ถาม :  แล้วอย่างถ้าสมมุติว่าปฏิบัติไปได้บารมีค่อนข้างสูงแล้วนี่ การที่มีบุคคลไม่ดีประสงค์ร้ายแล้วอย่างนี้ เจ้าตัวจะรับรู้เองก่อนหรือว่าพระท่านจะสงเคราะห์ให้คะ ?
      ตอบ :  บางทีก็ไม่รู้ยกเว้นว่า เราตั้งใจจะรู้ อย่าลืมว่าแม้กระทั่งพระอรหันต์ระดับพระมหากัสสปะ ยังโดนเทวดาหลอกได้ เพราะท่านไม่ได้ไปตั้งอารมณ์รู้อยู่ตลอดเวลาใช่มั้ย ? เพราะฉะนั้นของเราเองโอกาสที่การจะรู้มันก็น้อยหน่อย แต่ว่าขณะเดียวกันว่าถึงไม่ได้เป่ายันต์เกราะเพชรไปก็ตาม ถ้าเรารักษากำลังใจให้มั่นคงอยู่ในการภาวนา เอาซักปฐมฌานอย่างนี้ พวกไสยศาสตร์ทำอะไรไม่ได้หรอก เพียงแต่ว่าอย่าเผลอให้มันหลุดไปก็แล้วกัน
              ความจริงกำลังมันเกินอุปจารสมาธิที่เขาเรียก อุปจารฌาน ฌานมันใกล้จะเป็นปฐมฌาน เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้แล้ว แต่เพียงแต่มันห้ามเผลอเท่านั้นเอง ใครไม่เคยเป่ายันต์เกราะเพชรไม่ต้องเสียใจ ภาวนานึกถึงพระพุทธเจ้าไว้ตลอดเวลาก็เหมือนกัน เพียงแต่ตลอดเวลามันทำยากหน่อย (หัวเราะ)
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ตอนที่เขาส่งสิ่งไม่ดีมา จะรู้มั้ยคะว่าเป็นหน้าบุคคลไหนเลยรึเปล่า ?
      ตอบ :  คือถ้าตั้งใจจะรู้นะ ถ้าตั้งใจจะรู้ผู้ที่มีทิพจักขุญาณหรือมโนมยิทธินี่จะรู้เลย มีอยู่เที่ยวหนึ่งก็ไม่ได้ตั้งใจซะด้วยซ้ำไป รู้อยู่แต่เราเจ็บจะแย่อยู่แล้ว ก็ตั้งใจจะไปนิพพานคือร่างกายมันจะตาย จะพังก็เรื่องของมันเราไปนิพพานดีกว่ากำหนดใจเอาไว้ แล้วมันไม่ไปนิพพานไปหล่นปุ๊อยู่กลางวงเขาพอดีเลย ไปนั่งดูเขาทำเราเอง เออ....สนุกดี (หัวเราะ) อันนั้นของพระท่านคงตั้งใจสงเคราะห์ให้รู้ว่าใครมันทำก็เลยลงไปดู แหม....มีทั้งนุ่งเหลือง มีทั้งนุ่งขาว มีทั้งนุ่งลาย โอ้โห...คึกคักกันมาก เขาเล่นตั้งสำนักกันขึ้นมาเพื่อเล่นงานเราเลย
      ถาม :  พอดี พอเห็นเขาแล้วไม่ทำอะไร ?
      ตอบ :  ไม่ได้คิดทำอะไรหรอก แต่พอไปเห็นหน้าเขาคน ๆ หนึ่งเข้า แล้วจำได้นะ ก็ไม่นึกว่าเขาจะผูกอาฆาตเอาไว้นานขนาดนั้น มาทวงของเก่าก่อนมาบวช เคยทำให้เขาโกรธ อุตส่าห์คิดถึงเราส่งของฝากมา
      ถาม :  หนูฟังเทศน์ที่พระที่ท่านนับถือครูบาอาจารย์ที่ใครไปนิพพานที่ไม่ถูกอย่างนี้ ท่านชักจูงหรือท่านสอนทางธรรมแล้ว เกิดสมมุติว่าคนฟังแล้วก็คล้อยตาม พระรูปนั้นบาปด้วยหรือเปล่าคะ ?
      ตอบถ้าหากว่าท่านสอนผิดจากที่พระพุทธเจ้าสอน เท่ากับว่าท่านสอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ สอนคนเป็นมิจฉาทิฐินี่โทษสาหัสมาก มีอยู่รายหนึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่น่านับถือทั้งในประเทศ และต่างประเทศด้วย สอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ
              วันหนึ่งกำลังภาวนาตอนเช้าจิตมันหลุด มันลงไปที่โลกันตนรกไปเห็นเข้า เอ๊ะ ปกติแล้วสัตว์นรกมีแต่ผอม ๆ ทำไมรายนี้มันอ้วนแท้ ปรากฏว่าถ้าเขาไม่อ้วนแล้วเราจำเขาไม่ได้ เขาทำให้เห็นลักษณะเดิม แล้วหลังจากนั้นก็แปลกใจเขาตายแล้วหรือ ถึงได้ลงมาอยู่ที่นี่ ปรากฏว่า พอตอนช่วงเช้าออกไปที่หน่วยป่าไม้ หัวหน้าเขาบอกว่าตายแล้ว ของเรามันหมกอยู่แต่ในป่า ข่าวคราวมันก็ไม่มี มันต้องไปถามข้างนอกคนดูหนังสือพิมพ์ ดูโทรทัศน์ เขาบอกว่าตายแล้ว เขายืนยันแต่ว่าตายมา ๓ วันแล้ว เพิ่งจะไปเจอ ตายตั้งแต่วันที่ ๘ นะไปเจอเอาวันที่ ๑๑ โน่นก็สงสัยว่า ทำไมเขาลงถึงโลกันตนรก ปกติอเวจีสำหรับเราก็ถือว่าสาหัสแล้ว โลกันต์นี่มันคูณ ๔ คือโทษ ๔ เท่าของอเวจีถึงได้ลงโลกันต์
              ปรากฏว่าท่านสอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ สอนค้านคำสอนพระพุทธเจ้า คนที่เป็นมิจฉาทิฐิต้องลงอเวจีมหานรกกว่าจะผ่านนรกแต่ละขุม กว่าจะเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน กว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ได้ มันทำให้เขาห่างความดีได้ขนาดนั้นโทษก็เลยสาหัสหน่อย
      ถาม :  แล้วเจ้าตัวเขารู้มั้ย ?
      ตอบ :  เจ้าตัวตอนนั้นรู้แล้ว กำลังรับโทษอยู่ (หัวเราะ) แต่ตอนที่ทำนั่นคิดว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น มันไม่ใช่อย่างนั้น ท่านก็สอนของท่านไปเรื่อย
      ถาม :  แล้วถ้าเปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างพระที่สอนคน คือสอนทางธรรมแล้วคนปฏิบัติหรือว่าไปในทางที่ดี ถือก็ว่าท่านมีบุญบารมีขึ้นด้วยหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วสิ่งที่ท่านทำอยู่ ถ้ารู้จริงสอนถูกต้องส่วนใหญ่จะเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ถ้าสำหรับเป็นพระอริยเจ้าแล้วคำว่า อริยะ แปลว่า เจริญ ไม่มีคำว่าเสื่อม มีแต่จะก้าวหน้าขึ้นไป เพราะอย่างงั้นถ้าถามว่าเป็นบุญมั้ย ? เป็นอยู่จะส่งผลให้ท่านดีขึ้นมั้ย ? ดีขึ้นแน่ ๆ เพราะว่าท่านไม่มีวันเสื่อมแล้ว
      ถาม :  แล้วสมมุติว่า บางคนเขาไม่ตั้งใจถือว่าเป็นกรรมเก่ามั้ย ที่เขา.....?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วมันก็เป็นกรรมเก่าอยู่เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นแล้ว ทำไมเขาที่อื่นเยอะแยะไปที่เราคิดว่าดี?ทำไมเขาไม่ไปเขาเลี้ยวเข้าไปในสำนักอย่างงั้น ก็คงจะเคยสร้างบารมีร่วมกันมา แต่ว่าไม่แน่นะบางรายอย่างพระสุธรรมเถร บาลีเขาเรียก ตุจโฉโปฏฐิละเถรใบลานเปล่า คือ ตัวเองไม่ได้อะไรสอนตามพุทธวัจนะเฉย ๆ ลูกศิษย์กลายเป็นพระอรหันต์เป็นพัน ๆ เลย ลูกศิษย์ฉลาดสอนตรงตามพระพุทธเจ้าสอนก็ทำตามนั้นก็ได้ แต่อาจารย์ไม่ได้อะไรเลย เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าท่านก็เรียกเถรใบลานเปล่า นี่เป็นกุศลโลบายอย่างหนึ่งให้รู้สึกตัว
              ก่อนนั้นก็ยิ้มรับนะไป ๆ มา ๆ เอ๊ะทำไมพระพุทธเจ้าเรียกเราอย่างนี้ นึกไปนึกมา อ๋อ..ที่แท้เราเองดีแต่สอนคนอื่นเขา เหมือนยังกับเปิดตำราเปิดใบลานสอนอย่างนี้ แต่ว่าตัวของเราเองไม่ได้มีความดีอะไรตามนั้นเลย ก็เหมือนกับใบลานเปล่า ตั้งใจจะปฏิบัติไป ขอให้ลูกศิษย์ที่เป็นพระอริยเจ้า คือพระอรหันต์แล้วสอนไม่มีใครกล้าสอน ท่านก็ต้องขอไล่ไปเรื่อย ๆ เขาโบ้ยไปเรื่อย ๆ ไปจนถึงเณรองค์สุดท้ายโน่น เณรก็เป็นอรหันต์แล้ว เณรเหลียวไปมองเอ้า...ไม่มีใครจะให้โบ้ยแล้วก็เลยต้องรับเป็นอาจารย์...(หัวเราะ)...
              เสร็จแล้วท่านก็กลายเป็นพระอรหันต์ได้ ถึงเณรสอนก็เถอะใช่มั้ย ? เพราะว่าสามเณรอรหันต์ คำว่าพระอรหันต์นี่ถือเป็นผู้ใหญ่ พระพุทธเจ้าเรียกเป็นพระเถระ ไม่มีคำว่าเด็กแล้วนะ ตัวนี้แหละโบราณเขาเคยผูกเป็นโคลงเอาไว้ว่า “ปลูกเรือนใกล้ท่า ไม่มีน้ำจะกิน ช่างปั้นหม้อดินไม่มีหม้อจะใช้ เลี้ยงไก่ไว้ไม่มีไก่จะขัน ถ้าอยากไปสวรรค์ให้ไปแก้ผ้าในวัด” ปลูกเรือนใกล้ท่าไม่มีน้ำจะกิน นั่นมันขี้เกียจขนาดไหน ปลูกอยู่ริมน้ำแท้ ๆ ไม่มีน้ำจะกิน ช่างปั้นหม้อดินไม่มีหม้อจะใช้ ถ้ามันขยันซะอย่างน้อย ๆ มันต้องมีแน่ ก็เปรียบหยั่งกับนักบวชของเราเป็นพระเป็นเณร มัวแต่ขี้เกียจอยู่หาความดีไม่ได้จะไปเอาน้ำที่ไหนกิน จะเอาหม้อที่ไหนใช้ เลี้ยงไก่ไว้ไม่มีไก่จะขัน ชาวบ้านอุตส่าห์บำรุงเลี้ยงเราอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนหยั่งกับเลี้ยงไก่หวังจะให้ขันบอกโมงยาม บอกหนทางไปสวรรค์บอกอะไรบ้าง ไม่ได้ศึกษาความรู้อะไรเลย จะเอาอะไรไปขันไปสอนเขา แล้วท่านก็บอกอยากไปสวรรค์ให้ไปแก้ผ้าในวัด ในสมัยโบราณนี่พวกคัมภีร์เทศน์อะไรต่าง ๆ เขาห่อผ้าเอาไว้ เพราะฉะนั้นต้องตั้งหน้าตั้งตาศึกษาถ้าไม่แกะออกมาดูไม่ได้อ่านมันก็ไม่ได้ทำซักที
              โบราณเขาผูกเป็นปริศนาเอาไว้ บางคนตีไม่ออกอยากไปสวรรค์ไปแก้ผ้าในวัด มันขืนไปแก้กันเป็นแถว พระเป็นตากุ้งยิงแน่ ๆ เลย เข้าใจใช่มั้ย ปลูกเรือนใกล้ท่าไม่มีน้ำกิน นี่ขี้เกียจสุด ๆ เลยคนบ้านเขาไกลห่างน้ำหลายกิโล เขายังอุตส่าห์ไปตักไปแบกมากินนะ ช่างปั้นหม้อดินไม่มีหม้อจะใช้ เลี้ยงไก่ไว้ไม่มีไก่จะขัน ถ้าอยากไปสวรรค์ให้ไปแก้ผ้าในวัด...(หัวเราะ)....
              ปริศนาธรรมโบราณเขาลึกซึ้ง โดยเฉพาะเลี้ยงไก่ไว้ไม่มีไก่จะขันนี่ ชาวบ้านเขาคงละอายใจเต็มที่แล้ว เลี้ยงอยู่ตลอดเวลาแต่หาความดีไม่ได้ สักแต่ว่าห่มผ้าเหลืองไปวัน ๆ ท่านถึงได้เปรียบว่า เอาผ้าเหลืองไปห่มตอซะยังดีกว่า ไหว้ตอไม้แล้วนึกถึงพระพุทธเจ้า เห็นผ้าเหลืองเป็นธงชัยพระอรหันต์ได้บุญมากกว่า

      ถาม :  พระปางอันนี้กับอันนี้ต่างกันยังไง ?
      ตอบ :  เขาเรียงปางปฐมเทศนา ปางปฐมเทศนาจะเป็นตอนที่ท่านโปรดปัญจวัคคีทั้ง ๕ จะสังเกตว่า รูปพระสงฆ์ที่ฐานจะมีแค่ ๕ องค์ ซึ่งปกติถ้าเราทำจะต้อง ๒ ข้างเท่ากัน อันนี้ข้างหนึ่ง ๒ ข้างหนึ่ง ๓
              คือว่า สมัยแรก ๆ แล้วการสร้างรูปเคารพในพุทธศาสนาก็จะส่วนใหญ่จะสร้างเป็นธรรมจักรเฉย ๆ มายุคหนึ่งที่ว่า ทางกรีกเขาเรืองอำนาจขึ้นมามาก พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ตีเข้ามาถึงเอเชียไมเนอร์ ได้อินเดีย ได้อะไรเป็นเมืองขึ้นหมดแล้ว ก็มาถึงยุคหลัง ๆ อย่างพระยามิลินทร์เขาเรียก เมนันเดอร์ เขาเคารพพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก
              คราวนี้ตามแบบของกรีกของฝรั่งเขาเคารพใครนับถือใคร เขาจะสร้างอนุสาวรีย์ เมื่อมาเคารพพระพุทธเจ้า ก็อยากจะสร้างรูปเคารพขึ้นมาบ้าง ก็เริ่มสร้างเป็นพระพุทธรูปขึ้นมา ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่าพระพุทธรูปในยุคแรกที่เขาเรียกว่า ปางคันธารราษฎร์ คือยุคกรีก หน้าตาจะออกเป็นฝรั่ง อันนี้ที่เขาเรียกคุปตะ จะเป็นยุคหลังมา ก็จะประกอบไปด้วยธรรมจักร กวางหมอบอะไรเหล่านี้เป็นต้น
      ถาม :  ..................................
      ตอบ :  ถ้าหากว่าถามว่าเรียกยุคไหนสมัยไหน เขาเรียกว่า “สมัยคุปตะ” แล้วพวกยุคแต่ละยุคที่เขาแบ่ง ๆ มันก็จะมีอย่างปัลลวะ นี่จะเป็นมอญโบราณ แล้วก็ทวาราวดี ทรวาราวดีนี่สังเกตได้ว่าพระจะคิ้วต่อแล้วก็โอษฐ์แบะ แล้วถ้าหากว่าเป็นพระยืน ชายจีวรจะเป็นรูปตัวยู จำได้ง่ายมาก แล้วก็จะมาเป็นเชียงแสน เป็นสุโขทัย อู่ทอง อยุธยา แล้วก็ยังมีศิลปะที่อออกไปทางพวกขอม
              ถ้าหากว่าพวกขอมนี่ก็จะมีลักษณะทรงเครื่องที่เขาทรงเครื่องสวมศีรษะที่เรียกว่า “เทริด” จะเป็นลักษณะเหมือนกับมงกุฎทรงเตี้ย ๆ อยู่หรือลักษณะบางทีเหมือนกับหมวกซะด้วยซ้ำไป ก็ค่อย ๆ แยกค่อย ๆ จำไป จริง ๆ แล้วก็คือพระพุทธเจ้าองค์เดียว เพียงแต่ว่าใครมีประเพณีความเชื่อถืออย่างไร หรือว่าเห็นว่าอย่างไหนสวยก็ทำอย่างนั้นขึ้นมา
      ถาม :  แล้วท่าทางของแต่ละองค์ที่ปรากฏนี่ใครเป็นคนกำหนดครับ ?
      ตอบ :  ลักษณะที่เขาคิดว่าในตอนนั้นพระพุทธเจ้าทำท่าทางอย่างนั้น ๆ แล้วเขาชอบแบบนั้น เขาก็ทำขึ้นมา เช่นว่า ปางลีลา ต้องเดินย่างบาทนำไปข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งกำลังยก ยกประเภทเผยส้นพระบาทขึ้นมาอย่างนี้ แล้วก็ยกมือปางประทานพรข้างหนึ่งแกว่งแขนข้างหนึ่ง อะไรเหล่านี้เป็นต้น
      ถาม :  คนที่ปั้นหล่อพระนี่ถ้าทำไม่ถูกส่วนหรือผิดไปนี่ถือว่าเป็นการปรามาสมั้ยคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วเขาทำโดยเจตนาดีนี่บุญเป็นของเขานะ แต่คราวนี้ถ้าหากว่าไม่ดีไม่งามอาจจะเกิดแบบนางปัญจปาปา นางปัญจปาปานี่แกทำบุญตอนกำลังโกรธ เกิดมานี่เนื้อเป็นทิพย์ใครจับหลงแกทุกราย แต่หน้าตาแกดูไม่ได้เลย ถ้าคนไม่ไปแตะตัวแกซะก่อนนี่ไม่อยากมองเลย มันก็ในลักษณะนั้น บุญมากแต่ว่าบางทีหากไม่ดีไม่งาม ถึงเวลาได้ของอะไรมาอาจจะไม่น่าดู แต่ว่าใช้งานได้ดีมาก
      ถาม :  ถ้าการปฏิบัติธรรมที่เราคิดจะหนีกรรม ทีนี้ถ้าสามารถปฏิบัติได้ถึงให้เข้าสู่พระนิพพานแล้วนี่ แสดงว่ากรรมนั้นไม่ได้ถูกชดใช้เลยใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  ไม่ได้ใช้เลยเขาเรียก อโหสิกรรม คือต้องขาดกันไปโดยอัตโนมัติเลย เพราะอีกผู้หนึ่งบริสุทธิ์จนกระทั่งพ้นเขตของกรรมไปแล้ว กรรมไม่สามารถส่งผลให้ได้เขาเรียก “อโหสิกรรม” คราวนี้ว่าการปฏิบัติเพื่อหนีกรรมนี่ ถ้าเรามั่นคงในทาน ศีล ภาวนาจริง ๆ กฎของกรรมตามได้ไม่เกิน ๒๕% อันนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้เองนะ เพราะฉะนั้นโดยเฉพาะตัวภาวนาทำให้มากเข้าไว้ กำลังยิ่งสูงเท่าไหร่ บุญก็จะส่งให้เราห่างกรรมออกไปมากเท่านั้น
      ถาม :  การปฏิบัติทาน ศีล ภาวนา ตรงนี้ปฏิบัติได้ยังไงบ้างเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ทาน ศีล ภาวนา ทานอยากจะให้อะไรบ้างล่ะ ....(หัวเราะ) ทานก็เริ่มดู ก็จะมีวัตถุทาน ธรรมทาน อภัยทาน เลือกเอา แล้วก็ศีล ๆ อันนี้ก็คือรักษาตัวเองอย่าให้ศีลขาด เมื่อศีลไม่ขาดแล้วก็อย่ายุให้คนอื่นทำด้วย แล้วก็เห็นคนอื่นทำก็อย่ายินดีด้วย ส่วนของการภาวนาก็ว่าไปเลยอย่างน้อย ๆ ให้ได้ปฐมฌานเอาไว้ ถ้าสามารถทรงฌานไว้แล้วไม่ทิ้งทำอยู่ประจำ ๆ นี่ตัวกรรมมันจากหนักมันก็เป็นเบา คือมันจะตามเล่นงานเราได้ยากขึ้น เพราะกำลังเราสูงซะแล้ว
      ถาม :  คนที่ปฏิบัติที่มีการปฏิบัติอยู่ตลอดเวลานี่ ....(ไม่ชัด)...จะมากกว่าคนทั่วไปใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  ก็ไม่แน่เหมือนกันปฏิบัติอยู่ตลอดเวลานี่แต่ฟุ้งซ่านก็ไม่เอาไหนอยู่นะจ๊ะ ท่านหมายความว่ากำลังใจของเขาถ้าต้องมุ่งตรงแล้วต้องเป็นหนึ่งแล้ว ลักษณะเหมือนท่อน้ำท่อหนึ่ง ถ้าหากว่ามันแตกแขนงออกมากมายเท่าไหร่ก็ตาม กำลังน้ำที่มันจะมุ่งตรงไปมันก็เบาลงเท่านั้น ใช้งานได้ยาก
              แต่ถ้าเราปิดท่อที่แตกแขนงออกไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ กำลังน้ำมันก็จะแรงขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเต็มกำลังของมันลักษณะเดียวกับเราสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านี้เป็นต้น ถ้าหากว่าไม่เปิดช่องให้มันแลบออกไปข้างนอกได้ กำลังมันรวมตัว พอการตัดกิเลสต่าง ๆ มันก็ง่ายขึ้น
      ถาม :  อย่างนี้พูดง่าย ๆ คือการรักษาให้มั่นคงใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  จ้ะ รักษาให้มั่นคงมันไม่ยาก มันยากตรงทำให้ต่อเนื่อง เพราะว่ากำลังใจของเราอย่างฌานโลกีย์พอเรารวมกำลังใจได้มันก็มั่นคง ทรงฌาน ๔ ก็ทรงเป๋งเลย
              แต่ทำอย่างไรที่เราจะรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องยาวนานได้ตรงนี้สำคัญกว่า ส่วนใหญ่พวกเราจะประสบปัญหาก็คือว่า พอเลิกภาวนาก็เลิกเลยมันใช้ไม่ได้ เพราะว่าอันนั้นมันจะเท่ากับว่าหากินทีละมื้อ ตำข้าวสารกรอกหม้อเฉย ๆ พอเราลุกขึ้นต้องรักษาอารมณ์ตอนนั้นให้อยู่กับเราให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เพื่อให้จิตมันชินกับการที่กิเลสหรือว่านิวรณ์โดนกดเอาไว้ก่อน จนกว่าเราจะละมันได้เอง ถ้าเรากดมันไว้จนชินมันมีสิทธิ์ที่จะบรรลุมรรคผลได้เรียกว่า บรรลุโดยเจโตวิมุติ คือใช้กำลังใจข่มเอาไว้
              เขาเปรียบเหมือนเอาหินทับหญ้าทับนาน ๆ เข้าหญ้ามันตายไปเอง เพราะเราเองต้องพยายามทับหญ้ามันไว้ให้ยาวนานที่สุดเท่าที่เราทำได้ ไม่ใช่ลุกขึ้นแล้วเลิกเลยนะ
              ตัวรักษาอารมณ์ต่อเนื่องสำคัญที่สุดในการปฏิบัติ จะก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้าอยู่ตรงนี้แหละ ถ้าเราไม่รักษาให้ต่อเนื่องไม่หมั่นพิจารณาดูว่า เหตุอะไรที่ทำให้ใจของเราสบายแล้วทำเหตุนั้น เหตุอะไรที่ทำให้ใจเราไม่สบายแล้วละเหตุนั้นเสีย ถ้าเราไม่รู้จักเลือกหาตรงจุดนี้แล้วรักษาอารมณ์เราให้ต่อเนื่องในด้านดีเอาไว้ มันจะก้าวหน้าลำบาก จะสงสัยว่า เอ๊ะ ! ทำเท่าไหร่ ๆ มันก็ได้แค่นั้น ก็เราทำแค่นั้นมันไม่ทำให้เยอะกว่านั้นนี่
      ถาม :  เรียกว่าล้มเหลวได้มั้ยคะ ?
      ตอบ :  จะเรียกว่าล้มเหลวก็ได้ แต่จริง ๆ มันยังได้อยู่คือ ได้ทำ (หัวเราะ) ได้ทำนี่เหนื่อย แต่งานมันได้น้อย