สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  เรื่องที่บอกว่า "ถ้าก่อนจะตายนึกถึงนิพพาน แล้วได้ไปนิพพานเลยหรือครับ ?"
      ตอบ :  ถ้าคุณสามารถคิดได้ ไปได้จริง ๆ แต่คราวนี้ไอ้ความชั่วถ้ามากเกินไป มันก็บังมืดตื้อจนคิดอะไรไม่ออก
      ถาม :  ผมเคยอ่านหนังสือหลวงพ่อพุฒครับ ท่านบอกว่า "อย่าตีนิพพานว่าง่ายเกินไปนะ"
      ตอบ :  คนไปไม่ได้ก็ว่าอย่างนั้น แต่คนไปได้ก็ง่ายนิดเดียว
      ถาม :  บางอย่างเข้าใจไม่ถูก ผมอยากถามให้เข้าใจครับ
      ตอบ :  คือว่ามีคนจำพวกหนึ่ง ที่บำเพ็ญบารมีมาเพียงพอแล้ว เหมือนอย่างกับดอกบัวที่พ้นน้ำแล้วกระทบแสงแดดก็บานเลย คนประเภทนี้จะเห็นนิพพานเป็นของง่าย ส่วนประเภทบัวใต้น้ำ บัวในโคลนนั้นบอกไปให้ตายก็ไม่เชื่อว่าไปได้ง่ายอย่างนั้น จะเชื่อหรือว่าแค่แสงแดดส่องกระทบก็บานได้แล้ว เพราะมันเองยังจมโคลนจมน้ำอยู่อย่างนั้นน่ะ
      ถาม :  แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่า "อันไหนจริง อันไหนคือนิพพาน อันไหนไม่ใช่นิพพาน เพราะเราไม่เคยเห็นเหมือนกัน ?"
      ตอบ :  ไม่จำเป็นที่จะต้องทราบ ถ้าทำถึงจะรู้เอง
      ถาม :  ก็จบแล้วสิครับ
      ตอบ :  ก็จบน่ะสิ
      ถาม :  คือที่ผมงง แบบว่าคล้าย ๆ กับคนเขาไม่รู้ เขาบอกว่า "ก่อนตายคือว่าเขาไม่รู้ แต่ว่าเขาจับนิพพาน" ผมก็ไม่เข้าใจว่า เขาไม่รู้นิพพานแล้วเขาจะไปจับนิพพานได้อย่างไรครับ ?
      ตอบ :  อารมณ์ใจถึงเวลานั้นจะปลดวางเอง คนจะรู้จักนิพพานได้ต้องไม่มีรัก โลภ โกรธ หลง ตอนป่วย ๆ อยู่จะไปรักใครล่ะ สาวมายืนอยู่ตรงหน้าก็ไม่อยากจะมองแล้ว ครางโอย ๆ อยู่นั่นน่ะ แล้วจะไปโกรธใครไหว นอนอยู่จะให้หามไปตีกับใคร ก็เหลืออย่างเดียวคือ หลง คิดว่าร่างกายดี ป่วยจะตายอย่างนั้นจะไปคิดอย่างไรว่าร่างกายดี ในเมื่อเห็นทุกอย่างอยู่แล้ว รัก โลภ โกรธ หลง แทบจะไม่มีเหลืออยู่แล้ว ก็เพิ่มตัวปัญญาไปนิดเดียว ถ้าตายตอนนี้เราไปนิพพาน ง่ายจะตายชัก ไม่จำเป็นต้องเห็นนิพพาน ไม่จำเป็นต้องรู้จักนิพพาน ถ้าถึงเวลาก็ไปได้ ซื้อตั๋วรถไฟไปเชียงใหม่ ก็โดดขึ้นไปเถอะ ไม่ต้องรู้จักเชียงใหม่ สุดทางมันตรงไปเชียงใหม่นั่นแหละ
      ถาม :  ถ้าสมมติคนที่ได้บารมีขั้นต้น ปกติชอบทำทานเป็นปกติ บารมีขั้นกลางคือ ทำทาน แล้วก็ถือศีล ปรมัตถบารมี คือชอบทำทาน ถือศีล แล้วก็ภาวนา เสมอไปหรือเปล่าคะว่าคนที่ชอบภาวนานี่ถือว่าถึงขั้นปรมัตถบารมี ?
      ตอบ :  ถ้าภาวนาต้องใช่เลย คราวนี้เราใช้คำว่า "ชอบ" น่ะผิด คนที่เป็นสามัญบารมีนี่ เขาให้ทานได้ แต่บอกว่าให้รักษาศีลกับภาวนานี่ เขาไม่เข้าใจ ทำไม่ได้ เห็นเป็นแบกช้างทั้งตัว คนที่เป็นอุปบารมี ให้ทานได้รักษาศีลได้ แต่บอกให้ภาวนาก็ไม่ไหว คนที่เป็นปรมัตถบารมีเท่านั้น ที่ให้ทานก็ได้ รักษาศีลก็ได้ ภาวนาก็ได้ ถ้าใครติดการภาวนาบอกได้เลยว่า บารมีเขาเพียงพอแล้ว
      ถาม :  ผมเข้าใจผิดไหมครับ ที่บอกว่า "การทำทาน ทำเพื่อให้เราไม่เห็นแก่ตัว" ถูกไหมครับ ไม่ได้ทำเพื่อสร้างบุญ
      ตอบ :  จริง ๆ เป็นการทำเพื่อตัดความโลภของเราเอง แต่ว่าผลของการที่เรทำน่ะ เป็นบุญกลับมา คุณจะต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม ก็ต้องได้ คราวนี้ถ้าถามว่าไม่ควรอธิษฐานใช่ไหม ? ก็โง่ไปหน่อย การอธิษฐานเป็นการจำกัดเวลา จำกัดเป้าหมาย ว่าต้องการให้ผลนั้นเกิดขึ้นเมื่อไร เกิดขึ้นอย่างไร ยิงปืนถ้าเล็งเป้า โอกาสถูกก็เยอะ ถ้ายิงปืนไม่เล็งเป้าอาจจะไปคนละทิศคนละทาง ถึงเวลาเราต้องการแล้วไม่มา เราก็แย่ อธิษฐานบารมีถึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก พระพุทธเจ้าท่านกำหนดให้เป็นหนึ่งในบารมีที่ต้องทำให้ได้ คนที่จะไปนิพพานต้องใช้อธิษฐานบารมีเป็น ใช้ไม่เป็นไปไม่ถึงหรอก
      ถาม :  เวลาทำบุญที่เขาบอกว่า "ทำบุญแล้วขอให้รวย ๆ นี่เขาผิดไหมครับ ?"
      ตอบ :  ไม่ผิดนี่ เราขอได้นี่ เขาต้องการแค่นั้น บอกให้อย่างอื่นเขาก็ไม่ชอบใจ ตัวบุญอยู่ตรงจิตปีติ พอบอกอย่างนั้นก็ตรงกำลังใจเขา ก็เกิดการปีติยินดี ผลบุญของเขาก็มาก ใจของเขาก็เกาะอยู่ตรงนั้น ก็เท่ากับว่าเกาะความดีตรงจุดนั้นด้วย ส่วนจะรวยจริงไม่รวยจริงว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง
      ถาม :  ในพรหมวิหาร ๔ คำว่า "เมตตา" ความรัก จะขอบข่ายแค่ไหนคะ ถึงจะเรียกว่าเป็นรักที่ถูกต้อง ?
      ตอบ :  รักทั้งคนและสัตว์เหมือนกับรักตัวเรา ในเมื่อรักทั้งคนและสัตว์เหมือนกับรักตัวเรา ก็ไม่มีจิตคิดจะเบียดเบียนใคร แม้ด้วยกาย วาจา ใจ เราไม่ต้องการให้คนอื่นด่าเรา ไม่ต้องการให้คนอื่นทำร้ายเรา ไม่ต้องการให้คนอื่นคิดร้ายเราอย่างไร เราก็ไม่คิดร้ายคนอื่น ไม่ทำร้ายคนอื่น ไม่ว่าร้ายคนอื่นแบบนั้น ทุกคนเสมอหน้าเหมือนกันหมด ไม่เลือกว่าคนดี คนรวย หรือว่าคนจน คนอัปลักษณ์ หรือว่าสัตว์เดรัจฉาน สวยไม่สวย เป็นขี้เรื้อนหรือไม่เป็น ความรู้สึกเหมือนกันหมด คราวนี้ของเราเห็นแล้วมักจะเลือก เจอหมาขี้เรื้อนหน่อย วิ่งหนีอ้าวไปโน่น แต่แหม...เจอเทอเรียหน่อย อาบน้ำสะอาดมาวิ่งเข้าใส่ นั่นยังใช้ไม่ได้ ต้องเห็นเหมือนกันรักหมาขี้เรื้อนเหมือนกับรักตัวเราเองได้ไหม ไม่ใช่ได้ขนาดนั้นยิ่งกว่านั้นอีก
      ถาม :  บางคราวไม่ได้อะไรนะคะ กลัวค่ะ
      ตอบ :  นี่เราพูดถึงจุดสุดท้ายของมัน ถ้าทำถึงขนาดนั้นความกลัวจะน้อยลงทุกที เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกันหมด เราไม่เบียดเบียนเขา เขาก็ทุกข์พออยู่แล้ว เพราะฉะนั้น...เราควรที่จะยื่นโยนสงเคราะห์ให้เขาเพื่อให้เขาพ้นทุกข์ ความรู้สึกจะเป็นอย่างนั้น
      ถาม :  เวลาผมไปนั่งคุยกับเพื่อนเรื่องนี้แล้ว ไม่เหมือนกันครับ ผมก็บอกเขาว่า "อย่าคุยกันดีกว่า คุยกันก็ไม่รู้" อย่างนี้จะถูกไหมครับ หรือว่าจะพยายามคุยให้มันน้อย
      ตอบ :  ก็ใช้ได้อยู่ เพราะว่าถ้าหากเราไปสรุปทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ อาจจะผิด ถ้าผิดเมื่อไรจะเป็นมิจฉาทิฐิ ตราบใดที่เรายังลอยคออยู่ในทะเล ช่วยใครมากไม่ได้หรอก มัวแต่ช่วยเขาเราจะจมน้ำตายไปด้วย ตะกายให้ถึงฝั่งเมื่อไร ช่วยคนได้อีกเยอะ เพราะฉะนั้น...ไม่ไว้ก่อน เหมือนกับเห็นแก่ตัว แต่ไม่ใช่เห็นแก่ตัวหรอก หวังประโยชน์กับคนหมู่มาก ถ้าเราไปถึงฝั่งเมื่อไร เราช่วยเขาได้อีกเยอะ เพราะฉะนั้น...รีบตะกายไปให้เร็วที่สุด
      ถาม :  ๑. การทำจิตใจให้เป็นเครื่องรับที่ดีตลอดเวลาทำอย่างไร ?
              ๒. การทำกรรมฐานในธรรมกับการทำงานในทางโลกด้วยควรปฏิบัติอย่างไร ?
              ๓. เมื่ออามรณ์กรรมฐานทรงใจไม่อยู่ ด้วยเหตุผลทางโลกเหตุใดก็ตาม ถ้าเครียดมากควร...(ไม่ชัด)...อารมณ์หรือไม่ หากจิตใจไม่สามารถเกาะอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งได้ หรือควรทำอย่างไร ?
      ตอบ :  ปัญหา ๓ ข้อนี้ มี ๒ ข้อที่เป็นปัญหาเดียวกัน ๒ ข้อแรกก็คือ ที่ถามว่าทำอย่างไรจะทรงอารมณ์ให้ผ่องใสตลอดใช่ไหม ? ถ้าเป็นสายหลวยพ่อก็จับภาพพระเป็นปกติ เวลาทำงานอยู่แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งสัก ๒๐-๓๐ เปอร์เซ็นต์ จับภาพพระเป็นปกติ ความรู้สึกที่เหลืออยู่ประมาณ ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ เราก็ทำหน้าที่การงานของเราไป ถ้าสามารถจับภาพพระอยู่อย่างนั้นได้ทั้งวัน อยากรู้เรื่องอะไร เมื่อไร นึกปุ๊บรู้เลยจะแจ่มใสมาก เพราะว่าจิตของเราเกาะพระเป็นปกติ ไม่ไปวุ่นวายกับเรื่องอื่น ส่วนอันหลังถ้าหากว่าเครียดเขามีการผ่อนหนักผ่อนเบา ประเภทที่เรียกว่าถ้านั่งแล้วเครียดก็ไปยืน ๆ เครียดก็ไปนอน สลับกันไปสลับกันมา เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง แทนที่เราจะภาวนาอย่างเดียวก็มีการเดินจงกรม อ่านหนังสือบ้าง เปิดเทปธรรมะบ้าง อะไรอย่างนี้ อย่าทิ้งเสียทีเดียว ถ้าทิ้งเสียทีเดียวนี่เผลอหลุดเมื่อไรมันตีตายเลย
      ถาม :  ถ้านึกภาพพระนี่ คำภาวนาไม่ต้อง ?
      ตอบ :  ก็ถ้าหากว่าคล่องตัวแล้วไม่ต้องภาวนาหรอก แต่นึกปุ๊บก็อยู่บนพระนิพพาน แล้วจับภาพพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานเป็นนปกติไปเลย
              วัดพระพุทธบาทนี่เป็นรอยที่สร้างครอบไว้ ถ้าจะดูของจริงชัด ๆ ต้องไปดูบนยอดเขาพุทธฉาย อันนั้นเป็นอีกรอยหนึ่งคือท่านเหยียบตรงพระพุทธบาท แล้วก็ไปเหยียบอีกที่หนึ่งตรงพระพุทธฉาย เป็นคนละข้างกัน ตรงพระพุทธฉายนั้นก็ค้นพบในระยะเวลาใกล้เคียงกันคือ สมัยพระเจ้าทรงธรรม อยุธยาเหมือนกัน แล้วเขาก็ใช้วิธีเดียวกันก็คือว่าถนอมของเก่าไว้ ด้วยการเอาทรายใส่จนเต็มเกลี่ยเรียบเสร็จแล้วก็ก่ออิฐขึ้นมาทำเป็นรอยจำลองอยู่ข้างบน ให้คนปิดทอง ให้คนบูชากัน คราวนี้ปี ๒๕๓๗ กรรมการวัดพระพุทธฉายเขาจะบูรณะรอยพระบาทจำลองใหม่ เขาก็รื้อออกมาพอเจอทรายข้างล่างก็กวาดออก เลยเจอของจริง พวกนั้นจริง ๆ เขาคิดว่าเป็นแค่รอยจำลองเท่านั้น เขาไม่ได้คิดว่ามีของจริงอยู่ ตอนนี้ดีอยู่อย่างว่ามันเห็นชัดเจนเพราะว่าเขาทำเป็นฝากระจกเปิดได้ปิดได้ ถึงเวลาเขาปิดเอาไว้กันคนปิดทอง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวรอยจะเลือนหมด ถ้าหากว่าเราไปยืนดูทางด้านในมองออกมาทางประตูจะเห็นชัดมาก เพราะว่าแสงส่องเข้าพอดี จะรอยกงจักรอยู่ ส่วนใหญ่คนไปสระบุรีก็ตรงไปพระพุทธบาทอย่างเดียวใช่ไหม ? ไม่ได้นึกว่าที่พระพุทธฉายยังจะมีอีกรอยหนึ่ง อันนี้พม่าเขาพยายามที่จับเอาตำนานตรงจุดนี้ว่าให้เป็นของเขา แต่ของเขานี่อยู่ที่เมืองมินบู เมืองมินบูนี่จะอยู่ที่เชิงเขารอยหนึ่ง และก็บนยอดเขารอยหนึ่ง มันผิดธรรมชาติของคนที่ก้าวเดิน แล้วรอยที่ดูก็อยู่ในลักษณะที่ว่าเป็นหลุมกลม ๆ ลักษณะเป็นรอยเท้าช้างเสียมากกว่า แต่ว่าไม่ได้สำคัญตรงนั้น สำคัญตรงที่ว่าคนเขาเชื่อถือแล้วยึดถือไหม ถ้าเชื่อถือแล้วยึดถือ มีการถวายบูชาเป็นปกติก็เป็นพุทธานุสติอยู่แล้ว แต่ว่าประวัติถ้าจะให้ถูกต้องจริง ๆ รอยพระบาทคู่ที่ว่าอันนั้นก็คือรอยพระบาที่พระพุทธฉาย มีโอกาสก็ไปดูพระพุทธฉาย พูดง่าย ๆ ว่าทรุดโทรมมาก แล้วชำรุดไปเยอะ สมัยเด็ก ๆ นี่ชัดแจ๋วเลย สมัยนี้ชักจะเลือน ๆ เพราะว่าฝนตกแดดออกอยู่ประจำ
      ถาม :  ............(ฟังไม่ชัด)...........?
      ตอบ :  ก็เราไม่จำเป็นต้องว่าตามเขาก็ได้ ยกเว้นว่าบางอย่างเป็นคาถาขอลาภ โดยเฉพาะของสถานที่นั้นก็ใช้ของเขาไป แต่ถ้าทั่ว ๆ ไปเราใช้อิติปิโส ๓ ห้องก็เหลือเฟือแล้ว อิติปิโสสรรเสริญพระพุทธคุณ สวากขาโต สรรเสริญพระธรรมคุณ สุปะฏิปันโน สรรเสริญพระสังฆคุณ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครบแล้ว ที่ไหนก็ไหว้ไปเถอะ
      ถาม :  การที่จะพูดง่ายและตอบที่ง่ายที่สุดกับคนที่ไม่เข้าใจ ?
      ตอบทานคุณให้ด้วยกาย ศีลคุณรักษาด้วยกายกับวาจา แต่ภาวนาคุณต้องรักษาทั้งกาย ทั้งวาจา และทั้งใจ เพราะฉะนั้นถ้าทานมีผล ๑ ส่วน ศีลจะมีผลเป็น ๑๐๐ ส่วน และภาวนาจะมีผลเป็น ๑๐,๐๐๐ ส่วน ต่างกว่ากันเยอะไหม ? ทานให้ด้วยกาย ศีลรักษาด้วยกายกับวาจา ภาวนาต้องรักษาทั้งกาย วาจา ใจ ได้ประโยชน์มากกว่ากันเป็นเท่าตัว ๆ ขึ้นไป
      ถาม :  แต่ว่าปฏิบัติใหม่ ๆ ก็จะมีปัญหาที่ว่าทางโลกกับทางธรรมมันขัดแย้งกัน ?
      ตอบ :  ก็จริง ๆ แล้วไม่ขัดแย้งกันหรอก เพียงแต่ว่าเราอย่าไปเกรงใจทางโลก ที่เราไม่เกรงใจทางโลกไม่ได้หมายความว่าของเราจะไม่เอาเขาเลย เอาเหมือนกัน แต่เอาแค่กรอบของศีล เดินไปสุดกรอบของศีล ๕ เราก็ถอยกลับไม่ไปยุ่งกับเขา ดู ๆ เหมือนกระแสโลกแต่ไม่ใช่หรอก กรอบของศีล ที่แย่จริง ๆ ในปัจจุบันนี้ก็คือ ส่วนใหญ่แหกไปดื่มเหล้ากัน
              เพราะฉะนั้นถ้าหากเราไปถึงสุดกรอบของศีล เราก็ถอยกลับ คนอื่นเขาจะสนุกเฮฮาอย่างไรก็เรื่องของเขา เราก็ตั้งหน้าตั้งตารักษาศีลปฏิบัติธรรมของเราไป มันไม่ค้านกันหรอก แต่ว่ามีจุดพอดีของมัน เพียงแต่ว่าของเขานั้นเขาได้คืบจะเอาศอก จะลากเราไปกับเขาให้ได้ ใจคอเข้มแข็งหน่อยแต่ละอย่างที่เขาพูดมา แต่ละอย่างที่เขาว่ามา ประเภทเจ็บ ๆ แสบ ๆ เราทนปากเขาไม่ได้ก็จะไปขลุกกับเขา
      ถาม :  แล้วอีกอย่างหนึ่ง พักหลังพยายามคุยแนะนำคนอื่น จะมีไหมครับ คือเราแนะนำความรู้บางส่วน ถ้าเกิดเพี้ยนไปจะเป็นบาปไหมครับ ?
      ตอบ :  มันก็แน่ ๆเลย เขาเรียกว่าสอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ โทษมหาศาลเลย เพราะฉะนั้นเอาที่เราทำได้ ถ้าเป็นส่วนที่เราทำได้เรามั่นใจ แต่ถ้าทำแล้วกลัวว่าจะเป็นทิฐิส่วนตัวของเรา ไม่แน่ว่าเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเราก็อยู่ในกรอบของทาน ศีล ภาวนา โดยเฉพาะแนะนำเขาเรื่องศีล อย่างไร ๆ ก็ไม่พลาดหรอก ๕ ข้อเราจำได้แน่ ๆ อยู่แล้ว ก็แค่ว่ารักษาศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำ เอาที่ชัวร์ไว้ก่อน ถูกแน่ ๆ
      ถาม :  แล้วอย่างที่เราทำอะไรอย่างหนึ่ง จะมีวิธีอะไรที่อธิษฐานแบบกึ่งคล้าย ๆ เสี่ยงทาย ของเราเองเผื่อฟลุก ๆ ดีหรือไม่ดีครับ ?
      ตอบ :  เสี่ยงทาย โอกาสถูกกับผิด ๕๐:๕๐ เพราะฉะนั้นเอาเป็นว่าทุกอย่าง ถ้ามีช่องทางทำ ทำผิดได้บทเรียน ทำถูกได้กำไร ไม่มีเสีย ถูกได้กำไร ผิดได้บทเรียน ไม่มีเสีย ไม่ต้องเสียใจกับสิ่งที่ทำไปแล้ว แต่จงเสียดายเถอะถ้าไม่ได้ทำ ว่าแล้วก็ลุยโลด
      ถาม :  วันก่อนหลวงพ่อแนะนำคาถาเงินล้าน ให้สวด ๑๐๘ จบ ?
      ตอบ :  คือว่าคนเราถ้าจะเอาดีต้องใช้ความพยายามมากหน่อย ไม่ใช่อยากรวย ถามสวดกี่จบ บอก ๓ จบ สวดคาถาเงินล้าน ๓ จบ แล้วจะเอารวยรอไปก่อนเถอะ
      ถาม :  ผลจะช้ากว่ากันหรือครับ ?
      ตอบ :  สำคัญที่เราทำถูกไหม ? ถ้าเราทำถูกผลก็เร็วคือ ต้องไม่อยากท่องก็เป็นการบูชาคุณพระรัตนตรัย แล้วถ้าให้ดีทำเป็นกรรมฐานไปเลย คิดเสียว่าผลมันจะเกิดอย่างไรก็เรื่องของมัน เรามีหน้าที่รักษาไว้ให้ดีที่สุดด้วยการท่องบ่นภาวนา
      ถาม :  ช่วงนี้ถ้าเกิดเราปฏิบัติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราไม่ต้องอธิษฐานขออะไรเลย ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องเสียเวลาขอ มีหน้าที่ถึงเวลาเราก็ว่าของเราไป ผลจะเกิดอย่างไรแล้วแต่ท่าน แล้วก็คอยสังเกตก็แล้วกัน ถ้าได้ทำทรงตัว สม่ำเสมอต่อเนื่องกัน ไม่เกิน ๓ เดือน ต้องเห็นผลแน่นอน แรก ๆ จะเห็นผลในลักษณะเงินเกินมา
              สมัยก่อนอาตมาเป็นประเภทคุณละเอียด คุณละเอียดนี่ทำไร แหม! จะต้องเช็คแล้วเช็คอีก แล้วก็ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายส่วนตัวของเราอยู่แล้ว สันดานเสียอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่าเห็นอะไรที่ชอบต้องซื้อให้ได้ ก็กลายเป็นว่าถ้าจะออกข้างนอกนี่ต้องคำนวณให้ดีเราจะไปซื้ออะไร ราคาประมาณเท่าไร ค่ารถเท่าไร ค่ากินเท่าไร แล้วเอาแค่นั้น เอาไปเท่าไรก็หมด เห็นแล้วชอบแล้วจะซื้อ เสร็จแล้วสันดานเสียหนักเข้าไปอีกคือ พอได้แล้วหมดอยาก ตกลงแล้วจะซื้อมาทำไมกองพะเนินเทินทึกอยู่ ก็เลยใช้วิธีนี้ มีอยู่เที่ยวหนึ่งหลังจากที่ทำคาถาไปสักพักใหญ่ ตอนนั้นเป็นคาถาแค่คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ยังไม่เป็นคาถาเงินล้าน ทำไปได้สักพักหนึ่ง สม่ำเสมอ จริงจัง ต่อเนื่องกัน ก็จดราคาจะไปซื้อ ของราคาประมาณ ๓๐๐ บาท เราก็ติดเงินไปประมาณ ๓๐๐ บาทเท่านั้น คือกะว่าใกล้แค่นี้ต่อให้เงินหมดเราก็เดินกลับบ้านได้ เสร็จแล้วเราก็ซื้อของไปเรื่อย เฮ้ย! กว่า ๓๐๐ บาทแล้ว แล้วเงินมันมาจากไหน ? ก็เอะใจควักกระเป๋าดูยังเหลืออยู่ ๓๐๐ กว่าบาท แล้วหลังจากนั้นก็จะเป็นอย่างนั้นอยู่เรื่อย ๆ จะเป็นลักษณะอย่างนั้นอยู่ระยะหนึ่ง แล้วก็จะเกิดมาเป็นความคล่องตัวในรายรับ ทำอะไรมันไม่น่าจะได้เงินมันก็ได้ กลายเป็นว่าจับอะไรเป็นเงินเป็นทองไปหมด แต่เจ้าประคุณเอ๋ย! เหนื่อยลิ้นห้อยเลย เหนื่อยเพราะว่างานไหลมาเทมาพอ ๆ กับเงิน เพราะฉะนั้นคุณอยากได้เงินก็เหนื่อยหน่อย หลังจากนั้นความคล่องตัวอย่างอื่นมันก็เพิ่มมากขึ้น ๆ จนกระทั่งมาตอนก่อสร้างวัด ก่อสร้างอะไรนี่ ตอนมารับสังฆทานที่นี่ใหม่ ๆ เดือนแรก ๆ เดือนนั้นได้เงินประมาณ ๔๘,๖๐๐ กว่าบาท แต่ว่าเราจะต้องไปจ่ายเกือบแสน เพราะติดหนี้วัสดุก่อสร้างเขาไว้ ก็เออ! มีเท่าไรก็ให้เขาเท่านั้นแหละ พอกลับไปนับปรากฏว่าได้พอจ่าย แล้วยังเหลืออีก ไม่รู้ว่ามันงอกไปตอนไหน ตอนที่เงินเพิ่มนี่มีเคล็ดอยู่หน่อยเดียวว่า ถ้ากำลังใจเราไม่ทรงตัวอย่าไปคุยอวดเขา ถ้าไปคุยอวดเขาใจมันจะฟู จะทำให้ผลตรงนั้นเสีย จะหายไปนานเลยบางทีไป ๒-๓ อาทิตย์ แล้วหายไปเป็นเดือนกว่า ๆ จะงอกขึ้นมาอีก
      ถาม :  ปกติหลวงพ่อท่องคาถาอะไรครับ ?
      ตอบ :  ทุกวันนี้นะหรือ นึกได้เมื่อไรก็ว่าเมื่อนั้น ไม่ใช่นั่งเฉย ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านบอกว่า พระจะเป็นเจ้าอาวาสอะไรก็แล้วแต่เถอะ ถ้าคิดจะสร้างโบสถ์ให้ท่องคาถาเงินล้านต่อเนื่องกันอย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง จะสร้างสักกี่หลังก็ได้ วันละอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงต้องให้ต่อเนื่องกันเลยนะ ของอาตมานี่บางทีแบ่งเป็นเช้า ๓๐ จบ กลางวัน ๓๐ จบ เย็น ๓๐ จบอะไรอย่างนี้ มีอยู่ระยะหนึ่งก็เช้า ๓๐๐ จบ กลางวัน ๓๐๐ จบ เย็น ๓๐๐ จบ เคยทำได้เต็มที่เช้า กลางวัน เย็น ประมาณวันละ ๑,๒๐๐ จบ ไม่ได้เร่งท่องไฟแลบหรอก เอาช้า ๆ ประเภทได้คุณภาพ ถ้าเร่งท่องไฟแลบน่าจะได้มากกว่านั้น เยอะขนาดนั้นก็เริ่มภาวนาตั้งแต่ตีสามแล้วไปเลิกเอาหนึ่งทุ่ม ได้ประมาณ ๑,๒๐๐ จบ ก็น่าจะเสียเวลาหยุดได้ประมาณ ๑๕ นาที แค่นั้นเอง เพราะว่าฉันมื้อเดียวตอนช่วงนั้น เวลาที่เหลือเราก็ภาวนาไปเรื่อย ลองเช็คดูว่าได้เท่าไร ไหวไหม เอาสักวันละ ๑,๒๐๐ จบ
      ถาม :  ลูกประคำที่ให้ไป ก็ก่อนนอนยังไม่ถึงครึ่งก็หลับแล้วครับ ?
      ตอบ :  เอาเถอะ ให้ได้อย่างนั้นแหละดี เพราะว่าหลับคาประคำแสดงว่าจิตต้องเป็นฌาน อย่างน้อยเป็นปฐมฌานหยาบ ถ้าหากว่าอย่างนั้นจะได้ผล ระยะเวลาอันสั้นเพราะว่าเราภาวนาเป็นสมาธิไปแล้ว
      ถาม :  บางครั้งจะเกี่ยวกับเรื่องสมาธิหรือไม่เกี่ยว นั่งสมาธิบางครั้งแล้วเหมือนกับนอนไม่หลับ ?
      ตอบ :  อันนั้นใช่เลย นั่งสมาธิแล้วนอนไม่หลับ จริงๆ เป็นตัวปีติ ปีตินี่มันจะโพลงสว่างอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องไปพยายามหลับเพราะว่าตัวเรานอนอยู่มันได้พักผ่อนแล้ว จิตมันจะสว่างโพลงรับรู้อย่างไรให้มันรับรู้ไป นักปฏิบัติทั้งหลายทั้งปวงที่ทุ่มเทกันทั้งชีวิตนี่เขาต้องการอย่างน้อยให้ถึงจุดนี้ เพราะสภาพจิตของเราจริง ๆ มันเป็นประภัสสร เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่มีการหลับหรอก แต่สติเราขาดมันถึงหลับ คราวนี้ถ้าหากว่าเราหลับเราจะควบคุมกิเลสได้เฉพาะตอนที่เราตื่นอยู่ ตอนหลับมันก็เล่นงานเรา แหม! บางคนศีล ๕ ข้อ บริสุทธิ์เป๊ะตลอดวันเลย กลางคืนฝันว่าฆ่าเขาเป็นกองทัพเชียว เพราะฉะนั้นตอนกลางคืนมันก็แอบเล่นงานเรา เราต้องปฏิบัติให้ถึงจุดที่ว่าหลับและตื่นรู้ตัวเท่ากัน สภาพจิตถึงจะต่อต้านกิเลสได้ทัน ใคร ๆ ก็พยายามให้ได้ตรงจุดนี้ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าตัวมันนอนอยู่แล้ว ปล่อยมันนอนไป ถ้ามันยังไม่หลับเราก็ภาวนาไปเรื่อย ความจริงมันหลับนะเพียงแต่ว่าจิตมันตื่น เราเลยคิดว่ามันไม่หลับ บางทีเผลอ ๆ ได้ยินเสียงตัวเองกรนเสียด้วยซ้ำไป ตัวนี้หลับไปแล้วแต่ใจมันตื่นอยู่ พยายามรักษาระดับมันให้ได้ ถ้าหากว่าหลับกับตื่นกำลังใจเท่ากันเมื่อไร ก็พอจะลุ้นกับกิเลสได้บ้าง ถึงจะไม่ชนะก็ไม่แพ้ทุเรศนัก
      ถาม :  .............(ไม่ชัด)...........?
      ตอบ :  ทำไปเถอะจ้ะ อันนั้นกำไร ใส่บาตรเฉย ๆ ได้จาคาสนุสติ ทานบารมี และก็สังฆานุสติ อันนี้ของเราบูชาพระพุทธก่อนเป็นพุทธานุสติด้วย ตั้งใจอธิษฐานเผื่อคนอื่นเขา อย่างน้อยก็ต้องเป็นเมตตาบารมีบ้าง ทำไปเถอะยิ่งเยอะยิ่งดีจ้ะ
              เรื่องของการกินข้าวพระ กินไม่ดีเป็นหนี้สงฆ์ กินเป็นไม่เป็นหนี้สงฆ์ ข้าวพระที่กินแล้วจะเป็นหนี้สงฆ์ ส่วนใหญ่เขาถวายกันที่วัด ก่อนที่เขาจะถวายอาหารสงฆ์นี่ทายกเขาก็จะจัดข้าวพระพุทธชุดหนึ่ง ส่วนใหญ่บรรดาทายกที่รู้ดีเขาจะเลือกเอาข้าวดี ๆ กับดี ๆ ถึงเวลาลาข้าวแล้วก็จะกินเสียเอง อย่างนั้นติดหนี้สงฆ์หัวโตเลย เขาตั้งใจถวายสงฆ์ แล้วมาถวายต่อหน้าพระพุทธเจ้าก็ยังเป็นของสงฆ์อยู่ ไม่ได้เป็นของเหลือจากพระที่เป็นวิทาสาโท กินไม่ได้ มีอย่างเดียวก็คือเก็บไว้ถวายพระตอนเพล ส่วนที่บ้านนั้นของเป็นของเรา ๆ ตั้งใจบูชาพระ ลามาก็ยังเป็นของเรา กินเข้าไปเถอะ ฉะนั้นว่ากินไม่เป็นคือกินผิดที่ก็เป็นหนี้สงฆ์ ถ้ากินถูกที่อย่างที่บ้านไม่เป็นหนี้จ้ะ
              เรื่องของพระนอน มี ๒ แบบ นอนแบบหนึ่ง เขาเรียกว่า ปางไสยาสน์ อีกแบบหนึ่ง เขาเรียกว่า ปางปรินิพพาน ต่างกันนิดเดียว ต่างกันตรงไหน ? ต่างกันตรงพระบาท พระนอนปางไสยาสน์พระบาทจะเหลื่อมกันอยู่หน่อย แบบประเภทพร้อมที่จะก้าวเดินอย่างนั้น แต่ถ้านอนปางปรินิพพานนี่พระบาทจะเสมอกันเป๊ะเลย อย่างพระนอนวัดโพธิ์ ปางปรินิพพาน พระบาทจะซ้อนเท่ากันเป๊ะ ถ้าหากว่าเหลื่อมนี่จะเป็นปางไสยาสน์พระประจำวันเกิดในวันอังคารจะเป็นปางไสยาสน์ คนเกิดวันศุกร์นี่รวยนะจ้ะ วันศุกร์เป็นดาวเงินดาวทอง ใคร ๆ ก็อยากให้พระศุกร์เข้า แต่อย่าให้พระเสาร์แทรก ถ้าหากว่าพระอาทิตย์เสวยอายุนี่จะมีเรื่องเดือดร้อนอยู่ทั่วไป พระจันทร์เสวยอายุจะเป็นคนมีเสน่ห์ ใคร ๆ เห็นก็รักก็เมตตา พระอังคารเสวยอายุจะเดือดร้อน เลือกตกยางออก พระพุธเสวยอายุนี่ผู้ใหญ่จะอุปถัมภ์ พระพฤหัสเสวยอายุนี่ตอนนั้นจะร่ำจะเรียนอะไรสำเร็จหมดทุกอย่าง พระศุกร์เสวยอายุนี่รวยจ้ะรวย มีดาวเดียวที่ทำให้รวย ถ้าพระเสาร์เสวยอายุก็จะทำให้ทะเลาะกับคนทั่วไป ถ้าพระราหูเสวยอายุนี่ต้องดูจังหวะ ถ้าดีก็ดีไปเลย ถ้าไม่ดีก็เละไปเลย เพราะว่าราหูเปรียบเหมือนอย่างกับคนปากร้ายใจดี หรืออะไรทำนองนั้น ถ้าหากว่าไปเจอตอนร้ายก็ร้ายไปเลย ถ้าไปเจอตอนดีเข้าก็ดีไปเลย เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าใครเกิดวันอาทิตย์ กว่าจะรวยได้ก็อายุ ๙๐ กว่าปี พระอาทิตย์เสวยอายุ ๖ ปี พระจันทร์ ๑๕ เป็น ๒๑ พระอังคาร ๘ รวมเป็น ๒๙ พระพุธ ๑๗ รวมเป็น ๕๖ พระพฤหัส ๑๙ รวมเป็น ๗๕ พระเสาร์ ๑๐ เป็น ๘๕ พระราหู ๑๒ เป็น ๙๗ กว่าจะถึงวันศุกร์ เขาจะเรียกว่า อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส เสาร์ ราหู ศุกร์ กว่าจะสุขนี่มันอยู่ท้ายเขาเลย ส่วนพวกเกิดวันศุกร์ตั้งแต่อายุ ๑-๑๒ ปี เงินทองไหลมาเทมาเลย เพราะฉะนั้นพวกเกิดวันศุกร์นี่รวยแต่เด็ก อย่าเผลอใช้หมดก็แล้วกัน วันพุธนี่ผู้ใหญ่จะอุปถัมภ์ วันพุธถ้าจะรวยก็เพราะผู้ใหญ่สนับสนุน วันพฤหัสนี่เรียนรู้อะไรก็แตกฉาน วันศุกร์นี่รวย วันอาทิตย์กับวันพฤหัสจะซี้กันมาก โบราณเขาว่าพระอาทิตย์เป็นมิตรกับครู ครูก็คือวันพฤหัส จันทร์โฉมตรูคู่กับพุธนงเยาว์ วันจันทร์นี่จะสนิทกับวันพุธ ศุกร์ปากหวานอังคารรับเอา คนเกิดวันอังคารจะซี้กับวันศุกร์ ราหูกับเสาร์เป็นมิตรต่อกัน คนเกิดวันพุธกลางคืนก็จะเป็นเพื่อนสนิทกับของวันเสาร์
      ถาม :  ปกติเขานับ ๖ โมงเช้า เป็นวันใหม่ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ได้อรุณ อาจจะอรุณก่อน ๖ โมงเช้าก็ได้
      ถาม :  แล้วพุธกลางคืนล่ะครับ ?
      ตอบ :  พุธกลางคืน ก็ตั้งแต่ตะวันตกดินไป จนกระทั่งก่อนได้อรุณของคืนวันพุธ(เช้ามืดวันพฤหัสบดี)
      ถาม :  วันพุธก็คือ ?
      ตอบ :  ก็หมดแค่ตะวันตกดิน ถ้าตกดินไปแล้วก็เริ่มเป็นพุธกลางคืน โบราณเขานับอรุณเป็นวันใหม่ ไม่ได้นับตามฝรั่งที่หลังเที่ยงคืนเป็นวันใหม่
              พญานาค หมายถึง นาคที่เป็นเดรัจฉานกึ่งทิพย์นะ ไม่ใช่นาคที่เป็นเทวดา พญานาคเขาแบ่งเป็น ๔ เหล่า เหล่าวิรูปักษ์ เหล่าเอาราปถ เหล่ากัณหาโคตะมะ เหล่าฉัพพยาปุตตะ เขาจะมีแบ่งว่าบางเหล่าใช้กำลังรัดเราจะตาย บางเหล่ากัดเราแล้วจะตาย สองอย่างนี้เราเห็นชัด บางเหล่าแตะถูกตัวเขาเราก็ตาย บางเหล่าแค่มองเรา ๆ ก็ตาย ๒ เหล่าหลังนี้ดี ท่านไม่ค่อยโผล่มา ไม่อย่างนั้นเราแย่แน่เลย เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องงูเห่าไฟไหมล่ะ เลื้อยไปทางไหนก็ไหม้เป็นทางเลย ประเภทนี้ถ้าแตะเราน่าจะตาย แต่ที่มองแล้วตายนี่อาตมาเองก็ไม่เคยเจอเหมือนกัน เพราะถ้าเจอก็คงไม่ได้มาคุยด้วย แต่ว่าเกี่ยวกับงูนี่รู้สึกว่าจะประเภทว่ามีวาสนาต่อกันมาแต่ไหนแต่ไร คือถึงจะโดนงูกัดบ่อยแต่ไม่เป็นอันตราย แล้วในขณะเดียวกันก็ไม่ได้กลัวเขา จะเป็นจงอาง จะเป็นงูเห่า จับเล่นเป็นปกติ เวลาธุดงค์ไปนอนตามป่าตามถ้ำอะไรนี่ มันชอบมานอนอยู่บนอก นอนภาวนาสบาย ตื่นมาอะไรว่ะหนัก ๆ คลำดู โอ้โห! ขนาดขวดเบียร์ ต้องค่อยดึงมันลงเพราะว่างูมันเป็นสัตว์เลือดเย็น เวลากลางคืนเขาจะหนาวมาก เพราะว่าร่างกายเขาปรับอุณหภูมิตามอากาศ มันก็แย่ พอมาเจอที่อุ่น ๆ มันก็จองเลยขึ้นมาขดอยู่บนอก เราก็เฮ้ย ๆ กูได้เวลาตื่นแล้วมึงก็ไปเสีย ต้องค่อย ๆ ขยับมันนะ อย่าไปพรวดพราดนะ พรวดพราดมันจะกัดเอา
              บทวิรูปักเขหิ เม เมตตัง หลวงพ่อท่านว่าเอามาเสกผ้าเช็ดหน้าเสกสีผึ้ง เสกแป้งผัดหน้า อธิษฐานขอให้คนเห็นแล้วรักเมตตาต่อเรา หรือว่าใครเอาไปใช้ก็ขอให้เขารักเมตตาต่อกัน ใช้เสกของได้ เอาแค่
              วิรูปักเขหิ เม เมตตัง          เมตตังเอาราปะเถหิ เม
              ฉัพยาปุตเตหิ เม เมตตัง      เมตตัง กัณหาโคตะมะเกหิ จะ
              อะปาทะเกหิ เม เมตตัง       เมตตัง ทิปาทะเกหิ เม
              จะตุปปะเทหิ เม เมตตัง       เมตตัง พะหุปปะเทหิ เม
              แค่นั้นแหละ เอาแค่ได้ตรงจุดเมตตัง ๆ เท่านั้นแหละ
      ถาม :  ...............(ไม่ชัด).................
      ตอบ :  คาที่ไปแล้วใช่ไหม ? ระวังเถอะจะไปเจอตอนหนองหารล่ม ถ้าไปเจอตัวจริง แล้วไปตีเขาตาย เดี๋ยวพวกเขามาแก้แค้น พวกหนองหารนั่นพญานาคถล่มเมืองทั้งเมืองจมอยู่ใต้น้ำไปเลย พญานาคเขาปลอมตัวเป็นกระรอกมา ดันไปยิงเขาตาย ตายไม่ตายเปล่าเอาไปกินด้วย เสร็จแล้วก็มีหญิงแก่อยู่คนหนึ่ง อยู่บ้านไกลไม่ได้มาแบ่งปันด้วย ก็อัศจรรย์ตรงที่ว่าตัวเขาใหญ่เพราะว่าแบ่งกินทั้งเมืองแล้วยังเหลือ เสร็จแล้วหญิงแก่มัวแต่เศร้าโศกเสียใจที่คู่ชีวิตตายก็กำลังไว้ทุกข์อยู่ เขาก็เลยไม่ได้เอาเนื้อไปกินด้วย
              ตามตำนานเขาบอกว่าพอใกล้ค่ำก็มีมานพหนุ่มแต่งตัวดี ผิวพรรณผ่องใสมากมาขอกินน้ำ หญิงแก่ก็เอาน้ำให้ พอเขากินเสร็จเขาก็บอกว่ากลางคืนยายได้ยินเสียงอะไรดังก็อย่าตกใจนะ ให้ตั้งใจสวดมนต์ภาวนาอยู่แล้วจะปลอดภัย พอตกกลางคืนก็ได้ยินเสียงครืนโครมเหมือนแผ่นดินไหว ฟ้าผ่า อะไรอย่างนั้น รุ่งเช้าเมืองทั้งเมืองหายไปหมดกลายเป็นแอ่งน้ำใหญ่ เรียกว่าหนองหารมาจนทุกวันนี้ ถ้ากินกับเขาด้วยก็คงไม่เหลือ ยังเหลือยายอยู่คนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นมาเล่าให้คนอื่นฟังไม่ได้
              เรื่องเกี่ยวกับพญานาคอาละวาดถล่มเมือง มีประวัติอยู่หลายที่เหมือนกัน สัตว์จำพวกเลื้อยคลานมันไม่จำกัดอายุเพราะแต่ละปีเขาลอกคราบเท่ากับเกิดใหม่ ลอกคราบก็เกิดใหม่ไปเรื่อย เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีใครไปฆ่าเขาตายหรือไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยตายเสียก่อน อายุเขาไม่จำกัด อยู่ไปเรื่อย ๆ สมัยสงครามโลกที่ถ้ำกระแซนี่มันกินทหาร ญี่ปุ่นมาเป็นกองทัพเลย อันนั้นเดินไปให้เขากินแท้ ๆ แล้วมันอ้าปากเต็มถ้ำพอดี เหนื่อยขึ้นมาก็เข้าไปพักเหนื่อย เหนื่อยขึ้นมาก็เข้าไปพักเหนื่อยแล้วก็หายไปหมด ทีนี้มีรายหนึ่งเขาไปพักแล้วเอาปืนวางพิงผนังแล้ว อยู่ ๆ ก็ตกใจทำไมเลือดไหลโกรมาตามลำก้องปืน เงยขึ้นไปมองเห็นงูค่อย ๆ หุบปากลงมาแล้วดาบปลายปืนแทงปากมันพอดีเขาก็เลยวิ่งสุดชีวิตเลย ไม่อย่างนั้นก็ตายไปด้วย แล้วมาตอนหลังเขาเอาระเบิดไปวางมันถึงได้ตาย