ถาม :  ท่านคะ อย่างนี้ในประวัติศาสตร์นั่นมีจริงรึเปล่าคะ ลาวไม่ชอบใจไทย ?
      ตอบ :  คงจะพอ ๆ กันนั่นแหละพอ ๆ กับที่ว่าพอไทยได้ยินว่าพม่าเมื่อไหร่ ก็นึกถึงกรุงศรีอยุธยาแตกทุกที ก็พอกัน เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ แล้วคนเรามันไปยึดอดีตมากเกินไป ถ้าถามว่าคุณเกิดทันยุคนั้นมั้ย ตอบยาก...ยกเว้นพวกที่ได้ทิพจักขุญาณใช่มั้ย ?
              อย่างนี้ถ้าจะบีบกันให้ตายจริง ๆ ก็ถามว่าเกิดทันมั้ย ? ตอนนี้อายุเท่าไหร่ ? อย่างนี้มันกลายเป็นไปใส่อารมณ์ตามอดีตที่เลยมานานแล้ว อย่างที่ไปสร้างวัดทางพม่าเหมือนกัน หลายคนก็บ่นว่าพม่ามันทำอย่างนั้นกับเรา อย่างนี้กับเรา แล้วไปช่วยมันทำไม บอกเราไม่ได้ช่วยพม่านะ นี่ช่วยคนไทยที่มันหลงอยู่ในพม่า (หัวเราะ) เออ.....
      ถาม :  เขาไม่ยอมให้กลับมาฝั่งนี้เลยเหรอ ?
      ตอบ :  ของเราไม่ยอมรับเขาต่างหาก ทางด้านโน้นถึงไม่ยอม ถ้าเขาจะมาเขาก็หนีมาได้ ของเราไม่ยอม มันกลายเป็นเขาหลบหนีเข้าเมืองไปน่ะซิ แต่ว่าถึงไม่ยอมก็เหอะ ถ้าพวกโน้นมันมาคนแถวหนองบัว สองแคว ป่าหวาย สามพระยา มาทำงานเมืองไทยเกือบทั้งหมู่บ้าน เขามาเขาพูดได้เลยนะไม่ต้องเสียเวลาหัด ไปสมัครงานที่ไหนเขารับเลย
              เดือนที่แล้วเขาก็มาที่นี่ ๒ คน ๓ คนเอาซองกฐินเก่าของปีที่แล้วโน่นของวัดหนองบัว มาให้เรี่ยไรแล้วไม่มีเวลากลับเอามาฝากไว้ตรงนี้ ตอนช่วงที่กลับมาทางด้านโน้นเขาก็ฝากจดหมายมาฝากจดหมายมาว่าให้คนโน้นนี้ อยู่ที่นั่นอยู่ที่นี่ มีเบอร์โทรให้มาก็โทรไปบอกให้เขามารับจดหมายไป ทางด้านโน้นเขายังมีน้ำใจเหมือนกับคนโบราณ ก็คือว่าไปไหนนี่จะมีการฝากโน่นฝากนี่ไปให้กันอยู่ ของเราสมัยนี้ถ้าขืนฝากไปนะ หายจ้อยไปแน่เลย อย่างไปนี่มันจะฝากเงินฝากทองไป แล้วบางคนฝากไปทีหนึ่ง ๖ บาท ๑๐ บาท ทองคำอย่างนี้ เขาไม่กลัวเราโกง
      ถาม :  ..............................
      ตอบ :  ก็ทองคำเขายังฝากไปทีขนาดนั้น เขาไม่กลัวเราโกง เขายังตรงไปตรงมาอยู่ พอได้เงินครบเมื่อไหร่ ครบสลึงซื้อสลึง ครบห้าสิบซื้อห้าสิบ ครบบาทซื้อบาท
      ถาม :  เขาซื้ออย่างนี้เหรอ ของเราเก็บแล้วเอาไปตึ๊ง
      ตอบ :  ของเขามันไม่ตึ๊ง มันเก็บตายเลย
      ถาม :  ถ้าอย่างนั้นราคาทองที่นั่นน่าจะถูกกว่าหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ทองเขาจะซื้อทางฝั่งไทย เพราะว่าทองพม่าน้ำหนักมันน้อยกว่าไทย ทองไทยบาทหนึ่งเท่ากับ ๑๕.๒ กรัม ทองพม่าบาทหนึ่ง ๑๕ กรัมเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าซื้อทองไทย ๑๐ บาท ซื้อทองพม่าได้เกือบ ๑๑ บาท
      ถาม :  ราคา ๑๕ กรัมของเขาถูกกว่าของไทยเราหรือคะ ?
      ตอบ :  ๑๕ กรัมของเขามัน ๗๐.๐๐๐ กว่า ตอนนั้นก็ราว ๆ เกือบ ๘,๐๐๐ บาท เพราะฉะนั้นทองไทยไปขายเป็นเงินเขาก็ได้กำไรเยอะ ของเราตอนนั้นมันก็แค่ ๕,๐๐๐ กว่า ตอนนี้ ๕,๐๐๐ เกือบ ๆ ๖,๐๐๐ บาท
      ถาม :  เอ๊ะ เงินกับทองของเขาน่าจะ ......(ไม่ชัด)...........?
      ตอบ :  ทองแพงจริง ๆ ของเขาเองมันคล้าย ๆ กับว่าเงินของเขามันไม่มีค่าไม่น่าเชื่อถือเพราะรัฐบาลเขาพร้อมที่จะยกเลิกได้ทุกเวลา เขาเลยชอบถือพวกทองหรือไม่ก็เงินต่างประเทศแทน อย่างเงินไทยหรือว่าดอลลาร์อย่างนี้ก็เท่ากับว่าค้ำประกันได้ ถึงเวลาก็ค่อยไปแลกเอาไปแค่พอใช้ เขาจะเก็บกันเป็นทองกันทั้งนั้น ซื้อทอง
              ส่วนใหญ่แล้วพวกหนองบัวมา พวกก็จะฝากเงินมาซื้อด้วยซ้ำไป เอาทองไทยนะ เอาเส้นใหญ่ ๆ ตัน ๆ เขาไม่เอาสวยงามหรอกเอาตัน ๆ ไว้ น้ำหนักมันดี คราวที่แล้วไปที่พวกเราถวายทองบูชาพระธาตุไป ก็แยกใส่ถุงไว้พลอยไว้ด้าน ทองไว้ด้าน พระไว้ด้าน ถึงเวลาก็เอาทองใส่ย่ามไป เพราะว่าจะรอช่วงสุดท้ายแล้วค่อยเอาใส่บาตรเพราะเราไปก่อนนั้นเกือบเดือน
              ถ้าหากว่าเอาไปใส่ไว้ในบาตรอาจจะโดนขโมยได้ ก็ให้ตาปะลัยเขาเอาย่ามแขวนคอเอาไว้ เอ็งอย่าออกห่างข้านะ ครับ ๆ อาจารย์ แล้วแกว่งไปแกว่งมานั่นแหละไม่ได้รู้เรื่องอะไรหรอก
              พอถึงเวลาจะเอาใส่บาตรก็บอกพ่อออก พ่อออกก็คือลุง พ่อออกเอาย่ามมาซิ พ่อออกเขาก็ส่งย่ามมาให้ พอเราเททองออกมา โอ้โห....เป็นชั่งเลย เออทีนี้รู้หรือยังว่าแขวนอยู่กับคอตัวเองแท้ ๆ (หัวเราะ) เขาเอาย่ามแขวนคอเอาไว้ก็เขาคล้องอย่างนี้เลยนะ แล้วก็เดินไปเดินมาภูมิใจมากถือย่ามให้อาจารย์ เขาไม่รู้หรอกว่าทองเป็นชั่งเลย (หัวเราะ)
      ถาม :  เขาไม่สงสัยเหรอมันหนักมากเลย
      ตอบ :  เขาคงคิดว่าของพระโน่นมั่งนี่มั่งใช่มั้ย ? แล้วส่วนใหญ่แล้วของเรามันพกกล้องถ่ายรูปบ้างอะไรบ้าง ของพวกนี้รวม ๆ กันแล้วมันหนักหารู้ไม่ว่าทองทั้งถุงเลย (หัวเราะ)
      ถาม :  ทองชั่งหนึ่งกี่บาท ?
      ตอบ :  ชั่งหนึ่งมัน ๓ ปอนด์พม่า (หัวเราะ) ๓ ปอนด์ กิโลกว่า
      ถาม :  โห......กิโลครึ่ง
      ตอบ :  ไม่ทราบเหมือนกันเท่าไหร่ ๓ ใช่มั้ย มันต้องหาร ๒.๒ ๑,๐๐๐หาร ๑๕.๒ ได้ ๘๙ บาทกว่าเกือบ ๆ ๑๐๐ บาท ทองชั่งหนึ่ง ๘๐ กว่าบาทคิดทันมั้ย ? (หัวเราะ) หัวสมองไม่ค่อยแล่นเลยนะ ขนาดเอาออกมาเป็นตัวเลขได้ยังไงยังนึกไม่ค่อยจะออกเลย
      ถาม :  อย่างการที่คนฟังเทศน์แล้วบรรลุถึงธรรม นอกจากอยู่ที่ผู้ฟังแล้ว ผู้ที่เทศน์ด้วยถ้าในกรณีที่บารมีสูง การที่จะทำให้ผู้ฟังบรรลุถึงระดับ....?
      ตอบ :  ไม่ได้จ้ะ สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง นาญโญ อัญโญ วิโสธเย “ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน บุคคลหนึ่งจะทำบุคคลหนึ่ง ให้บริสุทธิ์หาได้ไม่” แต่ว่าบุคคลที่ท่านมีความสามารถสูงเข้าถึงความบริสุทธิ์จริง ๆ มีเจโตปริยญาณ รู้ใจผู้อื่นจริงถ้าเทศน์ตรงกับกำลังใจมัน ทำให้เขาสามารถที่จะเข้าได้ง่ายขึ้น
              แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ฟังคนนั้น ไม่ใช่เขาไปทำให้คน ๆ นั้นบริสุทธิ์ แต่ว่าเป็นเพราะคน ๆ นั้นดึงจิตของตนให้พ้นขึ้นมาจากบ่วงกรรมทั้งปวงเข้าสู่ความบริสุทธิ์สิ้นเชิงต่างหาก ตัวเองทำเองถึงได้ คนอื่นอย่างเก่งก็เป็นสื่อให้เท่านั้น อย่างเช่น ถ้าหากว่าเป็นพระท่านก็เป็นสื่อแค่ว่า ท่านเทศน์นำให้คิดตาม ปฏิบัติตามได้ก็ได้เป็น ถ้าไม่ยอมคิดไม่ยอมปฏิบัติตาม เทศน์ให้ตายก็เท่านั้นแหละ

      ถาม :  แล้วคนที่เวลาใกล้ตายนี่ ถ้าตัดร่างกายแล้วปรารถนาเข้าสู่พระนิพพานแล้วเนี่ยค่ะ โดยใช้วาระสุดท้าย โดยขณะที่อยู่ทั่วไปไม่ค่อยถึงขนาดปฏิบัติดีหรอก จะต่างกับคนที่อยู่ปกติแล้วปฏิบัติได้ดีแล้วเข้าถึงระดับโสดาบัน สกิทาคามีอย่างนี้ค่ะ ตอนถึงพระนิพพาน จุดนั้นแตกต่างกันหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  เหมือนกัน เข้าสู่ความบริสุทธิ์เหมือนกัน คือมันสำคัญตรงกำลังใจที่ตัดที่ละ อย่าลืมคนที่ตั้งใจทำตั้งแต่ต้นเลยนั่น เป็นคนที่ไม่ประมาท จริง ๆ แล้วเป็นผู้ที่น่าสรรเสริญมาก ค่อยๆ ขวนขวายค่อย ๆ ปฏิบัติไป แต่ขณะเดียวกันอีกฝ่ายหนึ่งประมาทอยู่ แต่บังเอิญว่าต้องมีบุญเก่าในอดีตมาช่วยเสริม ทำให้ตอนนั้นสามารถคิดได้ ตอนช่วงที่คนเจ็บป่วยมาก ๆ นี่ตัวราคะมันก็ไม่ไหวแล้ว โทสะมันก็ไม่รู้จะไปโกรธใครแล้ว โมหะมันก็ไม่รู้จะไปหลงใครแล้ว มันเห็น ๆ อยู่ว่าร่างกายมันไม่ดีแล้วจิตมันก็เลยตัดได้ง่ายกว่า
              อันนี้จำเป็นต้องมีบุญเก่าที่เป็นบุญใหม่เข้ามาช่วยเสริมด้วย ไม่อย่างนั้นคงจะคิดได้ยากนะ เพราะว่าไม่ได้สร้างความชำนาญในด้านนี้มาก่อนเลย เป็นผู้ที่ประมาท แต่ว่าคนที่ทำมาทีละขั้นตอนนั้นถือว่าเป็นผู้ไม่ประมาท น่าสรรเสริญมาก
      ถาม :  การปฏิบัติทีละขั้นตอนที่จะให้ถึงแต่ละระดับ เจ้าตัวเขาจะสามารถรับรู้ได้เองมั้ยคะว่า ....?
      ตอบถ้าหากว่าเข้าถึงจะรู้เพราะว่า ญาณ คือเครื่องรับรู้ จะปรากฏขึ้น แต่ว่าท่านที่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ท่านมีความฉลาดมาก และไม่ประมาท เพราะฉะนั้นถึงจะรู้ว่าตนเองเป็นแต่จะไม่มีใครแน่ใจว่าตัวเองเป็น ถึงพระพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วว่าเป็น ท่านเองท่านก็ไม่ประมาทก็ทำความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
      ถาม :  แล้วอย่างการปฏิบัติ อย่างเรารู้สึกตัวเองระยะหลังนี่บางทีเวลาจับพระนี่ เราจะรู้สึกว่าอกุศลจิตเข้ามาบ่อยมาก เป็นเพราะว่านั่นคือจิตลึก ๆ ของเราที่.....?
      ตอบ :  อันนั้นเรียก มารดลใจ ก็ได้ มาร ๕ ประเภทเขาพยายามขวางเราอยู่ตลอดเวลา เวลาไหนที่เราทำความดีใกล้จะถึงจุดที่เราต้องการ เขาจะพยายามเบี่ยงความสนใจเราไปสนใจอย่างอื่นแทน ดึงไปหา รัก โลภ โกรธ หลงแทน ดึงให้รู้สึกปรามาสพระรัตนตรัยแทน ถ้าหากว่าเราปรามาสพระรัตนตรัยปุ๊บเขาก็สบายใจแล้ว
              เพราะว่าบุคคลที่ปรามาสพระรัตนตรัย เข้าไม่ถึงความเป็นพระอริยเจ้าหลุดมือเขาไม่ได้ เรายังตกอยู่ในอำนาจเขาต่อไป เพราะฉะนั้นเขาพยายามที่จะทำให้เราเบนไปจากจุดที่เรากำลังจะเข้าถึง ถึงได้เคยบอกกับโยมหลายคนว่า ตอนที่ฟุ้งซ่านมาก ๆ ตอนนั้นเรากำลังใกล้ความดีที่สุด เขาก็เลยพยายามจะดึงให้เราฟุ้งซ่านเพื่อที่เราพ้นจากจุดนั้นไป
              ถ้าเราตั้งสติซักนิด ทบทวนย้อนหลังสักนิดหนึ่งว่าเราทำอะไรถึงมาถึงจุดนี้ จะสังเกตได้ว่าก่อนฟุ้งซ่านเราต้องกำลังใจดีมากเลย เพราะฉะนั้นทบทวนย้อนหลังไปซิว่าตอนที่ดี ๆ เพราะอะไรแล้วเราทำแบบนั้นต่อไปมันจะเข้าถึงได้ง่ายมาก เพราะมันเหมือนกับว่าเราอยู่ปากประตูแล้ว แต่เขาเบี่ยงเราไปให้เดินไปทางอื่นแทน
              เพราะฉะนั้นถึงเป็นการดลใจของมารก็จริง แต่เราก็ปรามาสพระรัตนตรัยด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจเหมือนกัน ถึงเขาจะดลใจให้ทำ แต่เราก็ทำไปแล้วด้วยตัวเขาเรา เพราะฉะนั้นเราต้องขอขมาพระรัตนตรัยอยู่ทุกครั้งที่เราจะทำความดี ไม่ว่าจะเป็นสวดมนต์ไหว้พระ ทำกรรมฐานอะไรก็ตามตั้งใจขอขมาพระซะก่อน มันจะตัดกรรมตัวนี้ไป เจ้าพวกนี้มันจะแกล้งอยู่ตลอดเวลาเป็นการทดสอบของเขาอย่างหนึ่ง หน้าที่ของเขาที่ทำอย่างนั้น หน้าที่ของเราคือหนีเขาให้พ้น ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเอง ไม่ต้องไปเป็นศัตรูกับใครหรอก
      ถาม :  แล้วจะบาปหนักหรือเปล่า เวลาหนูกราบพระทีไรจะรู้สึกได้เลยว่า เหมือนมีความรู้สึกว่าจะปฏิบัติไม่ดีหรือเหมือนกับหนูจะเอาเท้าขึ้นมาซึ่ง ........(ไม่ชัด).............
      ตอบ :  นั่นน่ะ ลักษณะอาการมันไม่ได้หนัก ไม่ได้หนาอะไรหรอก มันเป็นอาการที่เขาจะทำให้เราเป็นอย่างนั้น ก็บอกแล้วให้ตั้งใจขอขมาพระ พวกนี้มันสู้ลูกตื๊อไม่ได้หรอก เขาทำให้เราคิดอย่างนั้นได้ ปรามาสอยา่งนั้นได้ เราก็ตั้งใจขอขมาไปเรื่อย พอเรารู้ทันเขา ๆ ก็เลิก รู้ว่าวิธีนี้เล่นงานเราไม่ได้แล้ว เล่นท่าไหนก็ขอขมาตะบันลาดอย่างเดียว โทษก็ไม่เกิดขึ้นเขาก็เลิกไปเอง
              แต่ว่ามันก็ยุ่ง ๆ ทำให้เรากลุ้มใจอยู่ระยะหนึ่งเหมือนกัน พอรู้เราก็เลิกกลุ้มซะ เอ็งมีหน้าที่แกล้งก็แกล้งไป ข้ามีหน้าที่ขอขมาข้าก็ขอของข้ามันก็จบ ถ้าไม่เข้าถึงความดีเขาไม่แกล้งเราหรอกเสียเวลาเปล่า เขากลัวว่าเราจะหลุดมือเขา ๆ ก็เลยพยายามแกล้งเพื่อจะดึงเรากลับ แสดงว่าเริ่มเข้าถึงจุดของความดี ทบทวนไปว่าก่อนหน้านี้ทำยังไง แล้วก็ย้ำจุดนั้นบ่อย ๆ ทำบ่อย ๆ ย้ำแล้วย้ำอีกอย่าไปเบื่อ พอเราย้ำมาก ๆ เข้าเดี๋ยวมันก็เป็นของเราไปเอง พิมพ์ที่พระพูดลงไปหมด (หัวเราะ) เคยคุยกับเพื่อนไปแล้วก็พิมพ์ไป ซักพักหนึ่งมาดูปรากฏว่าที่เราพูดกันพิมพ์ลงไปหมดเลย (หัวเราะ)
      ถาม :  อย่างที่ล่าสุดในฝันเคยฝันถึงหลวงพ่อ ๒ ครั้ง ทั้งหลวงพ่อทั้งท่านแม่ มีช่วงที่ฝันไปแล้วนี่มีความรู้สึกว่า ตอนนั้นมีพิธีอะไรไม่รู้หรือสถานที่เก่า ๆ แล้วกำลังจะทำพิธีนั่งอยู่ก็มียุงออกมาจะกัดขาเรา แล้วมีความรู้สึกว่าตอนนั้นเราตัดสินใจแล้ว เราไม่กลัวแล้ว เข้าพิธีตอนนี้แล้วจะตายก็ตาย
              แต่พอเวลานั้นพอโดนไป คราวนี้เราไม่รู้สึกอะไรแล้ว รู้สึตัวเองว่าตัวเองวูบออกมาแล้วก็เหมือนกับเราลอยอยู่ข้างบน แล้วพอเอ๊ะ แปลกใจเสร็จเห็นเป็นทะเลกว้าง ๆ ก็คิดว่าเดี๋ยวจะลองลงไปที่ใต้ทะเลลึก พอคิดปุ๊บมันก็เหมือนดิ่งลงไปเลย พอดิ่งลงไปปุ๊บนี่กลับกลายเป็นว่ากลัวตายมันก็ตื่น ทำไมความรู้สึกที่เราไม่กลัวมันกับกลัวมันอยู่ในสภาวะเดียวกันล่ะคะ ?
      ตอบ :  มันอยู่สภาวะเดียวกันคือว่า แรก ๆ มันอยู่ในลักษณะที่ว่า เรารู้ว่าเราจะต้องตัดสินใจยังไง ในเมื่อเราอยู่ในสถานที่ ๆ เราคิดว่ามันดีพร้อมแล้ว ถึงตายเราก็ไม่กลัว พอเราลงไปใต้ทะเลมันเป็นสิ่งที่เราไม่มั่นใจจะไปพบอะไรบ้าง สิ่งที่เรายังกลัวอยู่มันฝังลึกอยู่ในใจมันก็แสดงออกมา อันนี้แสดงว่ากำลังใจของเราจริง ๆ แล้วกลัวตายเป็นปกติ
      ถาม :  เรื่องแบบที่ฟังมานี้มันเกิดได้กับทุกคน ?
      ตอบ :  ทุกคนเพียงแต่ว่าใครจะเจอในแง่มุมไหนเท่านั้น ข้อสอบเขามาแค่ ๔ แนว รัก โลภ โกรธ หลง แค่นั้นเอง ไอ้กลัวตายนี่หลง คือหลงเชื่อตัวเองจะไม่ตาย แต่ ๔ หัวข้อนี่มันออกมาได้เป็นล้าน ๆ รูปแบบ เพราะฉะนั้นของเราเองเจอหัวข้อเดียวกัน แต่มันออกมาคนละแนว เราก็ต้องตามมันให้ทัน
      ถาม :  ที่ฟังมานี้ตัวเองก็...........
      ตอบ :  แบบเดียวกัน ก็มันเดินตามกันนี่ คนข้างหน้าเขาเจออะไร เราก็เจออันนั้น แล้วเราเจออะไรคนข้างหลังเขาก็เจออย่างนั้น
      ถาม :  แสดงว่าลึก ๆ นี่เราเองนี่เราก็ยังกลัวตายอยู่ใช่มั้ยคะนี่ ?
      ตอบ :  กลัวทุกคนล่ะจ้ะ ถ้าตราบใดที่ไม่ใช่พระอรหันต์นี่ยังกลัวอยู่ หลวงพ่อท่านเคยถามพระพุทธเจ้าว่า พระอรหันต์หนีภัยมั้ย ? พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าสมควรก็หนี บางทีคนเราไปคิดว่าพระอรหันต์ยังกลัว ความจริงท่านไม่กลัวอะไรแล้ว เพราะเข้าถึงความบริสุทธิ์สิ้นเชิง ในเมื่อเข้าถึงความบริสุทธิ์สิ้นเชิงไม่มีทางที่จะตกต่ำลงไปสู่ภพภูมิที่จะทำให้ท่านทุกข์ท่านลำบากและเหตุนี้ท่านก็เลยเลิกกลัวตายไปเลย
              แต่ว่าขณะเดียวกันภูมิอื่นภพอื่นนี้ยังมีความกลัวอยู่บ้าง อย่างเช่นว่ายังมีภาระที่ยังต้องทำอีก อย่างเช่นพระอนาคามี มีภาระที่ต้องทำเพื่อเข้าถึงความเป็นอรหันต์ ถ้าตายซะก่อนก็เข้าไปไม่ถึง แค่นั้นก็ต้องเสียเวลาไปต่อข้างบนต่อเป็นต้น ความกลัวของท่าน ๆ ไม่ได้กลัวตายในลักษณะอย่างนั้น อย่างประเภทที่ว่ามันเสียเวลาไปทำต่อ