาภิเษกแล้ว ท่านก็เลิกบรรดาญาติโยมก็เลื่อมใสมาก กี่งานกี่งานก็นิมนต์ไปปลุกเสก แล้ววันหนึ่งลูกศิษย์ลูกหาที่เห็นมีบางคนที่เขาำกล้า เขาก็ถามว่าหลวงพ่อเรียนวิชาอะไรมาครับถึงปลุกท่านั้น ถามว่าท่าไหน ? ก็อธิบายให้ฟังหลวงพ่อจะค่อย ๆ ลงแล้วก็ขึ้น ๆ ท่านบอกกูหลับ บอกตรง ๆ เลยกูหลับ เพราะฉะนั้นอยากรู็ว่าท่านทำอะไรท่านไปไหนก็ต้องถามท่าน
              แต่ถ้าเป็นายหลวงพ่อนี่ถึงเวลาตั้งใจอาราธานาพระ พระท่านสั่งให้ทำยังไงก็กำหนดใจตามไปภาวนาตามไป
      ถาม :  แล้วแต่บางองค์ ?
      ตอบ :  ก็แล้วแต่วิชาการที่ท่านได้รับมา ที่หลวงพ่อเคยเล่าเรื่องพิธีพุทธาภิเษกน่าจะเป็นที่วัดระฆังมั้ง ? สมัยเจ้าคุณเทพประสิทธินายกอยู่หลวงปู่นาควัดระฆัง พอเริ่มพิธีพุทธาภิเษกหลวงพ่อกำหนดเจโตปริยญาณแอบดูใจเขา บอกว่าแต่ละองค์กำลังใจไม่เหมือนกันบางองค์พุ่งแหลมเปี๊ยบเป็ฯเข็มพุ่งใส่กองวัตถุมงคล บางคนก็เป็นแสงสว่างจ้าแผ่คลุมทั่วเลยกำลังจะดูต่อไปหลวงปู่นาคด่ามาบอกเฮ้ยไอ้ขี้ขโมยแอบดูเขา...(หัวเราะ)...รู้ไปหมดทำอะไรก็รู้
      ถาม :  พระมหากษัตริย์ไทยที่ได้สิ้นพระชนม์ไปแล้วมาเกิดแล้วอย่างนี้ครับ ถ้ามาเกิดแล้วเวลาไปจุดธูปไหว้นี่ไหว้ใคร ?
      ตอบ :  บุคคลที่มีคนเคารพนับถืออยู่ เมื่อท่านสิ้นชีวิตไปแล้วเขากราบไหว้บูชาอยู่ ถ้าหากว่าท่านมาเกิดใหม่จะมีเทวดาหรือพรหมที่มีบารมีใกล้เคียงกับท่านรับหน้าที่นั้นแทน อย่างสมัยหลวงพ่อมีชีวิตอยู่คนไปกราบไหว้บูชาท้าวสัจจะพรหมจะรับหน้าที่แทน เขาจะมีการแทนกันเพราะว่าอย่างน้อย ๆ การระลึกถึงผู้ที่มีคุณมีความดีอะไรมันก็ยังเป็นอปจายนมัย ถ้าหากว่าท่านเป็นเทวดาก็เป็นเทวตานุสติ ถ้าท่านเป็นพระอริยเจ้าก็เป็นสังฆานุสติไป
      ถาม :  ไหว้ท่านก็ไม่สูญเปล่า ?
      ตอบ :  ไม่ไปไหนหรอก ดีไม่ดีองค์ที่มาถ้าบารมีสูงกว่าซะหน่อยได้เยอะกว่าอีก
      ถาม :  เล่าเรื่องหลวงปู่ปานท่านสอนบอกว่าเวลาพระมาที่วัด ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายพระไปที่ตั้งหลวงพ่อก็คิดว่าสามารถเคลื่อนย้ายได้เลย หลวงปู่ปานท่านบอกว่าต้องให้ความเคารพต่อพระพุทธเจ้า ต้องจุดธูปทำพิธีก่อน แล้วอย่างนี้เวลาพระที่บ้านเราจุดธูปก่อนอย่างนี้ดีมั้ย ?
      ตอบ :  ควรจะทำเลยเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพจริง ๆ คือจุดธูปบอกกล่าวท่าน ขออนุญาตเลยว่าเราจะโยกย้ายยังไง เพราะว่าพระ โดยเฉพาะ พระพุทธรูปสร้างขึ้นมาจะผ่านพิธีพุทธาภิเษกหรือไม่ผ่านก็ตามจะมีเทวดารักษาอยู่แล้ว การพุทธาภิเษกเป็นการจับตัววางตายว่าใครเป็นผู้รักษาเท่านั้น นั่นเฉพาะเจาะจงว่าหน้าที่คุณแต่ถ้าหากว่าทั่ว ๆ ไำปใครก็ช่วยรักษาได้เพราะฉะนั้นก็ควรให้ความเคารพท่าน โดยเฉพาะเราเคารพก็คือเราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การเคารพด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจอย่างแท้จริงนี่เป็นกติกาเริ่มต้นของพระโสดาบัน
      ถาม :  ถ้าเราถือวิสาสะย้ายทันทีอย่างนี้ถือว่าปรามาสมั้ย ?
      ตอบ :  ก็ขอขมาทีหลังสิ เหมือนกับผู้ใหญ่ถึงเวลาลากท่านเดินต๊อก ๆ ไปอย่างนี้มันงามมั้ยล่ะ ?
      ถาม :  ญาณ ๘ นี่เหมือนกับว่าเราคิดไปเองรึเปล่า ?
      ตอบลักษณะของการฝึกญาณ ๘ เราได้ทิพจักขุญาณก่อน คราวนี้ทิพจักขุญาณถ้าไม่ชัดเจนแจ่มใส บางทีเหมือนยังกับเราคิดเองเออเอง วิธีทดสอบง่าย ๆ ก็คือว่าให้ถามปัญหาที่พิสูจน์ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ อย่างเช่นว่าถ้าพรุ่งนี้เราอกจากบ้านเราจะเจอใครเป็นคนแรก ผู้หญิงหรือผู้ชาย ใส่เสื้อผ้าสีอะไรอย่างนี้ พอตอนเช้าก็โผล่หน้าออกไปดูเลย ถ้ามันตรงก็ใช้ได้
              สมัยก่อนที่หลวงพ่อท่านสอนให้นั่งข้างถนนหลับตาทำใจสบาย ๆ วางอารมณ์อยู่ในทิพจักขุญาณของมโนมยิทธิ เสียงรถยนต์แล่นมาให้ถามว่ารถยนต์มาสีอะไร พอคำตอบเกิดขึ้นก็ลืมตาดู มันได้คำตอบในระยะสัน ๆ เลย ถ้าหากว่าผิดไม่ต้องจำ แต่ถ้าถูกให้จำว่าเราวางอารมณ์ไว้ยังไง แล้วก็กำหนดใจอย่างนั้นรถมาสีอะไร ต่อไปพอถูกสักแปดคันในสิบคันเริ่ิมความมั่นใจเริ่มมี เพิ่มไปว่ารถมาสีอะไรคนนั่งมากี่คน พอมันถูกมาก ๆ เข้าสักแปดในสิบว่ารถมาสีอะไรคนนั่งมากี่คน ผู้หญิงเท่าไหร่ผู้ชายเท่าไหร่ ต่อไปรถมาสีอะไรคนั่งมากี่คนผู้หญิงเท่าไหร่ผู้ชายเท่าไหร่ แต่ละคนใส่เสื้อผ้าสีอะไร ท้าย ๆ กระทั่งเลขทะเบียนรถก็บอกถูก ให้พิสูจน์กับสิ่งที่พิสูจน์ได้ระยะสั้น ๆ เพื่อที่เราจะได้มั่นใจว่าความรู้นี้ถูกต้องจริง ๆ
      ถาม :  ทีนี้จะต้องฝึกทุกวัน ?
      ตอบ :  ฝึกทุกวันต้องซ้อมไว้ทุกวันไม่งั้นสนิมขึ้น จะใช้งานแต่ละทีชักดาบไม่ออกสนิมกินติดกระบอกไปแล้ว
      ถาม :  มันมีอยู่ช่วงหนึ่งค่ะ ที่แบบว่าเป็นความรู้สึกมากกว่า แล้วก็ไม่เกินห้านาทีมันก็เกิดแล้วเป็นอย่างนี้ เหมือนกับว่าติดต่อกันหลายครั้งเหมือนกันและพอมาช่วงหลังนี่รู้สึกมันความรู้สึกนี้หายไปแล้ว
      ตอบ :  เราทิ้งมัน ลองย้อนกลับไปทบทวนดูว่าตอนช่วงนั้นเรารักษาอารมณ์ยังไง ? ทาน ศีล ภาวนาของเราทรงตัวแค่ไหน ? อารมณ์ใจนั้นถึงอยู่กับเรา เราปฏิบัติวันละเท่าไหร่ ? เช้ากี่ครั้งเย็นกี่ครั้ง ? รักษาอารมณ์ได้นานเท่าไหร่อย่างนั้น แล้วตอนนี้เราได้ทำอย่างนั้นมั้ย ? ถ้าเรายังทำอย่างนั้นผลอย่างนั้นก็ยังเกิดอยู่ แต่ถ้าเราเลิกทำเมื่อไหร่ผลอย่างนั้นก็หายไป
      ถาม :  หลังจากที่เรียกว่าเหมือนกับว่าเคยได้อย่างนี้คะ แล้วหนูรู้สึกว่ามันไม่ค่อยอยากจะทำแล้วก็ไม่ค่อยอยากจะสวดมนต์ ไม่ค่อยอยากจะไหว้พระ ?
      ตอบ :  มันก็ไม่ค่อยอยากจะเกิดเหมือนกัน ....(หัวเราะ) .....เราไม่สร้างเหตุแลผลจะเกิดได้อย่างไร ? เราก็ต้องทำเหตุอันนั้นใหม่ คนที่เคยทำได้แล้วไม่ยาก ถ้าเคยทำได้แล้วจะไม่ยากไปทบทวนอารมณ์เดิมของเรา พอถึงตรงจุดนั้นเมื่อไหร่ตัวรู้นี่ก็จะเกิดขึ้นมาใหม่ แรก ๆ มันเป็นความรู้สึกพอนานไป ๆ ความมั่นใจมันมากเข้า ๆ อยู่มันจะเหมือนกับปรากฏภาพวาบขึ้นมาเฉย ๆ ตอนนั้นก็จะลำบากอยู่อีกช่วงหนึ่ง พอภาพมันปรากฏขึ้นมาความเคยชินจะไปใช้สายตาเพ่งอยู่ เราต้องส่งจิตออกไปนะไปถึงสถานที่นั้น ๆ ถึงจะรับรู็ภาพอย่างนั้น ๆ ได้
              การที่เราใช้สายตาเพ่งก็คือเรานึกถึงตา นึกถึงตาก็คือนึกถึงตัวมันเป็นการดึงจิตกลับภาพจะหายไป ก็จะต้องไปปล้ำกับภาพที่มา ๆ หาย ๆ อีกยกใหญ่ บางคนเป็นปี ๆ เลยกว่าจะทำใจได้ว่าก่อนหน้านี้แค่ความรู็สึกเราก็รู็ได้ถูกต้องดีแ้ล้ว ถึงภาพจะปรากฏไม่ปรากฏก็ช่างมันเถอะ ยังไง ๆ ความรู้สึกนี้ถูกต้องเราพอใจ ถ้าทำอย่างนั้นได้ภาพจะปรากฏอยู่แล้วอยู่ได้นาน
ไปหัดใหม่ไม่ยากแล้ว
      ถาม :  แล้วหนูเคยแบบว่าฝันแล้วพอตื่นขึ้นมาจำไม่ได้เป็นอย่างนี้ประมาณสามสี่รอบแล้วค่ะ แล้วปรากฏว่าเหตุการณ์มันก็เกิดขึ้นมา แล้วก็จะนึกได้ว่าอันนี้เราเคยฝัน ?
      ตอบ :  ลักษณะนั้นถ้าเป็นทิพจักขุญาณอย่างอ่อนมันจะเหมือนกับฝันหรือว่าเกิดความรู้สึก อย่างเช่นว่ารู้สึกว่าเพื่อนน่าจะโทรมา พักเดียวโทรศัพท์กริ๊งแล้วอย่างนี้ โบราณเขาเรียกว่าคนอย่างนี้ลางสังหรณ์ดี แต่ความจริงมันเป็นทิพจักขุญาณ เพียงแต่มันขาดการฝึกฝนต่อเนื่ง มันก็เลยไม่ชัดเจนแจ่มใส
      ถาม :  หนูฟังเทปหลวงพ่อคะ ที่เป็นแบบว่าวิชชาสามกับอภิญญาหก หนูมีความสงสัยว่าวิชชาสามนี่อยู่ในระดับล่างของอภิญญาหก ?
      ตอบ :  ต่ำกว่า อภิญญาหกมันจะมีอยู่จุดหนึ่งก็คือ อิทธิฤทธิ์ ตัวนี้จะแสดงฤทธิ์ผาดแผลงได้ทุกอย่างเลยเนื่องจากว่าพื้นฐานของอิทธิฤทธิ์มาจากกสิณสิบ แต่ว่าวิชชาสามนี่พื้นฐานมาจากกสิณกองใดกองหนึ่งกองเดียวคือจะเป็นเตโชกสิณกสิณไฟ โอทาตกสิณกสิณสีขาว อาโลกกสิณกสิณแสงสว่าง กสิณสามกองนี้กองใดกองหนึ่งนี่ทำให้เกิดทิพจักขุญาณได้ พอเกิดทิพจักขุญาณแล้วก็นำไปใช้ในปุพเพนิวาสนุสสติญาณคือระลึกชาตินะวิชาที่หนึ่ง วิชาที่สองจุตูปปาตาญาณ รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหนตายแล้วจะไปไหน และตัวสุดท้ายคืออาสวักขยญาณคือทำกิเลสให้สิ้นไปสามอย่างนี้เขาเรียกว่าวิชชาสาม
              แต่อภิญญาหกนี่ครอบวิชชาสามอยู่หมัดเลย มีอิทธิฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ได้ทุกอย่าง ทิพยโสตหูทิพย์ ทิพจักขุอะไรอย่างนี้แล้วก็ปุพเพนิวาสานุสสติญาณระลึกชาติ จุตูปปาตญาณรู้ว่าคนสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหนตายแล้วจะไปไหน แล้วอาสวักขยญาณทำให้กิเลสสิ้นไปมากกว่าตั้งสาม
      ถาม :  หนูมีความรู้สึกว่ายากมากเลยหนูคงทำ...คงต้องเป็นนักบวชอย่างเดียวคงจะทำได้
      ตอบ :  ไม่หรอกคนทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ ฆราวาสทำได้ง่ายกว่าเพราะว่าศีลน้อยกว่า คนที่รักษาของห้าชิ้นกับคนที่รักษาของสองร้อยกว่าชิ้นนี่ใครดูแลง่ายกว่ากัน ฆราวาสรักษาศีลแค่ห้าข้อทำได้ง่ายกว่า มันอยู่ที่ว่าเราเอาจริงมั้ย ? เรื่องของอภิญญาเป็นเรื่องของคนจริงคนจัง ของคนมีสัจจะทำต้องทำจริง ๆ ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ถ้าหากว่าเราทำอย่างนั้นได้มันได้ทุกคนไม่ใช่นักบวชหรอก นักบวชปัจจุบันนี้สามแสนกว่านี่ทำได้ไม่ถึงพันหรอก
      ถาม :  ฟังแล้วหนูมีความรู้สึกว่ายากมากสำหรับชาตินี้ของหนู
      ตอบ :  เอาเถอะ....ไม่เป็นไรถ้าเกิดบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ง่ายไปเอง
      ถาม :  มีความสงสัยว่าถ้าเอาลูกไปรับยันต์เกราะเพชรนี่เด็กไม่ได้นั่งสมาธินี่....
      ตอบ :  ไม่เป็นไร เพราะว่าถ้าหากว่าเราอยู่ในพิธีด้วยความตั้งใจ ถึงยังไงพระท่านก็สงเคราะห์ให้ ต่อให้ไม่ได้อยู่ในพิธีถ้าหากว่าติดงานติดการแล้วเราอยู่ที่บ้านตั้งใจรับด้วยความเคารพในเวลานั้นก็ได้เหมือนกัน
      ถาม :  อยากจะเปลี่ยนชื่อ หนูเกิดวันพฤหัสค่ะ ?
      ตอบ :  แล้วทำไมจะเปลี่ยน เป็นอะไรเขาก็เรียกชื่อเดิมนั่นล่ะ เชื่อเถอะมันแทบจะไม่มีใครเขาเรียกชื่อใหม่ของเราหรอก ยกเว้นคนที่เพิ่งรู้จักกัน คนที่รู้จักมาแล้วเปลี่ยนเป็ฯอะไรมันก็เรียกชื่อเดิม จริง ๆ ชื่อเสียงเรียงนามนี่มันมาทีหลังคน ตำราการตั้งชื่อมันมาทีหลัง ถ้ามันมีผลต่อคนมากถึงขนาดนั้นบรรพบุรุษของเราก็คงตายหมดแล้ว ไม่เหลือมาถึงเราหรอก อุตส่าห์สืบเผ่าสืบพันธุ์มาถึงเราจนปัจจุบันตั้งห้าหกพันล้านคนแล้ว เพราะฉะนั้นชอบชื่ออะไรก็เอาชื่อนั้นเถอะ ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ถือว่าเป็นมงคลที่สุดแล้่ว
              อาตมาอยู่มาจนป่านนี้ก็เพิ่งจะเจออยู่รายเดียวที่ชื่อมีอิทธิพล เป็นเด็กผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งอายุก็คงราว ๆ ซักสิบห้าสิบหกปี เชื่อมั้ยนว่าตัวเขาเบาจนขนาดเราหิ้วแขนเดียวลอยเลย ผอมกะหร่องมีแต่กระดูก ตอนนั้นหลวงปู่ครูบาธรรมชัยยังอยู่ หลวงปู่ครูบาธรรมชัยเป็นพระดีองค์หนึ่งที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกให้ลูก ๆ ไปหาไปกราบไปไหว้ไปทำบุญกับท่าน หลวงปู่ธรรมชัยท่่านรักษาโรควิธีรักษาโรคท่านตรวจด้วยทิพจักขุญาณคือโรคที่หมอทั่ว ๆ ไปรักษาไม่ได้มักจะไปหาหลวงปู่ หลวงปู่ท่านจะมีสายสิญจน์วางอยู่ในพานพาดมาแล้ว ท่านก็จะจับไว้ พอคนป่วยเข้ามาแตะสายสิญจน์หลวงปู่จะบอกว่าป่วยด้วยโรคอะไร เป็นมากี่ปีกี่เดือนกี่วันต้องรักษาด้วยยาอะไร
              สมัยนั้นถ้าหลวงปู่มาไม่ตรงกับหลวงพ่อก็จะไปหาหลวงปู่เพื่อทดสอบทิพจักขุญาณของตัวเอง ไปถึงโยมเขาแตะก็กำหนดใจจะรู้ว่าเขาป่วยมากี่ปี แต่พอเดือนนี่ชักจะผิดพอวันนี่ไปไกลลิบเลย หลวงปู่ท่านบอกรายละเอียดได้แต่ของเรามันละเอียดขนาดนั้นไม่ได้ มาตอนหลังหลวงพ่อท่านบอกว่าทิพจักขุญาณของหลวงปู่ธรมชัยเยี่ยมที่สุดในยุคนั้น เพราะว่าท่านเกิดมาเพื่อเป็นหมอ เป็นหมอถ้ารู้ไม่ละเอียดรักษาโรคไม่ได้ ในเมื่่อท่านมาเพื่อเป็นหมอ ทิพจักขุญาณต้องเยี่ยมที่สุด เพราะฉะนั้นที่เราผิดแล้วผิดอีกไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ไปลองกับใครไม่ลองไปลองระดับ (หัวเราะ) ปรมาจารย์เลย
              คราวนี้พอเด็กคนนั้นแตะสายสิญจน์ปั๊บหลวงปู่ลืมตาขึ้นมาบอกอีหนูไม่ต้องรักษาหรอกลูกไปเปลี่ยนชื่อซะก็หายเอง ท่านบอกว่าชื่อปัจจุบันนี้ไปตรงกับบรรพบุรุษคนหนึ่งที่ตายมานานแล้ว ผีมันหวงชื่อตายมานานขนาดนั้นแล้วยังไม่ยอมเลิกหวงชื่อตัวเองว่าลูกหลานเอาชื่อมาตั้งตรงกับมัน โกรธ มันก็เลยแกล้งซะจนเป็นอย่างนั้น หมอรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย หาสาเหตุไม่เจอ นั่นแหละในชีิวิตที่อยู่มาจนป่านนี้สี่สิบกว่าปีแล้ว เพิ่งเห็นมีคนเดียวที่ชื่อมีอิทธิพลกับตัว เพราะฉะนั้นของเราอะไรก็ได้ ถ้าอยากได้ชื่อเพราะ ๆ ไปวัดดอนเดินดูทีละป้าย ๆ เดี๋ยวก็ได้เอง