ถาม :  คนที่เข้านิพพานไปแล้วเขายังมีหน้าที่อยู่อีกหรือ ?
      ตอบ :  มีงานที่ต้องทำอยู่ ที่จริงแล้วมันไม่ใช่งานของท่านหรอก แต่ว่าเป็นการสงเคราะห์ผู้อื่น บุคคลที่เข้านิพพานนี่ตัวบารมีทุกอย่างต้องเต็ม โดยเฉพาะเมตตาบารมีใช่มั้ย ? ถ้าเห็นคนอื่นเขาลำบากอยู่ถ้าสามารถสงเคราะห์ได้ก็สงเคราะห์เลย เท่ากับว่ามีงานที่ยังต้องทำอยู่ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่งานของท่านนะ มันเป็นงานเพื่อคนอื่นล้วน ๆ
      ถาม :  แล้วอย่างเทวดากับพรหมนี่ท่านมีอารมณ์จิตเหมือนกันมั้ยคะ ?
      ตอบ :  ไม่เหมือนกันจะหยาบละเอียดปราณีตต่างกันไป แล้วอย่าไปคิดว่าพรหมดีกว่าเทวดา ถ้าเทวดาท่านเป็นพระอริยเจ้าแล้ว พรหมไม่ใช่พระอริยเจ้านี่ กำลังใจของเทวดาก็ดีกว่า
      ถาม :  ในตำหน่งนี่พรหมสูงกว่าไม่ใช่เหรอคะ ?
      ตอบ :  คือโดยความหมายของเราสูงกว่า เพราะพรหม คือพรหมจรรย์ ผู้ที่จะเข้าถึงความบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง แต่ว่าผู้ที่เป็นเทวดาที่ท่านเข้าถึงความดีแต่ท่านไม่ได้ตั้งใจที่จะไปให้มากกว่านั้น อย่างเช่น หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเคยพบภูมิเทวดานี่ถือว่าเป็นเทวดาชั้นต่ำสุด แต่ท่านเป็นพระอนาคามี ปกติพระอนาคามีต้องอยู่สุทธาวาสพรหมชั้นใดชั้นหนึ่ง คือพรหม ๕ ชั้นสูงสดุตั้งแต่ ๑๒ ขึ้นไป ๑๒ ถึง ๑๖ เป็นพรหม อนาคามี อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อสัญญี อกนิฏฐะ สุทธา วาสพรหม
      ถาม :  อย่างท่านก็ไม่ได้เป็นพรหมหรือว่าไม่ได้ตายในฌาน
      ตอบ :  ไม่ใช่ ตั้งใจจะไปแค่นั้น
      ถาม :  การปฏิบัติต่อในขณะที่อยู่ในชั้นนั้นนี่ จะดีกว่าปฏิบัติตอนที่อยู่เป็นคน ?
      ตอบ :  ดีกว่าแน่ ๆ เพราะศีลไม่ขาด แต่มันช้ามากที่ช้ามากเพราะว่าเปรียบกับมนุษย์นี่มันยาวนานเหลือเกิน ศีลจะให้ท่านถือกี่ข้อไม่มีขาดอยู่แล้ว ใช้สภาพความเป็นทิพย์นี่รักษาได้ครบถ้วน ต่อให้ถือศีล ๒๒๗ ของพระบวกกับอภิสมาจารย์ไปด้วย ท่านก็รักษาได้ครบถ้วน แต่ว่ามันช้าเพราะเวลาของท่านเปรียบกับเราแล้วเวลามันยาวนานเหลือเกิน
      ถาม :  อย่างถ้าคนที่ตาย ถ้าตายด้วยอุบัติเหตุ กับตายด้วยโรคนี่มีกรรมอันไหนหนักกว่ากันคะ ? เพราะว่าตายด้วยโรคนี่รู้สึกจะทรมานกว่าด้วยอุบัติเหตุนะคะ ?
      ตอบ :  มันจะกรรมหนักกรรมเบาอะไรก็ตาม ต้นกรรมมันใช้หนี้ในนรกไป แล้วอันนี้มันแค่เศษเท่านั้น ขนาดเศษ ๆ นี่ล่อซะเละ บางคนไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลย (หัวเราะ) รถชนที่หลุดเป็นท่อน ๆ เป็นชิ้น ๆ ก็มี เพราะฉะนั้นถามว่าอันไหนหนักกว่า มันก็ต้องดูสภาพของเขา อันไหนทุกข์ทรมานนาน อันนั้นก็หนักหน่อย ไอ้ตูมเดียวถึงหลุดเป็นชิ้น ๆ นั่นมันตายเลย ไม่ทรมานมาก
      ถาม :  งั้นเวลาที่บางคนก็เป็นโรคตาย แต่ก่อนที่จะตายอาการดีขึ้นมาหน่อยแล้วก็ตายเลย
      ตอบ :  หมดสติสุดท้ายตัวจะหลุดออกไปแล้ว กำลังใจทั้งหมดมันจะทรงตัวตั้งมั่นขึ้นมานิดหนึ่งที่ลักษณะถ้าหากว่าเปรียบกับพระอริยเจ้า ซึ่งจริงๆ แล้วมันคนละแบบกัน แต่ว่ามันใกล้เคียงกันก็คือ ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ผู้ที่บรรลุมรรคผลสวยที่สุดในวันที่บรรลุมรรคผลวันหนึ่ง กับวันที่จะตายวันหนึ่ง ๒ วันในลักษณะเดียวกันก็คือว่า ความผ่องใสมันปรากฏขึ้นชั่วขณะหนึ่ง
              อันนั้นก็ได้สติขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง ถ้าตอนนั้นมีใครแนะนำในสิ่งที่ดี ๆ ให้ยึดให้เกาะมันก็สบายไปเลย โบราณเขาถึงได้สอนให้กรอกหูคนป่วยใกล้ตายว่าพระอรหัง ๆ หรือว่าพุทโธ ๆ
      ถาม :  แล้วถ้าช่วยเขาในตอนวาระนั้น แต่ถ้าสมมุติเป็นไปได้มั้ยคะว่า เขาจะนึกตามได้ทุกคน ?
      ตอบ :  น้อยมาก ถ้าหากว่าไปยึดกับเวทนา ความเจ็บ ความปวดบางทีที่เราพูดไป เขาไม่รู้เรื่องเลยซะด้วยซ้ำไป ลักษณะที่หลวงพ่อสำราญท่านเคยเทศน์ไง คนมันหาปลามาตลอดชีวิตก่อนตายเกิดอาการเจ็บป่วยเวทนากล้ามาก พวกก็ไปแนะนำ เฮ้ย...อรหัง ๆ แล้วก็บอกว่า ไอ้โดท่องคำว่าอรหังไม่ได้ คิดแต่ปลาชะโดพอเพื่อนบอกพุทโธ เพื่อนบอกไอ้ช่อนไปคนละเรื่องเลย คือจิตมันไปเกาะทางด้านโน้นซะแล้ว ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ไม่พ้นอบายภูมิหรอกเสร็จแน่ ๆ เลย
      ถาม :  ที่พูดมานี่ ถ้าเกิดเราคิดขึ้นมาว่า ทุกครั้งเราพยายามไม่ประมาท พอถึงจุดสุดท้ายนี่ความรู้สึกตัว ความรู้สึกนึถึงพระรัตนตรัยอยู่ อย่างยกตัวอย่างกรณีที่ผ่านมา ความรู้สึกกลัวตาย
      ตอบ กลัวตายมันมีทุกรูปทุกนาม แต่เพียงแต่ว่ากลัวอย่างมีสติหรือกลัวอย่างขาดสติ เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างสติของเราให้มั่นคง ที่ท่านสอนให้ภาวนาก็เพื่อจุดนี้ พอสติมันมั่นคงความกลัวยังมีอยู่แต่ประเภทที่ว่ามัน ๆ พร้อมที่จะตาย ในเมื่อแก้ไขทุกวิถีทางแล้วไม่สามารถจแก้ได้ เราก็รู้อยู่แล้ว่าตายแล้วไปดีสติสมบูรณ์ไปเกาะความดีอยู่
      ถาม :  ....................
      ตอบ ถ้าจิตเกาะความดีไปดีเลย ถ้าจิตเกาะสิ่งไม่ดีก็ไปไม่ดีเลย ต่อให้ทำบุญเก่ามามากแค่ไหนแต่ถ้าก่อนตายเกาะด้านไม่ดี ก็เสร็จต้องไปรับส่วนที่ไม่ดีก่อน แล้วทำความชั่วมาหนัก ๆ อย่างมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรอย่างนี้ นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนตายหน่อยเดียวก็ไปรับผลของความดีก่อน
              แต่บางคนว่าไม่ยุติธรรมเพราะว่าทำความชั่วมาตลอด แล้วทำไมอยู่ ๆ ก็ขึ้นไปเป็นเทวดาอยู่ข้างบน ความจริงยุติธรรมมาก ท่านทำความดีนิดเดียวท่านก็ได้นิดเดียว อีกไม่กี่วันก็จะจุติอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้อากาสจารีเทพบุตรไปเจอเข้าก็เจ๊งเลย เพราะท่านต้องลงนรกทุกขุม ยังดีนะบุญเก่าตามทัน
      ถาม :  ..........(ไม่ชัด)..........ตอนก่อนตายนึกถึงความดีนิดเดียว ?
      ตอบ :  คือมันไปแป๊บเดียว ทำนิดเดียวก็ไปแป๊บเดียว ถ้าไม่ต่อบุญตัวเองตรงนั้นเจ๊งเลย
      ถาม :  ต้องต่อบุญไปเรื่อย ๆ ใช่มั้ย ?
      ตอบ :  ใช่ หนีให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ พลาดเมื่อไหร่ของเก่ามันทวงหมด ถ้าไม่ใช่พระอริยเจ้านี่มีสิทธิ์โดนทวงคืนได้ทุกเวลา ถ้าเป็นพระอริยเจ้าแล้วเขาทวงได้แค่เศษกรรม เพราะว่าอบายภูมิ ๔ ปิดไปแล้ว

      ถาม :  ที่อ่านเจอในหนังสือ หมายความว่าเราขึ้นไปอยู่ข้างบนแล้ว ยังแค่เทวดา แค่พรหม ไปอ่านเจอว่าข้างบนก็ต่อไปได้อีกเหรอ ?
      ตอบ :  ได้อยู่ ถ้าทำความดีอย่างที่บอกไง เทวดา พรหมนี่ ศีลทุกข้อท่านรักษาได้หมด ให้รักษาเยอะแค่ไหนท่านก็รักษาได้ ในสภาพความเป็นทิพย์สติท่านรู้รอบกว่าเรามากเหลือเกินใช่มั้ย ?
              เพราะฉะนั้นท่านทรงศีลปกติอยู่แล้ว ทำความดีข้างบนมันทำง่ายกว่าเพียงแต่ระยะเวลามันยาวมาก ก็เลยมีหลายท่านที่ยอมเสี่ยงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมุษย์นี่ไม่รู้ว่ามันจะขึ้นหรือจะลง ถ้าพลาดแล้วกรรมเก่ามันชักแล้วมันลง แต่ท่านก็เสี่ยงลงมา เพราะว่าอายุมนุษย์มันน้อย เทียบกับเทวดา เทียบกับพรหมแล้วมันแป๊บ ๆ ของท่านเอง
      ถาม :  อย่างรู้จักเด็กคนหนึ่งที่ลพบุรี เขามีความรู้สึกว่าเขาไปสูงกว่าผม ไปไกลกว่าผม แต่ว่าทำไมเขายังอยากที่จะเกิดอยู่ ยังอยากที่จะเกิดอยู่กับในโลกปัจจุบัน ?
      ตอบ :  กำลังใจมีอยู่ ๒ ประเภท ๆ หนึ่งเรียกว่าพระโพธิสัตว์ อีกประเภทหนึ่งก็คือ สาวกภูมิ สาวกภูมินี่ถ้าหากว่าเป็นพระโพธิสัตว์นี่ท่านละความปรารถนาแล้ว จะตั้งหน้าตั้งตาทำความดีจนเข้าถึงที่สุดไปเลย ท่านที่อยากเกิดอีกส่วนใหญ่จะเป็นพระโพธิสัตว์ยังมีภาระหน้าที่ที่ท่านจำเป็นต้องทำอยู่ ท่านขอเกิดใหม่ ฉะนั้นถึงกำลังใจท่านจะสูงกว่าก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะไปนิพพานเลย
      ถาม :  แล้วอย่างนี้มันก็น่าแปลกใจ อยู่ในลักษณะนี้ไปนิพพานได้ แต่หมายความไม่ยอมไป ?
      ตอบ :  คือถ้าไป เขาไปได้ง่ายกว่าเรา แต่ว่าของเขาเองจริง ๆ แล้วส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยเมตตามาก ตั้งใจจะสงเคราะห์คนอื่นเขาอย่างพระอษิติครรภโพธิสัตว์นั่นคนจีนเรียก ตี่จั๊งผู้สัก ท่านอธิษฐานไว้ ว่าถ้าตราบใดที่อบายภูมิยังมีดวงจิตเหลืออยู่แม้แต่ดวงเดียวท่านก็จะยังไม่ยอมเข้านิพพานจะสงเคราะห์ก่อน ก็เลยไม่เห็นที่สุดเลยว่าองค์นี้ท่านจะไปนิพพานเมื่อไหร่ เพราะในอบายภูมินี่มันเหลือคณานับ
              อันนี้ส่วนใหญ่แล้วท่านประกอบไปด้วยเมตตามากเหลือเกิน ในเมื่อเมตตามากเหลือเกินเราไม่ต้องไปแปลกใจหรอก สิ่งที่สมควรแท้ ๆ ท่านเองท่านกลับคิดว่ามันจะเป็นการเอาตัวรอดคนเดียว ท่านก็คิดจะช่วยคนอื่นให้รอดด้วย
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ ฟังแล้วมีหลายดวงจิตที่คิดอย่างนี้เหมือนกัน ก็เหมือนกับว่าต้องแข่งกัน ?
      ตอบ :  ก็อย่างนั้น ถึงได้มีลำดับของการบรรลุ ตรัสรู้ก่อนหลังกัน แล้วทำไมต้องเป็นพระศรีอริยเมตไตรย ทำไมไม่เป็นองค์อื่น อย่างนี้ก็มีก่อนมีหลังตามลำดับการสร้างบารมีมา แต่ว่าบางองค์ถึงสร้างก่อนก็ตาม แต่ว่ากำลังใจมันหย่อนยานไปหน่อยก็บรรลุทีหลังก็มี
      ถาม :  ที่ท่านเกิดมาสงเคราะห์คนนี่ อารมณ์ของรัก โลภ โกรธ หลง จะยังมีอยู่รึเปล่าคะ ?
      ตอบ :  มีเต็ม ๆ เลยจ้า เพราะท่านไม่ใช่พระอริยเจ้า จนกว่าจะชาติสุดท้ายที่ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้นถึงจะบริสุทธิ์เป็นพระอรหันต์ไป
      ถาม :  อย่างนี้เรียกว่าพลาดได้เหมือนกันใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่เรียกว่าพลาดได้เหมือนกัน มีโอกาสพลาดได้เกิน ๑๐๐ % (หัวเราะ) แต่ว่าท่านยอมเสี่ยงเพื่อความสุขของชนหมู่มาก เพื่อความสุขของส่วนรวมแล้วท่านเห็นแล้วว่ามันคุ้มค่าท่านก็เสี่ยงตัวเอง จะลำบากแค่ไหนไม่ว่าถ้าส่วนรวมมีความสุข
      ถาม :  ที่คนที่ท่านสงเคราะห์นี่ ส่วนใหญ่แล้วจะต้องเคยมี ....?
      ตอบ :  ก็เคยอธิษฐานตามกันมา เคยต้องการจะเป็นบริวารท่านมา
      ถาม :  แล้วอย่างถ้าสมมุติว่าถ้าเขาภาวนา พยายามให้มีสติรับรู้ บางทีภาวนาจนไม่รู้ว่าภาวนา แล้วก็ไปคิดอีกเรื่องแล้วกลับมาภาวนาถือว่าทำสมาธิไม่ดีหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ช่วงนั้นก็เป็นอันว่าสมาธิขาดช่วงลง พอรู้ตัวเมื่อไหร่แล้วให้รีบทำต่อไม่ให้ดึงไปไกลนี่ใช้ได้อยู่นะ เผลอแล้วดึงกลับ เผลอเมื่อไหร่ดึงกลับ เดี๋ยวพอไปนาน ๆ มันเป็นมหาสติมันก็จะไม่เผลออีก
      ถาม :  แล้วตอนมันกลับมามันต่อด้วยสมาธิ บางทีเราไม่รู้ตัว ทำไมถึงอารมณ์มันภาวนาอยู่ได้ ?
      ตอบคืออารมณ์จิตมันมีสภาพจำ พอถึงเวลาแล้วมันทำงานอัตโนมัติ มันทำของมันเองได้แต่ว่า ถ้าจะให้ดีเอาสติกำกับให้รู้ตลอดเอาไว้มันจะได้ไม่พลาด ลักษณะนั้นโอกาสที่พลาดยังมี เกิดกำลังคิดไม่ดีอยู่ตายตอนนั้นยุ่งเลย
      ถาม :  แล้วที่เคยฟังเทปนะคะ อย่างคนที่ถ้าสมัยก่อนได้รับการเป่ายันต์เกราะเพชรหลวงพ่อฤาษีค่ะ ทีนี้โอกาสที่จะโดนสิ่งที่ไม่ดีมาเข้าตัวโดยคนปรารถนาไม่ดีส่งของมาให้
      ตอบ :  ถ้าประมาทก็มีโอกาสโดน ยันต์เกราะเพชรจำเป็นต้องอาราธนาทุกวัน แล้วก็ต้องรักษาศีลให้ได้ ถ้าศีลขาดเช่นว่า กินเหล้าหรือลักขโมย ยันต์เกราะเพชรจะเสื่อม
      ถาม :  แล้วเพราะเหตุใด เฉพาะ ๒ ตัวนี้ทำให้เสื่อม แล้วศีลข้ออื่นไม่ทำให้เสื่อมด้วยหรือคะ ?
      ตอบ :  ครูบาอาจารย์ท่านกำหนดเอาไว้เพราะว่า ศีล ๒ ข้อนี้มันเป็นต้นเหตุของการเบียดเบียน กินเหล้าเบียดเบียนตัวเอง ลักขโมยเบียดเบียนผู้อื่น ทั้งตัวเองและผู้อื่นแล้วโดยเฉพาะตัวศีลข้อกินเหล้านี่มันจะทำให้ศีลอีก ๔ ข้อทรงตัวอยู่ไม่ได้ พอเมาไปแล้วมันขาดสติ พอขาดสติอีก ๔ ข้อมันขาดตามไปได้สบายมากเลย ครูบาอาจารย์ท่านกำหนดมาไว้อย่างนั้น ในเมื่อกำหนดมาไว้อย่างนั้น พระหรือเทวดาที่ท่านสงเคราะห์ ในเมื่อละเมิดในข้อที่เรากำหนด ท่านก็เลิกให้การสงเคราะห์มันก็เท่ากับว่ายันต์เกราะเพชรอันนั้นเสื่อมลงไป