ถาม:  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ช่วงนี้เจ้าบัวกำลังวัยรุ่นอยู่ ทำอะไรจะรุนแรง บางครั้งความคิดของเราตามไม่ค่อยทัน ต้องใจเย็นเยอะ ๆ โกรธไม่ได้ พ่อแม่กับวัยรุ่นอย่างที่ว่า คนหนึ่งฮอร์โมนกำลังเพิ่ม มันยุ่ง คนหนึ่งฮอร์โมนกำลังลด ยุ่งอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้น...เราจะสังเกตว่าส่วนใหญ่พ่อแม่ที่มีลูกวัยรุ่นมักจะมีปากมีเสียงกันเยอะ บางครั้งทะเลาะกันตีกัน ทำร้ายร่างกายกัน บ้านแตกสาแหรกขาดไปเลยก็มี เพราะฉะนั้น...ต้องใจเย็นเยอะ ๆ
      ถาม :  เล่นเกมทั้งวันเลยสองคน แต่พอถึงเวลาเอาสมุดพกมาให้ดู ได้ ๓.๘ แน่ะ พูดไม่ออก ไม่รู้จะว่ามันอย่างไร ?
      ตอบ :  เรื่องอย่างนี้ว่าไม่ได้หรอก เพราะสมัยหลวงพ่อเรียนอยู่ก็ดูแต่การ์ตูน ทางบ้านจะประสาทกิน แต่สอบทีไรได้ที่หนึ่งทุกที จนกระทั่งบอกว่าถ้าไม่ได้อ่านการ์ตูนสอบไม่ได้ที่หนึ่งหรอก
      ถาม :  มีเรื่องเล่าของบุคคลหนึ่งได้เล่าให้ฟังถึงสภาพการบริหารงานของปั๊มเจท ที่ต่างจากปั๊มอื่น ๆ คือปั๊มเจทเป็นบริษัทที่ลงทุนด้านปั๊มน้ำมันและบริหารเอง แต่ปั๊มอื่น ๆ จะเป็นบุคคลใช้เงินลงทุน แต่จะใช้ชื่อของยี่ห้อน้ำมันนั้น ๆ ปัจจุบันปั๊มเจทมีเจ้าของเป็นชาวต่างชาติ มีส่วนแบ่งการตลาดคือมีผู้ใช้บริการน้ำมันมากกว่า ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ทำให้ปั๊มอื่น ๆ มีคนใช้น้อยลง หรือบ้างก็เจ๊งไปเลย คนเขาอยากจะเข้ากันแต่ปั๊มเจท เขาเล่าอีกว่า เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เขาจึงชอบเข้าไปใช้ปั๊มน้ำมันที่มีคนน้อย ๆ เพราะสงสารเจ้าของปั๊ม จนคนอื่นงงว่าทำไมไม่เข้าปั๊มเจท คำถามห้าข้อ ข้อหนึ่ง ความคิดของเขาจะมีประโยชน์หรือไม่ ? ข้อสอง การให้ทานจะต้องอาศัยเมตตาด้วยหรือไม่ ? ข้อสาม สติสัมปชัญญะในการให้ทานควรตั้งใจอย่างไร ? ข้อสี่ หลังจากที่ได้ทำทานแล้ว การชื่นชมในทานที่ตัวเองได้กระทำแล้วจะมีผลอย่างไรบ้างครับ ? ข้อห้า ขณะให้ทานจะถือว่ามีศีลอยู่หรือไม่ ?
      ตอบ :  ไล่จากว่า เนื่องจากปั๊มเจทลูกค้ามาก แล้วคน ๆ นี้เขาเลยไปเข้าปั๊มอื่นแทนเพราะสงสารกลัวจะเจ๊ง ถามว่า “มีผลไหม ?” ก็มีอยู่ เพราะอย่างน้อย ๆ ก็เพิ่มลูกค้าให้กับปั๊มใกล้ ๆ จะเจ๊งเพิ่มขึ้นอีกสักคนเหนึ่ง แต่อันที่ดับที่สองคือว่าตัวเขาเองน่ะ ตัวเมตตากรุณาของเขาเต็มอยู่แล้ว แมตตารักผู้อื่นเสมอด้วยตัวเอง เห็นเขาเป็นลักษณะอย่างนั้นก็กรุณาสงสาร อยากให้เขาพ้นทุกข์ คราวนี้ในลักษณะของการทำทาน ตอนช่วงที่ทำ ศีลต้องมีแน่นอน ศีลมีแน่นอนเพราะช่วงนั้นเราไม่ได้ฆ่าใคร ไม่ได้ลักขโมยใคร ไม่ได้ผิดลูกเมียใคร ไม่ได้โกหกใคร ไม่ได้กินเหล้า ตั้งใจให้จริง ๆ แล้วคนที่ให้ทานประกอบด้วยเมตตาบารมีเป็นปกติอยู่แล้ว คนที่มีเมตตาบารมีเป็นปกติ ศีลจะทรงตัวเป็นอัตโนมัติ อันนี้เป็นเรื่องที่เรียกว่าผลที่จะต้องได้เลย
              ส่วนการให้ทานยึดหลักง่าย ๆ ว่า อย่าให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน เพราะมีทั้งจาคานุสติ และมีทั้งทานบารมี จาคานุสติ นี่แค่คิดว่ามีโอกาสเราจะให้ ถ้าสมมติว่าเราให้แล้วตัวเราเดือดร้อน หรือว่าคนที่บ้านเดือดร้อน หรือคนรอบข้างเดือดร้อน ก็แค่คิดว่าเออ...ถ้าโอกาสมีมาถึงโดยที่ทุกคนไม่เดือดร้อนเราจะให้ ต้องมีสติสัมปชัญญะเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นถ้าให้โดยที่ไม่ดูตาม้าตาเรือตัวเราเดือดร้อนหรือคนรอบข้างเดือดร้อน ก็ไม่ใช่เป็นทานที่ดีจริง
              แต่ในขณะเดียวกันมีบุคคลประเภทหนึ่ง ประเภทนี้เขาเรียกว่าพระโพธิสัตว์ ต่อให้ตัวเองตายก็ขอให้ได้ทำ ประเภทเห็นเสือจะกินลูกกวางอย่างนี้ โดดลงไปให้เสือกินแทน อย่างนี้ตัวเองเดือดร้อนแน่ ๆ เป็นอาหารเขาไปแล้วนี่ ขณะเดียวกันคนรอบข้างก็เดือดร้อนแน่ ๆ สูญเสียคนในครอบครัวไป แต่ท่านทั้งหลายเหล่านี้กำลังใจของท่านเกินพวกเรา ในเมื่อเกินพวกเราสิ่งที่ท่านทำเป็นปกติของท่าน แต่ไม่ใช่ปกติของเรา ให้ทานเมตตาต้องมีเป็นปกติอยู่แล้ว เนื่องจากมีเมตตาศีลก็มีเป็นปกติอยู่แล้วด้วย
              ส่วนที่ปั๊มเจทการบริหารดีเพราะเขาไม่ได้เน้นขายน้ำมัน เขาไปเน้นห้องน้ำ กับตลาดสะดวกซื้อ ห้องน้ำเขาสะอาด และตลาดสะดวกซื้อของเขานี่เอาอะไรที่ต้องการในช่วงนั้นมีทั้งนั้น และอีกอย่างผลพลอยได้คือเขาขายน้ำมันถูกกว่าปั๊มปกติทั่ว ๆ ไปอยู่ ๒๐ สตางค์ต่อลิตร ปั๊มเจทจะถูกกว่าปั๊มอื่น ๒๐ สตางค์ แต่อย่าไปเปรียบเทียบกับพวกพวกทีพีไอนะ ทีพีไอบ้าลดซะ ๔๐ สตางค์ อันนั้นเป็นวิธีการค้าของเขา แต่ปั๊มเจทเขาไปเน้นตรงนั้เนพราะที่แน่ ๆ แทบทุกปั๊มของเขาจะมีทั้งที่พักผ่อน นั่งเล่น ห้องน้ำห้องส้วม และตลาดสะดวกซื้อของเขา เลยกลายเป็นว่าในเมื่อเขามาเน้นจุดนี้ เขาแย่งชิงลูกค้าไปได้มาก โทษเขาไมได้ หลักการบริหารหลักการทำงานของเขานี่คนอื่นสามารถเลียนแบบได้ แต่ส่วนใหญ่ไม่ยอมลงทุนมากอย่างนั้น ของเราเห็นโฆษณาเราคนไทยไปใช้บางจาก ถ้าบางจากแพงนักก็ไปแวะปั๊มที่ถูกกว่าก็ได้
      ถาม :  คำถามนี้เกี่ยวกับเรื่องเอเปก เนื่องในวันงานเอเปก ขับรถอยู่พอดี มีขบวนศพผ่านข้างหน้าไป จึงได้ข้อสรุปว่า ก่อนเอเปกคนก็ตาย หลังเอเปกคนก็ตาย ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อราชพรหมยานได้กล่าวว่า ความตายไม่มีนิมิต ไม่มีเครื่องหมาย ถ้าเราอยากรู้ตัวล่วงหน้าก่อนตายสักเจ็ดวันต้องทำอย่างไรบ้างครับ ?
      ตอบ :  การที่จะรู้ตัวล่วงหน้าก่อนตายต้องทรงอานาปานสติให้เป็นปกติ หมายความว่าเราต้องมีการภาวนา จิตใจอยู่กับการภาวนา จับลมหายใจเป็นปกติ จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ แต่ต้องให้มี เอาเป็นว่าจิตใจต้องให้ทรงตัวกับการภาวนา ถ้าทำได้นะ ประเภทเช้าสักชั่วโมง เย็นสักชั่วโมง ทรงตัวเป็นปกติไป จะไม่รู้เจ็ดวันหรอก บางครั้งรู้ล่วงหน้าหลาย ๆ ปีเลย คนที่ทรงอานาปานสติเป็นปกติสามารถรู้เวลาตายของตัวเองได้ทุกคน
              แต่ของอาตมานี่แย่หน่อยนะ ดูทีไรเพิ่มขึ้นทุกที ระยะสุดท้ายเลยเลิกดูไปเลย ตอนแรก ๆ ดูรู้ว่าตัวเองอายุยี่สิบกว่า ๆ จะตาย คราวนี้ไปสร้างเวรสร้างกรรมท่าไหนไม่รู้ เพิ่มมาเรื่อย ๆ มาดูตอนครั้งสุดท้ายแปดสิบกว่าเลยเลิกดู เดี๋ยวดูเดี๋ยวแถมให้อีก ไม่ไหว ของเราคล้ายกับเป็นเบ๊ ท่านต้องการเก็บเอาไว้ใช้ เลยบวกไปเรื่อย ถ้าขืนดูต่อเดี๋ยวได้อีก ไม่ดูแล้ว เลิก จำไว้เลยนะ ใครอยากรู้เวลาตายตัวเองต้องภาวนาจับอานาปานสติให้เป็นปกติ ถ้าทำเป็นปกติอารมณ์ทรงตัวได้ทุกวัน ๆ จิตใจจะใสสะอาด การรู้เวลาตายเป็นเรื่องง่าย
      ถาม :  ข้อสาม คำว่าแฟชั่น ผมไม่รู้ความหมายว่าเป็นประการใด แต่เดาเอาว่าน่าจะเป็นการเปลี่ยนรูปมาจากคำว่า fascinate แปลว่าหลงใหล อย่างที่เราใส่เสื้อผ้า ถือว่าเป็นปัจจัยสี่ ท่านว่ามีจุดประสงค์หลายอย่าง บางครั้งขณะใส่หรือจัดหาเสื้อผ้ามีอารมณ์ฟุ้งไปว่า ถ้าผมแต่งได้หล่อ ๆ อาจจะมีเมียสักคน รวมความว่าจุดประสงค์เราใส่ไปทำไมครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ถ้าเอาตามบาลีพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “ใส่เพื่อป้องกันความน่าละอายใส่เพื่อกันความร้อน กันความหนาว ใส่เพื่อป้องกันลิ้นยุงไม่ให้มาเบียดเบียนตัวเรา” นี่คือจุดประสงค์จริง ๆ ของการใช้เสื้อผ้า แต่เนื่องจากว่าธรรมชาติของสัตว์โลกจะต้องสืบพืชพันธุ์เพื่อดำรงค์เผ่าพันธุ์ของตัวเองให้ยืนนานไป ก็มีการที่จะเพิ่มเติมจากความต้องการปกติของการใช้ผ้าผ่อนท่อนสไบขึ้นมาเป็นการพยายามสร้างจุดดึงดูดเพศตรงข้ามขึ้นมา เพื่อให้เกิดการดึงดูดใจ เสร็จแล้วจะมีการประเภทที่เรียกว่า ถ้าใช้ภาษาอย่างที่ทั่ว ๆ ไปคือมีการผสมพันธุ์เพื่อที่จะขยายพันธุ์ต่อไป ตรงจุดนี้แหละที่ทำให้ต้องมีศีลข้อห้ามขึ้นมา ศีล ๘ ซึ่งเป็นศีลพรหมจรรย์ว่าห้ามตกแต่งตัวเอง การห้ามตกแต่งตัวเองด้วยสิ่งสวย ๆ งาม ๆ เพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม ถ้าเราแต่งหน้าจนชิน ถึงเวลาถ้าไม่ได้แต่งแล้วรู้สึกเก้อเขินออกจากบ้านไม่ได้ ออกจากบ้านไม่เป็น ต่อให้ถือศีล ๘ อยู่ก็แต่งได้ เป็นการแต่เงพื่อเอาใจสังคม เราเองรู้อยู่แล้วว่าแต่งไปก็เท่านั้น แต่ตอนนี้โทรมเต็มทีแล้ว อะไรอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นไม่ถือว่าผิดศีล ๘ แต่คนไม่รู้จะปากเสียว่าเอาได้ การแต่งแล้วผิดศีล ๘ จริง ๆ คือแต่งเพื่อไปยั่วเพศตรงข้าม ดังนั้นกำเนิดของแฟชั่นจริง ๆ คือเกิดจากการที่ต้องการจะสืบทอดเผ่าพันธุ์ของเรานี่แหละ พวกสัตว์ต่าง ๆ ของเขามีประเภทรำแพนหางอวดกัน สร้างสีสันอวดกัน ของคนเราต้องอาศัยแฟชั่นไปอวดกัน
      ถาม :  นักวิชาการกล่าวกันว่า ประเทศไทยรับเอาวัฒนธรรมจากต่างชาติ แต่ผมคิดว่า ไม่ใช่คำว่า วัฒนธรรม ผมแปลเองว่า ธรรมที่พัฒนาแล้วหรือ tradition แต่ผมกลับเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่วัฒนธรรมแต่เป็นค่านิยมหรือ human value แต่ถ้าจะเป็นอะไรก็ตาม มีคำกล่าวที่น่าสนใจ ลูกหลานทั้งหลาย บัดนี้เราได้นำความคิดอันดีงามมามอบให้ คือเมื่อการที่เธอยังเยาว์วัยอยู่ เธอจงรักษากิริยาน่ารักด้วยการฝึกฝนหาคู่ครองเอาไว้เป็นการหยั่งเชิงในวิสัยของผู้ใหญ่ และร่างกายของเธอยังไม่พร้อมที่จะมีสัมพันธ์ทางเพศได้ การแสวงหาความรักตั้งแต่เยาว์เยาว์จะเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยิ่ง จากนั้นเธอจงนำเงินมาคนละ ๑๐๐ บาท เพื่อบริโภคภาพยนตร์ของเราด้วยประโยชน์ ๒ อย่าง คือหนึ่ง จะทำให้เราเกิดความร่ำรวยอันเกิดจากความคิดอันดีที่เรามอบให้ สอง การบริโภคภาพยนตร์ของเราย่อมทำให้จิตของเธอมีความสุข เมื่อจิตของเธอมีความสุข เธอย่อมมีสุคติเป็นที่ไป ได้แก่สวรรค์และพรหมเป็นต้น ดังนี้แล้วคุณค่าของเงิน ๑๐๐ บาท เทียบไมได้กับสิ่งที่เธอได้รับ และเธอจงฝึกฝนหาคู่ครองในวัยเด็กให้ได้ ถามว่า ภาพยนตร์ที่บอกให้รีบหาแฟน ความคิดนี้เป็นอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ไม่จำเป็นหรอกที่ต้องไปเชื่อตามภาพยนตร์ มนุษย์เราหรือว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีสัญชาติญานของการกิน สัญชาติญานของการนอน สัญชาติญานของการหลบภัย สัญชาติญานของการสืบพันธุ์เป็นปกติอยู่แล้ว เขาบอกว่า ต่อให้เอาเด็กแรกเกิดผู้ชายคนหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งไปซ่อนเอาไว้ในถ้ำ แล้วคอยส่งอาหารเข้าไปเรื่อย ๆ อยู่ในลักษณะจนกระทั่งเขาโตเป็นหนุ่มเป็นสาว รับรองได้ว่าจะต้องมีลูกแน่นอน
              เพราะฉะนั้น...เรื่องนี้คือสิ่งที่เขาว่ามาอาจจะไปเพิ่มความอยาก อยากรู้อยากเห็นในเรื่องเพศของวัยรุ่นมากขึ้น ในบางส่วน แต่บุคคลที่ปฏิบัติดีปฏิบัติถูกต้อง มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เขาจะรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร อย่าลืมว่าภาพยนตร์สร้างมาเพราะต้องการที่จะขายให้ได้ ในเมื่อขายให้ได้ต้องมีการโฆษณาเพื่อกระตุ้นให้คนสนใจ คราวนี้นั้นเป็นแค่การโฆษณาของเขาอย่างหนึ่งเท่านั้น
      ถาม :  เรื่องของคนในร่างเดียว บิดามารดาเขากล่าวว่า “ดูสิ ลูกข้างบ้านหรือบ้านนั้นเขาดีจังเลย” บุตรจึงตอบว่า “เขาดีก็รับเขาเป็นลูกซะเลย” อีกกรณีหนึ่งกล่าวว่า “ทำไมหนอ พ่อแม่คนอื่ไม่เป็นเหมือนกับพ่อแม่ของเรา ?” บิดามารดาจึงกล่าวว่า “ถ้าเห็นคนอื่นดีกว่า ก็ย้ายไปอยู่บ้านเขาซะเลย” รวมความว่าทั้งสองกรณีนี้เป็นไปไม่ได้ ผมรู้สึกประทับใจที่ท่านพระคุณเจ้าได้กล่าวถึงเรื่องการทำหน้าที่ของตน และนึกถึงเรื่องสมัยพุทธกาลที่กษัตริย์ได้ให้กำเนิดบุตรจึงเข้าใจและรู้สึกถึงความรักของบิดามารดาตนที่ไปขังคุกไว้ คำถาม ๔ ข้อครับ ข้อที่ ๑ การเข้าใจในเหตุผลของคนอื่น ๒. การใคร่ครวญถึงเหตุของปัญหานั้น ๓. การยอมรับนับถือสภาพความเป็นธรรมดา ๔. ความอดทนต่อแรงบีบคั้นโดยกฎของกรรม และความอดกลั้นต่อแรงบีบคั้นของกิเลส ทั้ง ๔ เรื่อง นี้ควรวางใจอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วกำลังใจทุกอย่างควรจะวางเป็นกลาง เป็นกลางภาษาพระท่านเรียกว่า อัพยกตารมณ์ แต่เนื่องจากว่าคนทั่ว ๆ ไปแล้วไม่สามารถที่จะสร้างกำลังใจแบบนั้นได้ทุกคน พระพุทธเจ้าท่านถึงได้บอกว่าต้องมีธรรมะ คือความข่มใจ มีขันติ คือความอดทน ท่านใช้คำว่า ฆราวาสธรรม คือธรรมะที่เหมาะแก่ฆราวาสที่จะปฏิบัติเพื่อที่จะอยู่ได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ครอบครัวจะแตกแยก อยู่ร่วมกันไม่ติด ประเภทลูกประชดพ่อแม่ พ่อแม่ประชดลูกอย่างที่เมื่อครู่ว่ามานั่นน่ะ เพราะขาดตัวข่มกลั้นอดทนต่อการดำเนินชีวิต เลยลำบากเดือดร้อนมองหน้ากันไม่ค่อยจะติด บางครั้งทะเลาะกันบ้านแตก เด็กกลายเป็นเด็กเร่ร่อนไปเลยก็เยอะ
      ถาม :  เรื่องกว่าจะเจอลมหายใจ คนหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า เขาใช้เวลากว่า ๒ ปจึงสามารถเห็นลมหายใจตนเอง เขาบอกว่า ๒ ปีกว่า จึงได้จะได้เห็นลมหายใจ เขายังบอกอีกว่า เขาไม่ได้เป็นผู้ทรงฌาน เพียงแต่เพิ่งจะมองเห็นลมหายใจของตนเองได้ คำถามคือ จากที่เขาเล่ามานั้น ความเพียรสองด้านคือความเพียรในโลก ประกอบสัมมาอาชีพหนึ่ง ความเพียรที่จะฝึกฝนกำลังใจตัวเองให้ดีขึ้น ทั้งสองอย่างนี้เราควรทำใจอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ถ้ากิจเกี่ยวกับทางโลก ต้องนึกอยู่เสมอว่าเราไม่มีวันตาย ต้องนึกเสมอไม่มีวันตาย พยายามตั้งหน้าตั้งตามุ่งไปสู่จุดหมายของตนเองให้ได้ แต่ถ้าเกี่ยวกับการปฏิบัติทางธรรม ให้คิดอยู่เสมอว่าเราต้องตาย เสร็จแล้วก็พยายามลดละ วางในสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายให้ได้ ต่างกันอยู่นิดเดียว ถ้าเราดำเนินชีวิตในทางโลก ปราชญ์ท่านบอกว่า “อย่าคิดว่าเราจะตาย พยายามสร้างสิ่งต่าง ๆ ให้มีให้มากที่สุด เพื่อความสะดวกของตัวเราเองและคนในครอบครัว” แต่ถ้าในทางธรรมให้คิดอยู่เสมอว่า “จะตายแล้ว เสร็จแล้วความพอดีมันอยู่...จบ”
      ถาม :  ........................................
      ตอบ :  ตีแค่หลัก ๑๐ ล้าน เครื่องประดับชิ้นหนึ่งราคา ๙๐ ล้าน ถ้าตีเป็นหลักพันล้านก็ราคา ๙,๐๐๐ ล้าน เครื่องประดับชิ้นหนึ่งแพงขนาดนั้น แกรวยขนาดไหน แต่ยังค้าขายอยู่ตามปกติ ทำมาหากินตามปกติ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า สัมมาอาชีวะ คือการปฏิบัติตนทำมาหากินโดยถูกต้องตามศีลตามธรรม ไม่ถือว่าเป็นการโลภ คนโลภคือการที่อยากได้แล้วไขว่ขว้ามาผิดศีลผิดธรรมอย่างไรก็เอา ถ้าอย่างนั้นถึงจะเรียกว่าโลภ ดังนั้นถ้าจุดพอดีของมันจริง ๆ คือให้มีศีลเป็นกรอบ
      ถาม :  คำนี้นำมาใช้ให้เกิดแรงดึงดูดในศัพท์ฟุตบอล พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้แปลคำว่าสาวกว่าผู้ฟัง ในเรื่องเล่าท่านกล่าวว่า บารมีระดับพระสาวกต้องใช้เวลาหนึ่งกัป อย่างไหนท่านจึงเรียกว่า พระสาวก เพราะถ้าแปลดังนั้นแล้วผู้ฟังคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่าจะเป็นสาวกด้วย หรือเรื่องนี้เท็จจริงเป็นประการใดครับ ?
      ตอบ :  จริ งๆ แล้วคนละอย่างกัน ถ้าสาวกในความหมายของภาษาบาลี คือผู้เชื่อฟังและปฏิบัติตามศาสดาของตน เขาถึงเรียกว่าสาวก คราวนี้การใช้คำสมัยนี้เป้นการใช้คำชนิดที่เรียกว่าให้เข้าใจกันง่าย ๆ สาวกผีแดง คือแฟนที่นิยมทีมแมนยู ดังนั้นลักษณะของการกระตุ้นโฆษณาต่าง ๆ ทั้งหมดก็ลงตรงที่สร้างจุดขายให้คนสนใจมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่จริงแล้วจะเรียกว่าสาวกไม่ได้หรอก น่าจะเป็นผู้คลั่งไคล้มากกว่า ถ้าจะเอาสาวกจริ งๆ ตามภาษาบาลีคือผู้ที่เชื่อฟังและปฏิบัติตามศาสดาของตน
      ถาม :  คำว่า ตัวตนและจิตวิญญาณที่ใช้ในปัจจุบันกลายเป็นภาษากวีและศิลปะ กระผมเองไม่รู้ความหมาย แต่ความหมายที่เห็นโดยทั่วไปที่คนเขาใช้อยู่นั้น คำว่าตัวตนจะใกล้เคียงกับคำว่า existing ซึ่งหมายถึงความมีอยู่จริงของสิ่งนั้น คำว่าจิตวิญญานกลับไม่ได้หมายถึงคำว่า nerverse ประสาทสัมผัส แต่กลับใช้ในความหมาย imagine คือจินตนาการ รวมความการแสดงออกถึงตัวตน คือการแสดงสิ่งที่มีอยู่ในตนเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงความดีหรือความชั่ว มีคำกล่าวว่าของจริงนิ่งเป็นใบ้ สรุปเรื่องของผู้รู้ท่านต้องนิ่งเป็นหิน และไม่พูด ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ จริง ๆ คือคนรู้จริงมักจะไม่โอ้อวด แต่โดยลักษณะของการปฏิบัติแล้วมีอยู่ ๔ อย่างด้วยกัน พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเอาไว้บอวก่า เหมือนกับหม้อใส่น้ำ ท่านบอกบุคคลบางประเภทเป็นหม้อเปล่าแต่เปิดคือรู้ว่าตนเองไม่มีความดี แต่ไม่ปกปิด แสดงให้เขารู้อยู่ รู้ชัดเลยว่า ตัวเองไม่มีอะไร อีกประเภทหนึ่งเป็นหม้อเปล่าแต่ปิด หม้อเปล่าปิดนี่คือไม่มีอะไร แต่ยังคงวางมาดอยู่หน่อย ๆ เหมือนอย่างกับว่ากูมี อีกประเภทหนึ่ง หม้อเต็มเปิด ประเภทนี้มีความรู้ตามปกติ แล้วสามารถที่จะเล่าแจ้งแถลงไขอะไรให้กับคนอื่นได้ ลักษณะที่ว่าท้าพิสูจน์ อีกประเภทหนึ่งเป็นหม้อเต็มแต่ปิด คือรู้จริงแต่ว่าไม่พูด จนกว่าจะไปแงะปากกันจริง ๆ ท่านถึงจะพูด เพียงแต่ว่าลักษณะของจริงนิ่งเป็นใบ้ ถ้าพูดได้ยังไม่จริงนั่นน่ะ หมายความคนรู้จริงมักจะไม่โอ้อวด
      ถาม :  คำว่าดัดจริตเป็นคำด่าของคนสมัยเก่า จะมีความหมายที่ไม่ดี แต่จริต ๖ ในทางศาสนาคงไม่ได้มีความหมายทำนองนั้น เหตุใดท่านจึงต้องแบ่งจริตของคนออกเป็น ๖ อย่าง ?
      ตอบ :  การแบ่งจริง ๆ ไม่ได้แบ่งหรอก ธรรมดาของคนมีธรรมชาติอย่างนั้นอยู่แล้ว จริต ๖ อย่างคือ พุทธจริต คือมีความฉลาดเป็นปกติ โทสจริต มักโกรธเป็นปกติ ราคะจริต รักสวยรักงามเป็นปกติ วิตกจริต เป็นคนคิดไม่ค่อยจะตก ตัดสินใจไม่ค่อยจะได้เป็นปกติ ศรัทธาจริต มีความเชื่อความศรัทธาเป็นปกติ โมหะจริต มีความหลงเป็นปกติ ทุกคนจะมีจริตคือสภาพจิตที่เป็นอย่างนี้ แต่ตัวใดตัวหนึ่งที่เด่นขื้นมาจะเรียกว่าเป็นคนที่มีจริตอย่างนั้น
              ส่วนคำว่าดัดจริต ภาษาโบราณเขาน่ะหมายความว่าสภาพของตัวเองเป็นอย่างนี้ แต่พยายามเสแสร้งให้เป็นอีกอย่างหนึ่ง เลยใช้คำว่าดัดจริต คือดัดหรือว่าแกล้งทำให้เป็นไป การที่เรียกว่า ทำไมถึงบัญญัติเอาไว้ ทำไมมี ๖ อย่าง จริง ๆ ไม่ต้องไปบัญญัติ มันเป็นสภาพธรรมชาติของมัน แต่ท่านแยกแยะให้รู้ว่า ธรรมชาติของมัน ๖ อย่างประกอบด้วยอะไรบ้างแค่นั้นเอง