ถาม:  น้ำมูตร ?
      ตอบ :  เออ...ท่านบอกปูติมุตตะเภสัชชัง นิสสายะปัพพัชชา ปัจจัยคือเครื่องอาศัยของบรรพชิตอย่างหนึ่ง คือฉันยาที่ดองด้วยน้ำมูตรเน่า บอกไว้ชัดเลยให้รักษาโรค และสมัยที่เขาทดลองมาเท่าไรต่อเท่าไรแล้วมีผลดี เพียงแต่คนที่จะกินจริง ๆ นี่ถ้าเป็นพระก็พิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญาเป็นปกติอยู่แล้ว ก็ซดง่ายหน่อยใช่ไหม ถ้าเป็นญาติโยมนี่ถ้าไม่ใช่คนที่เห็นประโยชน์จริง ๆ คงกลืนไม่ลง
      ถาม :  เขาให้ใช้ของเด็ก ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วใช้ของตัวเอง สมัยอาตมาเด็ก ๆ จะมียาเขาเรียกยาเขียว ยาเขียวต้องละลายกับน้ำปัสสาวะเด็ก ตกลงเด็ก ๆ อย่างเจ้าติมมาถึงก็เอ้า...ฉี่หน่อย ก็ฉี่กันเข้าไปใส่กะโหลกกะลาให้เขา เดี๋ยวเขาเอาไปละลายยาเขียว โดยเฉพาะพวกที่เป็นอีสุกอีใสนั่นน่ะ ใช้ยาเขียวละลายกับปัสสาวะเด็กกินแล้วก็ชโลมตัวด้วย หายเร็วมากเลย แล้วก็ไม่เป็นแผลเป็นด้วย
      ถาม :  ในส่วนของน้ำปานะจริ งๆ พวกนมถั่วเหลือง นมวัว ?
      ตอบ :  พวกนมถั่วเหลืองไม่ได้จ้ะ ถ้าหากว่านมวัวได้ แต่นมถั่วเหลืองไม่ได้ เพราะท่านบอกว่า สาลิ วีหิ ตัณฑุลา คือสาลิ คือข้าว วีหิคือถั่ว ตัณฑุลาคืองา พวกนี้จัดอยู่ในประเภทอาหาร ทำเป็นน้ำปานะก็ไม่ควร เพราะฉะนั้น...น้ำถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้นี่คือถั่ว แล้วสมัยนี้น้ำข้าวยาคู วีฟิดไอฟิดอะไรก็ไม่รู้ นั่นเท่ากับเป็นน้ำที่ผลิตจากข้าวก็ไม่สมควรหมายความว่าถ้าจะฉันก็ให้ฉันก่อนเที่ยง หลังเที่ยงไปฉันเดี๋ยวปรับอาบัติเอา
              อีกอย่างคือว่าถ้าเป็นน้ำที่แต่งสีและกลิ่นอย่างเช่นน้ำที่แต่งสีและกลิ่นสับปะรดอย่างนี้ฉันได้ แต่ถ้าเป็นน้ำผลไม้รวมที่มีส่วนผสมอย่างเช่นน้ำสับปะรด ๒๕% อะไรอย่างนี้ฉันไม่ได้ เพราะเล่นเอาของจริงใส่ไปเลย ไม่ใช่แต่งสีแต่งรสด้วยทางวิทยาศาสตร์เขา
      ถาม :  ได้เฉพาะนมวัวอย่างเดียวใช่ไหมเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ท่านบอกว่าเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เนยใสนี่รวมนมไปด้วย เนยข้น ชีสดี ๆ นี่เองแหละ ธรรมยุตเขาไม่ฉันนมข้นอย่างที่เราฉันหรอก เพราะถือว่าผสมแป้งที่เป็นอาหาร แต่เขาฟาดชีดกันตุ้ย ๆ เลย น้ำมันก็น้ำมันทั่ว ๆ ไปที่เขาใช้ปรุงอาหารพวกน้ำมันถั่ว น้ำมันงา น้ำมันพืช แล้วก็น้ำผึ้ง น้ำอ้อยนี่คือรวมเอาน้ำตาลทุกอย่างจะเป็นน้ำตาลสังเคาะห์น้ำตาลทรายอะไรได้ทั้งหมด อยู่ในจำพวกน้ำอ้อยนี่แหละ
      ถาม :  ถ้าเป็นน้ำแอ๊ปเปิ้ลกล่องนี่ฉันได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  ได้อยู่ ยังไม่ถือเป็นมหาผล แอ๊ปเปิ้ลยังพอได้ แต่พวกน้ำฝรั่งฝรั่งเวียดนามโตเกินไปแล้วจ้ะ ไม่ควรเสี่ยง น้ำฝรั่งไม่ควรเสี่ยง อะไรที่ก้ำกึ่งเว้นไว้ดีกว่า
      ถาม :  อาหาเรปฏิกูลสัญญาเป็นหนึ่งในกรรมฐาน ๔๐ ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ใช่
      ถาม :  ถ้าปฏิบัติเฉพาะด้านนี้ให้ได้ผลจะต้องทำอย่างไรบ้าง ?
      ตอบ :  จะกินอะไรก็ตามให้เห็นว่าสกปรกเป็นปกติ อย่างเช่นอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ สัตว์มีเลือดมีคาวมีอะไรเป็นปกติ ถึงเวลาอยู่ในคอกอยู่ในเล้าก็จมขี้จมเยี่ยวอยู่ ถ้าเราเผลอทิ้งเอาไว้หน่อยเดียวก็บดแล้วเน่าแล้ว พิจารณาให้เห็นเป็นปกติ เรากินลงไปสภาพร่างกายของเราก็เป็นอย่างนี้ สภาพร่างกายเขาก็เป็นอย่างนี้ ท่านบอกว่าเราตั้งใจไม่กินเพื่อความอ้วนพีของร่างกาย ไม่กินเพื่อความผ่องใสของผิวพรรณ ไม่กินเพื่อยังความกำหนัดให้เกิดขึ้น จะกินแต่พอสมควรเพื่อยังร่างกายนี้ไว้ปฏิธรรมเท่านั้น ถ้าอาหารที่ทำจากพืชจากผลไม้ก็พิจารณาเอา ส่วนใหญ่เกิดจากปุ๋ย ปุ๋ยอาจจะเป็นอุจจาระปัสสาวะของสัตว์ ถ้ายิ่งประเทศจีนเจ้าประคุณเถอะ ใช้อุจจาระคนรดเลย ในเมื่อมีพื้นฐานมาจากความสกปรกอยู่แล้วนะ
              อย่างเช่นผักผลไม้ที่แก่ได้ที่แล้ว หรือสุกพอดี จริง ๆ ไม่ใช่เน่าแล้วต่างหากล่ะ เพียงแต่คนเราฉลบาด ไปเลือกเอาตอนที่เน่ากำลังดีแล้วเอามากิน ถ้าปล่อยทิ้งเอาไว้อีกหน่อยเดียวก็เน่าเกินดีแล้ว ก็กินไม่ได้แล้ว ถ้ารู้จักพิจารณาอย่างนี้ จะเห็นจริงเห็นปกติของมันอยู่ จะไม่ไปกินเพราะติดในสีในกลิ่นในรส ไม่ไปกินเพราะต้องการที่จะกินแล้วโด๊ป ภาษาบาลีท่านบอกว่ากินเพื่อประดับ กินเพื่อตกแต่ง ประเภทอวดร่ำอวดรวย ต้องกินอุ้งตีนหมีถ้วยละสี่หมื่นถึงจะอยู่ได้อะไรอย่างนั้น
      ถาม :  สมาธิจะขึ้นจากตรงนี้ตอนไหนครับ ?
      ตอบ :  พอพิจารณาเป็นปกติแล้วให้จับอานาปานสติภาวนาต่อไป อะไรก็ตามถ้าไม่ได้ควบอานาปานสติพิจารณาไปเต็มที่ได้ไม่เกินปฐมฌาน พอถึงเวลาพิจารณาอารมณ์ทรงตัวก็จับภาวนาต่อ
      ถาม :  พระท่านสอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่ใช่ของเรา สมมติมีคนสองคน คนหนึ่งมีเงินอย่างนี่ เราไปหยิบเงินเขามา บอกว่านี่ไม่ใช่ของแกนะเป็นของโลก แล้วทำไมถึงได้บาปครับ ?
      ตอบ :  เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช่ของเรานี่ท่านให้พิจารณาที่ตัว แต่ขณะเดียวกันท่านไม่ได้สอนให้ละเมิดสิทธิ์ของคนอื่น ของคนอื่น ทุกคนย่อมหวงเป็นปกติ ในเมื่อเขาหวงอยู่ถ้าเราไปต้องการขึ้นมา ก็จะเกิดกระทบกระทั่งกันขึ้น ถ้าเรายิ่งเอาของเขามาเลย เขาโกรธเกลียดเรา กำลังใจของเขาประกอบไปด้วยโทสะ จะมีอาฆาตพยาบาทต่อไปในภายภาคหน้าอีกต่างหาก จะเป็นกรรมที่ระยะยาวนาน พระพุทธเจ้าท่านต้องห้ามเอาไว้อย่างน้อย ๆ ให้เรามีศีลห้า ทุกสิ่งทุกอย่างจริง ๆ แล้วเป็นสมมติทั้งนั้นแหละ แต่คนไปยึดในสมมตินั้นต่างหาก ในเมื่อยึดเมื่อไรก็จะเป็นเวรเป็นกรรมทันที เป็นเหตุให้เกิดทันที เกิดเมื่อไรก็ทุกข์ทันทีอีกเหมือนกัน
      ถาม :  ถ้าพ่อแม่อยากจะให้เราแต่งงานมีครอบครัว ถ้าใจเรายังไม่พร้อมยังไม่อยากแต่งงาน การตัดสินใจแบบไหนจะเหมาะสม ?
      ตอบ :  เรื่องของการปฏิบัตินี่ต้องโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย ถ้าเรารู้ว่าการแต่งงานไปแล้ว โอกาสที่จะปฏิบัติหายากเต็มทีก็เลี่ยงไปจนกว่าจะสุดชีวิตนั่นแหละ
      ถาม :  ถ้าพ่อแม่จะเป็นทุกข์เพราะด้วยเหตุของเราเรื่องนี้ ?
      ตอบ :  ก็มีกรรมอยู่ แต่ถ้าเราสามารถปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นได้ ผลบุญของพ่อแม่ก็มีเยอะ ดังนั้นสิ่งไหนก็ตามที่เราคิดว่าลงทุนแล้วคุ้มค่า ถ้าลงทุนแล้วคุ้มค่าต้องเสี่ยงกันบ้าง เราทำให้พ่อแม่ไม่สบายใจไม่พอใจไปนั่นน่ะเ เป็นทุกข์เป็นกรรมอยู่แน่ ๆ อยู่แล้ว แต่ถ้าเราสามารถหลุดพ้นได้แล้วยิ่งสามารถสั่งสอนพ่อแม่ให้หลุดพ้นตามไปด้วยได้ก็กลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดไปเลย ในเมื่อเปรียบเทียบแล้ว ลงทุนแล้วคุ้มค่ากับส่วนที่เราจะทำได้ก็เอาเลย เหมือนกับลงทุนร้อยได้คืนมาเป็นล้าน ก็ยอมขาดทุนไปร้อยหนึ่งก่อน
      ถาม :  เหมือนพระเรวัตตะ ?
      ตอบพระเรวัตตะ ท่านไม่ใช่ลักษณะนี้ หลอกเลย หลอกแล้วหนีไปบวชเลย แต่ครอบครัวนั้นเป็นครอบครัวอัศจรรย์นะ ครอบครัวพระอรหันต์ พี่ใหญ่คืออุปติสสะ คือพระสารีบุตร พี่รองคือท่านอุปเสนะ พี่สาวคนโตคือนางจาลา พี่สาวคนถัดไปคือนางอุปจาลา พี่สาวคนถัดไปคือนางสีสุปจาลา น้องชายคนรองคือนายจุนทะ แล้วน้องชายคนเล็กคือพระเรวัตตะ บวชแล้วเป็นพระอรหันต์หมดเกลี้ยงเลย โดยเฉพาะคนเล็กสุด ๗ ขวบเท่านั้น ครอบครัวพระอรหันต์จริง ๆ แต่แม่เป็นมิจฉาทิฐิ แม่ต้องเรียกว่าโคตรมหาเศรษฐี แต่เป็นมิจฉาทิฐิ พระสารีบุตรก่อนจะมรณภาพไปโปรดสงเคราะห์แม่จนเป็นพระโสดาบัน เสร็จแล้วก็มรณภาพ ปรากฏว่าแม่เสียอกเสียใจสั่งเปิดคลังเลย ให้สร้างบ้านพักสำหรับคนที่จะมางานศพลูก ๕๐๐ หลัง ให้สร้างจิตกาธาน คือเชิงตะกอนให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ให้ซื้อไม้หอมมาสำหรับเผาลูกเรา จ่ายกระจายเลยวันนั้น ไม่หวงแล้วเพราะเป็นพระโสดาบันแล้ว
      ถาม :  แม่ท่านได้เป็นพระอรหันต์ไหมครับ ?
      ตอบ :  แม่เป็นพระโสดาบัน เสร็จแล้วมานั่งคร่ำครวญว่าแม่รู้จักของดีช้าเกินไป พ่อมาด่วนตายซะแล้ว โถ...อยู่มาทั้งชีวิตบอกมาด่วนตาย แต่จริ งๆ แล้วต้องมาคิดอยู่อย่างหนึ่งว่า แม่ท่านอายุยืนเหลือเกิน พระสารีบุตรนี่มรณภาพอายุไม่ใช่น้อย ๆ นะ แล้วอีกคนหนึ่งที่ตอนแรกคือพระนางปชาบดีโคตมี พระนางปชาบดีโคตมีอายุ ๑๒๐ เป็นพระมารดาที่เลี้ยงพระพุทธเจ้ามา เพราะแม่คือพระนางสิริมหามายาสวรรคต เสร็จแล้วท่านไปบวชเป็นภิกษุณี ไปลาพระพุทธเจ้ามรณภาพตอนอายุ ๑๒๐ ปี พระพุทธเจ้าปรินิพพานตอนอายุ ๘๐ แม่อายุ ๑๒๐ ตายก่อน เราก็เอ๊ะ...! แล้วตกลงพระพุทธเจ้านี่ท่านเกิดตอนที่แม่ ๆ อายุเท่าไรกันแน่ สงสัยมาตลอด แล้วไปเปิดเจออยู่ในมธุรัตถะวิลาสินีอรรถกถาพุทธวงศ์ บอกไว้ชัดเลย ปกติพุทธมารดาจะมีพระประสูติกาลพระโพธิสัตว์ระหว่างอายุ ๕๐-๗๐ อายุประมาณ ๕๐-๗๐ ถึงจะคลอด เราเองก็ยังสงสัยต่อไปอีก แล้วทำไมอยู่จนแก่ป่านนั้นแล้วค่อยคลอด พูดง่าย ๆ ว่าแก่ปานนั้นแล้วค่อยท้องมีลูกน่ะ เพราะปกติพุทธมารดาจะมีโอรสอื่นร่วมครรภ์ไม่ได้ หลังจากประสูติพระโพธิสัตว์แล้วส่วนมากมักจะสวรรคตภายใน ๗ วัน ให้โอกาสท่านอยู่ยาว ๆ หน่อย แต่จริง ๆ แล้วทุกอย่างถ้าเราอ่านแล้วเกิดสงสัยขึ้นมามีที่ให้สงสัยเยอะนะ แต่ขณะเดียวดันท่านก็แก้เอาไว้หมดแล้ว เพียงแต่ว่าเราต้องไปหาอ่านให้ครบเท่านั้นเอง
              ถ้าอาตมาไม่ได้ไปเจอตอนที่ท่านบอกว่าพุทธมารดาปกติมีพระประสูติกาลพระโพธิสัตว์อายุระหว่าง ๕๐-๗๐ เราก็ยังมานั่งกลุ้มใจ แม่อายุ ๑๒๐ ไปลาลูกชายตาย แล้วเขามีลูกกันตอนอายุเท่าไร ตีซะว่า ๕๐ พระพุทธเจ้าอายุ ๘๐ ต้องอยู่เลยแม่ไปอีก ๑ ปีถึงตาย เอาง่าย ๆ ฟังแล้วบางทีปวดหัวเหมือนกัน บางทีพวกเราอ่านแล้วเลยไปไม่ขี้สงสัย ของเราขี้สงสัยไปเปิดตำราหาอยู่นั่นน่ะ
      ถาม :  สมมติถ้าเราไม่ขัดข้อง ?
      ตอบ :  ไม่ขัดข้องก็จะไปข้องขัดในภายหน้า มีครอบครัวเมื่อไรยุ่งฉิบเป๋งเลย
      ถาม :  อย่างไรนี่บวชก็ยังดีกว่าใช่หรือเปล่า ?
      ตอบ :  ดีหรือไม่ดีอยู่ที่เราใช้สติปัญญาพิจารณาด้วย ถ้าช่วงหนึ่งกำลังใจของเราดีก็จะเห็นว่าการอยู่ตัวคนเดียว การถือบวชเป็นสิ่งทีดีแล้วประเสริฐแล้ว แต่พอนาน ๆ ไปกิเลสตัณหาอุปาทานและอกุศลกรรมชักนำ อาจอยากไปมีครอบครัวอีกเมื่อไรก็ได้ เพราะฉะนั้น....ดีนี่ต้องถามว่าดีตอนไหน ดีแค่ไหน จริง ๆ คือว่าขอยืนยัน พระพุทธเจ้าท่านบอก “สาธุโข ปัพพัชชา” การบวชดีแน่ล่ะ
              แต่คราวนี้เราสามารถจะทำดีให้ได้อย่างพระพุทธเจ้าท่านต้องการไหม ถ้าทำได้นี่ไม่ใช่ดีเฉย ๆ ดีอย่างวิเศษสุดไปเลย แต่ถ้าเราทำไม่ได้ กำลังใจตกถอยเมื่อไรอาจจะสึกมามีเมียซักเจ็ดคนแปดคนก็ได้ ตัดสินใจเอา คนอื่นทำได้เราก็ทำได้ คนอื่นกล้ามีครอบครัวเราก็ต้องกล้าบ้างสิ (หัวเราะ)
      ถาม :  ........................
      ตอบ :  วันก่อนคุยกับพระ มีพระอยู่องค์คือท่านน้อย ถามท่านน้อยเพื่อนฝูงสึกกันเยอะแล้วนะ คือออกพรรษานี่สึกแล้ว เพื่อนร่วมรุ่นพรรษาเท่า ๆ กันก็สึกไปเยอะแล้ว พวกสี่ห้าพรรษาก็เหลือแก่โด่เด่อยู่คนเดียว บอก “เฮ้ย...ท่านน้อยเพื่อนฝูงสึกกันหมดแล้วนะ ไม่สึกไปแต่งงานแต่งการกับเขาบ้างหรือ ?” “ไม่หรอกครับ กลัว” ถามว่า “กลัวอะไร ?” “กลัวมีครอบครัวครับ” ถามว่า “ทำไมล่ะ ?” โอ้โฮ...ผมเห็นพ่อแม่ผมมาตั้งแต่เด็กจนป่านนนี้ ตกนรกทั้งเป็นชัด ๆ เลย แล้วเขาก็ยังพยายามอยู่ในนรกอีก ผมหลุดออกมาได้ แล้วผมไม่กลับไปหรอกครับ คือคนเราเห็นทุกข์เห็นโทษได้ขนาดนั้น ตัวนี้ในวิสุทธิมรรคท่านเรียกว่าภยตูปัฏฐานญาณ คือมีความรู้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นภัยเป็นของน่ากลัว เห็นเลย เสร็จแล้วก็มาคุยถามพระอาจารย์ “สำหรับผมนะ ถ้าน้องป๊อปมาคุกเข่าว่าท่านเจ้าขา สึกไปแต่งกับดิฉันเถอะ ?” “ไม่ไหวหรอกครับ กลัวเหมือนกัน” ถามว่า “กลัวตรงไหน ?” เราไปไม่ใช่อยู่กันสองคน ต้องพี่น้องของเขา พ่อแม่ของเขา ญาติของเขา พี่น้องของเรา พ่อแม่ของเร ญาติของเรา แล้วต่อไปก็ลูกของเรา หลานของเรา ตายล่ะหว่า ตั้งเท่าไรที่เราต้องรับผิดชอบเขา นึก ๆ แล้วสยดสยอง บอกตอนนี้ยังไม่คิดไปหรอก แต่ถ้ากำลังใจลดลงมา อาจจะคิดเมื่อไรก็ได้ เพียงแต่ตอนนี้ไม่คิดเท่านั้นเอง
              แต่ท่านเปรียบเทียบน่าฟังนะ คือท่านเห็นความลำบากของพ่อของแม่ที่ประเภทหากินเลี้ยงดูมาแล้วทุกวันนี้ยังต้องดิ้นรนอยู่ ท่านบอกเหมือนอยู่ในรกชัด ๆ แล้วตัวท่านเองมาเป็นพระนี่ ถึงเลาก็บิณฑบาต ถึงเวลาก็สวดมนต์ทำวัตร ไม่ได้ลำบากขนาดนั้น เหมือนกับอยู่บนสวรรค์แล้ว ท่านบอกให้ดิ้นรนตะกายลงนรกไปอีกไม่ไหวหรอกกลัว แต่คนที่จะเห็นได้อย่างนั้นจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ เพียงแต่ว่าปัญญาอยู่คนละแง่ละมุม พระเตมีย์ใบ้ท่านกลัวเป็นพระมหากษัตริย์ ต้องสั่งประหารชีวิตเขา ชาติที่แล้วก็ลงนรกมาแล้วอย่างนี้ กว่าจะหลุดขึ้นมาเกิดได้ใหม่ยากเหลือเกิน ตอนนี้ดันผ่ามาเป็นลูกกษัตริย์อีกเพราะบุญเก่าเคยทำไว้ดี ขึ้นเป็นกษัตริย์เมื่อไรก็ต้องลงไป ทำอย่างเดิมเดี๋ยวก็ต้องตกนรกอีก ท่านเลยแกล้งเป็นบ้าเป็นใบ้ไปเลย ใครทดสอบอย่างไรท่านไม่เอาด้วยทั้งนั้น เจริญสมาธิภาวนาอย่างเดียว ถ้าพ่อไม่สั่งให้ไปทุบทิ้งฝังก็ยังไม่มีใครรู้หรอกว่าจริง ๆ แล้วท่านปกติ
      ถาม :  ...........................
      ตอบ :  คุณกมลเขาเป็นอัจฉริยะ เขาคิดมากกว่าคนอื่นสี่ห้าชั้น ช่วงนั้นแม่ลากคอมาถามว่า “ลูกป่วยเป็นอะไร ต้องรดน้ำมนต์ไหม ต้องไปหาหมอที่ไหนถึงจะหาย ?” เพราะหมอทั่ว ๆ ไปหาแล้วไม่เจออาการผิดปกติ ลูกสมองไวเกินไป ขนาดเราพูดถึงตัวเลขประเภทยกกำลังมาเรียบร้อยแล้ว พร้อมที่จะบอกเราเลข ๑๔ ตัวตามด้วยเลข ๑ ยกกำลังเท่าไร ? เขาเก่งเกินไป ถึงได้บอกตานี่ถ้าเรียนมันจะเอาเกรด ๕ เมื่อไรก็ได้ แต่เกรงใจอาจารย์อยู่เท่านั้นเอง แม่พามาบอกว่า “ต้องรักษาลูกเขาอย่างไร ?” บอกว่า “ไม่ต้องหรอก รักษาที่แม่ แม่ขี้กังวลเกินไป” ลูกเก่งเกินเขาเห็นลูกผิดปกติ
              ส่วนใหญ่คนทั้งหลายเหล่านี้ในอดีตต้องทำบุญไว้ดี คนที่มีปัญญามาก ส่วนใหญ่แล้วในอดีตถ้าไม่เคยเจริญภาวนามาก่อน ก็ต้องมีธรรมทานเลย ใครคิดจะเกิดใหม่แล้วฉลาดมาก ๆ พยายามเจริญภาวนาให้ได้อย่างน้อย ๆ เอาปฐมฌานไว้ ปฐมฌานไว้นี่รับรองเรื่องเรียนเกรดสี่เรื่องเล็ก แต่ขณะเดียวกันถ้าประกันความเหนียวถวายพระไตรปิฎกไปอีกซักชุดหนึ่ง หมายความว่าชวนกันไปทุกข์อีกนะ
      ถาม :  ...............................
      ตอบ :  งาน ๙๐ ปีพระสังฆราช วัดบวรเปิดทุกซอกทุกมุมที่เคยหวงให้เข้าไปดู อาตมาถ่ายมาหมด โดยไม่ต้องไปดูหรอก ดูตรงนี้เหมือนกับได้ดูทั้งวัด โดยเฉพาะพระกริ่งปวเรศท่านโดนขโมยไปแล้ว มันแงะตึกมนุษย์นาคทางด้านหลังเข้าไป แล้วแงะตู้ทางด้านหลังอยู่ข้าง ๆ พระฉลองอายุเอาไปเกลี้ยงเลยทั้งสองตู้ เจ้าหน้าที่ฝากไว้บอวก่าพระกริ่งปวเรศก็ดี พระกริ่งคชวัตรก็ดี ถ้าใครเอามาปล่อยให้ดูด้วย ถ้าเป็นหมายเลข ๑๙ ให้แจ้งตำรวจจับเลย เพราะเขาคัดไปทั้งหมดเลข ๑๙ ทั้งหมด หมายถึงพระสังฆราชองค์ที่ ๑๙ ทุกอย่างเลยไม่ว่าจะครอบน้ำมนต์จะอะไรเลข ๑๙ หมด กวาดไปหมดทั้งสองตู้เลย
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  น่าจะเป็นตู้ส่วนตัวของใครไปแล้ว เพราะถ้าอยู่ในท้องตลาดนี่แป๊บเดียวรู้กันทั่วแล้ว โอ้โฮ...แต่มันร้ายจริง ๆ นะ ขนาดวัดพระสังฆราชยังไม่เว้นเลย พระกริ่งปวเรศรุ่นสองหลวงพ่อพุทธาภิเษกด้วย คือตอนนั้นทางวัดบวรที่เป็นต้นตำหรับพระกริ่งปวเรศคือสมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ทีท่านสร้างน่ะ ท่านสร้างไม่กี่องค์ เพราะพระกริ่งสมัยนั้นท่านสร้างตามกำลัววัน อย่างวันอาทิตย์ถ้าฤกษ์ดีก็สร้างได้แค่ ๖ องค์ วันจันทร์ก็ได้แค่ ๑๕ องค์ วันอังคารก็ได้แค่ ๘ องค์อย่างนี้ จะน้อยมากเลยกลายเป็นที่ต้องการของท้องตลาด โดยเฉพาะพระกริ่งปวเรศถือว่าเป็นพระกริ่งต้นตำหรับพระกริ่งไทย ตำราเป็นของวัดบวร คราวนี้พอสืบทอดมาเรื่อย ๆ ถึงสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรสแล้วกระโดดไปอยู่วัดอื่น จนกระทั่งปัจจุบันนี้ตำราไปตกอยู่วัดสุทัศน์ แต่วัดสุทัศน์ก็ไม่ได้หวง เปิดเผยหมดว่า ส่วนผสมมีอะไรบ้างถึงได้เป็นนวโลหะอย่างที่ว่า
              คราวนี้พอปี ๒๕๒๘ ทางวัดบวรจะสร้างพระกริ่งถวายในหลวงสักชุดหนึ่งเพื่อหาปัจจัยสมทบทุนถวายให้เสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย ก็มีการทูลเชิญในหลวงเสด็จไปเททอง สมเด็จพระญาณสังวรนำพุทธาภิเษก คราวนี้การพุทธาภิเษกเขาจัดสามครั้ง ครั้งสุดท้ายปี ๒๕๓๐ ถ้าจำไม่ผิดเป็นวันที่ ๒๘ มิถุนายน ที่จำได้แม่นเพราะไปเฝ้าหน้าตึกหลวงพ่อได้ ๗ วัน หลวงพ่อบอก “เล็ก ดูให้ดีนะ ข้าจะไปกรุงเทพฯ” ถามว่า “ไปไหนครับ ?” “ไปวัดบวรฯ ในหลวงเชิญไปปลุกเสก” เลยรู้ว่าไปปลุกเสกพระกริ่งปวเรศรุ่นนี้
              หลวงพ่อเคยไปไปลุกเสกที่วัดบวรฯ หลายครั้งเหมือนกัน พวกธงแดงนี่ธงมหาพิชัยสงครามปลุกเสกใหญ่ที่วัดบวรฯ เสร็จแล้วในหลวงขอให้ไปแจกบรรดาทหารตำรวจที่อยู่แนวหน้า อาตมาสมัยนั้นเป็นทหารอยู่ก็ฟลุกได้มาผืนหนึ่งอยู่เหมือนกัน เสร็จแล้วมีประสบการณ์ตั้งเยอะตั้งแยะ พอกลับจากชายแดนก็ไปเกาะหลวงพ่อติดหนึบเลยนั่นแหละ ว่าในชีวิตหลวงพ่อไม่เคยทำพระกริ่ง ถามว่าเคยเสกพระกริ่งไหม ? เคย คือพระกริ่งปวเรศของวัดบวรฯ รุ่นเฉลิมพระเกียรติในหลวง ๖๐ พรรษา แต่เขาเริ่มทำตั้งแต่ปี ๒๘ แล้วปลุกเสกครั้งสุดท้ายก็ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๓๐
      ถาม :  แล้วประสบการณ์สมัยเป็นทหารเป็นอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  บอกไม่ถูก เอาเป็นว่าใหญ่ ๆ น่าจดจำคือโดนทหารเฮงสนัมรินถล่มด้วยปืนใหญ่สามกระบอกสิบห้านาทีเต็ม ๆ เป็นร้อย ๆ นัดเลย ปกติแล้วปืนใหญ่เขามีผู้ตรวจการหน้า เรียกผตน. ผู้ตรวจการหน้าที่เก่ง ๆ ไม่เกินสามนัดปรับลงกลางเป้าเลย วันนั้นถล่มอยู่สี่ร้อยกว่านัด อย่าว่าแต่ประเภทลงฐานเลย ข้ามฐานยังข้ามไม่ได้ เหมือนกับชนอะไรที่มองไม่เห็นตกอยู่หน้าฐานหมด
              แต่คราวนี้น่ากลัวเพราะปืนใหญ่อย่างพวก ๑๓๐ ๑๕๕ นี่อานุภาพรุนแรงมากรัศมีฉกรรจ์ตามภาษาทหารคือประเภทโดนแล้วตายครึ่งกิโลเมตร ลงห่างจากครึ่งกิโลเมตรมีสิทธิ์ตาย ถล่มมาซะสี่ร้อยกว่านัด หล่นอยู่หน้าฐานหมด เพื่อน ๆ หอบข้าวหอบของเผ่นกันให้เกรียวไปหมด เรานอนตีพุงเลย เพราะตอนที่รับมากับมือหลวงพ่อ ท่านบอกว่าผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐาน แล้วนี่อยู่ในกระเป๋าเสื้อเราถ้าคุ้มเราไมได้ก็ช่างเถอะนอนต่อดีกว่า แต่พวกเบิร์มคือบังเกอร์ทหารทรุดไปเหมือนกันนะ เพียงแต่ของเราสบายใจ อย่างไร ๆ เราไม่เป็นอะไรแน่ ก็นอนตีแปลงต่อ
      ถาม :  แล้วหลวงพ่อไม่ได้บอกว่าพิธีพุทธาภิเษกวันเดียวกัน ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ?
      ตอบ :  อานุภาพที่พระท่านสงเคราะห์ลงมาให้ ถ้าเราใช้ทิพจักขุญาณดู บางครั้งเหมือนอย่างกับว่าวัตถุมงคลเปลี่ยนสีเปล่งรัศมีออกมาได้ ถ้าจ้าเต็มที่ก็เป็นอันว่าจบ คราวนี้พวกเราไม่ค่อยดูกัน อาตมาเองแอบดูหลวงพ่ออยู่เรื่อยแหละ มีอยู่งานหนึ่งคือพุทธาภิเษกสมเด็จหางหมาก เราพอหลับตาลงนี่เกือบหงายท้อง ปกติตอนที่พุทธาภิเษกกระแสที่พระหรือพรหมเทวดาท่านสงเคราะห์ลงมาเหมือนกัน ละอองแก้วโปรยลงมาเหมือนกับว่าเป็นม่านฝนที่โปรยลงมา แต่เป็นฝนที่ใสมากเลย ใสแพรวพราวสวยมากเลย แต่ว่างานนั้นพอหลับตาลงเกือบหงายท้อง มาอย่างกับพายุ เราก็โอ้โฮ...ทำไมครั้งนี้แรงขนาดนี้ ปรากฏว่าพอพุทธาภิเษกเสร็จ หลวงพ่อท่านบอกว่า “พระท่านทำให้เป็นพิเศษสมเด็จหางหมากรุ่นนี้ท่านบอกว่ามีอานุภาพกันนิวเคลียร์ได้ รัศมีสี่เมตรนิวเคลียร์เข้าไม่ถึง” เพราะฉะนั้น...ถ้าใครมีก็เก็บเอาไว้ให้ดี ๆ แล้วกัน
      ถาม :  ที่ผมไปจะเห็นท่านสวดอยู่แค่อิติปิโสฯ วนไปวนมา ?
      ตอบ :  เรื่องบารมีพระจะเอาอะไรมากมายนักล่ะ
      ถาม :  บางวัดผมเห็นสวดเยอะครับ ?
      ตอบ :  สวดเยอะก็ความมั่นใจของเขา แต่ของเรา เราขอบารมีพระรัตนตรัยก็ต้องสั้น ๆ แค่นั้น
      ถาม :  ต้องสวดกี่จบครับ ?
      ตอบ :  เอาตามกำลังวัน ส่วนใหญ่สายหลวงพ่อจะพุทธาภิเษกตอนเสาร์ห้าก็สิบจบ ถ้ามีวันดีวันอื่นก็ว่าไป แต่พยายามเลี่ยง ๆ วันศุกร์ วันศุกร์กำลังสูงสุด ๒๑ จบ กว่าจะจบเหนื่อยเหมือนกัน