ถาม:  ศีลอุโบสถ ?
      ตอบ :  ศีลอุโบสถกับศีล ๘ เหมือนกันจ้ะ เพียงแต่อุโบสถนิยมถือในวันพระ คราวนี้ที่เรียกว่าศีล ๘ แยกออกมาจากศีลอุโบสถเพราะแบ่งออกเป็น ๓ ประเภทด้วยกัน ประเภทแรกเรียกว่า ปกติอุโบสถ คือถือ ๑ วัน ๑ คืน ภาษาพระเรียกว่า อิมัญจะ รัตติง อิมัญจะ ทิวะสัง วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง แล้วจะมีปฏิชาครอุโบสถ ถือ ๗ วัน ๗ คืน เขาถือก่อนวันพระ ๓ วัน วันพระ ๑ วัน และหลังวันพระ ๓ วัน กลายเป็นอุโบสถ ๗ วัน ๗ คืน หลังจากนั้นจะเป็นปาฏิหาริยอุโบสถ ที่เราเรียกศีล ๘ กัน คือถือเป็นระยะยาวไม่กำหนดเวลา ยาวเท่าไรก็แล้วแต่เรามีกำลังจริง ปาฏิหาริยอุโบสถกำลังน่าจะสูงมากเลยนะ เพราะไม่ได้บังคับด้วยเวลา ถือด้วยความเต็มอกเต็มใจ
      ถาม :  คนไปถือศีลวันพระ รับศีล ๘ อะไรอย่างนี้ ?
      ตอบ :  จ้ะ เรียกว่าอุโบสถศีล ถ้าทั่ว ๆ ไปเราเรียกว่าศีล ๘ แต่ถ้าวันรับวันพระเรียกว่าอุโบสถศีล เพราะวันพระภาษาบาลีเรียกอีกอย่างว่าวันอุโบสถ จริงๆ คือเหมือนกัน ๘ ข้อเท่ากัน
      ถาม :  อย่างรับศีล ๘ แล้วทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น แสร็จแล้วกลับไปนอนที่บ้าน ?
      ตอบ :  ได้จ้ะ ไม่มีปัญหา อย่าให้ศีลพร่องเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องนอนวัดหรอกจ้ะ
      ถาม :  ปฏิบัติตามที่หนังสือบอก ?
      ตอบ :  ดีแล้วจ้ะ เพราะจริง ๆ แล้วศีล ๘ มีอานิสงส์มากกว่าศีล ๕ เยอะเหลือเกิน เพราะเป็นศีลพรหมจรรย์ ศีล ๕ ถ้าไม่ใช่ลูกเขาเมียใครอะไรอย่างนั้นเขาไม่ได้เว้น แต่ว่าเรื่องของอุโบสถนี่งดเว้นเรื่องกาม เป็นศีลพรหมจรรย์ จริง ๆ อานุภาพจะสูงกว่า คราวนี้ถ้ากล่าวโดยคุณสมบัติจริง ๆ แล้ว ศีล ๘ เป็นคุณสมบัติของพระอนาคามีโดยตรงเลยจ้ะ ผู้ที่เป็นพระอนาคามีจะถือศีล ๘ อัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาไปบังคับก็เป็นเอง
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  เรื่องของศัตรูในที่ทำงานที่ไหน ๆ ก็มี คนเราไม่ได้ทำดีมาอย่างเดียว ถึงเวลาคนรักก็มี คนชังก็มาก โบราณเขาว่า “คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ” คือคนรักเท่าผืนหนัง หนังหุ้มตัวเรานี่ก็เท่ากับว่าแค่ตัวเรา แต่คนชังเท่าผืนเสื่อ เสื่อใหญ่กว่าตัวเท่าไร กลิ้งสามรอบยังไม่พ้นเสื่อเลย เพราะฉะนั้น...มีวิธีจะทำอย่างไร ความจริงแอบ ๆ ทำดีกว่า ไปโผงผางโฉ่งฉ่างสร้างศัตรูเปล่า ๆ แอบ ๆ ทำ ต้องขยันภาวนาใช้คาถาช่วย แต่มีทั้งประเภทที่ว่า รักเรา เลิกยุ่งกับเราไปเลย หรือว่าสงเคราะห์ไปเลยอย่างนั้น หรือไม่ก็ทำให้เขาทำอะไรเราไม่ได้ เราอยู่เย็นเป็นสุขในดงของเขาเลย หรือจะทำให้เขาบรรลัยไปเลย จะเลือกเอาอย่างไหน..!
      ถาม :  ให้เขาเลิกไปเองโดยปริยายดีกว่า จะได้ไม่บาป ?
      ตอบ :  เลิกไปโดยปริยาย ถ้าให้เขารักเราใช้คาถาเมตตา “พระอรหัง สุคโต ภควา นะ เมตตาจิต” ก่อนไปทำงานภาวนาสักครึ่งชั่วโมง นึกถึงหน้าเขา ทำอย่างนั้นทุกวัน ๆ แค่นั้น ว่าไปเรื่อย ๆ นึกถึงหน้าคนไหนเกลียดขี้หน้า นึกถึงหน้ามันว่าไปเรื่อย ๆ คน ๒๐ คนก็นึกได้ ทั้งสำนักงานเลยก็นึกได้ ถึงเวลาไปจากร้ายจะกลายเป็นดีหมด ดีไม่ดีเลี้ยงข้าวเลี้ยงอะไรเราสบายไปเลย อันนี้ทำให้เขารักเรา สงเคราะห์เราโดยเฉพาะ
      ถาม :  ใช้ตะกรุดเมอยู่ทุกวัน ?
      ตอบ :  เอาอย่างนี้ดีกว่า อย่างโน้นทำอันตรายเขาหนักไป ถ้าทำอันตรายเขาหนักไปนี่ บางทีกรรมก็เกิดกับเราเหมือนกัน เพราะเหมือนกับเรารู้ว่าถ้าเราทำ เขาจะเดือดร้อนแล้วเรายังทำ ใช้คาถาเมตตาดีกว่า เราได้กำไรด้วย เพราะเราภาวนาบุญก็เป็นของเราด้วย เสร็จแล้วเขาก็มาดีกับเราด้วย
      ถาม :  ถึงว่าช่วง ๒ เดือนนี้ (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  เดี๋ยวจะพังมากกว่านี้อีก ให้อภัยเขาเถอะ ถึงได้ถามว่าจะเอาขนาดไหน จะเอาอยู่กับเขาสบาย ๆ เขาทำเท่าไร เราก็ไม่เดือดร้อน หรือจะเอาประเภทที่เขาบรรลัยไปเลย หรือจะเอาให้เขารักเรา เลือกเอา
              คราวนี้เลือกให้เขารักเราก็ดีหมดเรื่องไปเลย บรรลัยเลย ยิ่งใช้พระกริ่งพิชัยสงครามนี่คู่แข่งพังเลย คาถา “มหาวิชชะโย โหหิ อะสังวาโส สัมปฏิจฉามิ” ศัตรูคิดร้ายเราจะแพ้ภัยไปเอง พังเอง อาตมาเกิดมาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ หมอดูเขาถอดดวงเสร็จแล้วมองหน้าทำตาปริบ ๆ ถามว่าเป็นเพราะอะไร ของท่านน่ะ อริเป็นมรณะ ดวงเราเกิดมาฟลุกจริง ๆ อริเป็นมรณะ ใครเป็นศัตรูกับเรา เรานั่งเฉย ๆ มันบรรลัยเอง ถึงได้มานั่งทำพระกริ่งพิชัยสงครามถึงได้ขลังนักขลังหนา คนดวงอริเป็นมรณะมาทำนี่ศัตรูก็มีแต่จะบรรลัยเท่านั้น แต่อย่าไปใช้เลย มีคาถาประเภทหนูกินนมแมว หรือวัวกินนมเสือ อะไรพวกนั้น เออ...เขาเป็นศัตรูกับเรา แต่เราอาศัยอยู่ อาศัยกินกับมันสบาย ๆ ก็ได้ ใช้แรงไปเดี๋ยวพัง
      ถาม :  ดีแล้วที่ไม่ใช้ ?
      ตอบ :  จะมีวัวกินนมเสือ กับหนูกินนมแมว คาถาใช้ได้ผลแบบเดียวกัน แต่คนละบท เหมือนกับว่าถึงจะอยู่ในหมู่ศัตรู ศัตรูก็ยังเมตตาสงเคาะห์เรา เป็นมิตรกับเรา อันนี้เขาดึงมาจากชาดกหลวิชัยคาวี ลูกวัวกินนนมแมเสือนั่นน่ะ
      ถาม :  ............................
      ตอบ :  คือคนบางคนแปลก โดยเฉพาะสมัยนี้ เหมือนกับว่าเขาไม่กลัวคนดี เขากลัวแต่คนที่เลวกว่า แต่คราวนี้นิสัยของผมก็อย่างว่า ตัวเราไม่กลั่นแกล้งใครถือว่าเป็นบุญของเขาแล้ว เขายังมาทำกับเราอีกก็เตรียมซวยได้เลย นิสัยอย่างนี้ไม่ค่อยดี แต่ว่าเป็นสันดานประจำตัวแก้ไม่หาย ถ้าไม่มีใครมาแหย่เราก็เฉย ๆ ของเรา มายุ่งกับเราเมื่อไรเดี๋ยวเอาคืนหนักเลย ถึงบอกว่าชอบบี้ให้ตายไปเลย...!
      ถาม :  ถ้าอยากให้เขาสำนึกบ้างแหละค่ะ ?
      ตอบ :  ดีจ้ะ เป็นความคิดที่ดีมากเลย
      ถาม :  อยากให้เขาสำนึกบ้าง ?
      ตอบ :  คนประเภทนั้นนานไปมีคนจัดการเอง ไม่ต้องไปยุ่งกับมันมากหรอก เพราะถ้ามัเนป็นอย่างนั้น แสดงว่าเป็นจริตนิสัยของมันอย่างนั้นเอง คงไม่ใช่กับเรา ก็ต้องกับทุกคน ในเมื่อกับทุกคน เขาปากเสียอย่างนั้นเดี๋ยวมีคนกัดแทนเอง นั่งรอไป รอวันที่กรรมสนอง เราไม่ต้องทำอะไรศัตรูก็ไม่มี แต่พอถึงเวลาอย่าไปกระดี๊กระด๊าสมน้ำหน้าเขานะ เขาโกรธตาย
      ถาม :  ช่วงตอนร่วมงานประชุมวิชาการก็นอนห้องเดียวกัน แต่ว่านอนอยู่ ๔ คน เขานอนกระสับกระส่ายอยู่ปลายเตียง หนูอยู่อีกข้างหนึ่ง ?
      ตอบ :  จ้ะ คราวนี้เราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วตัวโทสะเป็นโทษขนาดไหน คนหนึ่งหลับสบายอีกคนหนึ่ง แหม...โกรธ โมโห คิดอยู่ทั้งคืนหัวจะหงอกตาย ตื่นเช้าขึ้นมาตาเป็นวง ของเราหลับสบาย เพราะฉะนั้น....ถ้าเราเห็นโทษของมันอยู่แล้วก็อย่าทำอย่างนั้น เห็นคนทำอยู่ก็ปล่อย นึกซะว่าเขายังไม่เห็นโทษนั้นน่ะ ในเมื่อยังไม่เห็นโทษเขายังทำอยู่ แปลว่าเขายังไม่ได้ก้าวพ้นจุดนั้นขื้นมา จริง ๆ น่าสงสาร น่าที่จะยื่นมือไปช่วยเขาด้วยซ้ำไป
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ก่อนขึ้นไปเอาน้ำมันชาตรีเจิมหัว ไปก่อน โดนเท่าไรไม่เจ็บก็เดินบี้มันให้ร่วงไปเลย
      ถาม :  ตอนนี้มันก็ยังอยู่ที่เดิมครับ ?
      ตอบ :  น้ำมันชาตรี โบราณเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลูกเบา คือโดนหนักเท่าไรจะไม่ค่อยรู้สึก โดนเขาชกเข้าเต็ม ๆ เหมือนเขาแปะ ๆ เท่านั้น ในเมื่อเป็นลูกเบา ของเราออกไปเป็นหนัก เขากับเราแลกกันคนละทีใครจะเหลือ เบาขนาดไหนก็บอกไม่ถูก รู้แต่ว่าสมัยก่อนหลวงพ่อท่านต้องไปเทศน์ คราวนี้ระยะทางที่จะไปเทศน์ส่วนใหญ่ต้องเดินลัดทุ่ง ไป พอดีเกิดลมหัวด้วนน่ะ สมัยนี้คงเรียกว่าลมบ้าหมูแต่แรงหน่อย พัดต้นตาลหมุน แล้วก็มีคนตกพลั่กลงมา หลวงพ่อก็ตายล่ะหว่ากู กูไม่ได้ไปงานเทศน์แล้วคงเป็นงานศพแน่ ๆ เลย วิ่งเข้าไปดูปรากฏว่ามันลุกขึ้นมาปัดตูดบ่นว่า “ไอ้ห่าหกไปซะได้” มันห่วงน้ำตาลเมาที่ถืออยู่ ตกจากต้นตาลมากองกับพื้น น้ำตาลเมาหกไปหน่อยหนึ่ง ถามว่า “โยมมีอะไรดี ?” ตอบ “ผมมีลูกเบาครับ” ลูกเบาคือน้ำมันชาตรี ก่อนจะออกจากบ้านเอาไม้เล็ก ๆ อย่างพวกก้านธูปไปแตะนิดเดียวเจิมหัว อธิษฐานขอบารมีพระท่านคุ้มครอง โดนอะไรหนักจะเป็นเบา คราวนี้หลวงพ่อท่านทำน้ำมันชาตรีแล้วท่านไม่กล้าบอก ท่านจะไปเน้นเรื่องรักษาโรคแทน เพราะถ้าขืนบอกเดี๋ยวลูกศิษย์ท่านไปตีชาวบ้านกระจายหมด
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  นั่นแหละ ก่อนขึ้นเจิมสักหน่อย เอาสักขวดแค่นี้พอแล้ว ใช้ไปเป็นปีอีกอย่างคือน้ำมันชาตรีเราเติมไปอีกกี่สิบกี่ร้อยปีบอานุภาพก็เท่าเดิม พูดง่าย ๆ คือว่าได้มาหน่อยเราก็เติมไว้เป็นปีบเลย เอาน้ำมันเติมใส่ที่ยังไม่ได้เสกก็จะเป็นน้ำมันเหมือนกันหมด แต่อย่าเอาที่ไม่ได้เสกมาเติมใส่น้ำมัน จะเสื่อมอานุภาพไปเลย เขาให้เอาน้ำมันชาตรีเทใส่น้ำมันธรรมดา อย่าเอาน้ำมันธรรมดาไปเทใส่น้ำมันชาตรี
      ถาม :  น้ำมันใช้น้ำมันอะไรคะ ?
      ตอบ :  น้ำมันมะพร้าวก็ได้ อะไรก็ได้ แต่เท่าที่ลองดูน้ำมันงากลิ่นดีหน่อย น้ำมันมะพร้าวเก็บไปนาน ๆ กลิ่นเหม็นหืน แต่แหม...ตอนที่รักษาโรคนี่ น้ำมันงาหยอดตานี่เจ้าพระคุณ ประเภทเห็นดาวเห็นเดือนเลย ไม่นึกว่าจะแสบตาได้ขนาดนั้น แต่หายนะ ที่สายลมน่าจะมีน้ำมันชาตรี อาทิตย์หน้าก็แวะบ้านสายลมไม่ต้องไปถึงอุทัย สายลมซอยแปด เล็ง ๆ ดูบ้านฉางทาวเวอร์ก็ลุยเข้าซอยนั้น บอกรถมอเตอร์ไซค์ รถสองแถวจ้างไปบ้านหลวงพ่อ พาไปได้ทุกคัน ถามเขามีวัตถุมงคลจำหน่ายตรงไหนก็ลุยไป ถามมีน้ำมันชาตรีเหลือไหม หลวงพ่อจำหน่ายขวดละ ๑๐๐ บาท ร้อยหนึ่งเท่ากับขวดยาน้ำเด็กที่หมอเขาจ่ายให้เด็ก เราจะไปเติมกี่ปีบก็อยู่ที่เรา
      ถาม :  หยดลงไปในน้ำมัน ?
      ตอบ :  เทลงไปเลย ไม่ต้องหยดหรอก แหม...ประหยัดอะไรขนาดนั้น จริง ๆ หยดเดียวก็พอ
      ถาม :  ถ้าเติม ?
      ตอบ :  ถ้าเติมน้ำมันชาตรีเทใส่น้ำมันธรรมดา จะกลายเป็นน้ำมันชาตรีไปด้วยกัน สมัยที่หลวงพ่อท่านบอกครั้งแรก อาตมาจัดการหาน้ำมันงามา ๓ ลิตร เอาไปเข้าพิธี ตอนนั้นมีน้ำมันงา ๓ ลิตร มีปืนอยู่ห้ากระบอก ปืนจริง ๆ เพราะถ้าคนอื่นมีมีดหมอชาตรี อาตมาจะมีปืนชาตรีอยู่ห้ากระบอก ปัจจุบันเหลือกระบอกเดียว ตอนสมัยเป็นฆราวาสเฮี้ยนหน่อย มีปืนตั้งเก้ากระบอก แต่ตอนที่หลวงพ่อท่านเสกชาตรีเผอิญอยู่ใกล้มือคว้ามาได้แค่ห้า เลยไปเข้าพิธีซะ
      ถาม :  น้ำมันชาตรีนี่ตั้งแต่ปีไหนคะ ?
      ตอบ :  ชาตรีจำไม่ได้ น่าจะประมาณ ๓๒ นั่นแหละ น้ำมันชาตรีหลวงพ่อท่านบอกในชีวิตของท่านเห็นทำได้อยู่สองอค์ คือหลวงปู่ปาน กับอาจารย์โภคา อาจารย์โภคาไม่ได้ถามท่านว่าอยู่วัดไหน แต่ถึงอยู่วัดไหนก็ไม่มีประโยชน์เพราะเรื่องของน้ำมันชาตรีเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าโดยตรง ถ้าพระพุทธเจ้าท่านไม่สงเคราะห์ทำให้ตายก็ไม่เป็นชาตรี พระพุทธเจ้าท่านบอกหลวงพ่อ จริง ๆ เรื่องชาตรีท่านแอบซุกไว้ให้พวกแกทุกครั้งแหละ แต่งานนี้จะให้ออกหน้าเลย ส่วนใหญ่อะไรที่เป็นวิชาก้นหีบ ถ้าออกหน้ามาเมื่อไรแปลว่าเจ้าของใกล้ไปแล้ว หลวงพ่อท่านบอกว่าสมัยนั้นเห็นหลวงปู่ปานทำได้สองครั้ง แล้วท่านก็บอกว่าในชีวิตฉันคงทำได้แค่ครั้งเดียว จริง ๆ หลังจากนั้นไม่นานหลววงพ่อก็มรณภาพ ได้ทำครั้งเดียว ยังไม่ได้ทำชาตรีครั้งต่อไปเลย
              คราวนี้สมัยที่ท่านไปวัดบางนมโค ประมาณปี ๒๕๒๖ ปลายหรือ ๒๕๒๗ ก็ไม่รู้ ท่านแวะไปกราบที่กุฏิเก่าของหลวงปู่ปาน ท่านบอกว่า “ดูไปดูมาเจอน้ำมันชาตรีอยู่ คือสมัยก่อนท่านใส่ขวดแม่โขงหรือกวางทองรุ่นเก่า รุ่นนั้นจะมีกระดาษแก้วห่อขวดอยู่ พวกเราเกิดกันไม่ทันหรอก อาตมาเจอเอยะ คือรุ่นก่อนนี้ปราณีตมากเลย ขนาดเหล้ามีกระดาษแก้วห่อแล้วบิดหมุนอย่างดีเลย เหมือนอย่างกับห่อของขวัญนั่นแหละ คราวนี้พอเขากินหมดล้างขวดสะอาดก็ใส่ไว้ หลวงพ่อจำได้ว่าเป็นน้ำมันของหลวงปู่ปานท่านก็ดีใจ เพราะเหลือติดก้นอยู่หน่อยหนึ่ง ถามทางวัด เจ้าอาวาสคือพระครูวิหารกิจานุยุต เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อบวชให้เอง ถามบอกว่า “ขอได้ไหม ?” ท่านบอก “นิมนต์เลยครับ ไม่เห็นมีใครเขาใช้เลย อาจารย์อยากได้เอาเถอะครับ” หลวงพ่อท่านเอามาเติมทีเป็นปีบเลย เสร็จแล้วช่วงนั้นท่านเรียก น้ำมันสังคโลก น้ำมันสังคโรคคือรักษาได้ทุกโรค ท่านไม่บอกเราว่าชาตรี เราก็สังคโรคก็สังคโรค ก็ใช้ไปเรื่อย ตอนนั้นถ้าใครอยากได้น้ำมันนี่ อยากได้เท่าไรต้องเอาไปให้หลวงพ่อเท่านั้น สมมติขอไปขวดเบียร์หนึ่ง ต้องเอาน้ำมันมะพร้าวไปให้หลวงพ่อไปให้หลวงพ่อขวดเบียร์หนึ่งแลกกัน ท่านบอกไม่อย่างนั้นของข้าหมด พวกเอ็งเอาเกลี้ยง เราก็นอนกอดน้ำมันสังคโรค รักษาโรคมาเรื่อย มารู้เอาทีหลังว่าน้ำมันสังคโรคคือน้ำมันชาตรี แต่หลวงพ่อก็อย่างว่าแหละบอกตรงไม่ได้ บอกตรงลูกศิษย์หลวงพ่อเฮี้ยนทั้งนั้น เดี๋ยวมันตีเขาตาย รู้ว่าประเภทกันได้ทุกอย่าง อย่างนี้เป็นใครใครก็ซ่าได้
              คราวนี้มาเป็นคิวของท่านเอง ท่านก็ทำเอง พอทำเองบอกคุณสมบัติออกมานี่น้ำมันสังคโรคทุกอย่าง เราก็เพิ่งจะถึงบางอ้อ เป็นกรรมจริง ๆ เลย ตัวเองกอดน้ำมันชาตรีมาเป็นสิบปี แต่ไม่รู้ว่าใช่ คราวนี้พอหลวงพ่อท่านทำครั้งนั้นท่านก็สั่งโรงงานเลย โรงงานผลิดน้ำมันงาตรามังกรคู่ ส่งน้ำมันงาไปสามร้อยปีบ ไม่เยอะหรอก สิบล้อคันหนึ่งพอดีเลย ล้นยันหลังคาเลย สามร้อยปีบที่จำได้แม่น เพราะต้องขนขึ้นตึกรับแขกใหม่ เดินจนเข่าอ่อนเลย เสร็จแล้วหลังจากนั้นท่านบอกให้เติมได้ แต่พวกเราอย่างไรล่ะ อยู่ใกล้ของดีก็ใช้ฟุ่มเฟือย เล่นแต่หัว ๆ เลย ขี้เกียจเติม แล้วชาตรีแปลกอยู่อย่างหนึ่งโดนแล้วไม่เจ็บ ไม่เหมือนกับพวกมหาอุตม์ คงกระพันอะไรอย่างอื่น มหาอุตม์ไม่เป็นไรหรอก อย่างไรปืนยิงไม่ออก แต่คงกระพันโดนแล้วไม่เข้ามันเจ็บ ไม่เหมือนชาตรี ชาตรีโดนเท่าไรไม่รู้สึก
              ของอาตมาที่เห็นคา ๆ ตา ไม่ใช่ใครหรอก พี่มุกดาเขาอยู่ด้วย ตอนนั้นไปสอนบ้านยายแขเขาเป็นแม่เสือ เพราะบ้านอยู่โน่น กลางไร่อ้อยสุพรรณบุรี แล้วไร่อ้อยเป็นพัน ๆ ไร่ คนเข้าไปปล้นเมื่อไรก็ไม่รู้ ทั้งบ้านมีแต่ผู้หญิง ไปฝึกให้ยิงปืนกันตาแดงเขาไปโน่นครูฝึกใหญ่ ปรากฏว่าปืน ๖-๗ กระบอก คนโน้นหยิบกระบอกโน้น คนนี้หยิบกระบอกนี้ ทางด้านนั้นก็ฝึกไป ทางด้านนี้ก็เล่นไป เราได้ยินเสียง เสียงของป้าเกียงนี่แหละ แน่นอนเลยแหละต้องใช่ เขาบอกว่าไม่เป็นไรหรอกเหนี่ยวไกได้ จุ๊บก็เหนี่ยไก ๑๑ มม. ลำกล้องห้านิ้วยาวเต็มขนาดเลย เสียงตุ้มประเภทขี้หูลั่นเลย ลูกไฮพาวเวอร์ ความเร็ว ๙๕๐ ฟุต/วินาที นักมวยปล้ำโดนยังตีลังกาเลย ปรากฏว่าปากอ้าตาค้างอยู่ท่านี้ ตกใจ คือไม่นึกว่าปืนจะลั่น เลยมองหาว่าลูกปืนไปทางไหน แม่ของดวงแขบอกนี่โดนฉันนี่ หยิบลูกปืนให้ดูแบนแต๊ดแต๋เลย แบนติดซี่โครงเป็นรอยแปะแดง ๆ อยู่หน่อยเดียว โห...เราตอนแรกมึงเอ้ย นี่ถ้าแกไม่ได้กินน้ำมันชาตรี วันละ ๑ ช้อน สงสัยได้กลายเป็นฆาตรกรไม่รู้ตัวเลยนะนั่น ขนาด ๑๑ มม. ถามเขา “รู้สึกอย่างไร ?” “เหมือนกับตัวแมงใหญ่บินมาชนเท่านั้นน่ะ” นั่นลูก ๑๑ มม. นะ
      ถาม :  ขนาด ๑๐๐ กว่ากิโลยังกระเด้ง ?
      ตอบ :  ฝรั่งตัวโตโดนยังตีลังกาเลย
      ถาม :  ขึ้นไปข้างบน ?
      ตอบ :  คงกระพันโดนแล้วเจ็บ แต่ชาตรีนี่เหนือคงกระพันหลายเท่านัก โดนแล้วไม่เจ็บ ตอนที่ขุนแผนขอนักโทษ ๓๕ คนไปรบศึกเชียงใหม่ สมเด็จพระพันวัสสาบอกว่า “เอาทหารเท่าไร ?” ขุนแผนบอก “ไม่ต้องหรอกครับ ขอแค่นักโทษ ๓๕ คนก็พอ” นั้นแต่ละตัวเซียนทั้งนั้นเลย แล้วมีการลองวิชาหน้าพระที่นั่ง เขาว่าอะไร “นายช้างดำ กำลังดั่งช้างสาร ถวายบังคมคลานออกมาหน้า นอนหงายร่ายมนต์ภาวนา ให้เอาขวานผ่าไปเป็นหลายซ้ำ เสียงโปกโปกขวานกระดอนนอนพยัก ไม่แตกหักลุกขึ้นมาหน้าแดงก่ำ นายคงเคราเข้านั่งบริกรรม ให้เอาหอกกรอกตำตรงจำเพาะ ถูกเข้ายอดอกไม่ฟกซ้ำ แทงซ้ำหลายทีที่เหมาะ ๆ เสียงอักอักพยักหน้านั่งหัวเราะ จนด้ามหอกหักเดาะไม่ทานทน” แทงจนหอกหักตัวมันเฉย แต่ละคนมาสไตล์เดียวกันหมด แล้วใครจะไปทำอะไรมันได้ แ ต่ตอนที่ไปรบเข้าจริ งๆ ขำ เขาก็ฟันจนยกแขนไม่ขึ้น แล้วพ่อคุณเอ้ยช่วยทีเถอะ ทหารฝ่ายตรงข้ามมาเป็นหมื่น ๆ แล้วตัวเองมาแค่ ๓๕ คน พอพวกขุนแผนใช้คาถาช่วยใช้อภิญญาช่วย ทางด้านโน้นก็แก้ได้แก้ตกสารพัด ตีกันแหลกลานจนกระทั่งสุดท้ายท่านต้องเสกใบมะขามต่อเป็นแตนต่อยกระจายไปทั้งทัพ พวกหนังเหนียวกลัวคนเยอะ ไม่ไหวหรอกรุมตายเลย แบบเดียวกับแสนตีเพชรกล้า แสนตีเพชรกล้าต้นตำหรับเหนียวจริง ๆ เขาบอกว่า “แต่เกิดมาอาวุธไม่พ่องแพว ไม่มีแนวหนามขีดสักนิดเดียว” โอ้โฮ...พ่อเจ้าประคุณสุดยอดของความเหนียวจริง ๆ นั่นก็เสร็จคนเยอะ ช่วยกันตีช่วยกันทุบจนกระทั่งตกมาจากหลังม้า ก็เอาหลาวทะลวงก้นซะ แล้วจะไปเหลืออะไร เพราะอย่างนั้นพวกเหนียวนี่แพ้คนมาก
      ถาม :  หนูไม่กล้าที่จะไปแลก ?
      ตอบ :  หมอนพพรข้ามไปฝั่งพม่า ได้เขี้ยวเสือมาเขี้ยวหนึ่ง บอก “หลวงพี่ครับ ช่วยดูให้ผมหน่อยครับ ของแท้หรือเปล่า ?” บอก “หมอมีไฟแช็กไหม ?” บอก “มี” “นั่นน่ะ จุดไฟแช็กจิ้มเข้าไปตรงปลายเขี้ยวมันนะ ถ้าติดไฟก็ของปลอม” หมอเขาจุดไฟแช็กใส่ปลายเขี้ยวลุกพรึบเลย เป็นไฟเบอร์ ถ้าเขี้ยวเสือแท้ไม่ไหม้ไฟ ยกเว้นประเภทที่ทิ้งเอาไว้นานกันจริง ๆ ถึงจะไหม้
      ถาม :  บอกพ่อ บอกเขาไปตรง ๆ สิ กินไม่ได้หรอก ตกนรก ?
      ตอบ :  เพี่อนคงรับได้หรอก ยิ่งพูดถึงนรก นรกมองไม่เห็นใช่ไหม ถ้าอย่าง ระเด่นลันได ที่ไปจีบนางปะแดะ นางปะแดะเขาเป็นเมียท้าวประดู่อยู่ นางปะแดะบอกไม่ได้หรอกเดี๋ยวตกนรก ระเด่นว่าไงรู้ไหม อันนรกตกใจทำไมมี ยมบาลกับพี่เป็นเกลอกัน ไอ้นี่หาเรื่อง แสบจริง ๆ ระเด่นลันไดต้องชมคนแต่ง สุดยอดของความเก่ง แต่งเรื่องของขอทานกับคนเลี้ยงวัวให้เป็นพระมหากษัตริย์ได้ แต่เหมือนกับเป็นกษัตริย์เป็นอะไร ทรงเสวยข้าวตังกับหนังปลา สะสรงคงคาในท้องคลอง ใช้คำว่าเสวยของพระมหากษัตริย์นะ แต่กินข้าวตังกับหน้งปลาแห้ง สะสรงคงคาในท้องคลอง โดดตูมลงคลองอาบน้ำ นางปะแดะก็แหม...งามจริง ๆ แย่งกันไปก็แย่งกันมา ดูมันบรรยายแล้วนึกภาพออกมาหัวเราะแทบตาย เขาว่าสูงระหง ทรงเพรียวเรียวชะลูด แหม...เทรนนี้ปัจจุบันนิยม งามละม้ายคล้ายอูฐกะหลาป๋า พิศดูหัวจรดเท้าขาวแต่ตา ดำปี๋เลย ทั้งสองแก้มกัลยาดังลูกยอ สิวเพียบ งามเหลือเกิน แย่งกันอยู่นั่นแหละสองคน เหมือนอย่างกับประชดประชัน ประเภทเป็นชู้กับคนนั้น เป็นชู้กับคนนี้ แต่งประชดซะเลย