สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๖ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ถ้าเกิดว่าเรารู้ว่ามีคนมาแย่งของที่เรารักแต่เราเฉย แต่เขาไม่รู้ว่าเขามาแย่งของรักของเรา แล้วเราก็ยังทำอยู่ ?
      ตอบ :  จริง ๆ บาปคือทำชั่วด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ คราวนี้ของเราเราไม่ได้ทำนี่ ยกเว้นเราจะตั้งใจ กูจะไม่บอกมัน ให้มันลงนรกไปเลย อย่างนั้นเรามีโทษด้วย เพราะเป็นวิหิงสาวิตก คือจิตเราตรึกในการเบียดเบียนผู้อื่น แต่ถ้าไม่ได้คิดอย่างนั้น เราเองทำตัวเฉย ๆ หรือไม่ถ้าจะให้ดีไม่มีโทษคือ เออ...จะทำอะไรก็เชิญเถอะ อนุญาต อย่างนั้นเลยหมดเรื่อง เพราะถ้าเจ้าของอนุญาตคนอื่นก็ไม่มีโทษแล้ว
      ถาม :  ต้องวางตัวเป็นกลางใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  จะเรียกว่าเป็นกลางก็ไม่ได้ พูดง่าย ๆ อย่าพยายามให้ตัวเราต้องเป็นทุกข์โทษเวรภัยกับผู้อื่น แม้ด้วยกาย ด้วยวาจา หรือว่าด้วยใจเลย เพราะฉะนั้น...ถ้าไม่โกรธได้ก็ไม่โกรธ ไม่ด่าได้ก็ไม่ด่า ไม่ทำร้ายเขาได้ก็ไม่ทำร้าย เพราะอย่างนั้นก็ไปแสดงตัวให้หน่อยจ้ะ ฉันเป็นเจ้าของจ้า รู้แล้วคืนของฉันมาด้วยจ้า
      ถาม :  ถ้าเขาไม่ยอมคืนล่ะคะ ?
      ตอบ :  เขาไม่ยอมคืน คราวนี้รู้อยู่ชัด ๆ เกิดโทษเต็ม ๆ เลย
      ถาม :  โทษของเขาหรือคะ ?
      ตอบ :  ใช่จ้ะ เพราะอันดับแรกคือมีเจตนา อันดับที่สองลงมือทำ อันดับที่สามทำสำเร็จ คราวนี้ของเขาตอนแรกอาจจะไม่รู้ว่ามีเจ้าของ เจตนาไม่มี โทษก็ลดน้อยลงไปตามส่วน คราวนี้รู้แล้วยังทำนี่โทษเต็ม ๆ แน่ ๆ เลย
      ถาม :  ท่านพระคุณเจ้าได้กล่าวว่าผู้ที่ประกอบด้วยฉันทะ สวดมนต์ทั้งวัน ต้องเป็นผู้มีฌานใดฌานหนึ่ง คราวนี้มีอีกประการหนึ่งที่เขาเล่าให้ฟัง เขาใช้คำภาวนาเมื่อจิตซ่านออกไปก็กลับไปใช้อารมณ์พิจารณาในธรรมานุสติ จากนั้นกลับมาใช้คำภาวนาใหม่ พวกนี้มีฌานใดฌานหนึ่งหรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  อันนี้แน่นอนจ้ะ เพราะเวลาพิจารณาไปพิจารณาไป จิตจะดิ่งลึกเข้าไปในธรรมเรื่อย ๆ จะทรงฌานโดยอัตโนมัติไม่รู้ตัว พอเต็มที่ของมันจะภาวนาเอง เมื่อภาวนาเต็มที่มันคลายออกมาจิตเริ่มจะฟุ้งซ่านก็พิจารณาต่อไป อันนี้เขาทำถูกต้องเลย เพราะฉะนั้น...อย่างน้อย ๆ คนที่ทำอย่างนี้ได้ต้องเป็นปฐมฌานละเอียด ปฐมฌานหยาบยังจับไม่ติดขนาดนี้หรอก แสดงว่าไปเจอของดีเข้าแล้ว แถมเขาไม่คุยอวดซะด้วย
      ถาม :  คำว่า “ทำดีได้ชั่ว” อันนี้คนพูดกันมาก ตัวอย่างเช่น จุดธูปหมดไปหลายห่อแล้วไม่เห็นพระจะช่วยอะไรเลย อันนี้น่าจะมีสาเหตุมาจากสิ่งเหล่านี้ ๑. การไม่สามารถมองเห็นผลของความดีที่จะพึงมีในอนาคต ๒. การที่ถูกกระทำร้ายจากคนอื่น ๆ แล้วผู้ที่ทำร้ายมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ๓. การหวังผลเลิศในการทำความดีให้มีผลในบัดเดี๋ยวนั้น สรุปผลของการทำคุณงามความดีหรือความชั่วโดยปกติมีผลชาตินี้หรือชาติหน้าครับ ?
      ตอบ :  มีทั้งกรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน กรรมที่ให้ผลในชาติที่สอง กรรมที่ใหผลในชาติที่สาม ที่สี่ ที่ห้า จนกระทั่งถึงกรรมที่เป็นอโหสิกรรม แล้วแต่ว่าเราได้ทำหมวดใด กรรมที่ให้ผลในชาติปัจจุบันเลยจริง ๆ มีอยู่หมวดเดียว เรียกว่าครุกรรม คือกรรมอันหนัก มีทั้งฝ่ายกุศลคือความดี ฝ่ายอกุศลคือความชั่ว ผ่ายกุศลคือความดีมีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรก คือสร้างอภิญญาสมาบัติให้เกิดกับตัวเองได้ เมื่อสร้างอภิญญาสมาบัติให้เกิดกับตัวเองได้ ชาตินี้ตายอย่างไร ถ้าทรงฌานอยู่ได้โอกาสตกต่ำไม่มี ต่อให้ในอดีตสร้างกรรมไว้หนักขนาดไหนก็ตาม สามารถอาศัยกำลังของอภิญญาสมาบัติหนีรอดไปได้ชั่วคราว ประการที่ ๒ คือมีโอกาสได้ทำบุญกับท่านที่ออกจากนิโรธสมาบัติ ผลของการที่ได้ทำบุญกับท่านที่ออกนิโรธสมาบัติจะรวยในชาติปัจจุบันนี้เลย
              ส่วนอกุศล คือได้ทำกรรมที่เป็นอนัตนริยกรรม ๕ อย่าง คือฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต และทำสังฆเภทคือยุสงฆ์ให้แตกกัน และเขาแตกเรียบร้อยด้วยนะ ยุเฉย ๆ ยังไม่แตกยังไม่เยอะขนาดนี้ ถ้าห้าอย่างนี้ลงอเวจีมหานรกอย่างเดียว เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เขาเรียกอภิฐานคือฐานะอันหนัก เสร็จแน่ ๆ
              คราวนี้ส่วนอื่น ๆ จะให้ผลในชาติถัด ๆ ไป ตามกำลังของมัน แต่มีอรรถกถาจารย์ท่านเปรียบเอาไว้ว่า พวกครุกรรมเหมือนกับปลูกผักเห็นผลเร็วได้กินเร็วแต่ก็หมดเร็ว แต่ขณะเดียวกันถ้าทำเวทนียกรรมหมวดอื่น ๆ เหมือนกับปลูกผลไม้ยืนต้น เห็นผลช้าแต่พอได้ผลแล้วกินไปได้เรื่อย ๆ ถึงฤดูกาลก็ได้ จะได้ยาวไปเป็นระยะเวลานนานมากข้างหน้าโน่น ต่างกันอยู่นิดเดียว อยากได้เร็วแต่ได้ทีเดียว แต่ถ้าได้ช้าได้บ่อย ๆ เลือกเอาจะเอาอันไหน แต่ถ้ากรรมที่เราทำมีโอกาสทำให้หมดทุกอย่างโดยเฉพาะกรรมด้านดีนะ ไม่ใช่ทำทุกอย่างในด้านชั่ว ทำให้ทุกอย่างเถอะ แม้กระทั่งกตัตตากรรม กรรมที่ทำโดยไม่เจตนา ไม่ได้เจตนาเลยแต่ถึงเวลากรรมอื่นไม่ให้ผลกำลังของกรรมอื่นที่สูงกว่าไม่มี กตัตตากรรมก็ยังให้ผล ประเภทจับมือเด็กไหว้พระสาธุซะลูก เด็กไม่รู้เรื่องหรอกแม่ให้ธุกูก็ธุ แต่อันนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัยต่อไปในภายหน้า ถึงเวลากรรมดีส่วนนี้อาจจะวิ่งมาช่วยทันในวินาทีสุดท้ายที่เขากำลังลำบากอยู่ก็ได้
      ถาม :  ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน บัณฑิตฝึกฝนตนดีแล้วไซร้ เราจักได้ที่พึ่งโดยยากนั่นคือตัวเราเอง สิ่งที่ท่านได้กล่าวแล้วนั้นเป็นการจะไม่ให้พึ่งคนอื่น หรือในบางกรณีหรือไม่ขอรับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วคือว่าทุกกรณี ตราบใดที่เรายังคิดพึ่งพิงคนอื่นอยู่ ตราบนั้นเรายังยืนด้วยตัวเองไม่ได้ โบราณเขาว่ายังต้องยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจ อย่างไรก็ไม่สะดวกกับตัวเอง โดยเฉพาะในด้านการปฏิบัติ ถ้าเรายังหวังพึ่งพิงผู้อื่นโดยเฉพาะยังหวังพึ่งครูบาอาจารย์อยู่ไม่พยายามทำตัวเองให้หลุดพ้น ถ้าสิ้นครูบาอาจารย์เมื่อไรแล้วจะเคว้ง เจอมาหลายต่อหลายรายตอนครูบาอาจารย์อยู่ปฏิบัติดีมาก แต่พอขาดที่พึ่งแล้วไปไม่ถูก ทำต่อไม่เป็น ถ้ากำลังความดียังไม่มั่นคงทรงตัวก็พาลถอยหลังไปเลย ดังนั้นหากพึ่งตนเองได้เมื่อไรแหละประเสริฐสุด
      ถาม :  ท่านได้กล่าวไว้ว่า บารมีแปลว่ากำลังใจ ถ้าเข้มข้นจะใช้เวลา ๗ วัน บารมีอย่างกลาง ๗ เดือน บารมีอย่างอ่อน ๗ ปี ความเข้มข้นของบารมีเอาอะไรเป็นเครื่องวัด แล้วถ้าเราเข้มบ้างอ่อนบ้างอันนี้ใช้เวลากี่ปี ?
      ตอบ :  ใช้กำลังใจเป็นเครื่องวัด คำว่าบารมีแปลว่า กำลังของใจ แต่คราวนี้ถ้าใช้กำลังใจเป็นเครื่องวัด วัดกันลำบาก โดยเฉพาะคนบารมีอ่อนนี่โอกาสที่จะได้ทิพจักขุญาณ มีเจโตปริยญาน รู้กำลังใจตัวเองยาก เขาให้ใช้ทาน ศีล ภาวนา เป็นเครื่องวัด บารมีต้นให้ท่านได้แต่บอกรักษาศีล เจิรญภาวนาเขารู้ว่าหนักเกินกำลังเขาทำไม่ได้ บารมีกลางให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่บอกเจริญภาวนาเขารู้สึกเกินกำลังว่าทำไม่ไหว ต้องปรมัตถบารมีคือบารมีขั้นสูงสุด ถึงจะใช้กำลังใจในการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาไปได้ ให้ใช้ตรงนี้เป็นเครื่องวัด คราวนี้ประเภทอ่อนบ้างแก่บ้าง จริง ๆ อาจจะแก่แล้วแต่ความขยันยังไม่พอ ตัววิริยะคือความพากเพียรยังน้อย เพราะฉะนั้น...เพิ่มตัววิริยบารมีมากขึ้น เดี๋ยวก็ดีไปเอง
      ถาม :  ..................................
      ตอบ :  เล่มนี้เขารวมครูบาอาจารย์สมัยโน้นไว้ทั้งหมดเลย ปัจจุบันนี้ยังมีอยู่ ทองผาภูมิยังมีอยู่องค์หนึ่งเลย เดี๋ยวจะเปิดให้ดู พระครูภาวนาวิสุทธาจารย์ พระอาจารย์สาคร ธมฺมาวุโธ องค์นี้วัดเวฬุวัน จังหวัดกาญจนบุรี จริง ๆ อำเภอทองผาภูมิด้วย ท่านเป็นครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น
      ถาม :  ท่านได้กล่าวว่าทางโลกเราต้องเป็นนายกให้ได้ ในทางธรรมต้องเป็นพระอรหันต์ให้ได้ รวมความว่าเราจะได้นายกรัฐมนตรีที่เป็นพระอริยเจ้าด้วยครับ มีนักคิดท่านหนึ่งได้กล่าวว่า ความต้องการทางโลกเป็นเรื่องกระจอกบอย เพราะเมื่อเขามีความร่ำรวยพอสมควร สุดท้ายก็พยายามละทางใจ และกระทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อศาสนาอย่างเต็มที่ เรื่องนี้น่าสนใจมาก ตัวการทำหน้าที่ในทางโลก เราควรละทิ้งหรือไม่อย่างไรครับ ?
      ตอบ :  เขาให้โลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย ตัวอย่างชัดที่สุดคือพระเจ้ามหานามะ พระเจ้ามหานามะท่านเป็นกษัตริย์ของตระกูลศากยะ ท่านเองอยากจะออกบวช เพราะเป็นพระอนาคามี บอกพระอนุรุทธ เจ้าชายอนุรุทธน้องชาย บอกว่าให้เธอเป็นพระมหากษัตริย์แทนพี่จะออกบวชนะ เจ้าชายอนุรุทธถามเป็นกษัตริย์ต้องทำอย่างไรบ้าง บอกวิธีการปกครอง บอกอะไร ๆ หมด โอเคพอไหว คราวนี้บอกว่าต้องทำนา ต้องทำนาทำอย่างไร อันดับแรกก็ไถคราดก่อน เมื่อเธอไถคราดเสร็จเรียบร้อยแล้วต้องมีไถแปร เมื่อไถแปรเสร็จเรียบร้อยก็ไขน้ำเข้านา ไขน้ำเข้านาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เพาะกล้า เพาะกล้าแล้วก็ถอนกล้าไปดำ เมื่อดำเสร็จเรียบร้อยแล้วต้องคอยดูแลไม่ให้พวกหนู พวกแมลงมากินต้นข้าว ระยะนั้นต้องหาโอชะคือปุ๋ยมาใส่นาด้วย เมื่อข้าวตกรวงแล้ว แก่พอก็เก็บเกี่ยว เก็บเกี่ยวแล้วเก็บขึ้นยุ้งฉาง เมื่อถึงเวลาจะเอามากินต้องเอามาตำ มาขัดมาสี พระอนุรุทธได้ยินบอก ถ้ายากอย่างนี้ผมบวชพี่อยู่ต่อเถอะ อันนี้ชัดเลยใช่ไหม นั่นขนาดนพระอนาคามีแล้วนะ เขาอยากจะไปแต่ไปไม่ได้เลย อยู่ในลักษณะที่ว่า โลกต้องไม่ช้ำ ธรรมต้องไม่เสีย
              แต่ที่กล่าวมาเมื่อครู่ไม่ใช่ คุณตีความหมายผิด เขาบอกว่าถ้าในทางโลกต้องพยายามเป็นนายกให้ได้ ในทางธรรมต้องเป็นพระอรหันต์ให้ได้ หมายความว่าให้ดิ้นรนไปหาจุดที่สูงที่สุด ให้ตั้งเป้าหมายสูงที่สุดในชีวิต เผื่อที่ว่าในเมื่อจุดหมายเราสูงต้องใช้ความพยายามตะเกียกตะกายมาก ใช้ความพยายามมากถึงได้ไม่เท่าที่ต้องการแต่ก็ได้มาก มากพอชนิดที่หลายคนอาจจะต้องอิจฉาเราด้วย เหมือนอย่างกับขึ้นต้นไม้ ถ้าตั้งใจว่า เออ...กูเอาแค่กิ่งล่างนี่แหละวะ ตะกายหน่อยยังไม่ทันจะถึง หมดกำลังใจพอดีไม่ต้องขึ้นกัน แต่ถ้าคิดว่าเราจะต้องเอาให้ถึงยอดให้ได้ อย่างน้อย ๆ ได้ครึ่งต้นค่อนต้นมาก็ยังได้เยอะอยู่ ดังนั้นของเราตีความผิดไปนิดหนึ่ง ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีจะเป็นพระอริยเจ้า
      ถาม :  ผลของทานบางอย่าง ท่านว่าจะได้เกิดเป็นพระอินทร์ ผมานั่งคิดดูมีหลาย ๆ ท่านที่ทำบุญในลักษณะนั้น หลายท่านอยู่เหมือนกันและถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะต้องรอคิวกันนานพอดู เรื่องนี้คงไม่เป็นประเด็นมากนัก หากหลายท่านได้กล่าวว่าการทำบุญหวังผลเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ผมกลับมองว่าการทำบุญหวังผลเป็นเรื่องดี เพียงแต่หวังให้ถูก สรุปแล้วถ้าเราจะหวังผลในการทำกุศลหรือการให้ทาน เราควรจะหวังอย่างไรดี
      ตอบ :  จริง ๆ คือตั้งใจว่าผลบุญที่เราทำนี้ขอให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ตราบใดที่ยังไม่ถึงซึ่งพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่าข้อขัดใด ๆ อย่าได้เกิดขึ้นในการดำรงชีวิตเลย ขอให้เราเป็นผู้มีความเป็นอยู่คล่องตัว มีความปรารถนาสมหวังทุก ๆ ประการ คำว่าไม่มีขออย่าได้มีในชีวิตนับตั้งแต่บัดนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานง่ายดีไหม หวังผลอย่างนี้ แต่จริง ๆ แล้วการเกิดเป็นพระอินทร์ยากเข็ญที่สดุนะ เขาเพิ่งประชุมคัดเลือกพระอินทร์ไปไม่นา ไม่นานนี่เวลาข้างบน เวลาของเราก็หลายปีแล้ว เพิ่งประชุมคัดเลือกพระอินทร์องค์ต่อไปที่จะมารับแทนท่านปู่พังคราช พระอินทร์องค์ปัจจุบันปรากฏว่าค้นกันซะทั่วสวรรค์หายากเต็มที จนกระทั่งมาลงที่ปัญจสิกขเทพบุตร เลขาพระอินทร์ ต้องรับหน้าที่ต่อไป ท่านปู่พระอินทร์จะพ้นตำแห่งเข้าสู่พระนิพพานเมื่อสิ้นศาสนานี่ พระอินทร์องค์ต่อไปคือปัญจสิกขเทพบุตร การจะเป็นอินทร์ได้ต้องประกอบด้วยวัตตบถ คือการกระทำที่เป็นปกติอยู่ ๗ อย่าง แต่ละอย่างนี่ยากเย็นแสนเข็ญ อย่างเช่นต้องเป็นผู้ที่ไม่โกรธเลยตลอดชีวิต โห...ตั้งแต่เกิดมานี่ต้องไม่ว่าร้ายคน ต้องไม่คิดร้ายคนตลอดชีวิตเลย เป็นผู้เลี้ยงดูพ่อแม่เป็นปกติ เป็นผู้สงเคราะห์เพื่อนฝูงเป็นปกติ อย่างนี้ตายไหมล่ะ
              เพราะฉะนั้น...ใครคิดว่าเป็นพระอินทร์ง่าย ๆ คิดใหม่ เขาค้นหากันหกสวรรค์ชั้นฟ้าแล้วหาไม่ได้ จนในที่สุดเลขาคือปัญจสิกขเทพบุตรต้องรับไป ยกเว้นว่าในช่วงก่อนสิ้นศาสนานี้มีเทพบุตรท่านใดท่านหนี่งที่เกิดขึ้นข้างบนนั้น แล้วมีคุณสมบัติครบถ้วนก็อาจจะได้เป็นแทนท่านปัญจสิกขะไป แต่ตอนนี้อย่างไรของท่านปัญจสิกขะนี่เป็นว่าที่พระอินทร์แน่นอนเลย อันนี้พูดเรื่องที่เราไม่เห็นกัน เชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ แต่เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ข้างบนเขาเพิ่งเลือกกันไป แต่เพิ่งเลือกของข้างบน ข้างล่างผ่านมาหลายปีแล้ว ต้องเตรียมการแต่เนิ่น ๆ เพราะระยะเวลาแค่ประมาณ ๒,๐๐๐ ปีกับนิดหน่อยจะสิ้นศาสนาแล้ว แล้วเลาข้างบนนิดเดียว เพราะอย่างชั้นดาวดึงส์นี่ ๑ วันของเขาเท่ากับ ๑๐๐ ปีมนุษย์ มีเวลาไม่ถึงเดือนข้างบน ไม่รีบหาก็ไม่ได้เดี๋ยวหาไม่ทัน
      ถาม :  ..................................
      ตอบ :  อยัมปิโข กาโย ร่างกายนี้หนอ เอวังธฺมโม ปกติของมันเป็นอย่างนี้ เอวัง ภาวี สภาพของมันก็เป็นอย่างนี้ เอวัง อนตีโต ไม่อาจจะล่วงพ้นไปได้ กมฺมสฺสโกมฺหิ กมฺมท่ายาโท เราต้องมีกรรมเป็นทายาท
      ถาม :  พี่ที่ทำงานถามว่า ทั้งทำทาน ทั้งทำบุญ ทั้งนั่งกรรมฐาน แล้วทำไมไม่ดึงผลบุญส่วนนี้มาใช้ว่าเราต้องการสิ่งใด หนูเลยบอกว่า อันนี้ก็แล้วแต่เราทำกรรมอะไรมาหรือเปล่า ถึงเกิดมาเป็นแบบนี้ ไม่ได้มั่งมี แต่ลูกก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่เขาบอกว่าต้องเรียกออกมาใช้ได้สิ บางส่วนเราต้องการร่ำรวยอะไรแบบนี้ หนูบอกว่าไม่ได้คิดแบบนั้น ?
      ตอบ :  บอกเขาไปเลยจ้ะ ถ้าอยากแต่ยังทำไม่พอ สมมติว่าเราตักน้ำใส่แท็งค์ระดับน้ำยังไม่ถึงก๊อกที่เราจะเปิด อย่างไร ๆ ก็ไม่มีน้ำให้ใช้จ้ะ เพราะฉะนั้น....เติมน้ำต่อไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวพอถึงระดับก็ใช้ได้ ถ้าเต็มเลยก็ใช้นาน บอกเขาว่าอยากจะเรียกมาใช้เหมือนกัน แต่ฉันยังเติมไม่พอ
      ถาม :  อยากจะทราบบายศรีมีความสำคัญอย่างไรบ้าง ?
      ตอบ :  เป็นเครื่องแสดงออกซึ่งการเคารพสักการบูชาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะถ้าสายหลวงพ่อนี่เขาเหมาไหว้เอาตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา ไหว้พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระอรหันต์ทุก ๆ พระองค์ พรหมทุก ๆ พระองค์ เทวดาทุก ๆ พระองค์ พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ทุกท่านตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน คราวนี้จะว่าสำคัญไหม สำคัญมาก แต่ว่าเวลาใช้งานเราจะเห็นว่าแป๊บเดียว
      ถาม :  เราทำบายศรีนี่ใช่ที่สำหรับประทับขอ...ไม่รู้จะอธิบายว่าอย่างไร ?
      ตอบ :  ไม่ใช่จ้ะ ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายจ้ะ บอกว่าเราทำเพื่อเป็นเครื่องสักการบูชาท่าน ไม่ใช่แหม...เอายอดบายศรีแหลมเปี๊ยบ แล้วให้พระพุทธเจ้าประทับ นึกสิเป็นคนจะนั่งไหม ?
      ถาม :  รู้ว่าอานิสงส์ดี แต่อธิบายไม่ถูก ?
      ตอบ :  บอกว่าสิ่งใดก็ตามที่ตั้งใจทำเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา สิ่งนั้นจะมีอานิสงส์ประมาณไม่ได้ ท่านใช้คำว่า พุทโธ อัปปมาโณ ธัมโม อัปปมาโณ สังโฆ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ประมาณไม่ได้ ไม่มีอะไรมาชั่งตวงวัดได้ เยอะเกินไป เรื่องอย่างนี้อย่าไปเถียงกับใครนะจ๊ะ เพราะถ้าไปในลักษณะพูดวาจาให้เถียงกันขึ้นมา อธิบายให้จะแจ้งไม่ได้เขาไม่เข้าใจ เกิดปรามาสพระรัตนตรัยขึ้นมาเป็นโทษแก่เขาด้วย สงสารเขาเถอะ ชี้แจงได้ก็ชี้แจงไป ชี้แจงไม่ได้ก็บอกความรู้ไม่ถึงถามอาจารย์ก่อน
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ใช่ เหมือนกันหมด คือถ้ายังไปไม่ถึงก็อาจจะมีข้อโต้แย้ง แต่พอไปถึงแล้วก็นิพพานอันเดียวกัน หลวงปู่คำแสนนี่มี ๒ คำแสนจ้ะ หลววงปู่คำแสน วัดป่าดอนมูล สันโค้ง อ.สันกำพง เขาเรียกหลวงปู่คำแสนเล็ก หลวงปู่คำแสน วัดสวนดอก เขาเรียกหลวงปู่คำแสนใหญ่ ถ้าหลวงปู่คำแสนใหญ่ บอกไม่ถูก ทั้ง ๒ องค์เขาว่ารอยยิ้มพระอรหันต์ ดูท่านยิ้มเถอะ
      ถาม :  .....................
      ตอบ :  เรื่องขอคำสาบาน เกี่ยวข้องกับบุญกับบาปของเราเหมือนกัน ถ้าสาบานไปแล้วผิดคำสาบาน ถ้าช่วงนั้นช่วงกฎของกรรมเข้ามาพอดี ก็หงายเก๋งเลย แต่ถ้าช่วงนั้นบุญยังดีอยู่ ยังชะลอไปพักหนึ่งจ้ะ รอช่วงบาปเข้าเมื่อไรโดนแน่ ๆ จ้ะ โอ๊ย...ผิดกันเยอะเลย สมัยก่อนคนมีศีลมีธรรมเขาถึงได้กลัวกันนักกลัวกันหนา ประเภทที่ว่าถือน้ำพิพัฒน์สัตยาแล้วก็มอบกายถวายชีวิตกับเจ้าเหนือหัว สมัยนี้ไม่ค่อยมีศีลมีธรรม เป็นห่วงเหมือนกันแหละ บุญหมดเมื่อไรซวยจริง ๆ นะ
      ถาม :  .........................
      ตอบ :  นักการเมืองสมัยนี้เขาบอกกรรมติดจรวด ความจริงไม่ได้ติดจรวดหรอก มันไปผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับในหลวง ก็สมควรโดนอยู่จ้ะ ระวังไว้ด้วยแล้วกัน ขึ้นศาลแล้วเขาให้สาบานก่อน
      ถาม :  ................................
      ตอบ :  เราเองเป็นนักปฏิบัติ ต้องพยายามทบทวนดูว่าเรามีจุดบกพร่องตรงไหน แล้วก็แก้ไขตรงจดุนั้น ถ้าเราแก้ไขจุดบกพร่องของเราได้ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะมีมาก อ๋อ...อย่าคิดว่าครูบาอาจารย์ระดับนั้นไม่ทำ ท่านทำเหมือนกันคนได้นี่หวงใจขาดเลย หลวงปู่มั่นในชีวิตท่านเคยทำตะกรุดให้เขาเหมือนกัน แต่ว่าโยมเขาเดือดร้อนจริง ๆ ตอนนั้นท่านเลยช่วย แล้วทำด้วยทองคำด้วยนะ แสดงว่าตำราของท่านคงคล้าย ๆ กับหลวงพ่อ คือของหลวงพ่อท่านบอกว่าวัตถุมงคลถ้าทำด้วยวัตถุที่สูงค่าเท่าไร เทวดาที่ช่วยรักษาต้องมีอานุภาพมากเท่านั้น นั่นน่ะหลวงปู่มั่นท่านเขียนตะกรุดทองคำให้โยมเฉยเลย
              เพราะฉะนั้น...พระธรรมยุติที่ใคร ๆ เห็นว่าท่านปฏิบัติบริสุทธิ์จริงเป็นที่ยอมรับกันทั้งประเทศและต่างประเทศ แต่ท่านก็ทำ แต่พอระยะหลัง ๆ ท่านเห็นว่าคนจะต้องการแค่นั้น ท่านต้องการจะเน้นเอาผลของการปฏิบัติ ท่านเลยหยุดเรื่องวัตถุมงคลมาสอนอย่างเดียว แต่คราวนี้ถ้าตามสายของหลวงพ่อแล้วคนเยอะ คนเยอะแต่ระดับของแต่ละคนไม่เท่านกัน ประเภทเด็กน้อยยังต้องเกาะโน่นเกาะนี่อยู่มากก็ทำให้เขา คนไหนต้องการธรรมะหลวงพ่อก็มีธรรมะให้
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  องค์นี้ชัวร์แน่ ๆ ผมไปเจออยู่ข้างบน ขึ้นไปกราบพระที่ข้างบน ไปเจอพระชราองค์หนึ่ง หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส น่ารักมากเลย รูปร่างคล้าย ๆ กิ่งกาญจน์นี่ ก็ไปกราบท่าน “พระเดชพระคุณอยู่ที่ไหน ชื่ออะไรครับ ?” ท่านบอก “ผมชื่อหลวง ฉายา กตปุญโญ ถามดูเถอะมีคนพอรู้จักอยู่หรอก” ที่ไหนได้ดังระเบิด ใครว่าพอรู้จัก เพียงแต่เราหูป่าตาเถื่อน ไม่รู้จักท่านเอง
      ถาม :  ผมพบกระทู้สองคนเขาถามตอบกัน คุณศิษย์ไม่มีครูถามว่า “เขาสงสัยว่าท่านหนึ่งที่สอนหลบไปเลี่ยงมาเกี่ยวกับสวรรค์นรก เขาบอกว่า เขามีปัญญาน้อยคงไม่เข้าใจในบทความนั้น แล้วคิดว่าท่านผู้นั้นจะเป็นอริยเจ้าในสายสุกขวิปัสสโกหรือไม่” คุณคนไม่มีความรู้ตอบว่า “เรื่องนี้ผมไม่มีความรู้มากนัก แต่ยึดตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่าการตายมีสภาพไม่สูญ เรื่องสวรรค์ในอกนรกในใจอันนี้ไม่ใช่เป็นเพียงโวหารพรรณา สภาพของพระอรหันต์สุกขวิปัสสโกตามที่ผู้มีคุณได้กรุณาเล่าให้เขาฟัง คือท่านไม่สามารถเห็นได้แต่รู้ว่าสภาพพระนิพพานมีอยู่” คุณศิษย์ไม่มีครูตอบมาว่า “ท่าทางคุณคงไม่ใช่ไม่มีความรู้หรอกตอบได้แบบนี้” ที่เขาคุยกันในเว็บไซต์เท็จจริงเป็นประการใดครับ ?
      ตอบ :  พระสุกขวิปัสสโกจริง ๆ อาตมายืนยันที่บอกว่าท่านไม่มีความรู้ไม่มีความสามารถอะไรไม่ใช่ เจอมาด้วยตัวเอง พระอภิญญาดี ๆ นี่เอง เพราะส่วนใหญ่ของเราพระอภิญญาเราหมายถึงผู้ที่ได้อภิญญาจากรากฐานของกสิณ ๑๐ สามารถแสดงฤทธิ์ได้ แต่ว่าอิทธิวิธิ หรือว่าวกุพพนาฤทธิ์ แค่ฤทธิ์ ๑ ใน ๑๐ อย่างเท่านั้น พระที่ท่านเป็นสุกขวิปัสสโกยังมีฌานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากฌานสมาบัติ เพราะจะเป็นพระอรหันต์อย่างน้อยต้องทรงฌานสี่คล่องตัว เอาชัวร์ ๆ เลย แต่ของท่านท่านพิจารณาธรรมจนกระทั่งกลายมาเป็นฌานสี่ บางครั้งท่านยังไม่รู้ตัวเองได้ฌานสี่แต่บรรลุไปแล้ว แล้วยังมีอธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากความตั้งใจมั่น ยังมีบุญฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากการสั่งสมความดี ดังนั้นท่านทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าต้องการอภิญญาอะไรตั้งใจจริง ๆ จะได้ จะเป็นตามนั้น อาตมาเองเห็นท่านเรียกฝนเอาดื้อ ๆ ต่อหน้าต่อตาเพื่อช่วยชาวนาที่กำลังเดือดร้อนเนื่องจากว่าฝนทิ้งช่วงข้าวจะตาย เห็นต่อหน้าต่อตา ขณะเดียวกันบางครั้งท่านก็มานั่งบรรยายเป็นฉาก ๆ ว่าลูกศิษย์ท่านแต่ละท่านวันนั้นทำอย่างนั้น วันนั้นทำอย่างนี้ แอบไปถามตรงหมด เพียงแต่ท่านทั้งหลายเหล่านี้สามารถทำได้เพราะกำลังใจท่านตรงแล้วเหมือนกับท่อน้ำ ในเมื่อปิดท่อย่อยซะจนหมดแล้วก็เหลือแต่ท่อตรงท่อเดียวกำลังแรงพอ ในเมื่อแรงพอจะทำอะไรทำได้ทั้งนั้น ถามว่า “ทำไมท่านไม่ฝึกอภิญญา ?” พระระดับนั้นท่านหมดอยากแล้ว เพราะอภิญญาเป็นของเด็กเล่น แต่ทำไมถึงทำได้ก็เนื่องจากว่ายังมีฤทธิ์อื่น ๆ อีกตั้ง ๙ อย่างที่ไม่วิกุพพนาฤทธิ์ หรืออิทธิฤทธิ์ สามารถที่จะใช้งานได้เหมือนกัน ดังนั้นท่านทั้งสองที่เถียงกันนั่นน่ะ ท่านหนึ่งก็ถ่อมตัว ส่วนอีกท่านหนึ่งที่ฟังไปฟังมา เฮ้ย...เป็นนี่นา เลยเกิดสงสัยขึ้นมา ดูท่าบอกไม่มีความถ้าจะไม่จริงซะแล้ว