๑๙. ธาตุกสิณ ๔ อาโลกกสิณ อากาสกสิณ


              วันนี้มาว่าเรื่องของการฝึกเกี่ยวกับกสิณทั้ง ๑๐ ของเราต่อไป เมื่อวานได้กล่าวถึงวรรณกสิณทั้งสี่ คือ สีแดง สีเหลือง สีเขียว สีขาว ไปแล้ว เรื่องของกสิณนั้น แม้ว่าจะเป็นกรรมฐานที่หยาบ มีนิมิต สัมผัสได้ จับได้ ต้องได้ แต่ว่ามันลำบากด้วยการหานิมิตกสิณ เพื่อที่จะใช้ในการเพ่งและพิจารณา
              สำหรับวันนี้จะกล่าวถึง ธาตุกสิณทั้ง ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ กสิณทั้งสี่กองนี้ เริ่มจากปฐวีกสิณ เราต้องหานิมิตกสิณก่อน สมัยโบราณท่านบอกว่า ให้ใช้ ดินสีอรุณ คือ สีเหลืองอมแดง เพื่อนำมาทำเป็นนิมิตกสิณ ต้องเอาดินมาละเลงบนผ้าสะดึง
              แต่ว่าสมัยนี้ของเรา ถ้าทำอย่างนั้นได้ก็ดี แต่เนื่องจากว่า สมัยนี้บางทีการหาวัสดุมาทำมันยากอยู่สักนิดหนึ่ง เด็กรุ่นหลังๆกระทั่ง ดินสีอรุณหรือดินขุยปู ในลักษณะนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ยังไม่รู้จักเลย
              เราก็ใช้ดินทั่วๆไป อาจจะเอามานวดมาปั้นก็ได้ ปั้นให้เป็นรูปกลมๆ ขนาดที่เราชอบใจก็ได้ หรือว่า จะปั้นให้เป็นสี่เหลี่ยมก็ได้ หรือว่าจะทำเป็นนิมิตกสิณอย่างของคนโบราณ คือ ละเลงลงบนผ้า ให้กว้างสองคืบสี่นิ้วก็ได้ หรือว่าจะปัดกวาดสถานที่ใดที่หนึ่งให้สะอาด มองพื้นดินที่เห็น แล้วจับเป็นนิมิตกสิณก็ได้
              สำหรับกสิณน้ำนั้นง่าย เราใช้น้ำใส่ภาชนะ ใส่ขัน ใส่ถังอะไรก็ได้ ที่เราจะสามารถนั่งแล้วมองได้ถนัด เรื่องของกสิณลม สมัยก่อนท่านให้จับอาการไหวของพวกใบไม้ต่างๆ แล้วก็นำเอาการไหวนั้นเอามาเป็นนิมิต
              แต่เนื่องจากว่า บางขณะลมสงัด ถ้าหากว่านิมิตยังไม่ทรงตัว เราก็ทำต่อไม่ได้ จากที่เคยฝึกมา ให้ใช้พัดลมเปิดเบาๆ ให้ลมนั้นกระทบร่างของเรา จับอาการกระทบเป็นระลอกๆ ของลมนั้นเป็นนิมิตได้
              หรือว่าถ้ามีความคล่องตัวแล้ว ใช้ลมหายเจ้าเข้า ลมหายใจออกของเรา เป็นนิมิตก็ได้ กสิณไฟนั้น สมัยก่อนใช้ก่อไฟกองใหญ่ขึ้นมา แล้วก็เจาะรูที่ผ้า นำผ้านั้นขึงอยู่หน้ากองไฟ มองเฉพาะไฟ ที่ผ่านจากรูกลมของผ้าเข้ามา
              แต่ว่าจริงๆ แล้วจะใช้แบบไหนก็ได้ จุดเทียนขึ้นมา แล้วเพ่งเปลวเทียนก็ได้ หรืออย่างสมัยที่ผมฝึก มันหาเทียนยาก มีแต่ตะเกียงน้ำมัน ก็ใช้ตะเกียงน้ำมัน หรือเวลาหุงข้าว ก็เอาไฟทั้งเตาเป็นนิมิตกสิณได้ สมัยโน้นเตาแก๊สยังไม่มี หม้อไฟฟ้ายังไม่มี ถึงเวลาก็ต้องติดไฟหุงข้าว จะเป็นเตาถ่าน เตาฟืนอะไร ผมก็ใช้นิมิตไฟทั้งเตานั้น เป็นนิมิตกสิณแทน
              คราวนี้จะกล่าวถึงอานุภาพของกสิณก่อน ธาตุกสิณทั้งสี่กองนี้มีอานุภาพมาก ปฐวีกสิณนั้น ถ้าหากว่าเราต้องการทำของอ่อนให้เป็นของแข็ง เมื่อทำได้แล้วก็อธิษฐานได้ตามใจ สามารถเดินขึ้นบนอากาศได้เหมือนกับมีบันไดรองรับ เดินบนน้ำได้ เหมือนอย่างกับว่าพื้นน้ำนั้นแข็งตัวอยู่
              เรื่องของอาโปกสิณ(กสิณน้ำ) เราสามารถทำสิ่งที่แข็งให้อ่อนได้ ดัดแปลงเปลี่ยนรูปได้ตามใจของเราชอบ ที่ที่ไม่มีน้ำ อดน้ำอยู่ สามารถอธิษฐานให้น้ำเกิดขึ้นที่นั่นได้ ขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าเราทำเป็น ก็สามารถทำเป็นทิพยจักขุญาณได้
              โบราณาจารย์กล่าวว่า กสิณไฟ กสิณสีขาว กสิณแสงสว่าง และ กสิณน้ำ เป็นพื้นฐานของทิพยจักขุญาณเรื่องของอาโปกสิณนั้น ถ้าหากว่าเรากำหนดใจจดจ่ออยู่กับน้ำในภาชนะนั้น ก็เป็นอาโปกสิณ แต่ถ้าเราเพ่งจิตจนถึงก้นของภาชนะนั้น สามารถทำเป็นทิพยจักขุญาณได้
              เรื่องของ วาโยกสิณ เราสามารถจะไปที่ไหนๆ ก็ได้ ด้วยกำลังของวาโยกสิณอย่างที่โบราณเขาใช้คำว่า "เหาะไป"แต่ว่าความจริงแล้ว ถ้าหากว่ามีคนเห็นเราอยู่ตรงหน้าแล้ว เราไปด้วยกำลังของวาโยกสิณจริง ๆ ถ้าไม่ได้อธิษฐานให้ไปช้า ๆ
              อย่างเช่น ถ้านั่งอยู่ตรงนี้ คิดว่าเราจะไปกรุงเทพฯ คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ จะเห็นเราหายไปเฉย ๆ แล้วไปปรากฏที่กรุงเทพฯ แต่จริงๆ แล้ว เราลอยไปด้วยอำนาจของวาโยกสิณ เพียงแต่ว่าลอยไปเร็วมาก มันก็เลยเหมือนกับหายวับจากจุดนี้ไป ไปปรากฏที่อีกจุดหนึ่ง หรือว่าที่ไหนไม่มีลม มันร้อนอบอ้าว อธิษฐานให้มีลม ให้มันเย็นสบายได้
              เรื่องของเตโชกสิณ ถ้าทำได้แล้ว เราสามารถทำให้ไฟติดขึ้นที่ใดที่หนึ่งก็ได้ จะให้ความอบอุ่น จะให้แสงสว่าง หรือจะให้เผาผลาญสิ่งใดก็ได้ อำนาจของเตโชกสิณ เราสามารถควบคุมมันได้อย่างที่ต้องการ ถ้าจะเผากันแค่เสื้อผ้า รับรองว่าตัวคุณไม่มีอันตราย ทั้ง ๆ ที่ไฟลุกท่วมตัวอยู่อย่างนั้น
              คราวนี้ ธาตุกสิณทั้งสี่นี้ ยังสามารถใช้ในการปรับธาตุ เพื่อรักษาพยาบาลคนที่เจ็บป่วยได้ เนื่องจากว่าคนที่มีอาการเจ็บไข้ได้ป่วย เกิดจากการที่ธาตุใดธาตุหนึ่งบกพร่อง ถึงมีอาการเจ็บป่วย
              ถ้าเราอธิษฐานให้ธาตุสี่ประสานเสมอกัน อาการเจ็บป่วยนั้นก็หาย แต่สำหรับนักปฏิบัติแล้ว ถ้าไม่ใช่หน้าที่ของตนจริงๆ อย่าไปฝืนกรรมทำในลักษณะนั้น เพราะว่าทุกคนต้องสร้างกรรมมา ถึงจะเจ็บไข้ได้ป่วย
              ถ้าเราไปฝืนกระแสกรรม โดยการช่วยเหลือผู้อื่นเขา กรรมอันนั้นจะเข้าถึงตัวเราอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าเราไปฝืนกฎของกรรม อำนาจจากอภิญญาที่ได้จากกสิณ จะเสื่อม ในเมื่อธาตุกสิณทั้งสี่มีอนุภาพดังนี้ เวลาเราปฏิบัติ ให้เริ่มจากกองใดกองหนึ่งที่เราชอบ
              ถ้าจับปฐวีกสิณก่อน ก็ลืมตาดูภาพนิมิตกสิณที่เราทำไว้ หลับตาลงนึกถึงภาพนั้น พร้อมกับคำภาวนาว่า ปฐวีกสิณัง ปฐวีกสิณัง ถ้าภาพเลือนหายไป ลืมตาขึ้นมาดูใหม่ แล้วหลับตานึกถึงภาพนั้น
              ระยะแรกๆ มันจะนึกได้แค่ชั่วคราว พอถึงเวลาหลับตาลง ไม่ทันอึดใจภาพก็หายไป ให้ลืมตาดูใหม่พร้อมกับคำภาวนาใหม่ ทำดังนี้ไปเรื่อยๆ บางทีเป็นเดือนเป็นปี เป็นหมื่นเป็นแสน เป็นล้านครั้ง กว่าภาพนั้นจะปรากฏได้ ทั้งหลับตาและลืมตา
              ถ้าทำอาโปกสิณ ให้ใช้ภาชนะบรรจุน้ำวางอยู่ตรงหน้า ลืมตามองน้ำในภาชนะนั้น แล้วหลับตาลง พร้อมกับนึกถึงภาพของน้ำในภาชนะ ภาวนาว่า อาโปกสิณัง อาโปกสิณัง ดังนี้ไปเรื่อยๆ
              ถ้าหากว่าการกำหนดในวาโยกสิณ เมื่ออาการของลม มากระทบผิวกายเป็นระลอก ก็ให้กำหนดอาการกระทบอย่างนั้น พร้อมกับคำภาวนาว่า วาโยกสิณัง วาโยกสิณัง
              ถ้าฝึกเตโชกสิณเป็นปกติ ก็ให้จับภาพของดวงเทียน หรือว่ากองไฟนั้น ๆ พร้อมกับคำภาวนาว่า เตโชกสิณัง เตโชกสิณัง
              ธาตุกสิณทั้งสี่นี้ ถ้าหากว่าเป็นอุคหนิมิต ก็จะเป็นนิมิตตามกองกสิณนั้นๆ เช่น ปฐวีกสิณ ถ้าเราทำนิมิตดินเป็นรูปวงกลม เป็นรูปสี่เหลี่ยมอย่างที่เราชอบ ถึงเวลานั้น ภาพนั้นก็จะปรากฏเป็นรูปอย่างนั้น ถ้าเป็นกสิณน้ำ ก็จะปรากฏเป็นวงตามภาชนะนั้น ๆ
              ถ้าเป็นกสิณลม อันนี้จับยากสักนิดหนึ่ง เพราะว่าเรามองลมไม่เห็น แต่พอจับอาการกระทบไปเรื่อย ๆ มันจะเริ่มเห็นขึ้นมา เหมือนอย่างกับเราเห็นไอแดดที่มันเต้นเป็นตัวในเวลาร้อนมาก ๆ หรือเหมือนกับไอน้ำ ที่เราต้มน้ำหรือว่าหุงข้าว แล้วไอนั้นลอยขึ้นมาเป็นระลอก ๆ อย่างนั้น
              ถ้าหากว่าเป็นกสิณไฟ ก็จะมีนิมิต ตามลักษณะของดวงกสิณที่เราเพ่งอยู่ ถ้าหากว่าเราเพ่งเปลวเทียน นิมิตก็จะเป็นดวงเทียน ในลักษณะเปลวไฟลอยตั้งอยู่เฉยๆ ถ้าเราเพ่งภาพของกองไฟ ก็จะเห็นไฟทั้งกองนั้น ตั้งอยู่ตรงหน้าของเรา
              แต่ว่ามีอยู่จุดหนึ่ง ถ้าหากว่าบางท่านมีความคล่องตัวมาก่อน มันจะไม่เห็นเป็นเปลวไฟในลักษณะดวงกสิณที่เราเพ่ง แต่มันจะเห็นในลักษณะเหมือนยังกับตาลปัตรทองคำ คือมันจะพุ่งขึ้นไปแล้วแตกกระจายเป็นแฉกๆ อยู่ทางด้านบน ซึ่งอันนี้ผมเจอมาด้วยตัวเอง
              เมื่ออุคนิมิตนี้ปรากฏขึ้น เราต้องเพิ่มความระมัดระวัง เพิ่มสติ จะหลับจะตื่น จะยืน จะนั่ง เอากำลังใจส่วนหนึ่ง จดจ่ออยู่กับภาพกสิณ พร้อมกับคำภาวนาเสมอ
              พอทำไป ๆ สีสันของกสิณนั้นก็จะอ่อนลง จางลง จนกระทั่งกลายเป็นสีขาวทั้งหมด จากสีขาวก็ค่อยใสขึ้น สว่างขึ้น จนกระทั่งสว่างเจิดจ้า เหมือนเอากระจกสะท้อนแสงใส่ตาของเรา
              แต่ว่ามีนิมิตกสิณอยู่สองกอง คือ อาโปกสิณ กับเตโชกสิณ นิมิตทั้งสองกองนี้ ถ้าเป็นปฏิภาคนิมิตแล้ว เมื่อเราอธิษฐาน ให้ใหญ่ ให้เล็ก ให้มา ให้หายไป มีความคล่องตัวแล้ว บางทีอยู่ๆ จะเห็นกระแสน้ำไหลมาท่วมทุกทิศทุกทาง ก็อย่าได้ตกใจ
              หรืออยู่ ๆ เห็นเป็นไฟลุกไหม้พรวดพราดขึ้นมา บางทีไหม้ไปทั้งอาคารทั้งหลัง ก็อย่าได้ไปตกใจ ไม่ว่าจะน้ำมาทุกทิศทุกทาง หรือไฟลุกท่วมไปทั้งอาคารก็ตาม โปรดทราบว่า อันนั้นเป็นแค่นิมิตกสิณเฉยๆ
              เราสามารถที่จะควบคุมมันได้สบายมาก
ถ้าเราอธิษฐานให้ไฟลุกท่วมทั้งโบสถ์นี้ โบสถ์นี้ก็จะไม่มีอันตราย ถ้าเราไม่ต้องการให้ไหม้ ให้น้ำท่วมมาทุกทิศทุกทางก็จริง แต่ถ้าเราไม่ต้องการให้มีอันตรายจากน้ำนั้น น้ำนั้นก็ทำอันตรายใครไม่ได้
              มีหลายท่านที่ทำกสิณดังนี้แล้ว พอนิมิตพวกนี้เกิดขึ้น ตกใจกลัววิ่งหนีก็ดี หรือว่าตื่นตกใจเรียกให้คนช่วยก็ดี ในลักษณะนั้นเป็นการขาดสติ บางทีตกใจมากจนทำให้ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ทำกรรมฐานต่อไม่ได้เลยก็มี
              ดังนั้น ขอให้เราทุกคนโปรดเข้าใจว่า ถ้านิมิตกสิณเหล่านี้เกิดขึ้น เราทำให้มันเกิด ต้องการให้มันมามันก็มา ต้องการให้มันหายไป มันก็หายไปเดี๋ยวนั้น มันจะทำอันตรายเราไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเราสามารถควบคุมมันได้ทั้งสิ้น
              ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องไปตกใจ ไม่จำเป็นต้องไปหวาดกลัว ให้เราพยายามทำกสิณในลักษณะนี้ให้ทรงตัวให้ได้ เมื่อเป็นปฏิภาคนิมิตแล้ว เราก็ลองอธิษฐานใช้ผลดู คือจับภาพกสิณให้สว่างเจิดจ้าเต็มที่ กำหนดอธิษฐานให้หาย ให้มา จนคล่องตัวแล้ว
              ถ้าหากว่าเป็นปฐวีกสิณ ก็ลองนำน้ำมาสักขันหนึ่ง อธิษฐานว่า ขอให้น้ำนี้จงแข็งเหมือนดินแล้ว เสร็จแล้วเข้าฌานให้เต็มระดับ คือจับภาพกสิณให้สว่างเจิดจ้าเต็มที่ เมื่อคลายใจออกมาสู่อารมณ์ปกติแล้ว อธิษฐานให้น้ำนี้แข็งตัวใหม่ จากนั้นเข้าฌานให้เต็มที่อีกครั้งหนึ่ง น้ำนั้นก็จะแข็งเหมือนกับดินไปทั้งขัน
              สมัยที่อยู่วัดท่าซุง เด็กนักเรียนทำได้แล้ว ก็แกล้งเพื่อนตัวเอง พอเข้าส้วมก็รอจังหวะ เพื่อนจะตักน้ำล้างส้วม ก็อธิษฐานให้น้ำมันแข็ง เพื่อนตักน้ำไม่ได้ ตัวเองก็ชอบใจ ไป หัวเราะเยาะเพื่อนได้
              เมื่อพยายามทำให้มีความชำนาญ นึกเมื่อไหร่น้ำก็แข็งเมื่อนั้น คราวนี้จะลองหัดเดินน้ำดูก็ได้ แต่ว่าถ้าหัดเดินน้ำ ให้อธิษฐานว่า ให้น้ำทุกจุดที่เราเหยียบลงไปมีความแข็ง และหนาแน่นเหมือนกับดิน อย่าไปอธิษฐานให้น้ำทั้งหมดแข็ง เพราะว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นเขา ถ้าอธิษฐานผิดในลักษณะนั้น ผลของกสิณจะไม่เกิด
              ถ้าหากว่าเป็นกสิณน้ำ ก็ลองอธิษฐานของแข็งให้อ่อนดู อาจจะนำไม้สักแผ่นหนึ่ง เหล็กสักแผ่นหนึ่ง มาวางตรงหน้า เข้าสมาธิเต็มที่จนภาพกสิณใสเจิดจ้า แล้วอธิษฐานขอให้ไม้หรือเหล็กนั้นอ่อนลง
              จากนั้น คลายกำลังใจลงมาอธิษฐานใหม่ แล้วกลับเข้าสู่สภาวะของฌานสมาบัติ ให้เห็นดวงกสิณใสเจิดจ้าแบบนั้นอีกครั้งหนึ่ง พอลดกำลังใจลง สิ่งนั้นก็จะอ่อนตัวลง จับบิด ดัดแปลง เปลี่ยนรูป ได้ตามที่เราต้องการ
              ถ้าหากว่าเป็นกสิณลม ก็เอาระยะใกล้ ๆ ในจุดที่คนเขามองไม่เห็น เพื่อคนเขาจะได้ไม่แตกตื่น อย่างเช่นอธิษฐานว่า จะไปในดงไผ่นั้น ก็เข้าสมาธิเต็มที่ แล้วคลายกำลังใจออกมา อธิษฐานแบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง พอเข้าสมาธิเต็มที่แล้ว ร่างกายก็จะไปอยู่ในสถานที่ที่ต้องการนั้น ๆ
              ถ้าเป็นกสิณไฟ ก็แอบ ๆ จุดไฟเล่นของเราก็ได้ จุดเทียนในกุฏิของเรา ตั้งใจอธิษฐานขอให้ไฟมันติด มันก็จะติดขึ้นมา ทำให้มีความคล่องตัวแบบนี้ทุกวัน ซ้อมทำอยู่เรื่อย ๆ ทุกบ่อย
              ความจริงเรื่องของกสิณนั้น ถ้าเราทำกองใดกองหนึ่งได้แล้ว กสิณที่เหลือก็เหมือน ๆ กัน คำว่าเหมือนกันก็คือว่า ใช้กำลังของสมาธิเท่าเดิม เพียงแต่เปลี่ยนนิมิต เปลี่ยนคำภาวนาเล็กน้อยเท่านั้น
              กสิณกองต่อไปคือ อาโลกสิณ เป็นการจับแสงสว่าง สมัยก่อนเขาดูแสงสว่างที่ลอดฝา ลอดตามช่องเข้ามา ลอดตามหลังคาเข้ามา แต่ว่าสมัยนี้มีลูกแก้ว ใช้ลูกแก้วเป็นนิมิตกสิณ หรือว่าใช้พระแก้วเป็นนิมิตกสิณก็ได้
              อาโลกสิณนั้น เป็นกสิณสร้างทิพยจักขุญาณโดยตรงใครทำอาโลกสิณได้ สามารถมีทิพยจักขุญาณ เห็นนรก สวรรค์ พรหม นิพพานได้ง่าย ๆ ขณะเดียวกัน ถ้าที่ใดมันมืดมิด ต้องการจะให้สว่าง มันก็สว่างตามที่เราต้องการได้ เวลาจับภาพนิมิตกสิณพร้อมกับคำภาวนา ก็ใช้คำว่า อาโลกสิณัง อาโลกสิณัง
              กสิณกองต่อไปคืออากาสกสิณ อันนี้ให้จับช่องว่างเป็นช่องใดช่องหนึ่งตามข้างฝาก็ได้ ตามหลังคาก็ได้เป็นตัวนิมิต ตั้งใจภาวนาว่า อากาสกสิณัง อากาสกสิณัง ดังนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเป็นปฏิภาคนิมิตเต็มระดับ
              อากาสกสิณนี้มีอานุภาพตรงที่ว่า สถานที่ใดมันจะทึบมันจะตันขนาดไหนก็ตาม ประตูหน้าต่างที่เขาล็อคไว้ขนาดไหนก็ตาม ถ้าเราต้องการจะผ่านไป ถึงเวลาอธิษฐานให้ตรงนั้นเป็นช่องว่าง เราก็สามารถผ่านไปได้ง่ายๆ ลักษณะของการดำดิน หรือว่ามุดภูเขาไปทั้งลูก ก็ใช้กำลังของอากาสกสิณนี้เอง
              กสิณทั้งหมดนั้น ถ้าเราทำได้แค่นั้น มันเป็นโลกียอภิญญา ไม่สามารถจะหลุดพ้น ก็ให้พิจารณาดูความไม่เที่ยงของมัน ไม่ว่าจะดิน จะน้ำ จะลม จะไฟ มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลายตัวไปเช่นกัน
              ดวงกสิณทุกอย่าง แรก ๆ มันก็ไม่สามารถตั้งมั่นทรงตัวอยู่ได้ เมื่อเป็นอุคหนิมิตทรงตัว ก็แสดงว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงเป็นปกติ แล้วถึงเวลาสามารถบังคับมันให้เป็นปฏิภาคนิมิตได้ เดี๋ยวก็ใหญ่ เดี๋ยวก็เล็ก มันมีความไม่เที่ยงของมันอยู่เป็นปกติ
              ตัวเราที่ทำกสิณอยู่ กว่าจะได้แต่ละอย่าง มันลำบากยากเย็น แสนเข็ญขนาดไหน ต้องนั่งเมื่อยอยู่เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี เพื่อจะจับภาพกสิณให้เป็นอุคนิมิตให้ได้ อาการอย่างนี้มันเป็นทุกข์ทั้งนั้น
              ท้ายสุดตัวเราก็ดี ภาพกสิณก็ดี มีความสลายตัวไปเป็นปกติ ไม่สามารถที่จะดำรงอยู่เป็นตัวตนได้ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ให้ยึดถือมั่นหมายได้ เกิดมาเมื่อไรก็ต้องพบกับสภาพความไม่เที่ยงอย่างนี้ เป็นทุกข์อย่างนี้
              แล้วเรายังปรารถนาที่จะเกิดอีกหรือไม่ ? เมื่อไม่ต้องการเกิดอย่างแน่วแน่ ก็เอากำลังของกสิณไปเกาะพระนิพพานแทน คิดไว้เสมอว่า ถ้าตายเมื่อไร เราขอมาอยู่ที่นี่แห่งเดียวเท่านั้น
              ดังที่เคยบอกมาหลายครั้งแล้วว่า กรรมฐานทุกกองถ้าทำเป็น เราสามารถไปพระนิพพานได้ทั้งนั้น เพียงแต่พิจารณาลงในไตรลักษณ์ หรือพิจารณาลงในอริสัจ ๔ ก็จะเข้าถึงที่สุดของการปฏิบัติได้ทั้งสิ้น
              สำหรับตอนนี้ ขอให้ทุกท่านค่อยๆคลายกำลังออกมา เพื่อที่จะได้ทำหน้าที่ของเราต่อไป

พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
วันพุธที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๗


งานเป่ายันต์เกราะเพชร ๒๑ เมษายน

๒๐. อสุภกรรมฐาน ๑๐


              เมื่อวานนี้เรื่องของกสิณลืมบางจุดไป อย่างเช่นอาโปกสิณ เขาให้เทน้ำใส่ให้เต็มภาชนะพอดีอย่าให้พร่อง เพราะว่าถ้าหากว่ามันพร่อง ใจของเรามันไปจับที่ขอบภาชนะ อันนั้นเขาเรียกว่ากสิณโทษ ใช้ไม่ได้ เขาให้สนใจแค่ลักษณะของน้ำและตั้งใจจับตรงนั้น
              ถ้าหากว่าเป็นอุคหนิมิตของอาโปกสิณมันจะมีลักษณะกระเพื่อมๆ เหมือนกับน้ำที่เป็นคลื่นน้อยๆ ถ้าเป็นปฏิภาคนิมิตมันก็จะนิ่ง แล้วก็ค่อยๆ สีจางลงไปเรื่อย
              ในเรื่องของวาโยกสิณนั้น แรกๆ ก็เหมือนกับว่าเป็นไอหรือว่าแดด ที่เต้นเป็นตัวขึ้นมา อันนั้นเป็นอุคหนิมิต ถ้าหากว่าเป็นปฏิภาคนิมิต มันจะลอยจับกลุ่มกันแน่น เหมือนกับหมอกหนาๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ลืมบอกไป เดี๋ยวพอเราไปเจอเข้าก็เกิดความสงสัยอีก
              สำหรับวันนี้จะว่าถึงเรื่องของอสุภกรรมฐานทั้ง ๑๐ อย่าง คือการพิจารณาซากศพเป็นอารมณ์ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นราคะจริต มีจิตรักสวยรักงามเป็นปกติ หรือมีจิตเกี่ยวข้องกับเรื่องระหว่างเพศเป็นปกติ
              สำหรับการพิจารณาอสุภกรรมฐานนั้น ในปัจจุบันนี้จะทำได้ยากอยู่สักหน่อย ไม่เหมือนสมัยก่อนที่เขาเอาศพไปทิ้งป่าช้าเฉยๆ บ้าง หรือว่าประเภทที่โดนประหารชีวิต โดนฆ่าบ้าง มันสามารถที่จะเห็นได้ง่าย สมัยนี้มันเห็นได้ยาก
              ตอนที่ผมฝึกอยู่ ผมใช้พวกซากสัตว์ที่มันตายบ้าง หรือว่าใช้โครงกระดูกที่เขาทำไว้สำหรับพวกนักศึกษาแพทย์บ้าง หรือไม่ก็เข้าตลาด ไปดูตามเขียงหมู ที่เขาหั่น เขาสับ เขาฟันเนื้อหมูออกมาเป็นชิ้นๆ เป็นส่วนๆ บ้าง
              แต่ว่าที่ได้ประโยชน์มากที่สุด ก็คือได้บรรดาผี ต้องใช้คำว่าบรรดาผีที่มีความเมตตา เขาหามมาทีละศพ ทีละศพ ทุกคืน ถ้าหากว่าได้อย่างนี้ท่านก็สามารถที่จะฝึกได้ แต่ถ้าหากไม่ได้อย่างนี้บางทีก็จะลำบากอยู่
              สำหรับอสุภกรรมฐาน ถ้าหากว่าท่านพบศพที่จะพิจารณาได้ อย่างเช่นว่า ซากสัตว์ก็ดี ให้ยืนทางด้านเยื้องๆ กับเหนือลม อย่าไปยืนเหนือลมโดยตรง เพราะว่ายืนเหนือลมโดยตรง สัตว์ที่มากินซาก เช่นว่า พวกนกแร้ง นกตะกรุม หรือว่าพวกสัตว์ป่าอย่างสุนัขจิ้งจอก สุนัขป่าก็ดี แม้กระทั่งเสือ หรือว่าพวกเหี้ย ตะกวด
              พวกนั้นเขาจะได้รับความลำบาก เพราะว่าถ้าเราอยู่เหนือลมตรง เขาจะได้กลิ่น เขาจะไม่กล้าเข้ามากิน หรือว่าบางประเภทเขาหวงซาก อย่างพวกเสือ พวกหมาป่า หรือพวกหมาจิ้งจอก มันจะกัดเอา จะทำร้ายเอา
              แล้วก็อย่าไปยืนทางใต้ลมโดยตรง ถ้ายืนทางใต้ลมโดยตรง กลิ่นมันเข้ามาเต็มที่ ถ้าไม่คุ้นชินมันจะอาเจียน หรือไม่ก็อย่างที่ผมเคยโดนคือลมมันหวน พอลมมันหวนกลับ ดมกลิ่นเข้าไปเต็มๆ ไม่ทราบว่ามันเป็นโทษอย่างไร ท้องเสียไปเป็นวันๆ ต้องระมัดระวังให้ดี
              จะพิจารณาก็ยืนอยู่ในจุดที่ห่างพอสมควร ในราวๆ สัก ๓ หรือ ๔ เมตร แล้วก็ให้อยู่ทางเหนือลม เยื้องไปทางซ้ายก็ได้ทางขวาก็ได้ จะได้ไม่เป็นการรบกวนสัตว์มากจน เกินไป
              มีอยู่จุดหนึ่งที่อยากจะเตือนก็คือว่า สำหรับหลายท่านที่กำลังใจเข้มแข็ง มันจะมีนิมิตหลอก ซากศพนั้นบางทีมันก็เคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวนั้นบางทีก็เป็นอุคหนิมิต แต่บางทีมันเคลื่อนไหวในลักษณะเขาต้องการทดสอบเรา
              บางทีศพมันลุกขึ้นมากอดเอาดื้อๆ หรือบางทีมันก็เคลื่อนไหวลักษณะยื่นมือมาจะบีบคอ ขอให้ทุกคนเข้าใจว่านั่นเป็นนิมิตที่เขามาทดสอบเท่านั้น ถ้าเราทำเฉยๆ ไม่รู้ไม่ชี้ เขาก็จะเลิกไปเอง
              ดังนั้นว่าการฝึกอสุภกรรมฐาน นอกจากจะต้องทนต่ออาการต่างๆ ที่น่าขยะแขยงแล้ว ยังต้องมีความกล้าอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นถ้านิมิตเหล่านี้มาหลอก หรือว่ามาทดสอบ เราอาจจะกลัวมาก ขนาดเสียสติไปเลยก็ได้
              เรื่องของอสุภกรรมฐานนั้นมีทั้งหมด ๑๐ อย่าง ที่ต้องกำหนดไว้ถึง ๑๐ อย่าง ก็เพราะว่าเหมาะสำหรับคนที่ชอบในลักษณะต่างๆ กัน จะได้เห็นว่าสภาพความเป็นจริงของร่างกายที่ชอบนั้นเป็นอย่างไร ?
              ๑.อุทุมาตกอสุภ คือ ซากศพที่พองอืดอยู่ อันนี้สำหรับผู้ที่ชอบคนประเภทที่เรียกว่าอ้วนพีประเภทอวบอย่างนั้น อึ๋มอย่างนี้ เจออุทุมาตกอสุภเข้า แล้วจะรู้ ว่าจริงๆ แล้วมันบวม มันพอง มันใกล้จะปริ จะพังอยู่แล้ว
              ๒.วินีลกอสุภ คือ ซากศพที่มันเป็นสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว เป็นต้น สังเกตดูพอศพตาย ซัก ๒ วัน ๓ วัน มันก็จะเริ่มเขียวๆ ขึ้นมา หรือถ้ามากกว่านั้น บางทีก็พองขึ้นมา น้ำเหลืองมากก็เป็นสีเหลือง
              ถ้าหากว่าเลือดมันทรงตัวอยู่ก็เป็นสีแดง เป็นต้น อันนี้สำหรับผู้ที่ติดใจในผิว พรรณวรรณะอันผ่องใส เช่นว่า แหม..สาวคนนี้หน้าเด้งเหลือเกิน อย่างนี้เป็นต้น เหมาะสำหรับคนที่จะฝึกใน วินีลกอสุภ
              ๓.วิปุพกอสุภ คือ ซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลโซมอยู่ อันนี้เอาไว้สำหรับผู้ที่ไปติดในบรรดาเครื่องสำอาง แหม..วันนี้ใส่น้ำหอมกลิ่นฟุ้งมาเชียว หรือไม่ก็ทาน้ำยาบำรุงผิวมา กลิ่นดีเหลือเกิน ถูกใจ ถ้าเราไปดูซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลโซมอยู่แล้วมันจะถูกใจไหม ?
              ๔.วิฉิทกอสุภ คือ ซากศพที่โดนฟันขาดออกเป็น ๒ ท่อน อย่างสมัยก่อนเขาประหารชีวิต หรือว่ารบกัน หรืออย่างสมัยนี้นานๆ อาจจะฟลุค ไปเจอคนโดนรถชนขาดเป็นสองท่อน หรือว่าหมาโดนรถชนขาดสองท่อน เป็นต้น
              อันนี้สำหรับผู้ที่ไปติดใจในเนื้อหนังของคนอื่นเขา มันจะได้เห็นว่าสภาพที่แท้จริงแล้ว มันไม่ได้เป็นแท่งทึบอย่างที่เราติดใจ แต่ว่ามันเป็นชิ้น เป็นท่อน มีอวัยวะภายในน้อยใหญ่อยู่
              ๕.วิกขายิตกอสุภ คือ ซากศพที่โดนสัตว์กิน ทึ้ง เว้าแหว่ง หรือไม่ก็กัดแทะจนกระทั่งเหลือเนื้อหนังติดอยู่เพียงไม่เท่าไหร่ อันนี้สำหรับผู้ที่ติดใจในอวัยวะบางส่วนของเขา อย่างเช่นว่า ชอบอก ชอบเอว ชอบสะโพก ชอบขาอ่อน ชอบน่อง
              เมื่อไปเจอพวกที่โดนสัตว์กัดทึ้งเป็นชิ้นๆ ตรงโน้นก็แหว่งตรงนี้ก็เว้า แก้มหลุดหายไปข้างหนึ่ง ริมฝีปากฉีกไปครึ่งหนึ่ง หน้าอกหายไปแถบหนึ่ง เห็นแต่ซี่โครงโผล่ขาวโพลน อย่างนี้ก็หมดอารมณ์ ถ้าหากว่าใครชอบใจอวัยวะเป็นส่วนๆ อย่างนี้ ก็ไปดูวิกขายิตกอสุภ
              ๖.วิกขิตกอสุภ คือ ซากศพที่ถูกเขาทิ้ง นานๆ ไปก็หลุดเป็นชิ้น ๆ พวกนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบอิริยาบถ แหม..สาวคนนี้เคลื่อนไหวสวยเหลือเกิน เดินอ่อนช้อยอย่างนั้น สวยอย่างนี้ เหยียดแขนก็ดูดี คู้แขนก็ดูดี ก้าวไปข้างหน้า ถอยไปข้างหลัง ดีทั้งหมด ให้ไปดูซากศพที่เขาทิ้งเอาไว้ พอนานๆ ไปแล้วมันหลุดเป็นชิ้นๆ หรือวิกขิตกอสุภ
              ๗.หตวิกขิตกอสุภ คือ ซากศพที่โดนฟันขาดเป็นท่อนๆ อาจจะเป็น ๗ ท่อน ๘ ท่อนก็ได้ อย่างพวกฆาตกรฆ่าหั่นศพ หรือไม่ก็ประเภทโดนรถชนไปแล้ว ยังไม่ทันจะเก็บศพ อีกคันหนึ่งมาทับซ้ำเข้าไป หลุดเป็นชิ้น ๆ อวัยวะภายนอกภายใน กระจายเกลื่อนถนนเลย
              นี่สำหรับคนประเภทที่คลำดูไม่มีหางก็ใช้ได้ คือขอให้มีอวัยวะครบ ๓๒ เป็นชอบ ถ้าสันดานเราเป็นอย่างนี้ก็ไปดูหตวิกขิตกอสุภ
              ๘.โลหิตกอสุภ คือ ซากศพที่มีเลือดไหลท่วม ไหลนองไปหมด อย่างสมัยก่อนเขาฟันหัวขาด เลือดพุ่งกระฉูดขึ้นไปเป็นเมตร แล้วตกลงมาอาบร่างจนนองแดงไปหมด อันนี้สำหรับผู้ที่ติดใจในเครื่องประดับ ชุดสวยอย่างนั้น เครื่องประดับสวยอย่างนี้ มันไม่ได้ชอบแต่ตัวเฉยๆ มันชอบกระทั่งชุดด้วย ให้ไปดูสภาพจริงๆ ของร่างกายว่าอย่างนี้สวยไหม ?
              ๙.ปุฬุวกอสุภ คือ ซากศพที่มีหนอนชอนไช เน่าเละไปหมด พวกนี้สำหรับผู้ที่ติดในร่างกายตัวเองร่างกายของเราดีอย่างนั้น น่าพอใจอย่างนี้ แหม..กล้ามตรงนี้สวยเหลือเกิน ติดแม้กระทั่งร่างกายตัวเอง ดูซิ มันใช่ของเราไหม ? ตอนนี้พวกหนอนต่างๆ มันครองสิทธิ์ กินกระจายอยู่ตรงหน้าของเรา
              ๑๐.อัฎฐิกอสุภ เป็นกระดูก โครงกระดูก อย่างเช่นว่าพอมันเน่าไปนานๆ ส่วนอื่นๆ เปื่อยสลายไปหมด เหลือแต่โครงกระดูกอยู่ หรืออย่างที่ผมปฏิบัติอยู่ก็คือ เอาโครงกระดูกสำหรับนักศึกษาแพทย์เขามาพิจารณา
              อันนี้สำหรับผู้ที่ชอบเวลาเพศตรงข้ามเขายิ้มแหม..ฟันสวยเหลือเกิน ให้มันดูว่า ฟันมันก็ส่วนหนึ่งของกระดูก แล้วกระดูกทั้งหมดมันมีลักษณะเป็นอย่างนี้ สำหรับเรื่องของอสุภกรรมฐานก็มีอานุภาพในการช่วยระงับความพอใจในร่างกายแบบต่างๆ ของเรา
              คราวนี้ในการปฏิบัติอุทุมาตกอสุภ เราเจอซากศพที่พองเต็มที่เลย อย่างหมาตายมาสองวัน สามวัน หรือถ้าหากว่าแดดร้อนๆ วันเดียวเท่านั้นแหละ อืดพอง สี่ขาเหยียดกางทีเดียว จะแตก จะระเบิดอยู่แล้ว
              เราก็ยืนในจุดที่เหมาะสมอย่างที่ว่าไป แล้วก็เริ่มกำหนดภาพนั้นเป็นนิมิต ภาวนาว่า อุทุมาตกัง ปฏิกุลัง..อุทุมาตกัง ปฏิกุลัง ว่าไปเรื่อยๆ ถ้าหากว่า เป็นอุคหนิมิต คือ เริ่มติดตา จะเห็นเป็นศพในลักษณะที่เราพิจารณาอยู่
              ถ้าหากว่าเป็นปฏิภาคนิมิตคือจิตเริ่มทรงเป็นปฐมฌาน ภาพนั้นก็จะเป็นคนหรือสัตว์ที่อ้วนพีผ่องใสเป็นปกติ เห็นอย่างกับคนทั่วๆไปเลย ลืมบอกไปว่า อสุภกรรมฐาน ถ้าโดยตัวของมันจริงๆ ปฏิบัติแล้วจะทรงได้ประมาณปฐมฌานเท่านั้น
              สำหรับวินีลกอสุภ ที่เราไปพิจารณาซากศพที่มันเขียว มันเหลือง มันแดง มันขาวเหล่านั้น ถ้าเป็นอุคหนิมิต ก็จะเห็นเป็นภาพปกติของมัน คือ เริ่มติดตา หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น แต่ว่าเรื่องหลับตาลืมตานี่ บางคนทำง่ายเลยคิดไม่ถึง
              ผมเองมองซากศพครั้งแรกจำติดตาไปเจ็ดแปดวัน ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันเป็นเพราะกลัว หรือว่าผีมันเจตนาจะหลอก หรือว่าในอดีตผมเคยทำได้ เลยจำได้ง่ายก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าบางขณะมันเสียว ๆ มันกลัวอยู่เหมือนกัน
              สำหรับวินีลกอสุภ ถ้าหากว่าเราจับภาพนั้นอยู่แล้วเริ่มติดตา หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น นั่นเป็นอุคหนิมิต ถ้าหากว่าสีใดสีหนึ่งมันขยายขึ้นมาจนท่วมทับสีอื่นหมด อย่างเช่นว่าสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาวก็ดี อันนี้เป็นปฏิภาคนิมิต
              สำหรับคำภาวนา ให้ใช้ว่า วินีลกัง ปฏิกุลัง..วินีลกัง ปฏิกุลัง ไปเรื่อยๆ พร้อมกับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก อย่าลืมว่า คำภาวนาทุกอย่าง ต้องจับพร้อมกับลมหายใจเข้าออกทั้งหมด
              วิปุพกอสุภ ซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลอยู่ ก็ภาวนาว่า วิปุพกัง ปฏิกุลัง..วิปุพกัง ปฏิกุลัง ไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นอุคหนิมิต คือเริ่มติดตา ก็จะเห็นซากศพที่เป็นน้ำเหลืองไหลอยู่ตามปกติ แต่ถ้าเป็นปฏิภาคนิมิต มันจะเป็นศพที่น้ำเหลืองทุกอย่างหยุดนิ่ง กลายเป็นศพที่ชัดเจนแจ่มใสอยู่ ไม่มีอาการหลั่งไหลของน้ำเหลืองอีก
              ต่อไปวิฉิทกอสุภ ซากศพที่โดนฟันขาดเป็นสองท่อน โดนรถชนขาดเป็นสองท่อนก็ภาวนาว่า วิฉิทกัง ปฏิกุลัง..วิฉิทกัง ปฏิกุลัง ไปเรื่อยๆ ถ้าอุคหนิมิต ก็จะเห็นเป็นภาพซากศพที่ขาดเป็นสองท่อนอย่างนั้น แต่ถ้าหากเป็นปฏิภาคนิมิต คราวนี้มันจะเป็นตัวสมบูรณ์ไม่ขาดท่อน
              วิกขายิตกอสุภ
ซากศพที่โดนสัตว์กัด เว้าๆ แหว่งๆ กระดูกโผล่ที่นั้น เส้นเอ็นโผล่ตรงนี้ พวกเราที่เข้าไปธุดงค์ ทางด้านห้วยขาแข้ง จะเจอซากสัตว์ในลักษณะนี้บ่อย เพราะว่าพวกเสือบ้าง หมาป่าบ้างมันกินทิ้งเอาไว้ อาศัยพิจารณาได้
              เราใช้คำภาวนาว่า วิกขายิตกัง ปฏิกุลัง..วิกขายิตกัง ปฏิกุลัง ถ้าหากว่าเป็นอุคหนิมิต เริ่มติดตาก็จะเห็นเป็นภาพปกติอย่างนั้น ถ้าเป็นปฏิภาคนิมิต ก็จะเป็นลักษณะเหมือนกับคนหรือสัตว์สมบูรณ์อยู่ทั้งตัว
              วิกขิตกอสุภ
ซากศพที่หลุดกระจายเป็นท่อนๆ เป็นชิ้นๆ เราใช้คำภาวนาว่า วิกขิตกัง ปฏิกุลัง..วิกขิตกัง ปฏิกุลัง ไปเรื่อยๆ อุคหนิมิตก็คือเป็นซากศพที่เป็นชิ้นๆ อย่างนั้น แต่ถ้าหากเป็นปฏิภาคนิมิต จะเป็นซากศพที่สมบูรณ์ทั้งซากเหมือนกัน
              หตวิกขิตกอสุภ
ซากศพที่โดนฟันขาดเป็นท่อนๆ โดนรถชนขาดเป็นท่อนๆ เป็นชิ้นๆ แต่ละส่วนกระจัดกระจายไปทั่ว อย่างพวกฆาตกรฆ่าหั่นศพพวกนั้น เราก็ใช้คำภาวนาว่า หตวิกขิตกัง ปฏิกุลัง..หตวิกขิตกัง ปฏิกุลัง อุคหนิมิตก็ยังเป็นศพที่ขาดเป็นท่อนๆ อยู่ แต่ถ้าหากว่าเป็นปฏิภาคนิมิต ก็จะเป็นศพที่สมบูรณ์เหมือนเดิม
              ต่อไปก็ โลหิตกอสุภ ซากศพที่มีเลือดไหลนองท่วมซากอยู่ ภาวนาว่า โลหิตกัง ปฏิกุลัง..โลหิตกัง ปฏิกุลัง ไปเรื่อยๆ ถ้าหากว่าเป็นอุคหนิมิต ก็จะเห็นเป็นซากศพที่มีโลหิตท่วมอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเป็นปฏิภาคนิมิต ภาพโลหิตก็จะขยายแดงหนาทึบไปหมด
              ต่อไปเป็น ปุฬุวกอสุภ ซากศพที่มีหมู่หนอนชอนไช ยุบยับไปหมด ใช้คำภาวนาว่า ปุฬุวกัง ปฏิกุลัง..ปุฬุวกัง ปฏิกุลัง ไปเรื่อยๆ ภาพติดตาของอุคหนิมิตจะเป็นซากศพที่มีหมู่หนอนที่ชอนไชอยู่เป็นปกติ
              ถ้าเป็นปฏิภาคนิมิต มันจะมีลักษณะสีขาว เหมือนอย่างกับกองผ้า หรือสำลีที่กองอยู่ จริง ๆ แล้ว สีขาว ๆ ก็คือสีของหนอนนั่นเอง แต่ปฏิภาคนิมิตนี่มันจะหนาทึบ ลักษณะเหมือนกับสำลีก้อนใหญ่ ๆ หรือไม่ก็ผ้าขาวกองใหญ่ ๆ
              อันสุดท้ายคือ อัฏฐิกอสุภ การพิจารณากระดูก ให้ภาวนาว่า อัฏฐิกัง ปฏิกุลังอัฏฐิกัง ปฏิกุลัง จับภาพกระดูกที่เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่พวกนั้น หรือถ้าหากใช้อย่างที่ผมใช้ก็คือโครงกระดูกทั้งโครงนั้น
              อุคหนิมิต อาจจะน่ากลัวอยู่หน่อย คือ เป็นภาพโครงกระดูกเคลื่อนไหวไปมา อาจจะเป็นกะโหลก กลิ้งไปกลิ้งมา กระดูกท่อนน้อยท่อนใหญ่ ลอยไปลอยมา หรือว่าเป็นทั้งโครงอย่างที่ผมทำ มันก็จะเดินเข้ามาหา หรือเดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้า ถ้ากำหนดต่อไปมันก็จะกลายเป็นโครงกระดูกที่นิ่งอยู่เฉยๆ อันนั้นเป็นปฏิภาคนิมิต
              นี่คือลักษณะอสุภกรรมฐานทั้ง ๑๐ กอง ถ้าเรามีโอกาสจำคำภาวนาและนิมิตของมันให้ชัดเจน ระมัดระวังไว้ ตั้งสติตัวเองไว้ให้มั่น อย่าไปกลัวมัน ยืนให้ถูกทิศ อย่าไปดมกลิ่นของมันมาก ตั้งหน้าตั้งตาภาวนา พิจารณาไป
              เมื่อภาพมันเริ่มติดตาแล้ว เราก็ต้องพิจารณาต่อว่า เออหนอ..ร่างกายของสัตว์นี้ก็ดี ร่างกายของคนนี้ก็ดี ที่เราเห็นว่ามันคงทน มันสมบูรณ์ เป็นเราเป็นของเราอยู่นี้ ที่แท้จริงไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราเลย
              ตายไปวันหนึ่ง สองวัน ก็บวม ก็อืด ก็พองขึ้นมาอย่างนี้ เริ่มมีสีเหลืองๆ เขียวๆ ขาวๆ แทรกเข้ามาตามส่วนต่างๆ ของซากศพ พอสักสี่ห้าวัน ผิวกายก็แตกปริ มีน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ไหลโซม กลิ่นเหม็นตลบจนทนไม่ได้

              บ้างก็หลุดขาด เป็นท่อนน้อย ท่อนใหญ่ อวัยวะทั้งภายนอกและภายในกระจัดกระจายอยู่ สิ่งที่เราเห็นมันเป็นแค่ผิวหนัง คือเปลือกส่วนหนึ่งที่หลอกตาเราอยู่เท่านั้น ไม่ว่าจะร่างกายของเราก็ดี ของเขาก็ดี ของคนก็ดี ของสัตว์ก็ดี สภาพแท้จริงมันเป็นอย่างนี้เอง
              มันเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง ในที่สุดก็สลายตัวไป ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์
              แม้กระทั่งตอนตาย ก็อาจจะได้รับความทุกข์ทรมาน คือถูกเขาฆ่าหรือว่าเกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้น ความทุกข์มันมีอยู่กับร่างกายนี้เป็นปกติ ถ้าเราไปยึดถือมั่นหมายว่า เป็นเรา เป็นของเราอยู่อีก ทั้งๆ ที่สภาพความจริงแล้ว ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราเลย
              ถ้าเรายังยึดถือมั่นหมายมันอยู่อย่างนี้ เราก็ต้องเกิดมาอีก มาพบกับความทุกข์อย่างนี้อีก มามีร่างกายที่สกปรก โสโครก เน่าเหม็นแบบนี้อีก ไปยึดติดในร่างกายของคนอื่นเขาที่สกปรกโสโครก เน่าเหม็นอย่างนี้อีก ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาในโลก ที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ เกิดมาอาศัยอยู่ในร่างกายที่มันเน่าเหม็นแบบนี้ เกิดมาอาศัยอยู่ในโลก ที่ทุกข์ยากเร่าร้อนแบบนี้ เรายังมีความปรารถนาหรือไม่ ? ถ้าจิตมันบอกตัวเองอย่างชัดเจนว่า ไม่ต้องการอีกแล้ว ไม่ใช่บอกตัวเองว่าไม่ต้องการ เพราะรู้ว่าตอบอย่างนี้แล้วถูก มันเกิดจากสภาพจิตบอกตัวเองจริง ๆ ว่า ชื่อว่าการเกิดเช่นนี้ เราไม่ต้องการอีกแล้ว
              เราก็ตั้งใจจับคำภาวนา เกาะภาพพระ ตั้งใจว่าถ้าหากว่าตาย เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ถ้าหากว่าภาพซากศพนั้นมีสีใดสีหนึ่งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีเหลือง สีเขียว สีขาวก็ตาม ให้จับสีสันนั้นเป็นนิมิต พร้อมกับคำภาวนา กำลังจิตจะเข้าสู่ฌานสี่ได้
              เมื่อถึงวาระ ถึงเวลาแล้ว เอากำลังใจส่วนนั้นเกาะพระนิพพานแทน ให้อยู่กับภาพพระของเรา อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา หรือว่าอยู่บนวิมานของเราในพระนิพพาน ตั้งใจว่าถ้ามันตายลงไปเมื่อไร เราขอมาอยู่พระนิพพานนี้แห่งเดียว
              ถ้าทำอย่างนี้จนอารมณ์ทรงตัวเป็นปกติ ทุกวันทุกคืน กำลังใจรู้อยู่ว่าร่างกายนี้มันไม่ดี มันไม่สวยไม่งาม มีสภาพความเป็นจริงที่ประกอบไปด้วย อวัยวะภายในใหญ่น้อย มีเลือด มีน้ำเหลือง น้ำหนองเป็นปกติ มันเน่ามันเปื่อยเป็นปกติ
              เราไม่ต้องการร่างกายของเรา เราไม่ต้องการร่างกายคนอื่น เราไม่ต้องการร่างกายสัตว์อื่น เราไม่ต้องการเกิดมาทุกข์แบบนี้ เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน
ถ้าจิตจดจ่ออยู่แบบนี้ ก็ขึ้นชื่อว่า เราปฏิบัติในอสุภกรรมฐานจนถึงที่สุดได้แล้ว
              สำหรับอีกจุดหนึ่ง ที่ลืมกล่าวเสียตั้งแต่ตอนแรก คือว่า ถ้าเราพิจารณาในซากศพให้เลือกพิจารณาซากศพที่เป็นเพศเดียวกับตัวเอง ไม่อย่างนั้นอาจจะเจอลักษณะเดียวกับผม
              คือว่าสมัยนั้น ลูกศิษย์ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำคนหนึ่ง ก็คือจ่าสุรินทร์ อยู่ที่นิติเวช กรมตำรวจ ถึงเวลามีซากศพเข้ามา ก็จะโทรศัพท์บอกพระในวัด “หลวงพี่ครับ มีศพเข้ามาแล้ว ใครจะมาพิจารณาซากศพก็รีบมานะครับ..”
              ถึงเวลาก็ขออนุญาตเขาเข้าไป ปรากฏว่าศพบางศพสภาพมันดี ทีนี้ความดื้อด้านของจิต แรกๆ ใหม่ๆ เข้าไปมันก็อ้วกซะไม่มี แต่พอนานไปจิตมันเริ่มด้าน มันจะเลือกดูแต่ที่มันยังดี ๆ อยู่ ดูในอวัยวะในส่วนที่ตัวเองชอบ
              เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าเป็นไปได้ พยายามพิจารณาซากศพที่เป็นเพศเดียวกับตัวเอง เพื่อจิตที่มันดื้อ จะได้ไม่ฟุ้งซ่านไปสู่อารมณ์อื่นได้ เรื่องสภาพดื้อของจิตนี้ บางคนโชคดีเหลือเกิน แค่เห็นเท่านั้นเอง ก็จดจำไปตลอดชีวิต ไม่จำเป็นต้องไปดูซ้ำ มันคาจิตคาใจ อยู่ในลักษณะที่กลัวไปเลยก็มี
              แต่ขณะเดียวกัน บางประเภทอย่างผมเอง มันดื้อมาก ตอนแรกมันก็อาเจียนบ้าง อารมณ์เกี่ยวกับกามราคะ หายหดหมดเกลี้ยงไปเป็นอาทิตย์ ๆ แต่พอนาน ๆ ไปมันกำเริบขึ้นมาใหม่ แล้วเราจะไปเลือกดูแต่ที่มันดี ๆ
              ในสมัยนี้ถ้าหากว่ามันหาซากศพยาก มีโอกาสเจอสัตว์ตายข้างถนนก็ดี มีโอกาสที่โยมเขาเปิดโลงศพ เพื่อจะล้างหน้าศพก็ดี หรือว่าไปธุดงค์ เจอซากสัตว์อยู่ในป่า เจอ กระดูกสัตว์อยู่ในป่าก็ดี ให้ฉวยโอกาสฝึกในอสุภกรรมฐานเอาไว้
              พยายามทำให้คล่อง คล่องตัวถึงขนาดที่เรียกว่า มันสามารถมาช่วยเหลือเราได้ในขณะจิตที่เราเผลอ ผมเองเจอมาคือว่า มีวันหนึ่งกำลังเข้ากรุงเทพ ปรากฏว่ารถวิ่งไป ๆ มันก็เป็นเวลาที่นักเรียนกำลังไปโรงเรียน
              ไปเจอนักเรียนผู้หญิงวัยรุ่นอยู่ ก็เออ..ชอบใจ ลักษณะท่าทางของเธอแจ่มใสเหลือเกิน ไม่ได้ยินดีในสภาพของเธอ แต่ว่าเห็นเออ..น่ารักนะ ท่าทางแจ่มใส ตั้งอกตั้งใจไปโรงเรียน ลูกเราหลานเราเป็นอย่างนี้ก็ดี คิดไม่ทันจะจบภาพอสุภกรรมฐานมันแทรกพรวดขึ้นมา แหม..ลักษณะสีสัน กลิ่นอะไรมันมาครบ เกือบจะอาเจียน..!
              สมัยบรรดาผีที่เขาหลอกผมนี่ เขาเอามาแต่ละซากนี่ สีสัน กลิ่นมาครบถ้วนสมบูรณ์ บางทีเลือดไหลนองท่วมพื้น จนกระทั่งเราจะอาเจียนออกมา ในเมื่อภาพมันปรากฏพรวดขึ้นมาแทนที่ มันจะไปเออ..น่ารัก ก็กลายเป็นจะอาเจียนขึ้นมาแทน
              ต้องทำให้มันคล่องตัวให้ได้ชนิดที่ว่า ถึงเวลามันสามารถโผล่ขึ้นมา สกัดตัวอารมณ์อกุศล ที่มันแทรกใจของเราขึ้นมาได้ทัน มันถึงจะใช้ได้
              อย่างครูบาอาจารย์สายของเรา คือ หลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก หลวงปู่พริ้งนี่เป็นอาจารย์ของหลวงปู่ปานอีกทีหนึ่ง แม้จะเกิดร่วมยุคร่วมสมัยเดียวกัน แต่ว่าท่านอยู่ในระดับอาจารย์ หลวงปู่ปานไปขอศึกษาจากท่าน
              หลวงพ่อฤๅษีลิงดำกล่าวว่า “หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก (หรือบางมะกอกอันเดียวกัน) เป็นพระที่ชำนาญในอสุภกรรมฐานที่สุด ท่านสามารถเนรมิตซากศพเป็นตัวๆ ขึ้นมาอยู่ต่อหน้าให้พิจารณาได้เลย..”
              นั่นครูบาอาจารย์ของเรา เก่งกาจสามารถขนาดนั้น อันนั้นต้องมีความสามารถในเรื่องของอภิญญาสมาบัติเป็นปกติ ไม่อย่างนั้นจะทำเช่นนั้นไม่ได้ ลำพังอสุภกรรมฐานจะให้เป็นนิมิตติดตาก็ยากแล้ว
              ในเมื่อโอกาสในการที่จะทำอสุภกรรมฐานมันมีน้อย แต่ก็ไม่ใช่จะไม่มีเลยทีเดียว เราเห็นบาดแผลตามร่างกายของเรา ตามร่างกายของสัตว์ ก็จับเป็นคำภาวนาได้ จะเป็น วิกขายิตกัง ปฏิกุลัง..วิกขายิตกัง ปฏิกุลัง ก็ได้
              หรือว่าถ้ามันมีน้ำเหลืองไหลอยู่ ก็เป็น ปุฬุวกัง ปฏิกุลัง ปุฬุวกัง ปฏิกุลัง ขออภัย วิปุพกัง ปฏิกุลัง ไปก็ได้ แล้วแต่เราจะพิจารณา ทุกอย่างไม่ว่าจะคน จะสัตว์ สิ่งของอะไรก็ตาม มันก็เสื่อมสลาย ก็ตาย ก็พังไปในที่สุด ไม่มีอะไรทรงตัวตั้งมั่นอยู่ได้
              เกิดเมื่อไร ทุกข์เมื่อนั้น สถานที่เดียวที่พ้นตาย พ้นเกิด พ้นทุกข์ ก็คือพระนิพาน
อย่าลืมจุดสุดท้ายของเราจับพระนิพพานให้ได้ เกาะภาพพระให้ติด หรือว่าเกาะสีสัน วรรณะอันใดอันหนึ่งของอสุภกรรมฐาน ภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัว
              นึกเมื่อไรให้ภาพปรากฏเมื่อนั้น มันถึงจะอาศัยได้ มันถึงจะกล่าวได้ว่าเราปฏิบัติในอสุภกรรมฐานอย่างแท้จริง สำหรับวันนี้เวลาก็ไม่พอแล้ว ให้ทุกคนคลายกำลังใจออกมา แล้วก็ตั้งใจในการสวดมนต์ ทำวัตรของเราต่อไป

พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๗


งานทำบุญวันอาสาฬหบูชา ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๐

๒๑. อาหาเรปฏิกูลสัญญา


              สองสามวันนี้ มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น แล้วก็คิดว่า พวกเราทุกคนน่าจะมีความเข้าใจกันบ้าง ขณะเดียวกันบางคนอาจจะคิดไม่ได้ ตรองไม่ตกก็มีอยู่ อย่างเรื่องที่มีโยมเขียนจดหมายมาตำหนิว่า ที่เราเปิดเสียงตามสาย ไม่ว่าจะเป็นเทปธรรมะก็ดี หรือการสวดมนต์ทำวัตรก็ดี ไปรบกวนเขา
              หรือว่าอย่างเมื่อวานนี้ ที่เราส่งคุณโมเช่ก็ดี คุณชาติก็ดี คุณวีก็ดี ไปอยู่ที่ถ้ำไร่กะเตอ หรือว่าที่เราขนย้ายบรรดาเจ้าที่จากศาลต่าง ๆ ไปรวมอยู่กันในศาลที่สร้างใหม่ แล้วเจ้าอาวาส(พระอธิการอิสระ ญาณพโล) มาขอเจ้าพ่อทองผาภูมิไปไว้ที่เดิมก็ดี
              เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าเราดูผิวเผินจะเห็นว่า เขามีความเห็นค้านกับเรา เราก็อาจจะโกรธ อาจจะไม่พอใจ ความจริงเรื่องของเจ้าพ่อทองผาภูมิ ผมบอกกล่าวท่านตั้งแต่แรกที่มาถึงแล้ว ว่าถ้ามีโอกาสแล้วผมขอย้าย ท่านเองก็ตกลง
              พวกคุณพอจะเข้าใจอยู่ เรื่องการคุยกับผีคุยกับเทวดาไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่าเรื่องอย่างนี้ เราบอกคนอื่นแล้ว คนอื่นเขาไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องไปชี้แจงเขา เขาเอาอย่างไร เราก็เอาอย่างนั้น
              ส่วนเมื่อคืน เจ้าพ่อท่านไม่ได้ว่าอะไร ท่านบอกว่าเรื่องของท่าน ท่านจัดการเองได้ และบอกว่า วันนี้จะมีคนนำสมเด็จองค์ปฐมมาถวายผมด้วย ก็คอยดูไปว่าจะมีจริงไหม ?สำหรับเรื่องของเจ้าอาวาส ถ้าหากเราดูในแง่ที่ว่าท่านกลัว จึงได้ขอรูปเจ้าพ่อทองผาภูมิคืนไป
              ผมขอบอกทุกท่านว่า ความกลัวทุกประเภท มีพื้นฐานมาจากความกลัวตายทั้งหมด ผมเคยตามดูความกลัวของตัวเองเป็นปี ๆ ทุกเรื่องที่มันกลัว ลงท้ายมันกลัวตายทั้งนั้น
              อยู่ในป่ากลัวเสือกัด กัดแล้วเป็นอย่างไร ? ตาย กลัวงูกัด กัดแล้วเป็นอย่างไร ? ตาย กลัวผีหลอก ผีมันหลอกเรา เดี๋ยวมันบีบคอเรา แล้วเป็นอย่างไร ? ตาย แต่ว่าทุกท่านเข้าใจผิด เจ้าอาวาสเขาไม่ได้กลัวเจ้าพ่อในลักษณะนี้
              อีกไม่กี่วันมันจะเป็นงานฉลองเจ้าพ่อทองผาภูมิ ถ้าไม่มีรูปอยู่ จัดงานฉลองเดี๋ยวมันอาจจะไม่ได้สตางค์ อันนี้ผิดถูกอย่างไรก็โทษเจ้าพ่อ ไม่เกี่ยวกับผม ท่านบอกว่า “เขากลัวว่าจัดงานแล้วเดี๋ยวจะไม่ได้สตางค์ ก็เลยต้องเอารูปผมกลับไปไว้ที่เดิม..”
              คืออย่างน้อยๆ ขอให้เก็บสตางค์ให้ได้ก่อน แล้วจะโยกจะย้ายกันอย่างไร ก็ค่อยว่ากันอีกที แต่จริง ๆ เรื่องกลัวไม่ได้สตางค์ ไม่ได้สตางค์แล้วเป็นอย่างไร ลำบาก ทำอะไรไม่สะดวก อาจจะย่ำแย่ ถึงขั้นในที่สุดเอาตัวไม่รอด แล้วก็สรุปว่าตายได้
              ผมถึงได้กล่าวว่า ความกลัวทุกประเภท มีพื้นฐานมาจากความกลัวตายทั้งหมดส่วนเรื่องของการส่งพระไปอยู่ถ้ำ ในลักษณะของการธุดงค์ มันดีตรงที่เป็นการฝึกพื้นฐานกำลังใจของเรา
              อยู่ตามป่า อยู่ตามถ้ำ อันตรายจากสัตว์ร้ายมี อันตรายจากภูตผีปิศาจมี ความกลัวมันจะเกิดขึ้นในใจ เมื่อความกลัวมันเกิดขึ้น ตอนนี้พวกท่านจะไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งอีกแล้ว นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
              ถึงตอนนั้น มันก็ต้องเร่งภาวนากันเป็นขนานใหญ่
ขนาดภาวนาแล้ว บางทีเขาตั้งใจจะลองกำลังใจจริงๆ มันก็ยังอาจจะกลัวมากอยู่ดี ผมเองตั้งแต่รู้ว่า ความกลัวทั้งหมด มันมีสาเหตุมาจากความกลัวตาย ผมก็ไม่ค่อยกลัวอะไรอีก
              แต่ว่าบางทีอยู่ในถ้ำงูใหญ่มันมา มาถึงมันก็ขดวนตัวผมซะสามรอบ ผมบอกไม่ถูกว่างูมันใหญ่ขนาดไหน ? ผมสูง ๑๗๒ เซนติเมตร มันวนรอบผมสามรอบแล้ว ยังเหลืออีกตั้งเยอะ สัมผัสที่บอกได้คือ ตัวประมาณกระติกน้ำใบโต ๆ
              แล้วมันยังมีการทดสอบ ด้วยการแลบลิ้นเลียหน้าผมด้วย เหมือนจะชิมดูว่าอร่อยไหม ? ผมว่าผมไม่กลัวอะไรแล้วนะ แต่มันนอนตัวแข็งทื่อกระดิกไม่ออก ได้แต่บอกในใจว่า “อย่ากินเลย ไม่อร่อยหรอก ไปหาอย่างอื่นกินเถอะ..” เขาคงจะเห็นว่า เออ..มันจะกลัวก็กลัวไม่จริง มันจะกล้าก็กล้าไม่จริง เขาก็เลยเลิกยุ่ง ไปหากินตามทางของเขา
              บางทีพวกเจ้าที่ เขาเห็นว่าเราอยู่ คือ เป็นพระเป็นเจ้าไปอยู่ตามสถานที่อย่างนั้น ทำให้เขาลำบาก เพราะว่าเขาอยู่สูงกว่าพระไม่ได้ อยู่เหนือกว่าพระไม่ได้ เขาก็จะกลั่นแกล้งขับไล่เรา ไม่ต้องการให้เราอยู่ที่นั้น
              เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้เราต้องเร่งกำลังใจตัวเอง มันเป็นการดีตรงส่วนนี้ แต่ว่าในเรื่องของการธุดงค์ ผมอยากใช้คำว่า มันไม่จำเป็นนัก เพราะว่าการที่เราอยู่ในป่า อยู่ในถ้ำ แรงกระทบต่างๆ มันไม่มี
              สิ่งที่จะมายั่วยุให้ไปทางด้านรัก โลภ โกรธ หลง มันไม่มี อย่างเก่งมันก็คิดฝัน ๆ เอา ก่อนนั้นจิตมันอาจจะสงบ แต่ถ้าออกมากระทบภายนอกเมื่อไร มันจะพังได้ง่าย เพราะว่าเราไม่เคยชินกับแรงกระทบ
              ดังนั้น ถ้าเราสามารถต่อสู้ในหมู่คนได้ สามารถต่อสู้ในเมืองได้ แล้วกำลังใจทรงตัว มันจะพังยาก เพราะว่ามันเคยชินกับสภาพการกระทบต่าง ๆ การธุดงค์ไม่ใช่ว่าไม่มีประโยชน์ มีประโยชน์มาก
              แต่ถ้าเราหนีแรงกระทบในลักษณะนั้น เราก็จะไม่รู้ว่าตัวเราทำได้จริงขนาดไหน ดังนั้น ถ้ามีโอกาสก็ไปกัน แต่ผมขอยืนยันว่า ถ้าท่านสู้ในหมู่คน สู้ในเมือง แล้วกำลังใจทรงตัวได้ อยู่ที่ไหนมันก็ทรงตัวเหมือนกัน
              เรื่องต่อไปคือ เรื่องที่โยมเขียนจดหมายมากล่าวว่า ไม่ทราบว่าพระจะเปิดเสียงไปทำไม เพราะเขาก็ฟังไม่รู้เรื่อง แล้วสวดมนต์ทำวัตร ก็ไม่รู้ว่าจะแปลออกหรือเปล่า อันนั้นเราไม่ควรจะโกรธเขา ต้องรู้จักพิจารณาให้ดี
              มันเป็นเรื่องของคนที่เกิดอารมณ์กระทบแล้วเก็บไม่อยู่
เพราะคิดว่ากูดีกว่า ตัวนี้นอกจากเป็นสักกายทิฏฐิ คือ คิดว่าตัวเราเป็นเราแล้ว ยังเป็นมานะถือตัวถือตนด้วย
              ถ้าเขาบอกว่าเขาฟังไม่รู้เรื่อง ในเมื่อฟังไม่รู้เรื่องแปลว่าเสียงมันยังไม่ดังพอ เพราะ ฉะนั้นการรบกวนเขา ถ้าจะว่ากันตามจริงมันก็ไม่ได้รบกวน แต่เขาจะใช้คำว่ารบกวน พูดง่ายๆ ก็คือ พอมันกระทบขึ้นมา ร้อนหู แล้วก็พาลร้อนใจ เก็บไว้ไม่อยู่ มันก็ไหลออกมา
              ถ้าเป็นทั่ว ๆ ไปก็คือ วจีกรรมไหลออกมาเป็นคำพูด กายกรรมไหลออกมาเป็นการกระทำ อันนี้ก็ไหลออกมาในลักษณะจดหมาย เขียนตำหนิมา เพราะไม่รู้ว่าพระสวดมนต์ไปแล้วมีประโยชน์อะไร
              การสวดมนต์ทำวัตรจริง ๆ มีประโยชน์ ตั้งแต่ระดับเล็ก ๆ ขึ้นไป จนถึงประโยชน์อย่างมหาศาล การที่เราสวดมนต์ อันดับแรกสมาธิต้องมี ถ้าหากสมาธิท่านไม่ดี จิตไม่ทรงตัวมันก็สวดผิด
              อันดับต่อไป ถ้าหากว่าท่านท่องบ่นสวดมนต์เป็นปกติ สภาพจิตมันจะก้าวขึ้นเป็นฌานได้ง่าย เพราะมันเคยชินกับการถูกบังคับให้จดจ่ออยู่เฉพาะหน้า เป็นระยะเวลานานประมาณครึ่งชั่วโมงติดต่อกัน
              หรือว่าท่านจะทำเป็นทิพยจักขุญาณ เวลาเราสวดมนต์ ก็ให้นึกคำสวดของเราเป็นตัวหนังสือขึ้นมาอยู่ตรงหน้า ทีละคำ ทีละประโยค ให้มันลอยผ่านไปเรื่อย ๆ ถ้าเราเห็นตัวหนังสือชัดเจนเท่าไหร่ เราก็สามารถเห็นผีเห็นเทวดาได้ชัดเท่านั้น
              หรือว่าถ้าจะเอาประโยชน์กันจริงๆ ก็ทำอย่างที่ผมทำ คือ ส่งใจไปกราบพระบนนิพพาน ตั้งใจสวดถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
              ถ้าลักษณะนั้นท่านอยู่บนนิพพานนาน ๆ ไป จิตมันจะชินกับอารมณ์ที่ปราศจากกิเลส กิเลสมันจะจาง มันจะบางลงไปเรื่อย ในที่สุดมันก็หมดไปได้ ถ้าคุณอยู่ตรงนั้น ตายเมื่อไหร่ก็อยู่บนนิพพานเลย
              ประการที่สำคัญที่สุด การสวดมนต์ก็คือการท่องบ่นสาธยายคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งก็คือธรรมะนั่นเอง พระธรรมคำสอนของท่านบอกเอาไว้ชัดเจนแล้ว เราจะแปลออก แปลไม่ออกก็ตาม
              ถ้าเราท่องบ่นภาวนาเอาไว้เป็นปกติ คือการที่เรารักษาพระธรรมให้คงไว้อย่างหนึ่ง เป็นการรักษาพระศาสนาไว้ เราแปลไม่ออก ท่องไปบ่นไป เจอคนแปลออก ฟังเข้าใจ ปฏิบัติตามแล้วได้ผลก็มีมาก
              ดังนั้น การทำวัตรสวดมนต์ จึงมีประโยชน์อย่างนี้ แล้วที่เขาว่า ทำอะไรกันทุกวันๆ อันนั้นเป็นเครื่องวัดตัวเราที่ดีที่สุด คือว่า สิ่งที่เราทำอยู่ทุกวัน เราสามารถทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานได้หรือไม่ ?
              มันแย่กว่าเมื่อวานหรือเปล่า ? เป็นการวัดกำลังใจของเราเอง เป็นการวัดการปฏิบัติของเราเอง เมื่อเขาไม่เข้าใจ ถ้าเราไปโกรธเขา เราก็ขาดทุน เขาไม่เข้าใจ หน้าที่ของเราก็คือ ถ้าเขามาสอบถาม เราก็ชี้แจงแสดงเหตุให้เขาทราบ ชี้ประโยชน์ให้เขารู้
              หรือว่าเขาฟังไม่รู้เรื่อง ก็น่าจะเปิดดังขึ้นอีกนิดหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วถ้าทำอย่างนั้น มันจะเป็นการรบกวนคนอื่นมากเกินไป เราก็เปิดของเราแค่เดิม ถ้าเขาสนใจจะมาฟังใกล้ ๆ เราก็ไม่รังเกียจอยู่แล้ว
              แต่ว่าบุคคลในลักษณะนี้เขียนจดหมายมา เขาเขียนเป็นบัตรสนเท่ห์ ไม่มีชื่อ ไม่มีนามสกุล ไม่มีที่อยู่ ก็แปลว่า จริง ๆ แล้วเขาไม่ต้องการประโยชน์อะไรจากจดหมายนี้อย่างแท้จริง
              เขาต้องการอย่างเดียวก็คือระบายออก เพราะเก็บความชั่วไว้ไม่อยู่ เราน่าจะสงสารเขามากกว่า ถ้ามีโอกาสเขามาขอการสงเคราะห์ ก็สงเคราะห์เขาไป เขาเป็นคนปากไว มือไว ไม่สามารถระงับความชั่วในใจไว้ได้
              เราเห็นมันไหลออกมา เราเห็นแล้วว่ามันไม่ดี เราก็อย่าไปทำเป็นคนปากไว เป็นคนมือไวแบบนั้น พวกเราทุกคนเป็นนักปฏิบัติ ต้องพยายามเก็บงำความชั่วเอาไว้ในใจ ในลักษณะขังเสือไว้ในกรง อย่าให้มันออกทางวาจา อย่าให้มันออกมาทางกาย
              ขังมันไว้นานๆ เดี๋ยวเสือมันหมดแรง มันก็ตายไปเอง ไม่ใช่กระทบ ก็หลุดปาก อันนั้นมันใช้ไม่ได้ แสดงว่าเราก็ชั่วพอ ๆ กับเขา เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จริง ๆ แล้วมันไม่มีอะไร แต่ถ้าเราไปคิด ไปปรุงไปแต่งเมื่อไหร่ มันจะมีทันที มันก็จะเป็นโทษแก่เราทันที
              ทุกสิ่งทุกอย่างมันเลยไปแล้ว มันผ่านไปแล้ว มันเป็นอดีตไปแล้ว เรารับรู้แล้วก็วางไว้ตรงนั้น มันก็จบ แต่ถ้ารับแล้วแบกเอาไว้ เราก็จะทุกข์ เราก็จะลำบากของเราเอง

              ถ้าอย่างนี้โทษใครไม่ได้ เท่ากับเราไปแส่หาความทุกข์ใส่ตัว แทนที่กำลังใจจะอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แทนที่กำลังใจจะอยู่กับพระนิพพาน เรากลับเอากำลังใจไปรับแรงกระทบ
              รับแล้วก็แบกเอาไว้ มาปรุงมาแต่ง เหมือนยังกับแม่ครัวทำอาหาร ใส่สารพัดเครื่องปรุงเข้าไป รสชาติดีมาก แต่กินเข้าไปแล้วเป็นโทษแก่ตัวเอง ปวดท้องปวดไส้ แทบจะเป็นแทบจะตาย ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย
              ในเมื่อกล่าวมาถึงเรื่องของแม่ครัว เรื่องของอาหาร วันนี้ก็ขอกล่าวถึงกรรมฐานอีกกองหนึ่ง คืออาหาเรปฏิกูลสัญญา คือเราจะต้องพิจารณาให้เห็นว่า อาหารที่เราฉันไปทุกวัน จริง ๆ แล้วมันเป็นของสกปรก เขาไม่ต้องการให้เรากินอาหารเข้าไปเพื่อความอ้วนพีของร่างกาย เพื่อความผ่องใสของผิวพรรณ เพื่อไปกระตุ้นกิเลสให้เกิดขึ้น จุดมุ่งหมายของการกินจริงๆ ก็คือ กินเพื่อยังอัตภาพร่างกายนี้ให้อยู่ได้เท่านั้น
              เป็นการระงับดับความกระวนกระวาย ที่จะเกิดขึ้นจากอาการหิวกระหายของร่างกาย เพื่อที่จะประคับประคองร่างกายนี้ไว้ ใช้ปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วจะไปเพลิดเพลินอยู่ในรส
              เราต้องมาแยกแยะให้เห็นจริงว่า รสอาหารหรือว่าตัวอาหาร ที่จริงแล้วมันเกิดขึ้นจากอะไร ? ทุกวัน ๆ เราฉันอาหารลงไป มื้อเช้าก็ดี มื้อเพลก็ดี เราเคยพิจารณาบ้างหรือไม่ ? ไม่ใช่ว่าอันนี้อร่อย เราก็กินแต่อันนี้ ฉันแต่อันนี้ ไม่ต้องเปลี่ยนไปอย่างอื่นเลย
              ถ้าอย่างนั้น ตายเมื่อไรลงนรก..! จำไว้เลยว่า ถ้าครั้งแรกตักอาหารมาแล้วมันอร่อย การตักครั้งที่สองนี่ให้มีสติระมัดระวังไว้ เรากำลังกินตามใจกิเลส หรือว่าเรากินเพื่ออยู่กันแน่ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ต้องมีสติระวังอยู่เสมอ
              ดังนั้น การฉันอาหารเขาถึงได้มี ปฏิสังขา โยนิโส ปิณฑปาตัง ปฏิเสวามิ ก็คือ พิจารณาอย่างที่กล่าวมาแล้วว่า เราฉันเพื่อยังอัตภาพร่างกายนี้ ให้อยู่สำหรับปฏิบัติธรรมเท่านั้น ไม่ฉันเพื่อความอ้วนพีของร่างกาย ไม่ฉันเพื่อความผ่องใสของผิวพรรณ ไม่ฉันพวกสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้น เพื่อให้ราคะมันกำเริบ
              เราต้องพิจารณาแยกแยะให้ออกว่า อาหารต่างๆ ที่ประกอบขึ้นมา คือมาจากผักอย่างหนึ่ง มาจากเนื้อสัตว์อย่างหนึ่ง เนื้อสัตว์ทั้งหลายก็มีเลือด มีคาวเป็นปกติ เวลาสัตว์มันตาย มันเน่าทุกตัว ประกอบไปด้วยน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เหม็นสกปรกเป็นปกติ
              ขณะเดียวกันสัตว์ที่เขาเลี้ยง ถ้าเคยไปดูก็จะเห็น ไม่ว่าจะวัว จะหมู จะไก่ มันคลุกอยู่กับขี้กับเยี่ยวของมันเอง ความสกปรกมันอยู่ทั้งภายนอกอยู่ทั้งภายใน ภายนอกคือ มันคลุกขี้คลุกเยี่ยวของมันเอง
              ภายในก็คือในร่างกายของมันก็มีขี้ มีเยี่ยวเป็นปกติ มีเลือด มีน้ำเหลือง น้ำหนองเป็นปกติ เรานำมาทำอาหาร กลิ่นคาวมันก็ปรากฏอยู่ชัดอยู่แล้ว อันนี้เห็นได้ง่าย คือเมื่อเช้าเดินบิณฑบาตอยู่ในตลาด ผ่านเขียงหมูก็ดี ผ่านร้านขายปลาก็ดี ที่เขาสับไว้เป็นท่อน ๆ
              ก็ดูเอา อันไหนเป็นเลือด อันไหนเป็นน้ำเหลือง อันไหนเป็นไขมัน เป็นอะไรเห็นหมด ถ้าเดินใกล้ๆ กลิ่นก็ปรากฏชัด นั่นเป็นสิ่งที่เราไปนิยมยินดี เมื่อทำขึ้นมาแล้วว่ามันอร่อยอย่างนั้น มันรสดีอย่างนี้
              ในเรื่องของผักผลไม้ มันก็มีพื้นฐานมาจากความสกปรก มันเกิดขึ้นกับพื้น ดินต้องอาศัยปุ๋ย ยิ่งระยะหลังๆ มีการปลูกกันเป็นล่ำเป็นสัน ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ ก็ยิ่งต้องอาศัยปุ๋ยมากขึ้น ปุ๋ยมันก็เกิดจากขี้จากเยี่ยวของสัตว์นั่นเอง
              พวกไม้ใบก็ต้องการพวกที่มาจากยูเรีย ก็คือมาจากเยี่ยวหรือปัสสาวะ พวกไม้ดอกไม้ผลก็ต้องการพวกฟอสฟอรัส พวกโปแตสเซียม ซึ่งถ้าหากว่าไม่ต้องเกรงใจกัน ก็คืออาจจะนำขี้ไก่ ขี้วัว ใส่ลงไปในแปลงผัก แปลงผลไม้นั้น
              หรือถ้าหากอย่างที่เมืองจีนเขาทำเป็นปกติ คือ ใช้ขี้คนเลย เดินเทเป็นหาบ ๆ กลิ่นเหม็นตลบไปเป็นกิโล ๆ แต่ผักงามมาก ใบเขียวจนดำ ต้นสูงใหญ่น่ากินมาก เราเห็นหรือยังว่าพื้นฐานจริง ๆ มันมาจากไหน ?
              หรือถ้าหากว่าเป็นต้นไม้ใหญ่หน่อยหนึ่ง บางทีก็เอาซากสัตว์ตายไปโยนทิ้งไว้โคนต้น เน่าเหม็นตลบ ไม่มีใครอยากผ่านแถวนั้น แต่ว่าต้นไม้มันดูดซึมไป เอาไปเป็นอาหารแล้วก็ออกมาเป็นผล รอให้เราไปกิน
              เราอาจจะเห็น เออ..มะม่วงผลนี้น่ากินจัง สุกเหลืองอร่ามเชียว ขนุนผลนี้น่ากินจัง กลิ่นหอมไปไกลเชียว นั่นมันอาจจะเพิ่งดูดสารอาหารจากหมาเน่าทั้งตัวไปก็ได้ ต้องพิจารณาให้เห็น ต้องดูให้เป็น
              แล้วเรื่องของผักผลไม้ ถ้าหากว่าเราล้างสะอาด แล้วปัญญาเราน้อย พิจารณาไม่เห็น ก็เอาแค่ว่าจริง ๆ แล้วมันกำลังเน่า มันกำลังสลายตัว แต่ว่าพอมันเน่ากำลังได้ที่ ยังไม่ทันจะหมดสภาพ เราก็ชิงเอามากินเสียก่อน
              ถึงได้บอกว่า แหม..มันสุกเหลืองน่ากิน มันสุกแดงน่ากิน ความจริงเลยจากนั้นไปนิดเดียว มันก็จะเน่าดำแล้ว เพราะฉะนั้น เรากำลังกินสิ่งที่กำลังเน่าอยู่ ในเมื่อเรากินสิ่งที่กำลังเน่า กินสิ่งที่มีแต่ความสกปรก ร่างกายของเราก็สกปรกด้วย อาหารที่เรากินเข้าไป ไม่ว่าจะดีแสนดีขนาดไหน จะเป็นอาหารฮ่องเต้ ประเภท อุ้งตีนหมี เป๋าฮื้อน้ำแดง อะไรก็ตาม ถึงเวลาหมดสภาพออกมา มันก็เป็นขี้เป็นเยี่ยวเหมือนกัน
              ถ้าถ่ายทิ้งเอาไว้ใกล้ ๆ ก็คงจะได้ด่ากันไปสามวันเจ็ดวัน ยังดีว่าสมัยนี้เรามีห้อง น้ำห้องส้วมมิดชิด ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นส้วมหลุมอย่างสมัยก่อน ก็ต้องเดินห่างเป็นกิโล กลิ่นมันเน่า มันเหม็นไกลเหลือเกิน
              อย่างที่เทวดา พรหม ท่านไม่อยากใกล้มนุษย์ เพราะว่ากลิ่นอาหารที่เน่าเหม็นมันระเหยออกทางผิวหนัง ท่านมีความเป็นทิพย์ ท่านได้กลิ่นเหม็นจากที่ไกลเป็นโยชน์ มันสกปรกขนาดนี้
              แล้วที่แน่ ๆ อาหารมันห้ามร่างกายให้ไม่แก่ได้ไหม ? กินดีขนาดไหนมันก็แก่ มันห้ามร่างกายไม่ให้ตายได้ไหม ? กินดีขนาดไหนมันก็ตาย ถ้าไม่ให้มันกิน มันก็หิวเหลือเกิน ชิคัจฉา ปรมโรคา ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง คือ มันเสียดแทงอยู่ตลอดเวลา
              คำว่าโรค โรคะ คือ ความเสียดแทง วันหนึ่ง ๆ ต้องหาให้มันกินให้ครบมื้อ ถ้าไม่ครบมื้อมันก็รบกวนเรา มีความทุกข์ขนาดนั้น การดิ้นรนไปหาอาหาร มันก็ต้องทำการทำงานด้วยความเหนื่อยยาก
              ไม่ต้องดูไกล ดูนายขั้ว ดูนายโอ ดูนายไก่ ต้องมาทำงานก่อสร้างให้เราอยู่ นั่นก็เพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตัวเอง มันเหนื่อยยากขนาดไหน ? เราไปแบกปูน แบกทราย เราก็เหนื่อยแทบตาย
              เขาเองเขาจำเป็นต้องทำตามหน้าที่ ไม่ครบวันเลิก เลิกไม่ได้ เขาเหนื่อยกว่าเรา ทุกข์กว่าเราเยอะ ในเมื่อกินดีขนาดไหนก็ตาม มันก็ห้ามความแก่ไม่ได้ กินดีขนาดไหนก็ตาม มันก็ห้ามความเสื่อมไม่ได้ กินดีขนาดไหนก็ตาม มันก็ห้ามความตายไม่ได้
              ไม่ให้มันกิน มันก็ยิ่งปรากฏความทุกข์ให้เห็นชัด ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่เป็นทุกข์อย่างนี้ เราต้องคอยกินให้มันอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ เรายังอยากได้มันหรือไม่ ? ถ้าเราเห็นทุกข์ตรงนี้ชัดเจนแล้ว คาดว่าทุกคนคงไม่อยากได้ร่างกายอีก
              เพราะว่าความเหนื่อยยากทุกประการ มันเกิดมาจากเรื่องของอาหาร เป็นเรื่องของอาหารเกือบทั้งหมด คนเราถ้าไม่ต้องกินเสียอย่างเดียว เรื่องอื่นกวนเราน้อยมาก ในเมื่อเราเห็นความทุกข์ตรงนี้อย่างชัดเจนแล้ว เรายังอยากเกิดอีก ก็ต้องบอกว่าสิ้นสติ..!
              ในเมื่อเราพิจารณาเห็นอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า ร่างกายนี้ถึงเอาอาหารเข้าไปหล่อเลี้ยง มันก็ยังคงค่อย ๆ เสื่อมไป ในที่สุดก็สลาย ก็ตาย ก็พัง ในระหว่างที่ดำรง ชีวิตอยู่นี้ ก็ต้องทุกข์ยากเหลือเกิน ในการที่จะเอาอาหารมาหล่อเลี้ยงร่างกาย
              ดังนั้น ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายเช่นนี้ เราไม่พึงปรารถนามันอีกแล้ว ตั้งใจให้แน่วแน่ว่า ถ้าหากว่ามันตายลงไป เราจะไม่เกิดมากินให้มันทุกข์แบบนี้อีกแล้ว ใครไม่รู้ว่ามันทุกข์ขนาดไหน ก็ลองนั่งเคี้ยวปากเปล่า ๆ ตัวเองสัก ๓ นาที ๕ นาที จะรู้ว่ามันเมื่อยปากขนาดไหน ?
              หรือไม่ก็ยกมือทำท่าตักอาหาร ยกขึ้นยกลงสักครึ่งชั่วโมงติดต่อกัน มันจะรู้ว่ามันเมื่อยมือขนาดไหน ? ความทุกข์ที่เกิดจากอาหาร มันเกิดอยู่ตลอดเวลา เกิดอีกเมื่อไหร่ก็ทุกข์อีก เพราะฉะนั้นเราไปนิพพานดีกว่า
              เมื่อพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ก็ให้จับคำภาวนาต่อไป โดยใช้การจับภาพพระ หรือว่าเอาใจเกาะพระนิพพาน ตั้งใจว่าถ้ามันหมดอายุขัย หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายใดๆ ต้องตายลงไป เราขอไปอยู่พระนิพพานแห่งเดียว
              ถ้าทำอย่างนี้ได้ก็ชื่อว่า เราปฏิบัติในอาหาเรปฏิกูลสัญญา ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมฐาน ๔๐ กองได้แล้ว แต่ว่าต้องให้มันทรงตัว คือทุกครั้งที่นั่งอยู่หน้าวงอาหาร ให้รู้ทันทีว่า อาหารมีพื้นฐานมาจากความสกปรกโสโครก
              กินเข้าไปร่างกายเราก็สกปรกโสโครก ถ่ายออกมาก็เป็นของสกปรกโสโครก ขณะที่กินก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ไม่กินก็ยิ่งทุกข์เข้าไปอีก ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์เช่นนี้ เราไม่ต้องการเกิดอีกแล้ว เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน
              ให้วางกำลังใจตรงจุดนี้ ทุกครั้งที่นั่งอยู่ข้างวงอาหาร
ถ้าอย่างนั้นท่านก็ไม่ต้องเสียเวลาสวดปฏิสังขา โยนิโสฯ ไม่ต้องเสียเวลาไปพิจารณาเรื่องอื่น กำลังใจจะทรงตัวอยู่ตลอดเวลาเอง สำหรับวันนี้ ให้วางกำลังใจของเรา ส่วนหนึ่งอยู่กับการจับภาพพระ หรือคำภาวนา ส่วนที่เหลือก็เตรียมตัวทำวัตรสวดมนต์ของเราต่อไป

พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
วันศุกร์ที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๔๗


สัปดาห์วิสาขบูชา ท้องสนามหลวง