ถาม : อยู่ตามที่ทำงานแล้วมันบากค่ะ
ตอบ : ลำบากนั่นไม่มีปัญหา เราไปแค่กรอบของศีลบ้าตามเขาได้ทุกเรื่องเลย คนที่บ้าอย่างมีสติมันทำได้ดีกว่าเขานะ มันก็เหมือนกับคนเมาดิบ คนเมาดิบนี่ท่ามันหนักกว่าคนเมาจริงเยอะเลย เสียงก็ดังกว่าเขา เราอาศัยศีลเป็นกรอบเราไปแค่กรอบของศีล ไปอย่างมีสติ เพราะฉะนั้นเวลาเราบ้าตามคนอื่นเขา มันจะสนุกกว่ามากเรียกว่าบ้าอย่างมีสติ คนอื่นเขาบ้าเพราะขาดสติ
ถาม : อย่างมีเทคนิคหรือว่าเคล็ดลับจริง ๆ นี่ระหว่างทาน ศีล กับภาวนา ตัวไหนคะที่เข้าถึงนิพพานได้ง่ายที่สุด ?
ตอบ : ๓ อย่างต้องรวมกัน ถ้าหากว่าจะนับจริง ๆ ก็คือตัวภาวนา ๆ จะทำให้เข้านิพพานได้ แต่ว่ามันจะต้องมีกำลังของทานกับศีลมาหนุนเสริมอยู่ เขาเปรียบอานิสงส์เอาไว้ว่า ทานนั้นเกิดมาจะรวย ศีลนั้นเกิดมาจะรูปสวย มีจิตใจดีงาม ภาวนาเกิดมาจะมีปัญญาฉลาด คนฉลาดแต่จนมันก็แย่ใช่มั้ย ? ส่วนคนรวยไม่มีปัญญา รักษาทรัพย์ไม่อยู่ เพราะฉะนั้นมันต้องทำเหมือน ๆ กันทำในลักษณะที่ว่าทำให้มันเสมอ ๆ กัน ในเมื่อทำสม่ำเสมอกันต่อไปอานิสงส์ที่มันควรได้มันก็ได้ด้วยกันทั้งหมด ประเภทที่ว่ากันเอาไว้ก่อนเผื่อต้องเกิดใหม่ก็คือเกิดให้มันสมบูรณ์ไป ถ้ามันไม่ต้องเกิดใหม่อาศัยกำลังตัวนี้ส่งเราเข้านิพพาน
ถาม : ถ้ายังไม่สามารถฝึกปฏิบัติให้เห็นพระนิพพานได้แต่ตั้งใจไว้สามารถ....?
ตอบ : สามารถไปนิพพานได้เหมือนกัน กติกาของการไปนิพพานก็คือ
๑. เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแน่นแฟ้นจริงจังไม่ปรามาสทั้งต่อหน้าและลับหลัง
๒. รักษาศีลอย่างน้อย ๕ ข้อให้บริสุทธิ์
๓. ตั้งใจว่าตายแล้วจะไปนิพพาน มีข้อไหนบอกว่าต้องได้ฤทธิ์ได้อภิญญา ต้องเห็นนรกเห็นสวรรค์บ้างมั้ย ? ไม่มีนะ สิ่งที่เห็นสำหรับคนขี้สงสัยจะได้แก้สงสัยว่ามีจริงหรือเปล่า ? แล้วถ้าหากว่ามัวแต่แก้สงสัยมัวแต่ไปทำอยู่ ตายตอนนั้นผลประโยชน์ที่ควรจะได้เต็มที่ก็พาลไม่ได้ไปด้วย ก็ได้แค่ตามสมควรเท่านั้น ดังนั้นว่าถ้าหากว่าเรามีความเชื่อถือที่มั่นคงจริงจังแล้วพระพุทธเจ้าสอนถูกตั้งหน้าตั้งตาทำ เมื่อถึงวาระนั้นอารมณ์ของพระนิพพานจะเข้ามาเต็มในใจของเราเอง แล้วเราจะรู้ว่าสภาพของนิพพานแท้จริงเป็นยังไงไม่ต้องเห็นก็ได้
เพราะฉะนั้นถึงว่าบุคคลที่เป็นสุขวิปัสสโก ทำไมถึงมั่นใจคุณของพระรัตนตรัย ทำไมถึงมั่นใจว่ามีพระนิพพานทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เห็น เพราะว่าอารมณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเต็มในใจของท่านเอง เมือ่เข้าถึงแล้วรับรู้ได้แล้วถึงไม่เห็นก็มั่นใจ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เห็นเป็นแค่ของแถม ถ้าหากว่าเห็นแล้วใช้ผิดอย่างปัจจุบันนี้ก็ยิ่งน่าเวทนาหนักเข้าไปอีก มโนมยิทธิจริง ๆ แล้วเป็นการตัดกิเลสที่รวบรัดที่สุด เพราะว่ากิเลสโดยเฉพาะรัก โลภ โกรธ หลวงเป็นสมบัติของร่างกาย ถ้าใจไม่อยู่คอยปรุงคอยแต่งแล้วมันไม่สามารถที่จะทำอันตรายเราได้ มโนมยิทธิเป็นการถอดใจออกไป มันโกรธขึ้นมาอาศัยความชำนาญวิ่งไปอยู่บนพระนิพพาน มันเกิดราคะขึ้นมาอาศัยความชำนาญโดดขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน
ในเมื่อไม่มีใครมาปรุงมาแต่งมันก็เหมือนกับอาหาร ไม่ได้ใส่เกลือไม่ได้ใส่น้ำตาลไม่ได้ใส่น้ำส้มน้ำปลาอะไร รสชาดมันไม่เอาอ่าว มันจืดชืด ไม่นานมันก็เลิกของมันไปเองพอทำบ่อย ๆ การตัดกิเลสอัตโนมัติโดยเฉพาะไปนิพพานได้ รู้จักพระนิพพานจิตมันเกาะอยู่เป็นประจำ กิเลสมันหมดเข้านิพพานได้ง่าย ๆ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วไปใช้ผิด ๆ ตรงที่ว่ายังไง...ไประลึกชาติใช่มั้ย ? คนนั้นก็เป็นญาติเรา คนนั้นเป็นพ่อคนโน้นเป็นแม่ ไอ้นั่นผัวไอ้นี่เมีย นั่นลูก ฟื้นความสัมพันธ์ไม่พอ ไปผูกความสัมพันธ์ฟื้นขึ้นมาใหม่อีกรอบหนึ่ง แทนที่จะละก็กลายเป็นยึดก็ติดแหง็กอยู่แค่นั้น
ถ้าหากว่าตายในขณะที่จิตใจของตนเองผ่องใส พื้นฐานมโนมยิทธิคือ กำลังจองฌานก็ได้แค่พรหมเท่านั้นใช่มั้ย ? ถ้าตายตอนจิตใจเศร้าหมองไปดูไอ้ชาตินั้นไม่น่าเลย ไปทะเลาะกับเขาอย่างนี้กำลังใจกำลังขุ่นมัวอยู่ก็เป็นอันว่าลงอบายภูมิไป ขาดทุนย่อยยับ เพราะฉะนั้นว่าการรู้นี่ไม่แน่เหมือนกันว่าจะดี ถ้ารู้แล้วขาดสติขาดการไตร่ตรองก็ทำให้เราพลาดจากผลประโยชน์ที่ควรได้ มโนมยิทธิของหลวงพ่อราคาเป็นล้านนะ เราเอามาใช้ไม่ถึงสลึงแล้วยังใช้ผิดอีกต่างหาก จริง ๆ แล้วท่านต้องการให้เราเอากำลังใจเกาะนิพพานเอาไว้ เกาะให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
ถ้าใครที่อยู่รุ่นเก่า ๆ จะจำได้ว่ามีอยู่สมัยนั้นที่หลวงวพ่อกล่าวถึงพระอรหันต์ทั้ง ๗ องค์ที่บรรลุพร้อมกันที่อยู่ทางเหนือ บอกว่ามีอยู่ ๓ องค์ที่ฝึกมโนมยิทธิมา ส่วนอีก ๒ องค์ก็ได้รับเค้าจากอีก ๓ องค์ ของท่านท่านบอกท่านไม่ได้ทำอะไรมากหรอก วัน ๆ หนึ่งก็เอาจิตเกาะนิพพานไว้ เกาะนิพพานอยู่ ๆ กิเลสมันหมดเอง นั่นแหละคือจุดที่หลวงพ่อต้องการมากที่สุด มโนมยิทธิในด้านอื่น ๆ เมื่อเรารู้แล้ว รู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต รู้ใจคนอื่น รู้ว่าสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหนตายแล้วไปไหน ระลึกชาติได้ รู้ว่าทำกรรมดี กรรมชั่วแล้วผลจะเป็นอย่างไรเหล่านี้ ท่านให้รู้เพื่อเราจะได้เข็ดจะได้ละ
แต่ละชาติที่เราเกิดมาชาติไหนที่มันไม่ทุกข์มั่ง....มีมั้ย ? มันทุกข์ทุกชาติใช่มั้ย ? ชาตินี้เกิดอยู่ก็ทุกข์อีกนะ เพราะฉะนั้นอีดตทุกชาติทุกข์อยู่แล้ว ปัจจุบันนี้เราทุกข์อยู่ อนาคตถ้าเกิดอีกก็ทุกข์อีก เป็นอันว่า ๓ ข้อเก็บใส่กระเป๋าได้เชื่อมั่นว่าทุกข์แน่ ๆ ไม่ต้องใช้แล้ว รู้ใจคนอื่นประโยชน์มันน้อย มันต้องดูใจตัวเองดูว่าความดีมีมั้ย ? ถ้าไม่มีก็สร้างมันขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้วก็ทำให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไป มันมีความชั่วมั้ย ? ถ้ามีไล่มันออกไปแล้วระวังไว้อย่าให้มันเข้ามานะ
เจโตปริยญาณ ถ้าดูใจตัวเองลักษณะนั้นก็จะมีประโยชน์อย่างมหาศาล ถ้าดูผิดมัวแต่ไปดูคนอื่น คนนั้นใจเป็นอย่างนี้คนนี้ใจเป็นอย่างนี้ แทนที่จะดูที่ตัวแก้ที่ตัวก็เสียประโยชน์ไป บุพเพสันนิวาสนุสติญาณ ระลึกชาติได้นั้น มีชาติไหนบ้างที่ไม่ทุกข์บ้างถามหน่อยเถอะ จุตูปปาตญาณ คนเกิดก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ถ้าเราเชื่อที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เราทำดีเราย่อมไปสู่สุขคติ ถ้าเราทำชั่วก็ลงอบายภูมิ ถ้างั้นก็เก็บเอาไว้อีกอย่างหนึ่งได้แล้ว ไม่ต้องไปฝึกยถากรรมมุตาญาณ นี่ยิ่งหนักเข้าไปอีก เพราะว่ารู้ว่ากรรมแต่ละอย่างทำให้คนและสัตว์เป็นยังไง เราเชื่อกรรมดีกรรมชั่วก็เก็บใส่กระเป๋าไปเลย
ตกลงว่ามโนมยิทธิไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ถ้าหากว่าเรามั่นคงในพระรัตนตรัย เชื่อถือพระพุทธเจ้าจริง ๆ แล้วคนที่มียิ่งชัดก็ยิ่งโดนหลอกง่ายใช่มั้ย ? ประสบการณ์โดนหลอกนี่มันเจ็บปวดจริง ๆ เลย ส่วนใหญ่แล้วโดนมาทั้งนั้นนะ โดนแบบไม่รู้ตัวด้วย ในเมื่อตัวเองเห็นก็มักจะไปเถียงคนอื่น ก็ตัวเองเห็นแล้วมันจะผิดได้ยังไง หารู้ไม่ว่าเขาหลอก เราเห็นเขาไล่ยิง ไล่ฟัน ไล่แทงมา ตกอกตกใจวิ่งเข้าไปช่วย ปรากฏว่าเขากำลังถ่ายหนังอยู่ โดนเขาตีกะบาลเอาน่ะซิ เราเห็นจริง ๆ รึเปล่า ? เห็นใช่มั้ย แต่เรื่องนั้นเรื่องจริงรึเปล่า ? ไม่ใช่...เป็นเรื่องที่เขาปรุงแต่งขึ้นมา
เพราะฉะนั้นเรื่องของการรู้เห็นด้วยทิพจักขุญาณหรือว่าเห็นด้วยมโนมยิทธิ ยิ่งรู้เห็นชัดเจนการทดสอบยิ่งแรง ถ้าสอบตกก็เจ็บออกหน่อย ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า วิ่งหาอารมณ์พระโสดาบันเอาไว้ ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระอริยเจ้าไป มโมยิทธิจัดเป็นอภิญญาใช่มั้ย ? อภิ คือ ยิ่งกว่า อัญญา คือ ความรู้ มันไม่มีอะไรรู้ไปยิ่งกว่าการตัดกิเลสหรอก ไม่ได้ยุให้พวกเราเลิกทำนะ ใครทำได้ให้เปลี่ยนไปเกาะพระนิพพานแทน เกาะได้นานเท่าไหร่ดีเท่านั้น
ภพอื่นภูมิอื่นเราก็ดูอยู่แล้วรู้อยู่แล้ว ว่ามันไม่มีที่ไหนดีไปกว่านิพพาน เรื่องอื่น ๆ นั่นกองไว้ได้ถ้าตายตอนนั้นแย่เลย มีอยู่วันหนึ่งตอนนั้นหลวงพ่อท่านเทศน์ที่สายลม ท่านบอกว่าคนที่ทรงกรรมฐาน ๔๐ อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ หรือวิชชา ๒ ห่างนรกแค่ขอบนิ้วกั้น กั้นแบบนี้ไม่ใช่กั้นอย่างนี้ แล้วของเราเองแค่มโนมยิทธินี่มันคงจะห่างซักแค่นี้ ....ตายแหง ๆ เลย เพราะฉะนั้นตั้งหน้าตั้งตาคว้าอารมณ์พระอริยเจ้าไว้ก่อน ประกันความเสี่ยงไว้ก่อนปิดอบายภูมิไว้ก่อน อย่างน้อย ๆ ตายก็อย่าให้มันขาดทุน
|