ถาม :  คือเป็นคนที่รู้สึกว่าขี้กังวลมากเลย ไม่รู้ว่า......
      ตอบ :  เริ่มต้นภาวนาซะก่อนนะ ทุกอย่างที่เราพูดมาถ้าเราเริ่มภาวนาแล้วปัญหาอื่น ๆ มันจะหมดนะจ๊ะ เพราะฉะนั้นตั้งหน้าตั้งตาภาวนาได้เลย
      ถาม :  .............................
      ตอบ :  นั่งสมาธินับลมหายใจเข้า – ออกของเรานี่แหละว่าไปเลย ถ้าหากว่าเราเริ่มตรงจุดนี้แล้ว ตัวอื่น ๆ มันหมดไป ไม่อย่างนั้นของเรา เราถาม ๆ อยู่นี่มันจะหาที่จบไม่ได้มันต้องทำ พอทำแล้วเกิดปัญหาเฉพาะจุดขึ้นมาเราก็แก้ทีละจุดมันก็จบ แต่ถ้าเราถามอยู่มันจะไม่จบ ฉะนั้นตั้งหน้าตั้งตาทำได้เลย มีเวลานั่งสมาธิ เวลานั่งสมาธิครั้งแรกมันก็ฟุ้งซ่านนั่งอยู่ตรงนั้นแหละ แต่มันไปคิดอะไรก็ไม่รู้พอรู้ตัวก็เลิกคิดมัน มาจับลมหายใจเข้า – ออก รู้ตัวก็เลิกคิดกัน มาจับลมหายใจเข้า – ออก เดี๋ยวก็ชนะมันได้
      ถาม :  คือตอนนี้ไม่แน่ใจบรรยากาศที่ทำงานค่ะ
      ตอบ :  ทำไมล่ะ ?
      ถาม :  จะเกิดปัญหาคือ ตอนนี้งานมันขยายตัว คือคนในที่ทำงานยังไม่พร้อมที่จะรับงานจะทำยังไงคะ ?
      ตอบ :  ถ้าเรามีหน้าที่รับผิดชอบก็จำเป็นที่จะต้องอบรมหาความชำนาญให้กับเขา เพื่อเขาจะได้เตรียมพร้อมที่จะรับงานใหม่ แต่ถ้าเราไม่มีหน้าทีรับผิดชอบทำแค่งานตรงหน้าของเราให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ คือถ้าเราไปยุ่งกับคนอื่นเมื่อไหร่เกิดเรื่องเมื่อนั้น แต่ถ้าหากว่าอยู่ใต้การรับผิดชอบของเรานี่ จำเป็นนะต้องมีการประชุมมีการอบรมเพื่อที่จะให้เขาทำงานได้เต็มฝีมือมากกว่านั้น หรือได้ดีมากกว่านั้น หรือไม่ก็ทำให้เขาดูว่าที่จริง ๆ มันต้องทำอย่างไร หนักใจมั้ย ?
      ถาม :  ..........(ไม่ชัด)..............แต่เขาคงจะต้องอยู่กับเราต่อไป ต้องทำยังไงถึงจะให้เขายอมทำงาน ?
      ตอบ :  ไอ้เรื่องการที่จะทำให้คนอื่นยอมรับเรานี่มันมีอยู่อย่างเดียว คือต้องแสดงให้เห็นว่าเราเหนือกว่าทุกกระบวน ความสามารถในการงานของเราทุกอย่างเหนือกว่าอะไรดีกว่า
      ถาม :  มีอยู่เรื่องเดียว คือเรื่องวัยวุฒิค่ะ
      ตอบ :  ไม่เป็นไรหรอกสมัยนี้ปลอมหน้าได้ อายุแค่นี้เขาปลอมเป็นคุณยายอายุ ๙๐ ยังไหวเลย ทำหน้าให้เหี่ยว ๆ ไม่ใช่เรื่องยาก คนมีความสามารถวัยวุฒินี่มันจะโดยคุณวุฒิ คือความสามารถคลุมไปเองนะค่อย ๆ ทำไปเถอะเดี๋ยวพอเอางานเอาการไปมาก ๆ หน้ามันเหี่ยวเกินไปเอง ตกลงเขามีจุดเดียวใช่มั้ยที่เขาไม่ยอมรับ คือเขาเห็นว่าเราเด็กเกินไป
      ถาม :  เขาใช้วิธีบีบค่ะ คือบีบให้เราทนไม่ไหว ยอมในสิ่งที่เราควรจะได้
      ตอบ :  แล้วในเมื่อเรารู้ว่าเขาบีบจะไปให้เขาบีบทำไมล่ะ ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปซิ แกล้งโง่นี่มันสนุกนะ โบราณเขาว่าแกล้งโง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ไม่ได้ ไม่ว่ามันจะมาวิธีไหนก็ตามเราก็หลบซ้ายเลี่ยงขวาไปเรื่อย ๆ ไม่ยอมเข้าไปในจุดที่เขาต้องการ ก็เห็น ๆ อยู่ว่ามันต้อนเราไปมุมนั้น แกล้ง ๆ เดินไปเกือบถึงมุมแล้วก็เลี้ยวซะ....(หัวเราะ)....มันน่าสนุกนะ แต่สักวันจะทุกข์เอาจริง ๆ ปัญหามากเลยไปนั่งท่องคาถามั้ย ?
              มันมีคาถาอยู่บทหนึ่งเขาเรียก “คาถาวัวกินนมเสือ” มาจากนิทานพื้นบ้านหลวิชัย – คาวี เคยได้ยินมั้ยที่เขาเรียกว่า “เสือโคคำฉันท์” แม่วัวถูกเสือกินไปแล้ว แต่ลูกวัวเป็นเพื่อนกับลูกเสือ ลูกเสือก็เลยชวนลูกวัวมาอยู่ด้วยกัน มากินนมแม่เสือด้วยกัน อันนี้มันมีคาถาอยู่บทหนึ่งเขาเรียก “วัวกินนมเสือ” มันหมายความว่าถึงจะมีศัตรูอยู่รอบด้าน แต่เราก็จะอยู่ได้ ลองภาวนาดูมั้ย ? (หัวเราะ) เดี๋ยวเขียนให้ดีกว่าไม่ยาวมากหรอก ๔ บรรทัด ไปลองดูน่าสนุกนะ
      ถาม :  ไม่ทราบว่าเราจะเลือกการปรับหรือการเปลี่ยนดี ?
      ตอบ :  ก็ค่อย ๆ ปรับดีกว่า เพราะเปลี่ยนทีเดียวเลย ความเคยชินของคนจะทำให้เขารู้สึกลำบาก ค่อย ๆ ปรับดีกว่า ถ้าหากว่าเปลี่ยนทีเดียวเรารับได้ แต่คนอื่นเขารับไม่ได้ ต้องคิดถึงคนอื่นด้วย
      ถาม :  พอรู้ว่าที่นี่เกิดปัญหาแล้วก็เปลี่ยน
      ตอบ :  อย่างนี้หนีปัญหา เรื่องปัญหามันมีอยู่ทุกที่จากที่หนึ่งก็ไปอีกที่หนึ่ง วิ่งชนปัญหาดีกว่าหนีมัน
      ถาม :  แล้วหนู....(ไม่ชัด)........ในลักษณะที่กรมเดียวกัน กองเดียวกันในลักษณะที่กินแรงเพื่อนในที่ทำงาน
      ตอบ :  นี่เจอมาเยอะต่อเยอะ แต่ว่าก็จะเอาแค่ในเขตความรับผิดชอบของเราเอง ถ้าหากว่าในใต้อำนาจรับผิดชอบของเรามีคนอยู่กี่คน จำนวนเท่าไหร่ ก็เร่งรัดเขาได้ นอกเหนือไปจากนั้นแล้วโดยเฉพาะสูงขึ้นไป หรือว่างานรับชอบของคนอื่นอย่าไปแตะนะ เอาแค่จุดของเราให้มันดี
      ถาม :  แล้วในเมื่อบางคนไม่เวิร์คนี่เราสามารถที่จะเอาคนออกเราควรจะทำมั้ย ?
      ตอบ :  บอกเขาตรง ๆ บอกว่าถ้าคุณยังทำแบบนี้อีก ต้องหางานที่อื่นทำแล้วล่ะ
      ถาม :  แล้วขู่ด้วยวิธีต่าง ๆ
      ตอบ :  ไม่ต้องเสียเวลาขู่หรอก ทำจริง ๆ เลยเชือดลิงให้ไก่ดู ไม่ใช่เชือดไก่ให้ลิงดู คนไหนเส้นใหญ่ที่สุดเอาคนนั้นออก คนอื่นมันหนาวเอง งานบางอย่างมันจำเป็นนะ อย่าคิดว่ามันเป็นการสร้างศัตรู แต่ว่าจำเป็นเพื่อที่จะให้งานทั้งหมดเป็นไปด้วยดี จำเป็นที่จะต้องทำ
      ถาม :  แล้วคนที่อยู่ร่วมกันแล้ว อย่างที่คนที่กำลังใจไม่เสมอกัน เราต้องวางตัวยังไง ต้องวางใจยังไง ?
      ตอบ :  อย่าตั้งความหวังอยู่กับเขามากนัก คิดว่าทั้งหมดเราทำเองได้ไม่ต้องง้อใคร ถ้าหากว่าเขาช่วยก็ถือว่ามันเป็นบุญเป็นคุณเป็นน้ำใจของเขา แต่อย่าไปหวังว่าเขาจะทำหน้าที่นั้นได้ดี คิดซะว่าถ้าเป็นงานใต้รับผิดชอบของเรา คนที่รับผิดชอบก็คือเรา เพราะฉะนั้นเราเองทำทั้งหมดพอคนอื่นเขามาทำเบาแรง เออดี....ถือว่าเขาช่วยเรา จะไปหวังร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มจากคนอื่นมันเป็นไปไม่ได้หรอก
              บางคนจิตใต้สำนึกมันไม่มี จริง ๆ แล้วนิยมคนญี่ปุ่นนะ คนญี่ปุ่นระยะหลังนี่ไม่รู้ว่าเป็นยังไง แต่ว่าช่วงก่อนนี้เขาเข้าทำงานที่ไหนนี่ เขาทุ่มเป็นทุ่มตายให้กับที่นั่นเลย เหมือนกับงานตัวเองยิ่งกว่างานตัวเองตัวนี้เขาเรียกว่า “จิตสำนึกของความเป็นเจ้าของ” แต่ว่า....ส่วนใหญ่ของเราแล้วจิตสำนึกของความเป็นเจ้าของไม่ค่อยมี ใครเปลี่ยนงานได้บ่อยเท่าไรถือว่ามีความสามารถเท่านั้น มันกลายเป็นว่าต้องไปหาความชำนาญในที่ใหม่ไปเรื่อย ๆ ต้องเสียเวลาไปศึกษางานใหม่ ต้องไปปรับเข้ากับสถานที่ใหม่ไปเรื่อย ๆ มันก็เลยพูดง่าย ๆ ว่านอกจากจะก้าวหน้ายากแล้วก็ลักษณะเหมือนกับที่เราบอกว่า ถึงเวลาก็หนีปัญหาทิ้งไปทำที่อื่นก็หนีไปไม่รู้จบ
              เพราะฉะนั้นของเราตอนนี้แก้ที่เรารับผิดชอบก่อน ภายใต้การรับผิดชอบของเราเท่าไหร่เราแก้เท่านั้น อย่าไปแบกโลกแทนคนอื่นเขา สมมุติว่านั่งโต๊ะติดกันแต่งานมันคนละส่วน ไอ้โน่นมันจะเละแค่ไหนปล่อยมันเราทำของเราให้ดีไว้ ผู้บริหารเขาจะมองเห็นเองว่าใครเป็นยังไง แล้วต่อไปถ้ามีโอกาสขยับขึ้นไปสูงกว่านั้นแล้ว เราก็ค่อยมาแก้ที่จุดที่เรายังไม่ได้แก้ แต่ว่าก่อนนั้นไม่ได้อยู่ใต้ความรับผิดชอบของเรา แต่ว่าตอนนี้อยู่ใต้ความรับผิดชอบของเราก็แก้ต่อไป อย่าใจร้อนนะถือว่าคนเราเกิดมาอายุนานหลายสิบปีค่อย ๆ ทำไปอายุสัก ๕๐ แล้วค่อยดีเราก็รอได้ (หัวเราะ)

      ถาม :  ....................
      ตอบ :  พระสุก พระใส พระเสริม พระบางใช่มั้ย ? พระสุกจมอยู่ที่เวินพระสุก พระใสอยู่วัดโพธิ์ชัย หนองคาย พระเสริมอยู่วัดปทุมวนาราม สระปทุมใกล้ ๆ กรมตำรวจ ส่วนพระบาง พระบางมีอยู่ระยะหนึ่งที่ฝนฟ้ามันแล้ง ราษฎรทูลเกล้าถวายฎีการัชกาลที่ ๔ ว่าหลวงพ่อพระบางทำให้ฝนแล้ง ก็เลยเอไปคืนลาวซะ ไม่งั้นลาวจะไม่มีพระพุทธรูปสำคัญเหลือเลย ตอนนี้พระบางอยู่ที่หลวงพระบาง จริง ๆ เวลาหน้าสงกรานต์นี่ เจ้ามหาชีวิตของลาวจะเป็นผู้นำอัญเชิญพระบางแห่ออกมาเพื่อให้ชาวบ้านได้กราบไหว้บูชา
              มาตอนหลังพอระบบพระมหากษัตริย์โดนคอมมิวนิสต์ล้มไป ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ประเพณียังเป็นปกติอยู่รึเปล่า แต่ว่าถ้าหากว่าเจ้ามหาชีวิต คือพระมหากษัตริย์ของเขายังอยู่นี่ จะเป็นผู้อัญเชิญพระบางออกมาทุกปี ศิลปล้านช้างนี่จะอยู่ราว ๆ โน่นยุคปลายอยุธยาต้นรัตนโกสินทร์ ก็คือว่าจะเป็นช่วงต่ออยุธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์
      ถาม :  ก็ไม่เก่ามาก
      ตอบ :  ไม่เก่ามาก จริง ๆ แล้วล้านนากับล้านช้าง เกี่ยวเนื่องแทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะว่าแต่งงานข้ามกันไปก็ข้ามกันมา แล้วมาพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ผู้ที่ถือว่าเป็นมหาราชของลาว จริงๆ แล้วครองเชียงใหม่อยู่ก่อนนานมากเลยหลายปีทีเดียว พอพม่าจะตีเชียงใหม่ ท่านเห็นว่าไม่สามารถจะต้านกำลังพม่าได้ ก็เลยหอบพระแก้วมรกตไปตั้งเวียงจันทน์ขึ้นมาแทน ลาวก็บอกว่าไทยขโมยพระแก้วไป ไทยก็บอกว่าลาวขโมยไปก่อน...(หัวเราะ)....ทะเลาะกันไปก็ทะเลาะกันมาอยู่นั่นแหละ
              แต่ตามประวัติพระแก้วมรกต เขาว่าต้องอยู่ถึง ๗ นครใช่มั้ย ? เท่าที่รู้ก็คือว่า ท่านเกิดขึ้นที่ปาฏลีบุตร แล้วก็มาปรากฎที่ลำปางไปอยู่เชียงใหม่ ไปอยู่เวียงจันทน์ แล้วก็มาอยู่หนองคาย แล้วก็มาอยู่กรุงเทพ คืออยู่เวียงจันทน์แล้วก็อัญเชิญมาพักที่หนองคายก่อน แล้วก็มาอยู่กรุงเทพ เอ๊ะ ๖ เท่ากับว่า ๖ เมือง
      ถาม :  แล้วก็ย้ายข้ามฝั่งไปธนบุรี ก็ ๗ แล้ว
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วเขานับว่า นับว่า ๖ เมือง เมืองที่ ๗ นี่เมืองใหญ่หน่อยเมืองรัชเซีย พระเจ้าซาร์นิโคลัสไง ท่านเสด็จมาเมืองไทย ท่านซี้ปึกกับรัชกาลที่ ๕ นี่ รัชกาลที่ ๕ เลยออกปากว่าในเมื่อสนิทสนมกันขนาดนี้ แทบจะถือว่าเป็นแผ่นดินเดียวกันเป็นทองแผ่นเดียวกันก็ว่าได้
              เพราะฉะนั้นท่านอยากได้อะไรที่เป็นของไทย ในฐานะพระเจ้าแผ่นดินไทย ท่านยินดีมอบถวายให้ ท่านเล่นขอพระแก้วมรกต (หัวเราะ) รัชกาลที่ ๕ ไม่นึกว่าจะเจอขนาดนั้น ก็คงสะอึกเหมือนกัน รัชกาลที่ ๕ ก็คงเห็นว่าในเมื่อตนเองเป็นกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ พระเจ้าซาร์นิโคลัสกล้าขอก็ให้เหมือนกัน พระเจ้าซาร์นิโคลัสคงซึ้งในน้ำใจ ขอของสำคัญขนาดนี้ยังให้ ก็เลยบอกเอ้า ถ้างั้นอะไรที่อยากได้ในรัสเซีย ต้องการก็จะให้บ้าง รัชกาลที่ ๕ ขอพระแก้วคืน (หัวเราะ) ตกลงว่านครที่ ๗ นี่ไปอยู่แป๊บเดียว
      ถาม :  ไม่ทันไปใช่มั้ยคะ ไปหรือยังคะ ?
      ตอบ :  ถือว่าไปล่ะ ถือว่าให้เขาแล้วถึงได้บอกที่บอกว่าต้องอยู่ถึง ๗ เมือง เห็นทีจะอยู่มาครบจริง ๆ หนองคายพระแก้วอยู่พักหนึ่ง เคยไปมั้ยวัดพระแก้วเก่า ปัจจุบันเป็นที่ทำงานของหน่วยปฏิบัติการตามลำน้ำโขงติดอยู่ชายน้ำเลย วัดกับเจดีย์เขาสร้างอยู่เป็นที่ประดิษฐานชั่วคราวก่อนที่จะทำพิธีอัญเชิญเข้ามากรุงเทพ
      ถาม :  สรุปว่าในแม่น้ำโขงที่เขาบอกว่าเขาเจอพญานาค พญานาคเนี่ยจริง ๆ นาคนั้นก็คือเป็นเทวดาที่เขามาให้เห็นหรือว่า ....?
      ตอบ :  นาคมี ๒ แบบ แบบที่เป็นเทวดา คือเทวดาชั้นจาตุมหาราชเหล่าที่เราเรียกว่า “นาคา” เหล่านี้จะเป็นบริวารของท่านท้าววิรูปักษ์ เวลาทำงานท่านจะปรากฏให้เห็นลักษณะของงูใหญ่ นี่ต้องถือว่าเป็นเครื่องแบบเวลาทำงานแบบเดียวกับบริวารของท่านท้าวเวสสุวัณ เวลาจะทำงานก็ปรากฏในรูปของยักษ์
              แต่จริง ๆ แล้วท่านสวยสะโอดสะองลักษณะคล้าย ๆ พรหม เพียงแต่ว่าเครื่องแต่งตัวไม่เหมือนพรหม ที่ท่านคล้ายพรหมเพราะส่วนใหญ่แล้วจะทรงฌานได้เพียงแต่ตอนตายลืมเข้าฌานไปตายอยู่นอกฌานซะ น่าจะหนาวแย่เลยนะ ตายนอกชานคราวนี้ อีกประเภทหนึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานกึ่งทิพย์ อย่างพวกครุฑ พวกนาคเหล่านี้ ถ้าประเภทเดรัจฉานกึ่งทิพย์พวกนี้เขาจะอยู่ในภูมิของเดรัจฉานเลย แต่ว่าบุญเก่าที่เสริมเอาไว้มากก็เลยทำให้มีทิพสมบัติเลยมีอะไรสามารถแปลงร่างเป็นคนได้ แต่ว่าสัญชาติของท่านจริง ๆ ก็คือสัตว์เดรัจฉาน
      ถาม :  แต่พวกนี้ก็คือ ถือกำเนิดจากสัตว์เดรัจฉานธรรมดา ?
      ตอบ :  ไม่ใช่จ้ะ เป็นโอปปาติกะ คือเป็นเดรัจฉานมีฤทธิ์เรียกได้ว่าอยู่ในสภาพกึ่งทิพย์ โอปปาติกะเกิดแล้วโตเลยไม่ต้องเสียเวลา
      ถาม :  แล้วมีร่างกายจับต้องได้มั้ย ?
      ตอบ :  ถ้าท่านให้จับก็จับได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าต้องการให้หยาบเสมอเรา คือต้องการปรากฏให้เราเห็น แสดงกายหยาบขึ้นมาก็จับได้ต้องได้ เทวดาก็เหมือนกัน ถ้าต้องการให้เราจับต้องได้ก็จับได้
              เคยจับดูเทวดาผู้หญิงเนื้อก็เหมือนกับผู้หญิงของเรานี่แหละ แต่ว่าเนื้อเป็นแก้ว ๆ เวลาจับเนี่ยลักษณะก็เหมือนกับเนื้อผู้หญิงคือนิ่ม ๆ เหมือนกัน ไม่ได้เจตนานะตอนนั้นตั้งใจจะจับเขาทุ่ม คว้าไปเจอเอวเต็มที่เลยแล้วเขาก็ประเภทจั๊กกะจี้ยักเอวยักไหล่ ก็เขาแกล้งเราก่อน ของเราตะแคงข้างภาวนา เขาบอกท่านี้ไม่ดีหรอก เขาก็จับหัวคนท้ายคนเปลี่ยนท่าใหม่ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมารำคาญก็ถีบมันซะ เขาจับขาไว้ ถีบซ้ายก็จับซ้าย ถีบขวาก็จับขวา เราก็เอ๊ะ จะทำยังไงมันดี ก็คว้าคนที่อยู่ทางหัวนอนทุ่มมันซะก่อน เอื้อมมือคว้าไปเต็มที่เลย ปัทโธ่ผู้หญิงนี่หว่าไอ้เราก็นึกว่าผู้ชาย
      ถาม :  แล้วตกลงได้ทุ่มหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  จะไปได้ทุ่มอะไรเล่า พอจับไปรู้ว่าเป็นผู้หญิงก็รีบปล่อยแล้ว (หัวเราะ) เขาไม่จับเราทุ่มก็บุญแล้ว