ถาม:  พระพุทธเจ้าที่ผ่านมาในอดีตต้องมีดอกบัวเป็นรัตนบัลลังก์ ?
      ตอบ :  รัตนบัลลังก์คือบัลลังก์จริง ๆ บัลลังก์ปรากฏขึ้นเนื่องจากบุญบารมีของท่านที่ได้สร้างมา แต่จะมีลัษณะไหนบางสิ่งที่ท่านสร้างมามีแตกต่างกันไป พระพุทธเจ้าทรงมีความแตกต่างกัน ๗ ประการหรือ ๘ ประการจำไม่ได้นะ จะมีขนาดพระวรกาย ความกว้างของพระรัศมี ยานที่ใช้ในการเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ขนาดของรัตนบัลลังก์ ระยะเวลาของการทำความเพียรเพื่อบรรลุธรรม เหล่านี้จะมีความแตกต่างกันไป
              คราวนี้มีพระพุทธเจ้าในอดีตหลายพระองค์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์คือการออกบวชด้วยปราสาท บุญท่านขนาดนั้น ปราสาททั้งหลังลอยออกไปด้วย หลายองค์เสด็จออกด้วยวอ เสด็จออกด้วยยาน เสด็จออกด้วยช้าง เสด็จออกด้วยม้า อย่างองค์ปัจจุบันของเราเสด็จออกด้วยม้า แต่มีอยู่องค์หนึ่ง คือพระพุทธเจ้ามีพระนามว่า นารทมะ เดินเท้าไป
              มีอีกอย่างหนึ่งที่แตกต่างกัน แตกต่างกันด้วยตระกูล คือไม่เป็นกษัตริย์ก็เป็นพราหมณ์ ๒๘ พระองค์ตั้งแต่พระพุทธเจ้ามีพระนามว่า ตัณหังกร ลงมา มีพระพุทธเจ้ามีพระนามว่า กกุสันโธ พระพุทธเจ้าพระนามว่า โกนาคม พระพุทธเจ้านามว่า กัสสป ๓ องค์นี้เป็นตระกูลพราหมณ์ นอกนั้นเป็นกษัตริย์ล้วน ๆ แล้วแต่ว่าโลกยุคนั้นนับถือกษัตริย์เป็นใหญ่หรือพราหมณ์เป็นใหญ่ อันไหนเป็นใหญ่จะเป็นอันนั้น เพราะว่าในเมื่อท่านเป็นใหญ่เต็มที่แล้วท่านสละได้ ละได้ คนอื่นเชื่อถือไปเป็นครึ่งแล้ว
      ถาม :  คนที่เป็นพระพุทธเจ้า ถ้าเกิดมีกรรมแล้วยังเป็นไม่ได้ จะต้องลงไปข้างล่าง ล้างให้สะอาดก่อนไหมคะ ?
      ตอบ :  เฮ้ย ๆ ตำราใคร...!
      ถาม :  เขาบอกอย่างนั้นค่ะ ?
      ตอบ :  ไม่ว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์หรือว่าบุคคลทั่ว ๆ ไปก็ตาม ถ้าทำความชั่วได้รับโทษเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นนรกก็ดี เปรตก็ดี อสุรกายก็ดี สัตว์เดรัจฉานก็ดี รับทั้งนั้นนะจ๊ะ ไม่ใช่เป็นพระโพธิสัตว์ก่อนจะต้องลงไปชำระ ยกเว้นว่ากำลังใจสูงกว่า สร้างฌานสร้างสมาบัติได้ ก่อนตายทรงฌานได้ หนีได้ชั่วคราว ถ้าเกิดชาติใหม่พลาดก็ลงอีก
      ถาม :  ถ้าเกิดหนีไปเรื่อย ๆ ?
      ตอบ :  ได้จ้ะ หนีไปเรื่อย ๆ ได้ จนกว่าจะเข้านิพพานไปเลย ไม่อย่างนั้นต้องไปใช้เขาจนได้
      ถาม :  คนจะเป็นพระพุทธเจ้าต้องชำระกรรมให้หมดก่อน ?
      ตอบ :  ไม่ต้องจ้ะ ถ้าขืนชำระหมดไม่เหลือแน่เลย เพราะทุกชาติต้องมีการสร้างกรรม ในเมื่อสร้างกรรมไปเรื่อย ๆ จะให้ผลไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าเข้าถึงที่สุดหลุดพ้นแล้ว กรรมทั้งหลายจะเป็นอโหสิกรรมไปเอง คือถึงจะไม่อโหสิกรรมก็ไม่ว่า แต่ท่านบริสุทธิ์เกินกว่าจะไปทวงท่านได้แล้ว จะเหลือเศษกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทวงท่านทางสภาพร่างกายขณะที่ดำรงขันธ์อยู่ พอท่านหลุดพ้นเข้าพระนิพพานไปได้ คราวนี้ไม่มีอะไรทวงท่านได้ จบจ้ะ หนหนี้ได้สบาย
              ดูตัวอย่างพระองคุลีมาล นั่นไม่ได้ฆ่า ๙๙๙ คนนะ ฆ่ามาเยอะกว่านั้น แต่คราวนี้จำได้ก็เริ่มตัดนิ้วมาร้อยจะดื้จำได้ กลายเป็นองคุลีมาลโจร พอท่านเป็นพระอรหันต์ทุกยอย่างเป็นอโหสิกรรมหมด ไม่มีสิทธิ์ตามทวงท่านแล้ว เราไปนิพพานดีกว่า ถามว่า “ยุติธรรมไหม ?” ยุติธรรม ถ้าคุณสามารถทำได้นะ คนทำไม่ได้ก็ว่าไม่ยุติธรรม
      ถาม :  ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าต้องเรียนรู้นรกให้หมดถูกต้องไหมคะ ?
      ตอบ :  ไม่จำเป็นจ้ะ ไปดูทีหลังก็ได้ ไม่ต้องลงไปอยู่หรอก ไปดูอย่างเดียวก็ได้ ไม่ต้องลงไปอยู่ในนรกหรอก อย่างอาตมาเองยังขาดโลกันต์อยู่ขุมหนึ่ง หลวงพ่อยังน้อยกว่า หลวงพ่อขาดอเวจีกับโลกันต์ ท่านบอกไม่ยอมเสียทำลง ๒ ขุมนี้หรอก ลง ๒ ขุมนี้แล้วเกิดยาก เสียเวลาสร้างบารมี กติกาของพระโพธิสัตว์เขามีกติกา ข้อแม้ว่าห้ามลงโลกันต์จ้ะ
              เพราะฉะนั้น...ชั่วขนาดไหนก็ตามจะไม่มีโอกาสทำ โทษที่นรกอวเจีคูณสี่ โทษของการลงโลกันต์จะเป็นสี่เท่าของอเวจี เพราะฉะนั้น....ถ้าฆ่าพ่อ ก็ต้องฆ่าแม่ด้วย ฆ่าพระอรหันต์ด้วย ทำร้ายพระพุทธเจ้าด้วย อย่างนี้ลงโลกันต์แน่ ๆ พระโพธิสัตว์ท่านมีข้อจำกัดให้นะจ๊ะ ความจริงจะว่าเซฟก็ใช่ แต่นรกขุมอื่นเขารับหมด ๔๕๖ ขุมรับหมด ยกเว้นขุมที่ ๔๕๗ เขาไม่รับ เพราะไม่มีอายุ อยู่ก็ลืมไปเลย ไม่รู้จะได้เกิดขึ้นมาสร้างบารมีอีกเมื่อไร เสียเวลามาก เพราะโพธิสัตว์จะไม่เกิดเป็นอรูปพรหม ลักษณะเดียวกันอยู่นานเกินไป
              อย่างเนวสัญญานาสัญญายตนะพรหม อายุ ๘๔,๐๐๐ มหากัป ตายแหงไหม แค่อัตรกัปธรรมดาก็แย่แล้ว อันนี้มหากัปเลยนะ ๘๔,๐๐๐ มหากัป อยู่กันลืมแล้วลืมอีก พระโพธิสัตว์ถ้าเกิดเป็นสัตว์จะมีอัตภาพ คือขนาดร่างกายไม่เล็กกว่านกกระจาบ และไม่ใหญ่กว่าช้าง แรก ๆ คุณเป็นมด เป็นแมลง คุณตั้งใจจะเป็นได แต่พอเริ่มปฏิบัติคล่าย ๆ กับสร้างบารมีเป็นพระโพธิสัตว์จะจำกัดแล้ว ต้อเงกิดไม่เล็กกว่านกกระจาบและไม่ใหญ่กว่าช้าง สมัยเป็นไดโนเสาร์ตั้งใจเป็นพุทธภูมิต่อไปก็เกิดได้แค่ช้าง ปลาวาฬสีน้ำเงินก็เป็นไม่ได้ ใหญ่เกินไป ขนาดของเขาถ้าเอาจริง ๆ ใหญ่มากสำหรับพวกเรา เพราะอย่างเทวดาอย่างนี้ เทวดาอัตภาพเล็กที่สุดสูง ๓ คาวุต (๑ คาวุต = ๔ กิโลเมตร = ๑๐๐ เส้น) ๑ เส้นเท่ากับ ๒๐ วา ๑๐๐ เส้นเท่ากับ ๒,๐๐๐ วา ๒,๐๐๐ วาเท่ากับ ๔,๐๐๐ เมตร เท่ากับ ๔ กิโลเมตร อย่างเล็กที่สุดสูง ๓ คาวุต ก็ ๑๒ กิโลเมตร ถ้าพญานาคก็แบบเดียวกับกากะเปรต โดนไฟเผาเกลือกกลิ้งอยู่ในอากาศ มีอัตภาพร่างกาย ๒๕ เส้น ตายละหว่า ใหญ่ไหม เส้น ๑ เท่ากับ ๒๐ วา ๕ เส้นล่อเข้าไปเท่าไรแล้ว ๕๐๐ วาเท่ากับ ๑ กิโลเมตรถ้วน ๆ เลย
              เพราะฉะนั้น...ถ้าถามว่าพญานาคตัวใหญ่แค่ไหน อาตมาเคยเจอโผล่มาแค่คอ โผล่จากสระน้ำขึ้นมาแค่คอสูงเท่าภูเขาพอดีเลย นั่นตัวจริง ๆ ของเขา แต่ตอนมาเล่นกับเราเหลือตัวกะจึ๋ง จับเล่นได้สบาย เขาจะให้ใหญ่ก็ได้ ให้เล็กก็ได้ แปลงเป็นอะไรก็ได้ แปลงเป็นคน ๆ เดียวก็ได้ แปลงร่างเป็นทหารทั้งกองทัพก็ได ตัวเดียวนะ ความสามารถขนาดนั้น วันก่อนดูรูปกันอยู่ ตัวนี้ไม่ใช่งูหรอก ถ่ายมาเป็นงูที่หล่อที่สุดในโลกเลย ตัวที่เราเล่นด้วยแหละ แหม...หลอกเราได้ ตอนแรกแปลกใจ เจองูเขียวอะไรลำตัวขนาดนี้ เห็นเขียวดีเลยเล่นไปเรื่อย ก่อนจากกันถ่ายรูปเป็นที่ระลึก มาสังเกตตอนล้างรูปแล้ว ตาแดงแป๊ดเลย งูไม่มีตาสีแดงหรอก ยกเว้นงูเผือก ของเราไม่ช่างสังเกต โดนหลอกต้มสบายมาก เป็นงูที่หล่อมากเลย
      ถาม :  ปีนี้คนไปดูบั้งไฟพญานาคน้อยค่ะ ?
      ตอบ :  ปีก่อนได้หนังเรื่อง ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ ไปยุ่งด้วย แห่กันไป ป้าศรีเวียง รถติดอยู่บนถนน ๓-๔ ชั่วโมงต้องกลับ คือโฆษณาให้คนไป แต่ไม่ได้จัดอะไรรองรับไว้เลย ที่จอดรถยังไม่มี รถติดกันเป็นวัน ๆ กระดิกไม่ออก
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ :  ธรรมชาตินับเวลาเป็นด้วย ? รู้ด้วยวันไหนวันออกพรรษา วันออกพรรษาแต่ละปีไม่มีโอกาสตรงกันเลย ปีหน้าออกพรรษารู้สึกจะตรงกับวันที่ ๒๘ ตุลาคม เพราะปีหน้ามีแปด ๒ หน ปีหน้าเดือนกุมภาพันธ์มี ๒๙ วัน ถ้าเป็นอธิกมาสจะมีเดือนแปด ๒ หน เป็นปกติมาสก็เดือนแปดหนเดียว อธิกวารแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๗ จะมีปกติ ปกติแล้วเดือนที่เป็นเลขคี่ คือเดือนอ้าย เดือนสาม เดือนห้า เดือนเจ็ด เดือนเก้า เดือนสิบเอ็ด จะมีแค่แรม ๑๔ ค่ำ จำง่าย ๆ นะ แต่ถ้าเป็นอธิกวารเมื่อไร จะมีแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๗ โผล่ขึ้นมา อย่าไปคิด่าเขาผิดนะ ถูก เพียงแต่เราอาจจะรู้ไม่ครบ
      ถาม :  ................................
      ตอบ :  ปีหน้าวันที่ ๑๘ กันยายนจะเป่ายันต์เกราะเพชร ปีนี้ไม่มี ตอนแรกแปลกใจทำไมไม่มี ที่ไหนได้เราโดนย้ายวัด คราวนี้กติกาตอนที่ครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชร หลวงพ่อท่านระบุไว้ชัดเลย อยู่วัดไหนให้ทำเฉพาะวัดนั้น ท่านกลัวจะมีประเภทแหกคอกไปรับจ้างเดินสายเป่าไปเลยอย่างนั้น ท่านบอกถ้าทำอย่างนั้นจะเป่าไม่ติด ท่านใช้คำว่าเป่าไม่ติด คือไม่มีผล พระท่านจะไม่สงเคราะห์ให้ คราวนี้วัดทองผาภูมิศาลาใกล้จะพังแล้วต้องซ่อให้เสร็จก่อน
      ถาม :  อันนี้เขาไม่ย้ายวัด แต่เป่าทั้งเสาร์-อาทิตย์ ?
      ตอบ :  ทั้งเสาร์-อาทิตย์ยังดี รายที่เขาว่าเป็นฤๅษีลิงขาวน่ะ นั่นเป่าทุกวันเลย ไปเวลาไหนก็เป่าได้ ไปถึงเมื่อไรเป่าให้ได้เดี๋ยวนั้นเลย จ่ายค่าครู ๒๙๙ บาทก็เป่าให้ พวกนี้เก่ง เราสู้ไม่ได้ ความสามารถไม่พอ
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ :  จะบอกว่าเขาไม่ใช่ลูกศิษย์หลวงพ่อก็ไม่ได้ ปัจจุบันอย่างดอกเตอร์ปริญญา ที่จัดตั้งสมาคมศิษย์วัดท่าซุง ต้องลงทะเบียนอย่างไรอย่างนั้น อันนั้นจริ งๆ ผิดวัตถุประสงค์ของหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านบอกว่า “ใครเป็นลูกศิษย์ท่านไม่ต้องเสียเวลามาสมัคร ไม่ต้องเสียเวลามาบอก แต่ว่าให้ปฏิบัติ ถ้าเป็นลูกศิษย์ชั้นจิ๋ว อย่างน้อยต้องพยายามรักษาศีล ๕ ให้เป็นปกติ ถ้าเป็นลูกศิษย์ชั้นกลาง ต้องรักษาศีลได้และต้องทรงฌานสมาบัติได้ด้วย ถ้าลูกศิษย์ใกล้ชิดและรักมาก ต้องเป็นผู้ที่ตั้งใจทรงอารมณ์พระโสดาบันเป็นปกติ ถ้าใครทำได้อย่างนี้เป็นลูกศิษย์ท่าน ท่านรับทั้งนั้น แต่ถ้าใครทำไม่ได้ อ้างว่าเป็นลูกศิษย์ ต่อให้อยู่ในวัดท่าน บอกไม่ใช่ลูกศิษย์” แต่ของด็อกเตอร์ท่านตั้งขึ้นมาด้วยเจตนาดี แต่จะทำให้แคบ คือถ้าใครไม่สมัครเป็นสมาชิกถือว่าไม่ใช่ศิษย์ ยาก ยุ่ง
              แล้วอีกอย่างหนึ่ง สมัยก่อนจะมีวัดโน้น วัดนี้บอกเป็นศิษย์หลวงพ่อปาน เขาใช้คำว่าหลวงพ่อ เราใช้คำว่าหลวงปู่จนชิน บอกว่าเป็นศิษย์หลวงพ่อปาน กราบเรียนหลวงพ่อว่า “ใช่ไหมครับ ?” หลวงพ่อบอกว่า “เอาอย่างนี้นะ ปัจจุบันนี้แกเห็นพระมาเวลาวัดท่าซุงมีงานมากเท่าไร ?” บอกว่า “ถ้าอย่างไม่มี ๆ มีอาคันตุกะอย่างน้อย ๓๐๐ องค์ครับ” “เออ...พวกเขามากันบ่อย ๆ มาด้วยความเคารพ ถึงเวลาเขาบอกเป็นลูกศิษย์ข้า แล้วข้าปฏิเสธได้ไหม ?” “ไม่ได้ครับ” “เหมือนกัน พวกแกอยู่ในวัด บวชออกจากวัดถือว่าเป็นลูกศิษย์ มีอยู่แค่ ๓๐-๔๐ องค์ แต่ข้างนอกที่เขามามากว่ากี่เท่า คราวนี้ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไปประกาศตัวแทนลูกศิษย์ เราปฏิเสธเขาไม่ได้” แต่ท่านบอกว่าลูกศิษย์ที่แท้จริงคือว่า ครูบาอาจารย์มีปฏิปทาอย่างไร แล้วทำตามนั้น ถึงจะถือว่าเป็นลูกศิษย์ ไม่ใช่ประกาศปาว ๆ ว่ากูเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ แต่อะไรที่หลวงพ่อสอนไม่เคยทำเลย นอกคอกไปเรื่อย อย่างนั้นก็ไม่ใช่
              เพราะอย่างนั้น....ท่านบอกบรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้น ประกาศตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ปาน เราดูว่าหลวงปู่ปานท่านมีปฏิปทาอย่างไร แล้วท่านทั้งหลายเหล่านั้นสามารถสืบทอดปฏิปทาหลวงปู่ปานได้ไหม
      ถาม :  ปลูกบ้านไว้แล้วจะตั้งศาล ตั้งทางทิศไหนครับ ?
      ตอบ :  ให้เอาตัวบ้านเป็นหลัก ทิศที่ดีที่สุดคือทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวบ้าน เอาตัวบ้านเป็นหลัก หน้าศาลหันด้านไหนก็ได ถ้าไม่ได้ตะวันออกเฉียงเหนือก็ให้ชื้ทิศเหนือ ถ้าไม่ใช้ทิศเหนือก็ให้ใช้ทิศตะวันออก ได้แค่ ๓ ทิศเท่านั้น แต่มีข้อแม้ว่าถึงทิศจะดี ทิศจะถูกต้อง แต่ถ้าชิดบ้านเกินไป เช่นอยู่ใต้หน้าต่าง หรืออยู่หน้าส้วม อย่าไปตั้งเด็ดขาด เทวดาท่านข้อร้องไว้ ท่านรักความสะอาด เพราะว่าหน้าต่างบางคนเทของสกปรกลงไป โดยเฉพาะส้วม
      ถาม :  ...............................
      ตอบ :  ดูก่อนสิ ฐานตั้งเอาไว้หมดทุกอย่าง เดี๋ยวถ้ามีวันเวลาเหมาะ ๆ จะไปยกให้ ดูก่อนแล้วกันว่าช่วงไหนดี เอาอย่างนี้ก็ได้ ปีหน้าวันศุกร์ที่ ๒ พวกเรื่องของบ้านเขาเอาวันศุกร์ถือเคล็ด วันสุข ถึงเวลาก็ย่องออกจากนี่เช้า ๆ ไป บวงสรวงให้เสร็จก็เผ่นกลับ คนไม่รู้หรอก
      ถาม :  คนไปอยู่เขาเห็นโน่นเห็นนี่เยอะ เจ้าที่แรงจังเลย เห็นคนแก่เห็นอะไรครับ ?
      ตอบ :  นั่นแหละยิ่งดี ถึงเวลาบอกท่านให้รักษา ดูแลรักษาความเรียบร้อยให้ด้วย แล้วเราถวายสังฆทานเมื่อไรก็ให้ท่านโมทนาด้วย
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ :  ถ้าเรื่องของการปฏิบัติ พระหรือเทวดาท่านบอกอะไรในนิมิตทำตามได้เลย เพียงแต่การทำตามดูว่าอยู่ในกรอบของทาน ศีล ภาวนาหรือเปล่า ถ้ายังอยู่ในกรอบของทาน ศีล ภาวนา เฉพาะศีลต้องเป็นหลัก ถ้าออกนอกกรอบของศีลเมื่อไรอย่าทำตาม อาจมีการทดสอบเราว่ารู้หรือว่ามีความเข้าใจแค่ไหน อาจจะชวนให้ผิดได้อะไรได้
      ถาม :  ความโลภ ไม่ใช่อยู่นอกเหนือกรอบของศีล ?
      ตอบ :  ศีลจะระงับความโลภ ความโกรธเอาไว้ แต่เป็นการตีกรอบไว้เฉย ๆ ไม่ได้ฆ่าเสือให้ตายหรอก เพียงขังเสือไว้ในกรง มันยังสามารถอาละวาดได้ แต่อยู่ในเขตจำกัด ประเภทที่ว่าเรารู้ตัว เออ...ถ้าเราไปหยิบ ไปฉวยของเขา ศีลจะขาด จะพยายามที่ระงับตัวเองเอาไว้ คราวนี้แหม...เสืออยู่ในกรงอาละวาดขึ้นมากรงจะพัง
      ถาม :  ท่านตรัสหรือพระองค์รับสั่งคือสิ่งที่ดี ถูกต้องแน่นอน ?
      ตอบ :  ให้พิจารณาว่าอยู่ในกรอบของทาน ศีล ภาวนาไหม
      ถาม :  ถ้าไม่ผิดไปจากต้นฉบับ ?
      ตอบ :  ถ้าไม่ผิดไปจากนี้ ทำตามได้จ้ะ เพราะเรื่องของทิพจักขุญาณนี่ อันตรายอยู่จุดหนึ่ง ยิ่งรู้ชัดเจนเท่าไร เห็นชัดเจนเท่าไร โอกาสจะโดนหลอก โดนทดสอบยิ่งมากเท่านั้น เมื่อวานท่านป๊อบขึ้นไปคอพับอยู่ข้างบน บอกโอ้โฮ...ผมนั่งไม่ถึงวันเลย แถมนั่งเฉย ๆ ด้วย ไม่ใช่หรอก มันแก่แล้ว อายุตั้ง ๒๙ แล้ว จะสู้คน ๕๐ อย่างเราได้อย่างไร
      ถาม :  บางสิ่งบางอย่างต้องอาศัยเวลาใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  อาศัยเวลา แต่ถ้าทำถูก ทำตรงก็จะสั้นหน่อย แต่ถ้าทำพลาดไป หรือว่ามีความเข้าใจผิดอะไรบางอย่างไป กว่าจะเลี้ยวกลับยมาตรงทางอาจจะเสียเวลาไปเยอะ
      ถาม :  คลาดเคลื่อนได้ บางสิ่งเวลาอาจจะไม่แน่นอนมากนัก ?
      ตอบ :  ไม่แน่นอน เวลานี่ถ้าได้รับการพยากรณ์เหมือนเคยยกข้อเปรียบเทียบว่า เหมือนอย่างกับว่าเราขับรถด้วยความเร็วเท่าไร ท่านบอกว่าเราจะไปไหนถึงเวลาไหน อย่างเช่นเราขับรถด้วยความเร็วสัก ๑๒๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง ๓ ชั่วโมงเราจะไปถึงวัดท่าซุง อันนี้คือการพยากรณ์ แต่ถ้าเราเร่งความเร็วมากขึ้นเราจะถึงก่อน ๓ ชั่วโมง ลดความเร็วลงจะถึงเกิน ๓ ชั่วโมง การพยากรณ์จะพยากรณ์ตามอารมณ์ปัจจุบันของเราตอนนั้น ถ้าเราทำดีเพิ่มขึ้น มากขึ้น ก็เร็วกว่า แต่ถ้าลดลงเพราะคิดว่าดีแล้วก็จะช้า
      ถาม :  ตอนนี้มาถึงจดุหนึ่งเริ่มไม่แน่ใจ ระหว่างทางธรรมกับทางโลก รู้สึกจะฝั่งหนึ่งหนัก ฝั่งหนึ่งเบา รู้สึกจะเอียงไปอีกข้าง ชีวิตก็มีปัญหา ?
      ตอบ :  เรื่องของการปฏิบัติ ถ้าโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสียได้จะประเสริฐที่สุด เพียงแต่ของเราอาศัยศีลเป็นกรอบ เราคล้อยตามเขาไปได้จนติดกรอบของศีลแล้วเราก็กลับ ไม่ใช่เรื่องของการดื้อรั้น ไม่ใช่เรื่องของการถือทิฐิ แต่เรารู้ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนดีแน่ เราก็ทำตาม ถ้าคนอื่นไม่ทำตามเราไปตามเขา ทุกข์โทษจะเกิดกับเรา เพราะฉะนั้น...เราเองไปถึงติดกรอบของศีล เราก็หยุด เราถอยของเรากลับ
      ถาม :  ถ้าทางธรรมแล้วเราหนักไปทางโน้นมาก เรายังมีภาระอยู่ เราต้องทำอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  เราต้องทำหน้าที่ทุกอย่างของเราให้เต็มที่ เพียงแต่ถ้าเราทำจนเต็มที่แล้ว ยังไม่สามารถที่จะดีได้อย่างไร เราต้องยอมรับเหมือนกันว่าเกินกำลังของเรา อย่างภาษาพระเรียกว่า “ยอมรับกฎของกรรม” แต่หมายความว่าเราพยายามแล้วจริง ๆ นะ ไม่ใช่ถึงเวลาก็ประเภทยอมรับกฎของกรรม เดี๋ยวจะเหมือนที่หลวงพ่อชาท่านว่าลูกศิษย์ ลูกศิษย์เป็นพระนั่งกรรมฐานอยู่กระต๊อบ พระป่าก็มุงแผก มุงใบจากธรรมดา พายุฝนมาตีหลังคาเปิงไป ท่านนั่งตากแดดตากฝนภาวนาของท่านไปเรื่อย หลวงพ่อชาเห็นเข้าก็คุณ “ซ่อมหลังคาซะหน่อยสิ” ท่านบอก “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมปล่อยวางแล้ว” หลวงพ่อชาท่านบอกว่า “ลักษณะนี้เขาเรียกว่าปล่อยวางแบบควาย ควายทนแดดทนฝนกว่าพวกคุณตั้งเยอะ แต่ถึงเวลาร้อนมันก็หลบเข้าร่ม ถึงเวลาฝนมามันทนไม่ไหวก็ไปหาที่หลบของมัน เราเป็นคนแท้ ๆ แก้ไขได้ จะบอกว่าปล่อยวาง ยอมรับกฎของกรรม แล้วนั่นก็ปล่อยวางแบบควาย”
              เพราะฉะนั้น...ทำหน้าที่ให้เต็มที่ก่อน ตราบใดที่ยังช่องทางได้แม้แต่เล็กน้อยต้องดิ้นรนก่อน ถ้าหมดหนทางแล้วจริง ๆ ค่อยยอมรับกฎของกรรม
      ถาม :  ทั้งหมดทั้งสิ้นแล้วคำพยากรณ์ท่านเป็นไปตามที่ท่านพยากรณ์ ?
      ตอบ :  เป็นไปตามนั้น เพียงแต่อย่างที่ว่า ถ้าเราเพิ่มความขยันก็เร็ว ถ้าเราลดความขยันก็ช้า อันนี้หมายความว่าขยันไปทางที่ถูกด้วยนะ
      ถาม :  วันนี้เพื่อนสมัยเรียนที่อยู่เมืองนอกแต่งงาน แต่ก่อนหนูเข้าคู่กับเขาดี แต่วันนี้หนูไม่ไป หนูซื้อเสื้อผ้ามา หนูก็ไว้ที่ร้านหนู ไม่ไปตัด ใจไม่นึกอยากจะไปเลย แต่อย่าให้โลกช้ำธรรมขุ่น หนูก็เข้าใจ แต่ว่าห้ามใจ หนูอยากจะไปวัดมากกว่าค่ะ ?
      ตอบ :  คือสละเวลาสักนิดหนึ่งสิ หรือไม่ก็ฝากคนอื่นไป บอกเขาว่าติดธุระสำคัญจริง ๆ มาไม่ได้ วาจาพูดให้ดีอย่างไรก็พูดได้ อยากมาจริง ๆ จ้ะ แต่ติดธุระสำคัญจริง ๆ มาไม่ได้
      ถาม :  เพราะที่ทำงานก็ชอบชวนไปโน่นไปนี่ สมาคมนักเรียนเก่าบ้าง ?
      ตอบ :  ของเราถ้ายังอยู่ทางโลกอยู่ เรื่องเหล่านี้ยังสนุก พอเราเข้ามาทางธรรมแล้ว พวกนี้ก็จืดไป ในเมื่อจืดไปหมดความสนใจก็ไม่อยากจะไปแล้ว เบื่อแล้ว แต่จริง ๆ อย่าเบื่อหนักขนาดอาตมาที่เคยเล่าให้ฟัง ไปเบื่ออยู่กลางห้างพอดีเลย โฮ้โฮ...สะใจมาก
              สมัยหนุ่ม ๆ โน่น ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว เพิ่งสร้างเสร็จ แหม...เปิดนี่สารพัดโปรโมชั่น คนแห่กันไป สาวซื้อของเราก็หิ้ว พอต้องหิ้วหลายครั้งเข้าก็ต้องหอบ หอบไปหอบมาจะท่วมตัวเอา อยู่ ๆ เกิดความคิดขึ้นมา นี่เรากำลังทำอะไร ทำไมเหลวไหลอย่างนี้ ไม่ได้มีสาระมีแก่นสารอะไรเลย มาทำอยู่ได้ พอความรู้สึกเกิดขึ้น โอ้โฮ...เบื่อโลกสุดขีด อยากจะมุดดินหายไปเดี๋ยวนั้นเลย แล้วความรู้สึกผู้หญิงเร็วมาก เขาหันขวับมาถาม “เป็นอะไรน่ะ ?” บอก “เป็นอะไรไม่รู้บอกไม่ถูก แต่ตอนนี้เบื่อขี้หน้าเธอชิบหาย” เขาบอก “เออ...ถ้าอย่างนั้นก็กลับ” กลับ โห...อารมณ์ใจค้างอยู่อย่างนั้นเป็นเดือน ๆ เห็นอะไรน่าเบื่อน่าหน่ายไปทุกอย่าง หลังจากนั้นไม่นานก็บวช