สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๖ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  แต่ตอนนี้คือลุยไปพร้อมกันเลยครับ
      ตอบ :  ได้ ไม่มีปัญหา ถ้าถามคืออันดับแรกการศึกษา อันดับที่สองการงาน เรียนไปทำไปก็ได้ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วนี่สำหรับเรา
      ถาม :  แล้วมีอันดับที่สามไหมครับ ?
      ตอบ :  อันดับที่สามถึงเวลาบวชให้ท่านซักพรรษาหนึ่ง ของเราถ้ายังเป็นตระกูลของคนไทยอยู่ ยังอยู่ในประเทศไทยอย่างน้อย ๆ อายุครบ ๒๐ ควรจะบวชซักครั้ง จะได้รู้ว่านรกมีจริง (หัวเราะ)
      ถาม :  ใจผมนี่ ๒๕ คิดว่าจะบวช อาจจะบวชยาวครับ ?
      ตอบ :  อย่าเพิ่งไปตั้งใจอย่างนั้น ตั้งใจอย่างนั้นตาย มารคือตัวทดสอบนี่ อันนี้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์จับไม่ค่อยได้ มันเก่งจริง ๆ ถ้าเขารู้ความตั้งใจของเราเมื่อไร แล้วยิ่งเราปิดทางไว้เลยว่าจะบวชไม่สึกนี่ มันตีตายเลย ตั้งใจไว้เลยอยู่ไม่ได้เมื่อไรไปทันที อย่างนั้นน่ะสบาย เปิดช่องรอบทางพร้อมจะหนีได้
              เพราะฉะนั้น...จะบวชเอาแค่ว่าเราบวช ถ้าสบายใจก็อยู่ไปเรื่อย ๆ อยู่ไม่ไหวเมื่อไรเราสึกทันที ตั้งใจอย่างนี้จะอยู่ได้นาน แต่ถ้าไปตั้งใจว่าเราจะบวชไม่สึกสารพัดแรงกระทบจะมา
      ถาม :  ผมคิดว่าจะทำหน้าที่ทางโลกให้สมบูรณ์ก่อน คือไม่อยากเป็นผู้ที่เสียใจในภายหลังว่าไม่ได้ทำอะไรเลยครับ ?
      ตอบ :  เออ...ทำไปเถอะ ประเภทเดียวกันอาตมา ทำอะไรไม่เคยเสียใจหรอก แต่ถ้าไม่ได้ทำจะเสียดาย (หัวเราะ) เพราะฉะนั้น...ทำซะก่อน
      ถาม :  ถ้าสมมติว่าคนที่ปรารถนาจะไปนิพพานก็ต้องโดนตลอดเลย ?
      ตอบ :  โดนอยู่ตลอดอยู่แล้ว เหมือนกับว่าเป็นหนี้เขามาเยอะ แล้วอยู่ ๆ จะหนีหนี้ แล้วเจ้าหนี้เขาทวงหนักหน่อย ถ้าประเภทถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง โอ้ย...ระยะเวลาอีกเยอะเขาก็ค่อย ๆ ทวงทีละนิด ให้มันเถอะ อย่างไร ๆ ก็ใช้ไม่หมดอยู่แล้ว ไม่มีผู้ใดที่อยู่บนนิพพานจะใช้หนี้หมดหรอก ส่วนใหญ่จะหลุดพ้นไปถือเป็นอโหสิกรรมไปโดยปริยาย เหมือนอย่างกับว่าถ้าคุณสามารถไปอยู่ต่างดาวได้ เจ้าหน้ก็ตามทวงคุณไม่ไหวอะไรอย่างนั้น
      ถาม :  เรามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้หญิง สมมติว่าเขาแต่งงานไป เราไม่แน่ใจว่าจะคบเป็นเพื่อนสนิทเหมือนเดิมได้ไหม ?
      ตอบ :  คบหาได้เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเราจะทำอย่างไรจะให้สามีเขาไว้วางใจ ตรงนี้สำคัญ สมัยก่อนอาตมาเป็นฆราวาสเป็นทหาร เสร็จแล้วเป็นโรคค่อนข้างจะแหยงผู้หญิง ไม่ใช่ไม่ชอบนะ ชอบแต่กลัว เลยว่านอกจากเพื่อนสนิทไม่กี่คนจริง ๆ แล้วไม่ได้คบผู้หญิงที่ไหน คราวนี้เวลาที่ทหารเขาเข้าสโมสรน่ะ เขาจะบังคับไว้เลยว่าต้องพาแฟนมาด้วย ของเราก็ไม่มีก็ต้องไปยืมเพื่อน เฮ้ย...ยืมเมียควงหน่อยนะ เออ...มึงเอาลูกกูไปด้วย สบายไป เราจะทำเขาไว้ใจเราได้ขนาดนั้นไหม ?
      ถาม :  เรื่องของบั้งไฟพญานาคครับ ?
      ตอบ :  บั้งไฟพญานาคไม่ใช่พญานาคจ้ะ เป็นเรื่องของเทวดาเขาลงไปจำพรรษาที่เมืองข้างล่าง แล้วถึงเวลากลับขึ้นมาก็อยากให้คนโมทนาความดี ก็เลยแสดงให้ดู แค่นั้นเอง
      ถาม :  เทวดาชั้นไหนคะ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่ก็เป็น ๖ ชั้นนี่ ส่วนใหญ่ก็ตั้งแต่จตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี ยามามากว่าเพื่อน
      ถาม :  ปรนิมมิตวสวัตดีก็มาด้วย ?
      ตอบ :  มีมา ทางวิทยาศาสตร์นั่นเจ๊งไปนานแล้ว คือไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ เขาบอกว่าเป็นแก๊สที่หมักหมม พอถึงเวลาขึ้นมากระทบออกซิเจนก็เกิดเป็นลูกไฟ อย่าลืมว่าวันออกพรรษของแต่ละปีไม่เคยตรงกัน ยีงปีหน้ามีแปดสองหน ออกพรรษาวันที่ ๒๘ ตุลาโน่น เพราะฉะนั้น...ทำไมเขาถึงรู้แล้วขึ้นวันนั้น แก๊สบ้าอะไรจะนับเวลาเป็น
      ถาม :  เรื่องตำแหน่งของแดนต่าง ๆ อย่าง ๖ ชั้นนี่จะมีตำแหน่งที่อยู่ ?
      ตอบ :  ตำแหน่งจริงของโลกไม่ใช่หรอก อยู่นอกเขตจักรวาลไป นอกเขตอวกาศไป พอสุดเขตของจักรวาลทั้งหมดก็เริ่มเป็นเขตของเทวดา คำว่า จักรวาลนี่หมายถึงดวงดาวต่าง ๆ ทั้งที่มีมนุษย์ และไม่มีมนุษย์ ถ้านับจากโลกนี่ต้องนับทิศทางว่าออกไปทางด้านตะวันออกของโลก ตรไงปสุดเขตจักรวาลก็จะเริ่มเข้าเขตของชั้นจตุมหาราช คือพอไปถึงตรงนั้นแล้วมีลักษณะอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าโบราณเขาใช้คำว่า อินทขิล คือเป็นเสาหลักเขต เสาหลักอยู๋ในความเป็นทิพย์ของเขา เป็นหลักเขตที่แบ่งจักรวาลต่าง ๆ กับเขตความเป็นทิพย์ของเขา ตรงนั้นจะมีลักษณะเหมือนเป็นสี่แยก คือถ้าหันหลังกลับก็กลับคืนมายังโลกมนุษย์ตามเดิม ถ้าตรงไปข้างหน้าเป็นเจตของนรก ถ้าเบื้องซ้ายหน่อยหนึ่งเป็นเขตของสวรรค์หกชั้น เยื้องขวาหน่อยเป็นเขตของพรหม ถ้าต่อเนื่องกับเขตของพรหมไปก็เป็นนิพพาน
      ถาม :  ต้องมีบริเวณ ?
      ตอบ :  มี เป็นเขตของเขาอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเป็นทิพย์พิเศษที่ไม่ได้อยู่ด้วยอำนาจของไตรลักษณ์ พ้นจากความอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
      ถาม :  พระนิพพานคือยังไม่มีตำแหน่ง ?
      ตอบ :  มีตำแหน่งมีตัวตนมีอะไรหมด แต่เป็นทิพย์พิเศษที่หลุดพ้นการเวียนตายเวียนเกิดแล้ว เอาอย่างนี้นะ คิดง่าย ๆ คนเราทำชั่วผลของการกระทำเลยทำให้มีนรกมีเปรต มีอสุรกาย มีสัตว์เดรัจฉานเป็นแดนรองรับ คนทำความดีมีเทวดามีพรหมเป็นแดนรองรับ แล้วคนทำดีถึงที่สุดไม่มีอะไรเลยหรือ
              คราวนี้ทุกอย่างเกิดจากการกระทำ ถึงคุณต้องการหรือไม่ ต้องการถึงเวลาจะเกิดขึ้นให้ เพียงแต่ว่าแดนนั้นเนื่องจากว่าเขาทำจนถึงที่สุดจริง ๆ เลยกลายเป็นสถานที่พ้นจากอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไป กลายเป็นทิพย์พิเศษตั้งอยู่ของมันอย่างนั้น มีลักษณะของความเป็นกายทิพย์ แต่ว่าเป็นกายทิพย์ที่ละเอียดเหนือเทวดาเหนือพรหม
      ถาม :  ไม่มีเวลาใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ตั้งแต่เทวดาพรหมขึ้นไปจะเรียกไม่มีเวลาก็ไม่ใช่นะ เพียงแต่เวลานับยากเหลือเกิน ระยะเวลายาวนานมาก อย่างที่เคยเปรียบเทียบอายุอสงไขยกัป ตั้งเลข ๑ ขึ้นมาต่อด้วย ๐ ร้อยสี่สิบตัว เป็นเลขร้อยสี่สิบเอ็ดหลักน่ะ นั่นของเราแค่จิ้มเครื่องคิดเลขเครื่องจะพังเอา แต่ว่าเทวดาพรหมนี่ความเป็นทิพย์ของเขาละเอียดกว่าเขารู้เลยเหมือนกับเรานับหนึ่ง สอง สาม สี่ แค่นั้น ง่ายเพราะตัวปัญญาของเขารู้ได้ ด้วยความเป็นทิพย์ของเขารู้ได้ เสร็จแล้วถ้าถามว่าไม่มีเวลาใช่ไหม จะเรียกว่าไม่มีก็ได้ แต่ขณะเดียวกันเรียกว่ามีก็ได้ แต่นับยากเหลือเกิน
      ถาม :  นับด้วยศูนย์ร้อยสี่สิบตัวอยู่เป็นปีใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  เป็นอสงไขยปี
      ถาม :  อสงไขยปี ?
      ตอบ :  อสงไขยจริง ๆ แปลว่าไม่มีที่สุด แต่จริง ๆ มีของมัน เพียงแต่ว่าในความเป็นมนุษย์ของเรานี่เท่ากับไม่มีที่สุด เพราะนับได้ยากเขาถึงเรียกว่าอสงไขย
      ถาม :  ระยะเวลาในการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ สี่อสงไขยกับแสนมหากัปคือ ?
      ตอบ :  ยังไม่ใช่ตัวนี้ สี่อสงไขยกับแสนมหากัปนั่นต่างออกไปอีกชุดหนึ่ง คือช่วงหนึ่งช่วงมหากัปมากกว่าอันตรกัป มากว่าอสงไขยกัป คือนับเอารอบอสงไขยปีที่ว่านี่ หนึ่งรอบอสงไขยปีที่ว่าให้ตั้งเลข ๑ ขึ้นมาแล้วต่อด้วยเลข ๐ ร้อยสี่สิบตัวนี่นะ เป็นอายุกึ่งความเป็นทิพย์ เพราะว่ามนุษย์เรานี่ใหม่ ๆ เกิดมาจากอภัสราพรหม ยังประกอบไปด้วยบุญเก่าคือความดีเก่าสูงมากเลยมีอายุยืนขนาดนั้น คราวนี้พอมีอายุยืนเป็นอสงไขยปีคือ ๑ ต่อด้วย ๐ ร้อยสี่สิบตัว คราวนี้พออยู่นาน ๆ ไปเริ่มมีสิ่งผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกิดขึ้น ในเมื่อมีความบกพร่องผิดพลาดในความประพฤติอายุขัยก็จะน้อยลง ผ่านไปร้อยปีมนุษย์ก็จะอายุสั้นลงไปปีหนึ่ง จะเป็นศูนย์ต่อด้วยร้อยสามสิบเก้าตัวแล้วก็ต่อด้วยตัวเลขอีก ๙๙๙๙๙๙๙๙ จะพร่องต่อไปอย่างนี้เรื่อย ๆ ร้อยปีลดลงปี เป็นระยะเวลาที่คิดเป็นตัวเลขได้ยากเต็มที จนกระทั่งอายุมนุษย์เหลือแค่ ๑๐ ปี ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดมิคสัญญี ฆ่าฟันกันไม่ต้องไปคิดว่าจะเป็นพี่น้องพ่อแม่ลูกเมียอะไรกัน ไม่พอใจกันก็ฆ่ากันเลย
              คราวนี้ส่วนหนึ่งที่พอมีอายุขัยแค่ ๑๐ และเห็นการเกิดมิคสัญญีก็เกิดความสลดใจขึ้นมา ก็เริ่มสร้างความดีขึ้นมาใหม่ พอเริ่มมีความดีขึ้นมาใหม่ ก็จะอยู่ในลักษณะที่ว่าร้อยปีผ่านไปอายุก็เพิ่มปีหนึ่ง เท่ากับว่าร้อยปีผ่านไปอายุก็เป็น ๑๑ ปี ร้อยปีก็เป็น ๑๒ ๑๓ ไปเรื่อยนะ จนกระทั่งกลับไปเป็นตัวเลขที่ขึ้นเลข ๑ ต่อด้วยเลข ๑ อีกร้อยสี่สิบตัวเท่าเดิมนะ จากเลข ๑ ต่อด้วย ๑ ร้อยสี่สิบตัวลงมาจนถึง ๑๐ ปี จาก ๑๐ ปีขึ้นไปจนเป็น ๑ ต่อด้วย ๐ ร้อยสี่สิบตัว เขาเรียกว่า ๑ อันตรกัป คราวนี้ ๑ อันตรกัปนี่ ๖๔ อันตรกัปจะเท่ากับ ๑ อสงไขยกัป ๔ อสงไขยกัปถึงจะเท่ากับ ๑ มหากัป ตายแหงละคุณเอ๊ย...นั่นแหละ มหากัปของการบำเพ็ญบารมี คือตัวเลขที่ว่ามา คุณไปคูณตายห่าไปคนเดียวเถอะ
              แต่คราวนี้พวกตัวเลขพวกนี้พวกเรานับได้ยาก แต่ว่าบุคคลที่ท่านได้อภิญญาได้ปฏิสัมภิทาญานหรือเทวดาพรหมหรือพระบนนิพพานความเป็นทิพย์ท่านมีมาก ท่านสามารถที่จะกำหนดเป็นหลัก ๆ เหมือนกับว่าเรานับหนึ่ง สอง สาม สี่ ง่าย ๆ เลย เพียงแต่ว่าอย่างที่เขากำหนดอายุหนึ่งกัป ท่านเปรียบเทียบว่าเหมือนกับมีภูเขาหินล้วน กว้างยาวสูงด้านละ ๑๖ กิโลเมตร คือ ๑ โยชน์ ๑ โยชน์คือ ๔๐๐ เส้น เส้นหนึ่ง ๒๐ วา ๘,๐๐๐ วา ๑๖,๐๐๐ เมตร เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร กว้างยาวสูงด้านละ ๑๖ กิโลเมตร ท่านบอกร้อยปีผ่านไปเทวดาเอาผ้าเนื้ออ่อนเหมือนสำลีมาปัดครั้งหนึ่ง ร้อยปีผ่านไปเทวดาเอาผ้าเนื้ออ่อนเหมือนสำลีมาปัดครั้งหนึ่ง จนกระทั่งภูเขาลูกนั้นเรียบเสมอพื้นเป็นเวลา ๑ กัป
      ถาม :  เทียบเท่ากับอันตรกัป ?
      ตอบ :  ใช่
      ถาม :  ......................................
      ตอบ :  ปฏิสัมภิทาญาณได้ เพราะบุคคลบังคับให้ร่างกายอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ ต้องปรับธาตุเป็น ลักษณะของการปรับธาตุคือเวลาร่างกายบกพร่องเจ็บไข้ได้ป่วยเนื่องจากธาตุใดธาตุหนึ่งพร่องขึ้นมา บุคคลที่จะอยู่ต่อถ้าร่างกายทรุดโทรมไม่ไหวจริง ๆ ก็ปรับธาตุทั้งสี่ให้สมดุลใหม่ ในเมื่อปรับธาตุทั้งสี่ให้สมดุลใหม่ก็แข็งแรงดี เหมือนอย่างกับหนุ่มแน่น ดิน น้ำ ไฟ ลม พอรวมตัวกันขึ้นมาสมบูรณ์ไม่บกพร่อง ร่างกายก็แข็งแรง ถ้าธาตุใดธาตุหนึ่งบกพร่องหย่อนไปก็เจ็บไข้ได้ป่วย คราวนี้ถ้าปรับธาตุไม่เป็นก็อยู่ไม่ได้
              แต่บุคคลที่เป็นถึงขนาดนั้นแล้วไม่มีใครอยากได้ร่างกายนี้ ไม่มีใครต้องการที่จะอยู่กับมันอีก ดังนั้นถ้าไม่ใช่หน้าที่บังคับจริง ๆ แล้วไม่มีใครอยู่นะ ตัวอย่างตั้งแต่สมัยโน้นจนถึงปัจจุบัน อาตมาเห็นอยู่องค์เดียวคือหลวงปู่โลกอุดร หลวงปู่โลกอุดรมาถึงตอนนี้ถามอายุท่าน ท่านบอกไม่รู้หรอก ท่านบอก “ข้าก็บอกไม่ถูกหรอกไอ้หนูว่าข้าอายุเท่าไหร่ ?” “เอ็งรู้จักปรางค์สามยอดไหม ?” ปรางค์สามยอดนี่สมัยลพบุรีนะ สมัยละโว้ห่างจากตอนนี้พันกว่าปี บอกตอนสร้างปรางค์สามยอดนั่นข้าไปยืนดูอยู่ หลวงปู่โลกอุดรเข้าเมืองไทยมาพ.ศ. ๓๐๐ กว่า ๆ แล้วอยู่มาจนป่านนี้ อย่างน้อย ๆ ก็สองพันกว่าปี เหตุที่เป็นอย่างนี้เพราะท่านเคยปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า พอมาถึงชาตินี้เกิดหมดอารมณ์ขึ้นมา ปฏิบัติในทางสาวกภูมิกลายเป็นพระอรหันต์ คราวนี้บริวารที่ตามกันมาสิ เออ...หัวหน้ายังไปอีกนานก็นิ่งนอนใจของมันอยู่ไม่ไล่ตามสักที ในเมื่อไม่ไล่ตามเป็นบริวาร สัญญาต่อกันก็ต้องอยู่เพื่อเก็บเขา ในเมื่อต้องอยู่คอยเก็บเขาก็ต้องอธิษฐานให้ตัวเองอยู่ได้ ดังนั้นคนจะแปลกใจว่าหลวงปู่โลกอุดรนี่กี่ยุคกี่สมัยหน้าตาก็แค่นั้น ทำไมไม่แก่สักที ทำไมไม่แก่เกินนั้น ทำไมไม่ตาย บางรายก็เห็นตายไปซึ่ง ๆ หน้า อีกสองวันมาเดินปร๋ออีกแล้ว คือถ้าท่านไปอยู่ที่ไหนแล้วคนรู้มาก ๆ ท่านไม่อยากให้กวนท่านก็ตายเอาดื้อ ๆ เขาเผาท่านเสร็จเดี๋ยวท่านก็ไปปร๋ออยู่อีกที่หนึ่ง ลักษณะนี้ง่ายนิดเดียว
              เพราะฉะนั้น....ตัวอย่างเคยพบคือองค์เดียว แต่องค์อื่นไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านใดที่ท่านอธิษฐานอยู่หรือเปล่า เจ้าคุณธรรมปิฎกท่านตีความนั่นท่านตีความผิดนะ ท่านตีความตามความเข้าใจเป็นสุตมยปัญญา คือฟังมา จินตามยปัญญา คือคิดเอาตรองเอาลักษณะเหมือนการใช้ปัญญาในทางโลก ใช้สมองในการคำนวณอย่างนี้ ไม่ใช่ภาวนามยปัญญา คือปัญญาที่เกิดขึ้นเพราะการรู้แจ้ง
              ดังนั้นท่านบอกว่าอายุกัปหนึ่งอาจจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ๕ ปี ๑๐ ปีเหมือนอย่างกับคนเราตั้งใจจะทำงานอะไรสักอย่างหนึ่ง ถ้าความตั้งใจนั้นงานนั้นยังไม่บรรลุความตั้งใจ ก็ขวนขวายทำจนได้ ท่านบอกว่าสังเกตได้ชัดคือ คนที่เกษียณอายุ พอเกษียณอายุไม่มีงานจะทำก็เฉาถึงแก่ความตายในระยะเวลาอันง่าย แต่ถ้ารู้ว่ายังมีงานทำอยู่ถึงเวลาเกษียณแล้วมีคนเชิญไปเป็นประธานที่โน่นเป็นอะไรที่นี่กรรมการที่นี่ เขาก็อยู่ต่อของเขาได้ กระตือรือร้นต่อไป เพราะตัวเองยังเป็นที่ต้องการของคนอื่นอยู่ ท่านบอกว่ากำลังใจลักษณะนี้กระมัง ท่านใช้คำว่ากระมังเหมือนกัน เพราะท่านเองท่านก็ยังไม่แน่ใจ กำลังใจประเภทอย่างนี้กระมังที่บอกว่าอยู่ได้อีกระยะหนึ่ง แต่ท่านยืนยันบอกว่าถ้าเป็นอย่างนั้น กัปหนึ่งไม่น่าที่จะเป็นระยะเวลาที่ประมาณไม่ได้อย่างที่ว่าไว้ในพระไตรปิฎก น่าจะเป็นช่วงสั้น ๆ ห้าปีสิบปีเท่านั้นเอง แต่จริง ๆ แล้วในเรื่องของพระไตรปิฎกไม่ต้องตีความหรอกเขาว่ากันตร งๆ เพียงแต่ว่าถ้าไม่มีคนทำถึงจริง ๆ จะเถียงกันไม่รู้จบ คนทำถึงจริ งๆ ถึงท่านยืนยันให้ก็หมดท่าเหมือนกัน เต่าขึ้นบกมาถึงก็โอ้ย...มีต้นไม้มีผลไม้มีอะไรสวย ๆ เรียกปลาให้ขึ้นไปดูสิ ปลาจะไปไหมเล่า ลักษณะเดียวกัน ยกเว้นว่าไปเจอเต่าอีกตัวเฮ้ย...ไปดูด้วยกันไปถึงก็เชื่อ เต่าสองตัวมายืนยัน ปลาก็ไม่เห้นก็ไม่เชื่ออยู่ดีนั่นแหละ ก็ไม่จบกันซักที สรุปว่าทำซะเองหมดเรื่อง...!
      ถาม :  ไม่เข้าใจศัพท์ครับ ปฏิสัมภิทาญาณ ?
      ตอบปฏิสัมภิทาญาณ จะเป็นจริตนิสัยในการปฏิบัติแบบหนึ่ง จะมีความสามารถคลุมทั้งอภิญญาหก วิชชาสาม และสุกขวิปัสสโกด้วย คือมีความสามารถทุกอย่างของสามหมวดนั้น แต่มีความสามารถพิเศษอีกสี่อย่าง เขาถึงได้เรียกว่า จตุรปฏิสัมภิทา หรือปฏิสัมภิทาญาณ ๔ คือจะประกอบไปด้วย อัตถปฏิสัมภิทา ธรรมาปฏิสัมภิทา รู้เหตุทั้งหมด รู้ผลทั้งหมด สามารถอธิบายเรื่องยาวให้สั้นได้ เรื่องสั้นให้ยาวได้โดยที่ทุกคนมีความเข้าใจเป็นปกตินะ แล้วมีปฏิภาณปฏิสัมภิทา ประกอบไปด้วยปัญญาอันเฉียบคม ใครไม่ว่าจะสอบถามเรื่องอะไรประเภทที่จะไต่ถามขนาดไหนต้อนขนาดไหนไม่เคยจนกับเขาหรอกไปได้เรื่อย แล้วก็นิรุตติปฏิสัมภิทา สามารถรู้ได้ทุกภาษา ภาษาคนภาษาสัตว์ภาษาผีภาษาเทวดารู้หมด
      ถาม :  อย่างนี้ต้องได้ปฏิสัมภิทาญาณ ?
      ตอบ :  ตั้งแต่ระดับอภิญญาหกขึ้นไปก็ใช่ได้แล้ว
      ถาม :  อภิญญาหกนี่รวมอภิญญาที่ใช้กำจัดกิเลสด้วยใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  รวมด้วย เพราะถ้าไม่มีอภิญญาที่ใช้กำจัดกิเลส เขาเรียกแค่อภิญญาห้า
      ถาม :  อย่างนี้ต้องบรรลุเป็นพระอรหันต์ ?
      ตอบ :  ต่ำสุดต้องเป็นพระโสดาบัน
      ถาม :  ต้องสามารถเจริญอิทธิบาทสี่ได้ ?
      ตอบ :  ได้ เพียงแต่ว่าพระขนาดนั้นไม่มีใครเขาอยากอยู่กันหรอก ไปได้ไปดีกว่า พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบบอกว่า เหมือนกับคนที่ตกไปในหลุมขี้ ในเมื่อตกไปในหลุมขี้แล้วดิ้นรนขึ้นจากหลุมมาได้ อาบน้ำอาบท่าแต่งตัวใหม่ซะอย่างดีแล้วจะให้กระโดดลงหลุมใหม่มีใครอยากโดดไหม ? ความรู้สึกของท่านที่ไม่อยากเกิดแล้วเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น...ถ้าไปได้เผ่นแนบอยู่แล้วล่ะ ใครจะไปแช่อยู่ในหลุมนั้นล่ะ
      ถาม :  หนึ่งพุทธันดร ?
      ตอบหนึ่งพุทธันดร เป็นช่วงระยะเวลาที่จากพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่ปรินิพพานลงจนกระทั่งพระพุทธเจ้าอีกองค์เกิดขึ้น ระยะเวลายาวสั้นไม่เท่ากัน เขานับจากหมดช่วงหนึ่งถึงอีกองค์หนึ่งปรากฎขึ้น
      ถาม :  พระโพธิสัตว์ ?
      ตอบ :  พระอนาคาก็ไม่ได้ พระอรหันต์ก็ไม่ได้ แต่ความรู้ของท่านรู้ได้ดีไม่ดีละเอียดกว่าด้วย คือกำลังใจเทียบเท่าได้ แต่ไม่ตัดกิเลสโดยเด็ดขาด เพราะยังมีงานที่ทำให้พะวงอีกหน่อยหนึ่ง
      ถาม :  พระโลกิยะหรือโลกุตระครับ ?
      ตอบ :  เป็นโลกิยะเต็ม ๆ นี่แหละ แต่ละเอียดมากกว่าโลกุตระทั่ว ๆ ไป เพราะท่านต้องทำให้ได้มากกว่าเขาถึงไปสอนเขาได้ เทียบเท่าพระอริยเจ้าได้ แต่กำลังใจไม่ตัดโดยเด็ดขาด
      ถาม :  น้ำปานะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นน้ำผลไม้เท่านั้นใช่ไหมเจ้าคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ท่านใช่คำว่า สมัยก่อนเขาเรียกว่า น้ำอัฏฐบาน อัฏฐบานคือน้ำแปดอย่าง มีน้ำเหง้าบัวด้วยนะ น้ำเหง้าบัวนี่ใช้ได้ คือเอารากบัวหรือไหลบัวมาต้มทำเป็นน้ำ น้ำกล้วยมีเมล็ด น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด น้ำมะม่วง น้ำองุ่น น้ำลูกหว้า น้ำลูกหว้านี่ท่านใช้คำว่าชมพู คราวนี้คนอ่านบาลีไม่แตกกลายเป็นน้ำชมพู่ คนละเรื่องกันนะ พอมาภายหลังพระพุทธเจ้าท่านอนุญาตเพิ่มเติมให้ว่า ถ้าเป็นผลไม้ที่โตไม่เกินลูกมะตูม เขาใช้คำว่าประมาณกำปั้น โตไม่เกินลูกมะตูมเรียกว่าไม่ใช่มหาผล อนุญาตให้ทำเป็นน้ำปานะได้ แต่ท่านบอกว่าต้องเป็นของดิบถึงจะควร ถ้าเป็นของสุกไม่ควร คือในลักษณะที่เรียกว่าเป็นน้ำผลไม้ ถ้าเอาไปต้มจะเสียวิตามินไปเยอะเลยกินไปก็เสียเวลาเปล่า ระบุไว้ชัดเลยนะ แล้วถ้าเป็นมหาผลคือใหญ่เกินลูกมะตูมอย่างเช่นว่า ส้มโอ มะพร้าวอ่อน แตงโม สับปะรดอะไรเหล่านี้ฉันไม่ได้ อันนี้ท่านห้ามไว้เนิ่นนานแล้ว แต่วิทยาศาสตร์เพิ่งตามทันไม่นานนี้เอง ฝรั่งเขาวิจัยว่าพวกบรรดามหาผลประกอบไปด้วยโอร์โมนเยอะมากเป็นพระกินฮอร์โมนเข้าไปเยอะ ๆ ก็อยู่ยากเท่านั้น คึกไปแล้วหาที่ลงไม่ได้ นั่นแหละทุกอย่างท่านห้ามมีเหตุมีผลอยู่ แต่เกินวิทยาศาสตร์ไปเยอะ กว่าเขาจะตามทันก็ไปยันไหนไม่รู้ ระยะนี้มาฮิตดื่มน้ำปัสสาวะรักษาโรค นั่นแหละพระพุทธเจ้าท่านให้ทำอย่างนั้นมาสองพันกว่าปีแล้ว