ถาม:  มีอยู่คราวหนี่ง หมาอยู่ข้างถนน รถทุกคันวิ่งผ่าน มันก็ไม่วิ่งเข้ามาก็รออยู่ คันนี้คันเดียววิ่งเข้าใส่เลย ?
      ตอบ :  คือของพวกนี้จริง ๆ ต้องมีเวรมีกรรมเนื่องกันมา ถ้าไม่มีเวรไม่มีกรรมเนื่องกันมา เขาไม่มาตายเพราะเราหรอก
      ถาม :  ทำไมหมาตัวนั้นต้องมาอยู่ข้างหน้านี่ ชนเลยนี่ทั้งคันเลยนะ เขาคิดว่าเราหลบมันได้ ?
      ตอบ :  อาตมาเป็นพระ เคยเจออย่างนั้น คือเจอหมาที่น่าตายมากเลย สมควรตายว่าอย่างนั้นเถอะ เป็นหมากำลังรุ่น ๆ รถเราวิ่งมาตั้ง ๑๔๐ คุณกบขับ ลูกหมาอยู่ข้างทางวิ่งพรวดเข้ามาแบบหยอกเล่นกับรถน่ะ แล้วอยู่ ๆ วิ่งมาหยอกเล่นกับรถ ประเภทเหมือนอย่างกับหมาเล็กเล่นกับหมาใหญ่อย่างนั้นน่ะ แล้วเราจะหลบไปทางไหนล่ะ รถวิ่งมา ๑๔๐ ก็เสียงดังกรุบ เงียบไปเลย เราก็อุทิศส่วนกุศลส่งให้มันเดี๋ยวนั้นเลย จำหน้ามันได้ดีมากเลย หน้ากำลังสนุกของมัน
              แต่เรื่องพวกนี้ยังไม่แปลก แปลกอยู่รายหนึ่ง ตอนนั้นน่าจะกำลังเดินทางไปวัดท่าซุง ออกมาเส้นหนองปรือ-บ่อพลอย ช่วงที่กำลังออกจากทับศิลาเพื่อที่จะขึ้นมาทางเส้นลาดหญ้า ช่วงทางระหว่างลาดหญ้าจะเลี้ยวไปบ่อพล่อย มีเด็ก ๒ คนยืนอยู่ แล้วคนหนึ่งอยู่ ๆ กายในวิ่งพรวดออกมากลางถนน ยืนยันว่ากายในนะ วิ่งพรวดมากลางถนน เราเห็นเราก็ร้อง เฮ้ย...แสงชัยก็เบรกสุดตัว เพราะเห็นเหมือนกัน แต่เด็กคนนั่นที่กายในก้าวขึ้นมานี่ เหมือนกับมีใครจับหมุนกายนอกกลับ แต่กายในยังอยู่กลางถนน
              แสงชัยนี่มืออ่อนตีนอ่อนเลย โห...ผมเกือบฆ่าคนตายแล้ว บอก “ไม่ใช่ ไอ้นั่นตัวในมัน” ถามว่า “ตัวในหรือ เห็นเต็ม ๆ ตาเลย ?” “ใช่ กูก็เห็น แต่ตัวนอกจริง ๆ ถูกจับหมุนเข้าข้างในแล้ว” แสดงว่าความดีเขายังมีอยู่ แต่นั่นถ้ายังยืนอยู่ข้างถนนต่อไปไม่นานตายแน่ เพราะแสดงว่าเป็นช่วงกรรมที่กำลังจะสนองเขาอยู่ ถ้าเขายังอยู่ตรงนั้น เพราะกรรมเก่าที่เคยทำปาณาติบาตสนอง เมื่อจะต้องมีสักวันที่จะต้องโดนแรงกรรมดึงให้ออกไปกลางถนนไม่รู้ตัวจนได้ เด็กนั่นกายในกระเด็นกระเด็นออกไปอยู่กลางถนนแล้ว แต่เนื่องจากบุญที่ยังทำอยู่ ตัวกายนอกเหมือนมีใครจับบิดหมุนกลับเข้าหาเพื่อนที่อยู่ข้างถนนแทน ของเราก็เฮ้ย...ตกใจ อยู่ ๆ พรวดออกมากลางถนนน ตอนนั้นไม่ได้สังเกตว่ากายในหรือกายนอก คุณแสงเบรกตัวโก่ง เพราะเห็นเหมือนกันแต่พอเหลือบดูอีกครั้ง อ้าว...ตัวกายนอกยังอยู่นี่ นั่นเป็นเรื่องแปลกที่เจอครั้งเดียวในชีวิต คราวนี้เห็นทั้งคู่ คนขับก็เห็นเราก็เห็น เพราะช่วงที่เดินทางมักมีการทดสอบเป็นระยะ ๆ ไป เพราะท่านแสงไม่ค่อยคล่องต้องสอนเขา พอวิ่งไปก็บอกเฮ้ย...ออกซ้ายนะ รถคันหน้าจะเลี้ยวขวา ท่านแสงก็ชะลอออกซ้าย พอชะลอออกซ้ายรถคันหน้าก็กระพริบไฟขวาแล้วก็เลี้ยว คือต้องสอนเขาลักษณะอย่างนี้ จะได้ทำอารมณ์ตามไปเรื่อย แล้วต่อไปจะได้แม่นแล้วก็ถูก หรือไม่บางครั้งก็กำลังโค้งอยู่ บอกแซงได้เลยรถไม่มี ก็แซงยาวปื๊ดไปเลย แต่บอกว่าถ้าไม่ได้มาด้วยเอ็งอย่าเสี่ยงนะ เดี๋ยวตาย เกิดเพี้ยนขึ้นมาแย่เลย
              สมัยอยู่วัดท่าซุงมันที่สุดเลย พวกรุ่นน้อง ๆ ยกให้เราหมดนี่ ถึงเวลาเลิกจากกรรมฐานทุ่มครึ่ง มืดตึ๊ดตื๋อเชียว คุณสำออยเขาชื่อสำออย หลวงพ่อเรียกไอ้ดุ่ย ทำงานทั้งวัน คราวนี้เขาจะมีอีแต๋นเก่า ๆ ของเขาอยู่ ขับรับพระพี่พระน้องกัน ของเราอาวุโสหน่อยให้นั่งหน้า เสร็จแล้วถึงเวลาออกจากวิหาร ๑๐๐ เมตรทางปราบเซียนนะ เพราะสองข้างเป็นรั้วทั้งคู่ เป็นรั้วชนิดมองซ้ายมองขวาไม่เห็น ยกเว้นแต่ทิ่มหน้า เริ่มทิ่มหน้าเข้าถนน อย่างนี้เขาจะถาม “หลวงพี่ครับ มีรถไหม ?” พอเราบอกว่า “ไม่มี” เขาทิ้งโค้งออกไปไม่ต้องเบรกเลย เราก็แหม...ให้ตายเถอะ เชื่อตัวเรามากกว่าตัวเราเชื่อตัวเราเองอีก ถ้าวันไหนเราเพี้ยนขึ้นมาอาจจะตายยกคันรถก็ได้
              คราวนี้มีอยู่วันหนึ่ง เขาถามเหมือนเดิม “หลวงพี่ครับ มีรถไหม ?” “เฮ้ย...เบรก ๆ รถมา” เขาเบรกจึ้ก ไหนอะ ไม่เห็นมีไฟเลย มีเสียงปั่นแก๊ก ๆ จักรยานมา ไม่มีไฟจริง ๆ บอก “เป็นอย่างไร ทิ้งโค้งไปเต็ม ๆ ก็บี้เละไปเลย” ตอนแรกเราก็สงสัย เอ๊ะ...ทำไมไม่มีไฟ แต่ความรู้สึกรายงานบอกว่ามีรถมาให้เบรก ต้องซ้อมบ่อย ๆ ลักษณะนั้นถึงจะชำนาญ
      ถาม :  พบเห็นเหตุการณ์กระตุกสร้อยบนสะพานลอย อยากจะช่วยแต่ใจไม่ถึง ?
      ตอบ :  พวกนี้ลวดลายเยอะ ล้วงกระเป๋าบนรถเมล์ แล้วเบียดพรวดเบียดเราชนิดเซเลย เพราะเรายืนอยู่ข้างประตู เบียดพรวดกระโดดลงไป ข้างบนตะโกนบอกให้ช่วยจับด้วยคนล้วงกระเป๋า เรากระโดดลงรถวิ่งตาม ปรากฏว่ามีคนกระโดดตามมาจับไหล่เราไว้ บอก “พี่ไม่ต้อง ผมวิ่งเร็วกว่า” แล้วก็วิ่งไล่กวดกันไป เราก็ยืนงงอยู่พักหนึ่ง ตำรวจเดินมาถาม “มีเรื่องอะไรหรือ ?” บอกว่า “เขาล้วงกระเป๋ากัน มีพลเมืองดีวิ่งไล่จับไปแล้ว” ตำรวจบอกว่า “ไม่ใช่พลเมืองดีหรอกไอ้หนู พวกมันเอง มันกลัวเราจะไล่เพื่อนมัน มันเลยอาสาว่ามันไปเอง” เราก็แหม...มีอย่างนี้ด้วย แสดงว่าตำรวจรู้ลีลามันเลย บอกพี่ไม่ต้องผมวิ่งเร็วกว่า มันก็วิ่งพรวดไล่ตูดกันไปเลย หายไปเลย เราก็ยืนรอเมื่อไรมันจะมา
      ถาม :  มีคนบอกเศรษฐกิจดี แต่ทำไม ?
      ตอบ :  เศรษฐกิจดี แต่สิ่งยั่วยุความต้องการมาก ทำให้คนใช้เงินมากขึ้น ในเมื่อคนใช้เงินมากขึ้น วิธีการหาเงินที่ง่าย ๆ ไม่ค่อยจะมีนี่ ต้องเหนื่อยต้องลำบากทั้งนั้น ใช้วิธีหากินทางลัด
      ถามคุณเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
      ตอบ :  เขาไปสร้างทางบ้านเกิดเขาชื่อวัดร่องขุ่น ทำสวยมาก เพื่อน ๆ เขาอย่างถวัลย์ ดัชนี ชอบอะไรประเภทโหดเหี้ยม ดุดัน รอบบ้านของถวัลย์มีแต่หัวควายประดับเป็นรั้วเลย เสร็จแล้วสองคนนี่ชื่อเสียงพอกัน แต่ถ้าต่างประเทศนี่ถวัลย์ดังกว่า คนเลยไปบอกสองสหายนี่คนหนึ่งสร้างสวรรค์ คนหนึ่งสร้างนรก เขาบอกเฉลิมชัยสร้างสวรรค์ แต่ถวัลย์สร้างนรก
      ถาม :  แสดงว่าเขาสร้างจริง ๆ ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ไม่ใช่ คือถวัลย์บ้านเขาประเภทประดับตามใจชอบ เล่นกะโหลกคาราบาวรอบบ้าน พอคนไปถึงเฉลิมชัยบ้านช่องก็ไม่ค่อยได้อยู่ อยู่แต่กับวัด ประเภทเขียนภาพหาทุนได้เขาเอาไปสร้างวัด สร้างวัดเสร็จ เขาก็เขียนภาพให้เอง ถวัลย์ ดัชนี ต่างประเทศแกมีชื่อเสียงมาก แกไปรับจ้างวาดจิตรกรรมฝาผนังให้กับปราสาทของเชื้อพระวงศ์ของเยอรมัน เชื้อพระวงศ์ที่ยังมีอยู่นะ พวกปราสาทสมัยก่อนชอบสร้างห้องมโหฬารเยอะแยะไปหมดอย่างนี้ เขาก็ไปวาด ๆ สามสี่ปีได้รูปหนึ่ง
              คราวนี้เจ้าของเขาเป็นเจ้าชายเชื้อสายเยอรมันเก่า มาดูแล้วชอบใจ เขาตีเช็คให้หนึ่งใบไปกรอกตัวเลขเองว่าจะเอาเท่าไร บอกว่า “ตีราคาฝีมือไม่ถูก ไปกรอกมาเองก็แล้วกัน” แล้วคนประเภทนี้อยู่เมืองไทยเป็นคนไม่มีรายได้ ไปเสียภาษีสรรพากรประเภทตีแป๊กลงไปไม่มีรายได้ ไม่ต้องเสีย เพราะอยู่ประเทศไทยไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน คนไทยไม่รู้สายตามความเป็นศิลปะไม่ถึงหรืออย่างไรไม่รู้ แต่ฝรั่งจะชอบมาก เพราะพวกนี้เขาศึกษาเกี่ยวกับพุทธศาสนาลึกซึ้ง แล้วของถวัลย์นี่เขาศึกษาเสร็จแล้วส่วนใหญ่เขาจะนิยมด้านดำด้านมืดของจิตใจ ภาพวาดของเขาเป็นในลักษณะที่ว่าอสุรกายหน้าตาประหลาด ๆ พิลึก พิลั่น น่าสะพรึงกลัวอะไรพวกนั้น
              ส่วนของเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์จะวาดเกี่ยวกับวิมานนางฟ้าเทวดา คนหนึ่งชอบสวรรค์ คนหนึ่งชอบนรก ไม่รู้เป็นเพื่อนกันได้อย่างไร
      ถาม :  คุณถวัลย์วาดให้คิดหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ลักษณะอย่างนั้น ดูแล้วต้องคิด
      ถาม :  ถ้าอย่างนั้นคุณถวัลย์จะดูลึกกว่าไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้าจะเรียกคือเขากล้าแสดงออก เพราะปกติคนเราจะยอมรับว่าสภาพจิตใจของตัวเองมีด้านมืดอยู่ไม่มี ส่วนใหญ่จะปิดบังความชั่ว แล้วดูแต่ความดีกัน แต่ของเขาเขายอมรับ เขาวาดแบบนั้น แต่ถ้าในเมืองไทย คุณเฉลิมชัยจะเป็นที่นิยมมากกว่า เพราะภาพวาดเขาสวย ส่วนใหญ่เป็นเกี่ยวกับสภาพทางจิต เกี่ยวกับพวกวิมาน นางฟ้า เทวดา เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม เกี่ยวกับพระพุทธเจ้ เสร็จแล้วยิ่งมใตอนนี้หนังสือพระมหาชนก วาดภาพประกอบ คุณเฉลิมชัยเขาสวยที่สุด วาดภาพประกอบกันอยู่ ๓ คน ของคุณเฉลิมชัยเทียบเข้าไปเหมือนกับไปคนละทิศเลย
      ถาม :  สอนแม่นั่งกรรมฐาน แม่นั่งไม่ได้โมโห (ฟังไม่ชัด) ?
      ตอบ :  ต้องอย่างอาตมา แม่สมัยฆราวาส แม่บ่น ๆ เราบอก “หยุด ๆ พอ พุทโธไปครบ ๕๐๐ ครั้งก่อน” แม่เงียบไปพักใหญ่ ลืมตามาก็บ่น ๆ “อ้าว....ครบแล้วหรือ ?” บอก “ครบแล้ว” ใช้วิธีอย่างนั้นนะ บางครั้งก็ถามแม่ “เมื่อไรจะตาย ?” “เออ...กูไม่อยู่ให้มึงรำคาญนานนักหรอก” “แม่ตายแล้วจะไปไหน ?” “ไปนิพพาน” คนอื่นว่าเราเป็นลูกอกตัญญูแช่งแม่ทุกวัน ความจริงคือสะกิดเตือนให้ท่านนึกถึงมรณานุสติ เสร็จแล้วถามด้วยจุดหมายสุดท้ายชีวิตจะไปหาใคร
              คราวนี้เรามาเป็นพระเวลาไม่มี ตอนเป็นฆราวาสเราไม่ได้สนใจหรอก เรารู้ว่าเราทำอะไรเพื่ออะไร แต่คนอื่นว่าอกตัญญู พวกน้าพวกอาเขาว่าช่างหัวมัน เรารู้ว่าเราทำอะไร เหมือนกับแช่งแม่ให้ตายทุกวัน แต่ความจริงไม่ใช่ เตือนให้แม่นึกถึงความตายไว้จะได้ไม่ประมาท จะสบายใจนึกถึงความดีได้
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ไม่ต้องห่วงหรอก พวกเขียนภาพแป๊บเดียวได้ตังค์แล้ว คือระดับของเขานี่ ของอาจารย์จักรพันธ์อย่างนี้ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์อย่างนี้ พูดง่าย ๆ คือไปกราบกรานงอนง้อก็ไม่มีเวลาจะเขียนให้ คุณต้องไปลงชื่อต่อคิวไว้แบบเดียวกับอะไรล่ะ ที่ว่าเศรษฐีเขาจะเขียนรูปเหมือนตัวเอง ไปขอให้อาจารย์จักรพันธ์เขียน อาจารย์จักรพันธ์ถามว่า “มีงบเท่าไร ?” คือเขียนตามงบ ตังค์เยอะก็สวยมาก เสร็จแล้วเขาบอกมีงบอยู่ ๒ แสนบาท อาจารย์จักรพันธ์บอกว่าเขียนไปทำไมรูปเท่าแสตมป์ โอ้โฮ...สองแสนบาทได้รูปเท่าแสตมป์ ถ้าเอาสักแปดคูณสิบจะขนาดไหน...!
      ถาม :  กำไรเกินควร ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ ฝีมือเขาขนาดนั้นจริง ๆ ของอาจารย์จักพันธ์วาดนี่ ขนาดวาดรูปโป๊ คนดูยังไม่รู้สึกว่าโป๊เลย อย่างเช่นวาดรูปนางเงือก คนดูจะไม่รู้สึกว่าโป๊เลย เหมือนอย่างกับว่าใจเขาบริสุทธิ์จริง ๆ เขาวาดแสดงออกซึ่งความเป็นจริงอย่างเดียว
      ถาม :  ไม้ตะเคียน ?
      ตอบ :  ตะเคียนดำหายากยิ่งกว่าอะไรอีก อาตมาได้มาชิ้นแค่นี้เอง มาแกะเป็นพระได้ ๒ องค์ ให้หลวงตาน้อยองค์หนึ่ง อีกองค์หนึ่งอยู่ที่เราในตู้นั้นองค์หนึ่ง
      ถาม :  ตะเคียนปกตินี่สีอะไรคะ ?
      ตอบ :  ตะเคียนเนื้อออกสีแดงอมน้ำตาล
      ถาม :  คราวนี้ไม่มีอิทธิบาท ๔ ครับ ไม่มีใจที่จะทำ ?
      ตอบ :  ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ไม่ได้บังคับให้ทำ
      ถาม :  คือรู้ว่าดี แต่ผมไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ?
      ตอบ :  ไม่ไหวก็เอาแค่ทานกับศีล
      ถาม :  แล้วจะมาเองหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  เรื่องของบารมีพูดยาก เพราะถ้าเป็นบารมีต้นนี่ ให้ทานได้อย่างเดียวเลย เรื่องของศีลภาวนาไม่ได้เลย ถ้าบารมีกลางก็ได้แค่ทานกับศีล ภาวนาไม่ได้ ต้องเป็นปรมัตถบารมีถึงจะภาวนา
      ถาม :  คือก็ต้องทำไปเรื่อย ๆ ทำทานทำศีลไปเรื่อย ๆ ?
      ตอบ :  ว่าไปเรื่อย ๆ วันไหนมีอารมณ์ทำแล้วค่อยว่ากัน แต่จริง ๆ คือถ้าเราคิดว่าตัวของเราเองตอนนี้มีแต่ความทุกข์ มีแต่อะไรที่เราต้องการ จะหลีกจะลี้จะหนีจากมันไป จำเป็นที่จะต้องทำ ไม่อย่างนั้นเราก็ต้องเกิดมาทนทามทุกข์อะไรอย่างนี้อีก ถ้าคิดเป็นเห็นประโยชน์ของมันจะนึกอยากทำ คราวนี้ถ้าเราคิดไม่เป็น แล้วยังไม่เห็นประโยชน์ขึ้นมา ก็ไม่นึกอยากจะทำ เอาเถอะอย่างน้อย ๆ ทานกับศีลทำเอาไว้ก่อน เรื่องภาวนาได้บ้างไม่ได้บ้างช่างมัน
      ถาม :  คราวนี้เวลาทำทาน เวลาทำบุญ มีผลบุญไม่เท่ากันใช่ไหมครับ วิธีทำบุญให้ได้บุญมาก ?
      ตอบ :  เจตนาบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ ได้บุญมาก หรือไม่ก็ตั้งใจให้เป็นสังฆทานไปเลย
      ถาม :  ต้องอธิษฐานไหมครับ ?
      ตอบ :  จะต้องใช้คำว่าจำเป็น อธิษฐานจริง ๆ ไม่ใช่ตัวโลภ อธิษฐานจริง ๆ คือการกระทำทุกอย่างของเรามีผลอยู่แล้ว ต้องการไม่ต้องการผลนั้นเกิดแน่ แต่การอธิษฐานเป็นการประกันความเสี่ยงว่าเรากำหนดให้เกิดอย่างไร ให้เกิดเมื่อไร ถึงวาระแล้วจะได้ไม่ใช่พอเราต้องการแล้วไม่มา เพราะฉะนั้น...บางคนเข้าใจผิดว่าการอธิษฐานหลังจากทำบุญแล้วเป็นการโลภ ไม่ใช่หรอก สิ่งที่เราทำผลได้แน่ ๆ การอธิษฐานเพียงแต่กำหนดว่าให้ได้อย่างไร ให้เกิดเมื่อไรเท่านั้นเอง เป็นเรื่องของคนฉลาดทำกัน
      ถาม :  ถ้าอธิษฐานขอให้รวย ?
      ตอบ :  ได้อยู่ แต่คราวนี้การขออย่าลืมว่าทุกอย่างมีเหตุกับผล ต้องสร้างเหตุให้พอผลถึงจะเกิด ถ้าเราสร้างเหตุไว้ไม่พอ ขอให้ตายก็ไม่เกิด
      ถาม :  ต้องเหตุอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  เรื่องของความรวยคือเรื่องของทาน สาเหตุคือสร้างทานบารมีบ่อย ๆ พอถึงวาระถึงเวลาเมื่อไรจะส่งผลให้รวย
      ถาม :  เราจะรู้ได้อย่างไรครับว่าจะส่งผล หรือใกล้ ๆ แล้ว ?
      ตอบ :  ถ้าสามารถใช้ทิพจักขุญาณได้ก็รู้ได้ ใช้ทิพจักขุญาณดูในเรื่องของอนาคตังสญาณ หรือยถากัมมุตาญาณ
      ถาม :  อย่างผมหลวงพ่อพอดูออกไหมครับ ?
      ตอบ :  เลิกดูให้คนอื่นนานแล้ว ตอนนี้ดูตัวเองอย่างเดียว กลัวตัวเองจะชั่วต้องดูไว้เยอะ ๆ
      ถาม :  ถ้าขออธิษฐานให้บรรลุธรรม ?
      ตอบ :  เหมือนกัน
      ถาม :  อันนี้ไม่ถือว่าเกินไปใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่เกินไปหรอก ตั้งใจไปนิพพานไปเลย ตั้งใจสูงสุดไว้แล้วพากเพียรทำไป ถึงได้ไม่สูงสุดก็ได้ตั้งเยอะตั้งแยะ ถ้าไปตั้งใจต่ำ ถึงเวลาความเพียรก็น้อย ก็ได้น้อยไปด้วย
      ถาม :  ตั้งใจไปนิพพาน คราวนี้ไม่รู้นิพพานคืออะไร นิพพานหมายถึงอะไร ?
      ตอบนิพพาน ตามศัพท์จริง ๆ แปลว่า ความดับ เป็นธรรมชาติที่หาความเสียดแทงไม่ได้แล้ว หมายความว่าเป็นที่เราหลุดพ้นจากความทุกข์ ความโทษทั้งปวงของการเวียนตายเวียนเกิด ไม่ต้องไปห่วงไม่ต้องไปกังวลไม่ต้องไปอะไรทั้งสิ้น
      ถาม :  ตอนนี้ถึงขั้นเบื่อตัวเองแล้ว เมื่อก่อนเบื่อก็โทษคนอื่นอย่างนั้นอย่างนี้ ตอนนี้ดูตัวเองเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุต่าง ๆ ที่เกิดมาจากตัวเองนี่เป็นอย่างไร คราวนี้หยุดไม่เป็นค่ะ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องหยุด
      ถาม :  เราโกรธ ตอนนี้เราไม่ชอบแล้วนะ เราปรารถนาร้ายแล้วนะ มีปฏิกิริยาขึ้นมาในตัวเรา หยุดไม่ได้ค่ะ ?
      ตอบ :  จ้ะ ไม่ต้องไปหยุดหรอก ถ้าเราไปหยุดความโกรธเราหยุดไม่ไหว ไฟไหม้แล้ว ทำอย่างไรให้เชื้อน้อยลง การเติมเชื้อคือการที่เราไปคิดปรุงแต่งไปคิดต่อ สมมติว่าเด็ก เด็กต้องซนเป็นธรรมดา มาวิ่งตึง ๆ ต่อหน้าเรา ตาเห็นเด็กวิ่ง หูได้ยินเสียงเด็กวิ่ง แล้วเราก็ไปคิด แหม...ลูกใคร ทำไมซนอย่างนี้ เป็นลูกเราจะตีให้กระจายเลย ตัวคิดนี่แหละจะสร้างให้โทสะที่รกุ่น ๆ กลายเป็นไฟลุกไหม้ขึ้นมา ทำอย่างไรที่เราจะหยุดให้ทัน ถ้าเห็นเด็กก็ให้เห็นธรรมชาติของเด็ก ต้องดื้อต้องซนเป็นธรรมดา ในเมื่อธรรมดาของฃเด็กเป็นอย่างนั้น เราจะไปโกรธเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แบบเดียวกับธรรมชาติของผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่ไม่รู้สิ่งที่เขาทำเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไรทั้งกับตัวเขาเองและผู้อื่น ผู้ใหญ๋คนนั้นจริง ๆ คือมีธรรมชาติที่น่าสงสาร เราจะไปโกรธเขาทำไมอย่างนี้ ถ้าเราสามารถคิดเป็น ความโกรธจะมีน้อยหรือว่าไม่มีเกิดขึ้น
      ถาม :  อย่างนี้ถือว่าเป็นการปล่อยวางใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  เรียกว่าปล่อยวางก็ใช่ แต่ขณะเดียวกันการปล่อยวางจริง ๆ คือ การเห็นธรรมดาของมันเลย ธรรมดาของคนเป็นอย่างนั้นนะ ตราบใดที่ยังเป็นคนต้องเป็นอย่างนั้น เราเองเคยเป็นอย่างนั้นมาก่อนเราถึงได้เห็น ในเมื่อเราเคยเป็นมาก่อน เขาเป็นคนรับช่วงจากเราไป เขาเป็นผู้รับมรดกก็ลูกก็หลานเรา ไปโกรธลูกโกรธหลานทำไม เราเป็นคนให้เขาไว้เอง
      ถาม :  คำว่า “อย่าอยาก” อยากอะไรบ้างคะ ?
      ตอบ :  สารพัดเรื่องเลย
      ถาม :  หยุดอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  มีทั้งอยากและก็ไม่อยาก
      ถาม :  บางอย่างคำว่า “อยาก” ก็สร้างสรรค์นะคะ อยากไปนิพพานอย่างนี้ ?
      ตอบ :  ตัวนี้เป็นธรรมฉันทะ ไม่ใช่อยากด้วยตัณหา ตัณหา คืออยากได้ อยากมี อยากเป็น เกินพอดี ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น เป็นตัณหาทั้งคู่ ทั้งอยากและไม่อยาก อยากเรารู้สึกเป็นปกติ แต่ไม่อยากเป็นอย่างไร ไม่อยากตาย คืออยากไม่ตาย ไม่อยากแก่ คืออยากไม่แก่ คืออยากนะ เพียงแต่ใช้คำพูดกลับข้างเท่านั้นเอง ปล่อยให้ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น เราเองรู้เท่าทันมัน พยายามที่จะลด จะละ จะเลิก แก้ตัวโลภแก้ด้วยทาน แก้ตัวโกรธด้วยศีล ด้วยเมตตาบารมี แก้ตัวหลงด้วยอานาปานสติและปัญญา
      ถาม :  คำว่า “อุเบกขา” กับการที่เราไม่ไปยุ่งกับใครอย่างนี้ หรือถ้าเขาต้องการความช่วยเหลือ เราช่วยเขาตามความสามารถของเราไม่ได้เราหยุด ถือว่าเป็นอุเบกขาไหมคะ ?
      ตอบ :  ตัวช่วยไม่ได้แล้วหยุดนี่แหละเป็นอุเบกขา คือการที่เราจะยอมรับอะไรโดยการปล่อยวาง ต้องดิ้นรนให้เต็มที่ก่อน ถ้าดิ้นรนแล้วไม่สามารถที่จะแก้ไขได้อะไรได้ เราค่อยไปยอมรับมัน ไม่ใช่เอะอะก็ยอมรับ ยอมรับท่าเดียว อันนั้นปัญญาน้อยเกินไป
      ถาม :  คำว่า “หวังดี” กับคำว่า “เสือก” ก็ใกล้ ๆ กัน ?
      ตอบ :  ผลคล้ายกัน
      ถาม :  เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะไปอย่างนั้นกับเขาตอนไหน ?
      ตอบ :  คนเราไม่อยากกินไปยัดให้กินแล้วคายออกมา เราเสียอารมณ์เอง โดยเฉพาะเรื่องของความดีเป็นของสูงค่า คนมักจะไม่เห็นราคาของมัน เพราะฉะนั้น...เราไปยัดเยียดให้เขา เขาไม่รับ เราเองเกิดความรู้สึกไม่ดีใจเราก็หมองเอง สิ่งสำคัญที่สุด คือทำอย่างไรจะให้เขาทำอย่างที่เราต้องการ คือต้องให้ตัวเราเป็นตัวอย่างที่ดี ถ้าตัวเราเป็นตัวอย่างที่ดีที่เห็นได้เด่นชัดแล้ว คนอื่นจะคล้อยตามเราไปเอง ไม่ต้องไปยัดเยียดให้ มันก็จะวิ่งมาถามว่าพี่อย่างนี้ทำอย่างไร
      ถาม :  ถ้าเป็นทางธรรม สมมติเขาเห็นเรามาทำอะไรอย่างนี้บ่อย ๆ พอเวลาเขาขาดที่พึ่งจริง ๆ บางครั้งวิ่งมาหาเรา ตัวเราเองไม่ใช่ว่าจะเป็นผู้รู้ ผู้ศึกษาธรรมอะไรอย่างนี้ ?
      ตอบ :  แนะนำเขาตามสมควร ถ้าอยู่ในกรอบของทาน ศีล ภาวนา ไม่ผิดหรอก
      ถาม :  น้องคนหนึ่งอยากมากราบหลวงพี่ เขาบอกว่าที่บ้านมีปัญหา น้องชื่อพนิดา จริง ๆ จะมาด้วยแต่ไม่ทราบด้วยเหตุด้วยผลอะไร นัดวันศุกร์บังเอิญแม่เขาต้องมาตรวจ คราวนี้เขามีปัญหาที่บ้าน คือพี่สาวเกิดไม่สบายแบบแปลก ๆ ตอนแรกเข้าใจว่ามีปัญหาทางด้านความคิด ด้านจิตเวช ลองให้ยากินแล้วไม่ดีขึ้น ไม่ทราบว่าถูกของหรือเปล่า ซึ่งอันนี้ไม่ทราบ บอกว่าถ้าอย่างไรให้มาเรียนถามหลวงพี่เอง น้องเขาต้องทำงานค่อนข้างเยอะ เขามาไม่ได้ หลวงพี่พอมีอะไรแนะนำให้ไปบอกเขาไหมคะ ?
      ตอบ :  ไม่มีอะไรแนะนำหรอกจ้ะ ของพรรค์นี้ ถ้าคิดว่าใช่ก็รักษาได้เพียงแต่อาตมาไม่อยากไปยุ่ง ที่ไม่อยากไปยุ่งเพราะโดนจนเข็ด คือคนทำนี่เก่งมาก พอเราช่วยปุ๊บมันจะรู้ว่าเราช่วย แล้วมันก็เล่นเราแทน เซ็งจังเลย