สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๖ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ตอนนี้เวลาไปห้างเขาเปิดเพลงจะปวดหัว แล้วเมื่อสองวันนี้แฟนโรแมนติกอะไรไม่รู้ มาเกาะกอดคอ เราแต่งงานกันมานานนะ รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกว่านอนคนเดียวสบายดี เพราะช่วงนี้หนูไอ เขาจะนอนไม่หลับ เขาจะแยกไปนอนกับหมา ?
      ตอบ :  เซ็งไปเลย
      ถาม :  แต่ให้มาพูดหวาน หนูรู้ว่าควรจะพูดว่าดีอะไรอย่างนี้ ?
      ตอบ :  ดีทุกอย่าง แต่งกับคุณโชคดีที่สุดเลย หาคนดี ๆ อย่างนี้ยากเหลือเกิน แหม...พูดไม่ออก
      ถาม :  พูดไม่ออก แถมหน้าร้านข้าวต้มพอดี แหม...บรรยากาศโรแมนติกมาก...!
      ตอบ :  สมัยก่อนช่วงปฏิบัติหนัก ๆ อยู่ อายุยังไม่ ๒๐ ถึงเวลาวัดท่าซุงมีงานก็รีบไป จะออกจากบ้านประมาณตี ๒ ตี ๓ เผื่อมาขึ้นรถที่สายใต้เที่ยวแรก และถึงอุทัยตอนเช้า ๆ ช่วยงานหลวงพ่อก่อน คราวนี้พอดีเดินผ่านจะมีร้านข้าวต้มโต้รุ่ง โห...กระจายเต็มโต๊ะเลย ส่วนใหญ่กับข้าวจะมีถั่วลิสงคั่ว ผักบุ้งไฟแดง ปลาหมึกแห้งตัวเล็ก ๆ ทอด บางทีขวดเอย แก้วเอย กระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง บางทีอ้วกกองเบ้อเร่ออยู่บนโต๊ะ เดินผ่านเสร็จ อืม...จริง ๆ คนเราที่ไม่รู้นี่น่าสงสาร เพราะใจของเขาไม่มีที่ยึด ในเมื่อใจไม่มีที่ยึด ตัวเองเวลาไปกินไปเที่ยวกับเพื่อน จิตเกิดปีติขึ้นมา รู้สึกว่ามีความสุขที่ได้ทำอย่างนั้น แต่เป็นปีติที่ไม่ยั่งยืน เพราะต้องกระตุ้น กระตุ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทายกาย ทางใจด้วยสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าเสียงเพลงก็ดี ไม่ว่าจะเป็นเหล้ายา บุหรี่อะไรก็ตาม เสร็จแล้วถึงเวลากลับบ้าน นอนตื่นขึ้นมากินเมาก็ประเภทแฮงค์โอเวอร์ เมาจะตายชัก ปวดกะโหลกมาอีก พอถึงเวลาเย็นหงุดหงิดอยู่ไม่ได้แล้ว ต้องไปหาเพื่อนอีก ที่ไปเพราะรู้ว่าไปแล้วดี แต่ไม่รู้ว่าที่ดีเกิดขึ้นเพราะอะไร กลายเป็นปีติที่กระตุ้นขึ้นมา เพราะวงสังคมในลักษณะอย่างนั้น
              แต่ในขณะเดียวกันในทางธรรมของเราเวลาเราปฏิบัติไปภาวนาไปทำความดีไปถึงระดับหนึ่ง ปีติเกิดขึ้นมั่นคงยั่งยืนอยู่ในใจของเรา ทำให้ไม่รู้เบื่อไม่รู้หน่ายในการปฏิบัติความดี พอจิตมีที่ยึดมั่นคง เรารู้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ดีแน่ ปฏิบัติแล้วจะได้อย่างไร ถึงเวลาเราตายเราก็ไปนิพพาน ความแกล้วกล้าอาจหาญ กล้าทำโดยไม่อายใคร ใครจะว่าบ้าไปแล้วเพี้ยนไปแล้วก็ตามเรื่องของมัน พอดูในลักษณะอย่างนั้น
              ในขณะเดียวกันตัวเราเองเดินฝ่ากลุ่มของเขาไป ต้องเดินผ่านอย่างนั้นกว่าจะมาขึ้นรถได้ เห็นแล้วลดใจ เออ...ถ้าเราไม่มีหลวงปู่ หลวงพ่อ เราก็เป็นแบบมันนี่แหละ ตอนนี้เรามีหลวงปู่หลวงพ่อแล้ว ก็ไม่แน่ว่าเราจะพ้นได้ เพราะถ้าเราไม่สามารถไปเป็นเทวดา เป็นพรหม ไปนิพพานได้อย่างที่เราต้องการ ต่อให้เป็นเทวดาพรหมอาจมาเกิดในลักษณะอย่างนี้อีก ถ้าเกิดในลักษณะอย่างนี้ยังถือว่าโชคดีเพราะได้เป็นคน แต่ถ้าตกลงไปในอบายภูมิ เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน จะย่ำแย่กว่านี้กี่เท่า เดิน ๆ ไปเกิดความรู้สึกอย่างนี้ขึ้นมา ก็ใช้วิธีพิจารณาไปเรื่อย ๆ ชอบที่สุดก็ป้ายรถเมล์ ชอบจริง ๆ เลย ชอบไปยืนดูคน โห....หน้าแต่ละคนไม่ได้มีความสุขเลย แต่ละคนหงุดหงิด ร้อนรุ่มวุ่นวาย บางคนชะโงกแล้วชะโงกอีก ผุดลุกผุดนั่ง บางคนดูนาฬิกาแล้วดูนาฬิกาอีก เหมือนกับว่ารถคันที่ตัวรอไม่มาซักที มากี่คัน ๆ ไม่ใช่ที่ตัวเองรอสักคันหนึ่ง พวกที่มาเอา ๆ ถึงเวลาต้องการไปสายนั้นก็ไม่มาอีก ดูแล้วเขาร้อนรุ่น ทุกข์ทนกระวนกระวายอยู่ตลอดเวลา ดูหน้าของเขาเสร็จเรียบร้อย ความรู้สึกที่อยากจะเป็นฆราวาสหายไปเลย เวลานั่งรถผ่านป้ายรถเมล์ชอบมองหน้าคนอยู่ป้ายรถเมล์ เห็นเลยว่าทุกคนยืนอยู่บนกองทุกข์ ที่เบียดกันอยู่บนรถเมล์นั้นก็อีก โอ้โฮ...ร้อนก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อยกว่าจะไปถึงที่ทำงาน กว่าจะทำงานและกำลังจะกลับบ้าน
      ถาม :  ขันธ์ ๕ ?
      ตอบ :  มีแต่พาให้หนักขึ้นเรื่อย ๆ
      ถาม :  ยิ่งแต่งงานซึ้งมากเลยค่ะ แต่ต้องทำให้ดีที่สุด แต่เข้าใจขึ้น มีช่วงหนึ่งเราไม่เข้าใจ คิดว่าทำไมต้องเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้พอแยกได้ก็เรื่องของมึง คนละคนกันอะไรแบบนี้ ?
      ตอบ :  การปฏิบัติสำคัญตรงเอาจริงเอาจังและทำให้ต่อเนื่อง ถ้าไม่เอาจริงเอาจังยากที่จะเกิดผลสำเร็จ ถ้าไม่ทำให้ต่อเนื่องผลงานก็ไม่มี พอผลงานไม่มีความก้าวหน้าไม่เกิด ก็มานั่งงง เอ๊ะ...เราทำมากี่ปี ๆ ทำไมไม่ได้ดีสักที ส่วนใหญ่การปฏิบัติของเราหมายถึงตอนนั่งใช่ไหม ? ความจริงจะยืน เดิน นั่ง นอน ทุกอิริยาบถต้องอยู่กับการปฏิบัติทั้งหมด นั่งแล้วอารมณ์ดีแค่ไหน ตอนยืน ตอนเดิน ตอนทำงานอ่านต้องดีเท่านัน ทำอย่างไรที่จะรักษาอารมณ์ให้ดีอย่างนั้นได้
      ถาม :  .........................
      ตอบ :  เขาไม่เข้าใจคำว่า “ฉันทะ” ฉันทะความพอใจอยากจะทำอย่างนั้น เรารู้ว่าทำแล้วดี เออ...บุญกฐินเป็นบุญที่หาได้ยาก เป็นบุญใหญ่ เป็นสังฆทานที่จำกัดด้วยเวลา โอกาสจะทำแต่ละปีน้อย วัดที่เรามีโอกาสรู้จักมักคุ้นอยากจะทำกฐินก็น้อย เราอยากทำก็ตะเกียกตะกายไป แหม...เที่ยงคืนตีหนึ่ง คนอ่านได้แต่มองพวกนี้บ้า เที่ยงคืนตีหนึ่งแทนที่จะนอน มันขับรถไปต่างจังหวัดกัน ไปลิบเลย
      ถาม :  อยากอธิบายเรื่องกฐินผ้าป่าให้เขาฟังอย่างกระชับ ตรงที่เข้าใจง่ายที่สุด ?
      ตอบ :  กฐินกับผ้าป่า จริง ๆ แล้วเหมือนกัน แต่กฐินจำกัดด้วยเวลา ในแต่ละปีอนุญาตให้ทำแค่ข่วงเดือนเดียว คราวนี้เดือนเดียวการนับทางจันทรคติมีแค่ ๒๙ วัน กลายเป็นว่ากฐินมีบุญมากกว่าเยอะ เพราะความดีได้ทั้งพระทั้งโยม พระนอกจากได้เปลี่ยนจีวรเก่าแล้ว คนที่รับกฐินแล้ว ได้รับอนุญาตให้ผ่อนผันสิกขาบท คือศีลได้อีกตั้งหลายข้อ จากที่เคยต้องทำเต็มที่ก็ผ่อน ๆ ไปได้บ้าง ส่วนของญาติโยมได้ทำบุญที่ทำได้ยาก อานิสงส์ก็มาก ดีทั้งพระดีทั้งโยม
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  เป็นวิธีแก้ง่วงที่โหดมากจ้ะ สมัยก่อนก็เหมือนกัน คุณแดงไปเชียงใหม่ ๕ วัน ๕ คืน ง่วง ถ่างตาไม่ไหว คนอื่นหลับสบาย มีแต่เรากับโชเฟอร์เท่านั้นถ่างตากันอยู่เป็นวันเป็นคืน คุณแดงบอกแก้ง่วงดีกว่าหลวงพี่ ว่าแล้วก็ดับไฟหน้า ทิ่มหัวเข้าหาตูดรถทัวร์ข้างหน้า เกาะติดไปเลยพอดับไฟ เกาะติดไป ต้องระวังมากกว่าปกติ เพราะมองอะไรไม่ค่อยเห็น หายง่วง แล้วรถทัวร์ก็รู้ท่า รถเล็กดูดติดก้นมา อย่างนั้นแสดงว่าไม่ไหวแล้ว ก็ช่วย ไม่ว่าจะเป็นเลี้ยวซายเลี้ยวขวา แซงเผื่อเราหมด ให้สัญญาณเผื่อทุกอย่างเลย เข้าท่าดีเหมือนกัน เขาเอื้อเฟื้อดี ตอนนั้นเล็กเป็นคนขับ ตอนนั้นแดงไม่ว่างเล็กขับ คราวนี้เราถ่างตาไปสามวันแล้ว พอคนอื่นหลับอยู่ ของฃเรากับหมอเพชรช่วยกันคุยเป็นเพื่อนคนขับ คราวนี้พอไม่ไหวจริง ๆ บอกท่านชาติชายกับพี่รุ่งเรือง เฮ้ย...๒ คนมาแทนบ้างสิ เราจะไปพักบ้าง เราไปถึงข้างหลังเขานั่งข้างหน้า เราขึ้นข้างหลังนั่งยังไม่ทันเสร็จเลย ข้างหน้าคอพับไปทั้งคู่เลย บอก “พอ ๆ ๆ กลับมานั่งที่เดิมเลย ตูไปเองก็ได้” เราต้องยอมทนถ่างตาต่อ คือสำนึกความรับผิดชอบของเขาไม่มี ในเมื่อไม่มี ตัวเองง่วงก็นอนเลย คนขับประเภทจะลงเขาลงห้วยก็ปล่อยแบบนี้
              ส่วนคุณแดงนี่แสบสุด ๆ เลย หลับตาใส ๆ เลย พอดีทางช่วงจากตากมากำแพงเพชรมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ตรงแน่วเลย แล้วตรงลงเขาท่าเดียวเลย เราก็เอ๊ะ...ปกติแดงคุยไม่หยุดปาก อยู่ดี ๆ เงียบไปเฉย ๆ มองหน้าตามันจ้องเป๋งไปข้างหน้าอย่างเดียว เอ๊ะ..หลับหรือเปล่าวะ สังเกตดูอีกหน่อยหนึ่ง ต้องหลับแน่ ๆ เลย แต่มือเท้าเกียร์เข้าได้ดี เหยียบเบรกได้ เหยียบครัชได้ ลองเอามือจับขาดู มันสะดุ้งเฮือก ชัดเลย...หลับแน่ ๆ เลย บอกให้เข้าปั๊ม ไปพักสักหน่อย บอกว่าหลับขับไปได้ ๒๐-๓๐ กิโลเมตร ยังดีนะ เขายังรู้ตัวอยู่ แต่ประสาทไม่ค่อยทำงาน เพราะตอนที่เขาทำทัวร์อยู่ เขาขับรถหาลูกทัวร์ไปทางด้านเชียงดาว ฮิลล์ รีสอร์ทอยู่ เขาบอกพอเลี้ยวเข้าโรงแรม จอดรถเสร็จเรียบร้อย สะดุ้งตื่นมาดับเครื่อง หลับมาตลอดทางไม่รู้เรื่อง แต่เนื่องจากความเคยชินขับรถมาตลอด พารถมาได้ พอไปถึงหน้าโรงแรม เขาก็รู้ นี่ถึงแล้วก็ตื่นมาดับเครื่อง แต่คราวนี้ไม่ได้ตื่นเหมือนปฏิบัติ ถ้าจิตตื่นเหมือนปฏิบัติ ร่างกายทำงานปกติ แต่ไอ้นี่ร่างกายหลับ แต่ตัวรู้ยังไม่ตัดการรับรู้ ยังรู้อยู่ ขำที่สุดคือ ตื่นขึ้นมาเพื่อดับเครื่อง บอก “แหม...ถ้าเป็นเราก็หลับพับอยู่ตรงนั้นให้เครื่องติดจนน้ำมันหมดไปเอง”
              เที่ยวที่ยังใช้สปอร์ตไรเดอร์อยู่ ทางข้างหน้าโรงแรมริเวอร์แคว รีสอร์ทจะเป็นทางชัน เป็นทางยาวแล้วรถก็ต่อกัน ๕ คัน ๖ คัน แซงก็แซงไม่ได้ คราวนี้เรากำลังเร่งขึ้นเนินด้วย ถ้าไปเบรกก็เสียจังหวะเสียความเร็วหมดเลย บอกแซงยาวไปเลย คราวนี้พอแซงยาวปรากฏว่าหัวแถว ๒ คัน ดันเป็นสปอร์ตไรเดอร์ด้วย แต่เป็นรุ่นเก่าไม่ได้เป็น D4D รุ่นที่เราใช้ พอเราแซงพรวดไปกลางเนิน มันยัวะใหญ่ มันนึกว่าท้าลอง คราวนี้มันไล่บี้อุตลุดเลย ต้องแซงทั้งขบวน
      ถาม :  ...........................
      ตอบ :  ไปได้เรื่อย ๆ อาจารย์ที่อยู่ตอนนั้นยังไม่เป็นสถาบันราชภัฏ เป็นวิทยาลัยครูนครสวรรค์ เขาฝึกมโนมยิทธิได้ใหม่ ๆ คราวนี้อาจารย์ทำแบบหลวงพ่อบอก คือทำแบบเด็กโง่ ๆ พระหรือเทวดาบอกอย่างไร ให้ทำอย่างนั้น คราวนี้พอสี่ทุ่มกว่าห้าทุ่ม ฝนตก ๆ ด้วย หลวงปู่ปานบอกว่า “ให้ขับรถไปวัดท่าซุงเดี๋ยวนี้เลย” แกขับรถไปเดี๋ยวนั้นเลย คราวนี้ผู้หญิงขับรถคนเดียวทางสายเอเชีย สิบล้อตั้งเท่าไร แล้วฝนตกหนักแทบมองไม่เห็น แทนที่จะบอกให้ลดความเร็วลงกลับบอกให้เพิ่มความเร็วขึ้น แกเหลือบดูไมล์ เฮ้ย...ร้อยกว่าแล้วเว้ย พอหลวงปู่บอกว่าขวานิด แกก็หักขวานิด เอ้า...คืนซ้ายได้แกก็คืนซ้าย เขาบอกว่ารถที่วิ่งฝ่าฝนด้วยความเร็วระดับนั้น เห็นไฟท้ายแดงวูบเป็นจุดวูบเป็นจุดที่แกแซงไปเท่านั้นเอง อย่างอื่นแกไม่รู้เลย แปลว่าแกแซงรถไปเท่าไรต่อเท่าไร โดยที่แกเองมองทางไม่เห็นน่ะ เชื่อตามที่หลวงปู่บอกอย่างเดียว พอเสร็จแล้ว หลวงปู่บอกหักซ้ายเต็มตัว แกก็หักซ้ายรถพุ่งโครมลงกลางนาไปเลย ลุยฝนลุยโคลนไปกลางนาจนกระทั่งไปเจอทางลูกรังขวางอยู่ข้างหน้าไต่ขึ้นไป เอ้า...กลับขึ้นถนนได้จอดซะหน่อย จอดถาม “นี่เชื่อหลวงปู่ขนาดนี้เลยหรือ ?” บอกว่า “เชื่อเจ้าค่ะ” บอก “ถ้าหากว่าเจ้าตายตอนนี้ ?” “ถ้าตายตอนนี้ก็ไม่กลัวเพราะเชื่อว่าหากทำตามหลวงปู่อย่างน้อยก็ต้องได้ดี” บอกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านได้” พอกลับบ้านได้ ให้อาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย บอก “นอนได้แล้วลูก” พอนอนปุ๊บหลวงปู่ก็ดึงไปเลย ไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ทั้ง ๆ ที่ตัวเองฝึกมาแบบครึ่งกำลัง คราวนี้ฝึกแบบครึ่งกำลังแล้วท่านทำถูก ทำถูกตรงจุดที่ว่าพระหรือเทวดาบอกอะไรให้เชื่อตามนั้น โฮ้โฮ...แล้วเป็นผู้หญิงกล้าขนาดนั้น จะตายตอนไหนก็ไม่รู้ วิ่งฝ่าฝนไปความเร็วร้อยกว่ายังไม่พอ แซงรถโดยที่ไม่รู้ว่ารถมีกี่คัน
      ถาม :  ตอนนี้ยังมีชีวิตไหมคะ ?
      ตอบ :  ยังอยู่ มาระยะหลังนี่แกมีความคล่องตัวมาก จะทักจะทายอะไรถูกหมด ตอนนั้น พันเอกณรงค์ กิตติขจร กำลังเริ่มตั้งพรรคการเมืองพอดี นั่นน่ะเขาเป็นสส.อยุธยา เลยเชิญตัวไปเป็นที่ปรึกษาพรรค ให้เงินเดือนสองแสน แกบอก “ไม่เอา” ถ้าเป็นสมัยนี้คุณทักษิณไปเชิญ แกน่าจะเอานะ
      ถาม :  .................................
      ตอบ :  บอกไม่ถูก แล้วแต่เหตุปัจจัยเฉพาะหน้า อาตมาไม่ได้ติดที่ ออกจากวัดท่าซุงมา ๑๑ ปี เปลี่ยนมา ๗-๘ วัดแล้ว ท่านสั่งให้ทำตรงไหนก็ทำตรงนั้น ทำเสร็จก็ทิ้งไว้ให้เขาไปต่อเลย ของเราก็ไปแบบโง่ ๆ เหมือนกัน ถึงเวลาทำเสร็จแล้วก็ไป
      ถาม :  คนที่ดวงตกนี่เป็นอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  คือเขาจะปรากฏตัวต่อเมื่อ สำหรับคนที่คิดว่าจะช่วยเขาได้ การปรากฏตัวของเขาแต่ละครั้งนี่ต้องใช้พลังงานสูงมาก ที่จะดึงเอาอณูของดิน น้ำ ลม ไฟ ในบริเวณกนั้นมารวมกันให้สายตาเราเห็นเป็นร่างหยาบได้ คราวนี้เขาใช้พลังงานสูงมากก็เหมือนกับการลงทุน ในเมื่อลงทุนแล้วก็ควรได้ผลตอบแทนบ้าง ถึงจะลงทุน เพราะฉะนั้น...ถ้าคนที่สามารถช่วยเขาได้ เรียกว่ามีบุญกุศลเพียงพอที่เขาต้องการจะขอได้ เขาถึงจะปรากฏตัวให้เห็น ไม่ใช่ดวงตกนะ น่าจะเรียกว่าดวงดีมากกว่า
      ถาม :  เป็นอัตโนมัติ พอเขามา เรากลัวเราก็จะสวดมนต์ ?
      ตอบ :  ลักษณะนั้น
      ถาม :  รับไม่ได้ ?
      ตอบ :  ใช้วิธีตั้งใจสิ ว่าเราขออุทิศส่วนกุศลให้แก่ท่านทั้งหลายที่ตลอดเส้นทางในวันหนึ่งนี้ คือจะเป็นอากาศเทวดา รุกขเทวดา ภุมเทวดาหรือท่านที่เป็นสัมภเวสี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานใด ๆ ก็ดี ขอให้เธอโมทนาในส่วนกุศลที่เราบำเพ็ญแล้วและอุทิศให้ เราได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เธอทั้งหมดได้รับด้วย เหมาโหลไป