ถาม:  แสดงว่าตัวมันใหญ่มาก ?
      ตอบ :  เขาบอกว่าประมาณรถไฟ ใหญ่มากไหมล่ะ ประมาณตู้รถไฟ ปัจจุบันนี้งูใหญ่ ๆ ยังเหลืออยู่แต่ว่าไม่ค่อยจะได้เจอกัน ที่ละหานทรายบุรีรัมย์ นั่นมีอยู่ ๒ ตัวผัวเมีย ตอนสมัยเป็นทหารอยู่แถว ๆ ตาพระยาเขตติดต่ออำเภอละหานทราย แถวนั้นชาวบ้านเขาไม่ยุ่งกับเขา เขาเรียกเป็นเจ้าพ่อ ๆ เผลอ ๆ เจ้าพ่อก็กินวัวไปเสียตัวหนึ่ง ถ้าใครอยากจะดูให้ซื้อเนื้อไปเยอะ ๆ ไปวางล่อที่ปากถ้ำ อย่างเช่นว่าวางไว้ตรงนี้สักครึ่งกิโลกรัม แล้วก็ไปสักอีก ๒๐ เมตร วางอีกก้อนหนึ่งครึ่งกิโลกรัม แล้วอีก ๒๐ เมตร วางอีกก้อนหนี่งครึ่งกิโลกรัม มันจะออกมากิน ตัวประมาณโคนมะพร้าวแต่ไม่รู้ยาวเท่าไร เพราะส่วนใหญ่เนื้อหมดก่อนมันยังออกมาไม่หมด
              ส่วนที่เกริงกระเวีย ทองผาภูมินี่ หลวงพ่ออุตตมะเจอหลายครั้งแล้ว ตอนที่เขาปิดเขื่อนเขาแหลม ปัจจุบันคือเขื่อนวชิราลงกรณ์ ปิดเขื่อนเพื่อกักน้ำ สงสัยว่าน้ำจะไปท่วมถ้ำที่มันอยู่ มันก็เลยต้องเตลิดออกมา พอเลื้อยมานี่ชาวบ้านเขาแตกตื่นกันทั้งบ้านทั้งเมืองเลย เขาก็ไปแจ้งให้หลวงพ่ออุตตมะทราบ หลวงพ่ออุตตมะท่านไปดู ท่านบอก อ๋อ ตอนธุดงค์เจอกันมาสองครั้งแล้ว ท่านว่าอย่างนั้น ท่านจำกันได้ ตัวนั้นเขาบอกว่าโตประมาณต้นมะพร้าว ยาวประมาณ ๒๕ วา แล้วก็ทางด้านเขาพระบาทที่ลิ่นถิ่น ก่อนจะเข้าทองผาภูมิสัก ๓๐ กว่ากิโลเมตร อันนั้นคนวิ่งตีนพลิกมาหลายทีแล้ว ตอนแรกก็นึกว่าต้นซุงมากองอยู่กับพื้นเดินไปเดินมา ท่อนซุงมีลูกตาด้วย พวกนี้เวลากินอิ่มมันก็จะนอนนิ่ง ๆ มันก็เหมือนท่อนซุง ไม่ทราบว่าเป็นตัวเดียวกับของหลวงพ่ออุตตมะหรือเปล่า แล้วก็ตรงหน้าวัดเกาะ ปี ๒๕๓๗ อันนั้นงูจงอางเลยโดนยิงตาย วัดเส้นผ่าศูนย์กลางลำตัวมัน ๘ นิ้ว จงอางใหญ่กว่างูเหลือมอีก ยาวตั้ง ๕-๖ เมตร ตอนที่คนงานลกมานี่คนเห็นก็เข่าอ่อนแล้ว ตอนแรกเกิดจากคุณมานิตย์ วรรณโพธิ์ เขาเห็นมันเลื้อยมาพอดี คราวนี้ แหม! มันอยู่กันมานานขนาดนั้นบทจะถึงที่ตายมันก็ตายเอาง่าย ๆ
              งูจงอางนี่ใครเคยสังเกตบ้างไหมว่ามีกี่แบบ เท่าที่สังเกตมานี่มีอยู่ ๓-๔ แบบด้วยกัน คือจะเป็นแบบประเภทสีน้ำตาลแต่ขอบเกล็ดจะเป็นสีดำ เกล็ดมันจะนูนเห็นชัดเลย เขาเรียกงูจงอางลายลูกหวาย แล้วก็จะเป็นงูจงอางหลังลาย หลังมันจะเป็นบั้ง ๆ เคยเห็นไหม นั่นแหละตัวยักษ์นี่มันเป็นพันธุ์หลังบั้ง แล้วมันก็ทะลึ่งเหลือเกินออกมาหากินตอนที่หลังจากที่เขาเผาป่าแล้วฝนตกใหม่ ๆ มันเลื้อยไปก็เปรอะขี้เถ้าจากเขาเผาป่า แล้วมันก็โดนน้ำฝนายพร้อยไปทั้งตัว คุณมานิตเขาเห็นมันเลื้อยเข้ามาในโพรงไม้ใหญ่ใช่ไหม เขาก็บอกกับลูกน้อย เฮ้ย! งูเหลือม มึงไปยิงมากิน ลูกน้องก็อัดปืนแก๊ปแล้วก็ไป ลูกพี่บอกลูกน้องทำ แหม! น่ารักเหลือเกิน ไปถึงแล้วงูใหญ่มันมีพิษด้วยอีกต่างหาก มันไม่หนีใครอยู่แล้ว พอมันได้ยินเสียงคนเดินมามันก็ยื่นหน้ามา ใครหรือ เจ้าคนนี้พอเห็นหัวงูเขาก็ไม่สนใจว่างูอะไร ไม่ได้สังเกต เอาปืนทิ่มใส่จมูกแล้วเหนี่ยวไกเลย โอ้โห! มันดิ้นป่าถล่มออกมา คนยิงก็กองอยู่นั้นแหละ ตกใจ บังเอิญว่าจมูกนั้นมันเข้าสมองพอดี ไม่อย่างนั้นล่ะก็คงได้ตายกันยกหมู่บ้าน ตอนมันลากมานี่คนงานที่ศูนย์ต้นน้ำเห็นแล้วเดินไม่เป็นกันเลย แข้งขาอ่อนหมด แล้วเจ้าแจ๊คเด็กที่ศูนย์ต้นน้ำทะลึ่งไปเอาหางมาท่อนใหญ่ ถามว่ามึงเอามาทำไมว่ะ ผมจะเอาหนังมันตกแห้งทำเข็มขัด บอกว่ามึงหาที่ตายแล้ว งูใหญ่ ๆ ส่วนใหญ่มันจะมีคู่เดี๋ยวถ้ามันตามกลิ่นมาถึงก็ได้ตายกันยกหน่อยหรอก นั่นแหละเขาถึงได้เอาไปทิ้งน้ำ แล้วมันก็หายเงียบไปตั้งนาน มาประมาณปี ๒๕๔๔-๒๕๔๕ คู่ของมันถึงจะมากัดวัวตายไปตัวหนึ่ง กัดควายตายไปตัวหนึ่ง รอยเขี้ยวมันห่างกันประมาณ ๓ นิ้ว แล้วลองคิดดูสิเขี้ยวมันยังขนาดนี้ แล้วหัวมันจะขนาดไหน จนป่านนี้ยังจัดการมันไม่ได้เลย เราก็ไม่ได้อยู่มาปีกว่าไม่รู้เหมือนกันว่ามันกินวัว กินควายไปอีกกี่ตัว แต่ว่ากำนันเขาตั้งค่าหัวไว้ ๕๐๐ บาท คงจะมีคนกล้าไปยิงมันหรอก เขาบอกคนงานมอญ คนงานพม่าว่าใครยิงได้ให้ ๕๐๐ บาท โถ! ตัวแรกที่ตายไปถ้าเขารู้ว่าเป็นงูจงอางนะให้เขา ๑ ล้านบาทเขายังไม่กล้าไปเลย คราวนี้เขาเชื่อลูกพี่ว่าเป็นงูเหลือม เขาก็กะว่ากินได้แน่ใช่ไหม
      ถาม :  แล้วตัวเมียหรือตัวผู้ ?
      ตอบ :  ดูไม่ออก ดูจากหางกุด ๆ นี่น่าจะเป็นตัวผู้ เพราะว่างูนี่ตัวผู้หางมันจะกุด ๆ อ้วน ๆ ถ้าตัวเมียหางมันจะเรียวยาว ๆ แล้วก็มาปี ๒๕๔๕ นี่ตัวไม่ใหญ่ขนาดนั้น แต่ก็คงได้ขนาดพานเหมือนกัน เล่นรถสิบล้อคว่ำไปคันหนึ่ง รถสิบล้อบรรทุกแร่มาจากเหมือง ลงมาถึงตรงที่เขาเรียกว่า โค้งเขาดิน โค้งเขาดินก่อนที่เขาจะขึ้น แล้วไปน้ำตก หน่วย กจ ๑๒ แล้วถึงจะขึ้นไปโค้งองคต ขึ้นไปที่หน่วยต้นน้ำ มันกำลังเลื้อยข้ามถนนพอดี มันข้ามไปเกินครึ่งแล้วรถสิบล้อตะบึงลงเนินก็เบรคไม่ทัน ปรากฎว่างูมันไว รถสิบล้อเบรคไม่ทันตาลีตาเหลือกอยู่ มันชักหัวหลับสับโป๊กเข้าให้ เขาบอกว่าเสียงมันเหมือนระเบิด มันฉกใส่กระจกพอดี คนขับรถตกใจเลยปล่อยพวงมาลัยแหกโค้งร่วงลงไปเลย แต่งูตาย มันฉกใส่กระจกแรงไปหรืออย่างไรไม่รู้ ตัวมันพาดลงพื้นล้อหลังทับพอดี มันมัวแต่ดิ้นม้วนไปม้วนมาอยู่ คนงานมอญผ่านไป ๔-๕ คน ก็เลยคว้าไม้ไปช่วยกันตี แล้วลากไปกิน
      ถาม :  ..........(ไม่ชัด)........พอพิสูจน์เสร็จสักพักหนึ่ง ก็รู้ว่ามีจริงอย่างคำสอนทุกอย่าง สุดท้ายพอรู้มากเข้ามันรู้ทุกวันไปหมดเลยครับว่าใครจะอย่างไร อะไร อยู่ดี ๆ ไปอธิษฐานเพราะชีวิตมันไม่มัน เลยไปอธิษฐานขอไม่รู้ หลังจากนั้นไม่รู้อีกเลย ชีวิตมืดบอด ?
      ตอบ :  ก็เราไปขอเองนี่ แต่จริง ๆ คำอธิษฐานเปลี่ยนใหม่ได้
      ถาม :  บางทีเราละอาย การที่จะถามอะไร เพราะบางอย่างเรารู้อยู่แล้วกับตัว ถ้าเราจะมาฟื้นฟูของเดิมต้องทำอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ทำอย่างไรดี ต้องกลับมาภาวนาใหม่อย่างจริง ๆ จัง ๆ ช่วงที่เราทิ้งไปจิตใจมันจะไปวุ่นวายกับเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง ก็เลยทำให้พูดง่าย ๆ คือสภาพจิตของเราไม่สะอาดเหมือนเดิม ฉะนั้นของเราต้องเริ่มต้นตรงภาวนา แต่ว่าขณะที่ภาวนาศีลของเราต้องบริสุทธิ์ด้วย พอสมาธิปัญญาทรงตัว ของทุกอย่างมันจะกลับมา ถ้าหากว่ามันกลับมาแล้วไม่ชัดเจนแจ่มใส ให้ตั้งใจจุดธูปขอขมาพระรัตนตรัย เนื่องจากเราเข้าใจผิดที่ไปอธิษฐานไม่เอาอะไรเลย ตอนนี้ขอขมาแล้วขอคืนด้วย
      ถาม :  ขอขมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่ได้ขอคืน เคยมีครั้งหนึ่งคืออาคนหนึ่งชื่ออาวิฑูรย์ คนที่อยู่บ้านสายลม และสมัยก่อนตอนวัยรุ่นไม่เชื่อสักอย่าง ไม่เชื่อเราก็พิสูจน์ทุกอย่าง ผมกำวัตถุมงคลอยู่ในมือแล้วถามว่าในมือผมเป็นอะไร อาเขาตอบได้ทุกอย่าง แต่เขามีคำเตือนอย่างหนึ่ง เขาบอกเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์หรือศาสตร์ตรงนั้นอย่าไปเล่น ถ้าไปเล่นแล้วข้างบนจะลงโทษ ผมไม่ได้เล่นเพื่อทำลายใครนะครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ศึกษาเอาไว้ได้ เพราะว่าบางทีคนเขาลำบากมาเราจำเป็นต้องช่วยเขา แต่ประเภทเล่นแล้วข้างบนจะลงโทษนั้น หมายความว่าเราเอาไปเล่นคนอื่นเขา ถ้าหากว่าเราไม่ได้เอาไปทำคนอื่นเขา ไม่เป็นไรจ้ะ
      ถาม :  เคยได้ยินคำขอพระรูปหนึ่ง ท่านพูดว่าเจดีย์นี้ยอดเป็นทองคำแต่ข้างล่างเป็นอิฐเป็นปูน ฉะนั้นผมก็เลยคิดว่าเราควรจะรู้ให้หมดนะครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น แต่ว่าเรื่องของไสยศาสตร์หรืออะไรทำนองนั้น ถ้าหากว่านับไปแล้วมันเป็นธรรมที่เนิ่นช้า คำว่า "เนิ่นช้า" ก็คือ ถ้าเรามัวแต่ไปศึกษาอยู่ โอกาสที่เราจะเข้าถึงมรรคผลก็ช้าลงไป แต่ว่ามีความรู้เอาไว้ประดับตัวก็ดี คนเขาทำก็ดี อะไรก็ดี จะได้แก้ได้หรือว่าใครเขาเดือดร้อนมาจะได้ช่วยเขาได้
      ถาม :  ......(ไม่ชัด)........ผมปรารถนาพุทธภูมิ และคนเมืองบัวผมไม่รู้ว่าฌานเขาทรงกำลังดีหรือเปล่า คือเขาเคยบอกว่าเขาถามพระให้อะไรอย่างนี้ ไม่รู้จริงหรือเปล่า ?
      ตอบ :  อย่างนั้นก็ต้องฟังหูไว้หู เพราะว่าเรื่องอะไรก็ตามแม้แต่พระพุทธเจ้ายังบอกว่า ต่อให้ท่านพูดก็อย่าเพิ่งเชื่อ อย่างนั้นของเราก็ดูแล้วก็พิสูจน์ว่าเป็นไปตามนั้นไหม ถ้าหากว่าเป็นไปตามนั้นเราถึงเชื่อ ถ้าไม่เป็นไปตามนั้นก็เป็นอันว่าโอเค จบแค่นี้
      ถาม :  เรื่องเกี่ยวกับนิยตะโพธิสัตว์ อันนั้นเป็นจริงหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ก็มีทั้งของจริง มีทั้งเข้าใจผิดและมีทั้งที่เข้าใจผิด นิยตะโพธิสัตว์จริง ๆ แล้วท่านประเภทที่เรียกว่า เกิดอีกชาติเดียวก็เข้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเลย เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ท่านจะไม่ลงมา ประเภทที่เรียกว่าทั่ว ๆ ไปอย่างนี้รอเวลาทีเดียวดีกว่า แต่ว่านิยตะโพธิสัตว์ก็ไม่ได้หมายความว่าที่ท่านบารมีเต็มแล้วนะ เพียงแต่ว่าท่านได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนี่งแล้ว เมื่อท่านได้รับการพยากรณ์แล้วถือว่ามีคติแน่นอน เขาเลยเรียกว่า นิยตะโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่มีคติแน่นอนแล้วว่าจะต้องตรัสรู้ เมื่อนั้น เมื่อนี้ ชื่อนั้น ชื่อนี้ อะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่ว่าที่กล่าวถึงเมื่อครู่นี้หมายถึงว่า ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ท่านบารมีเต็มแล้ว รอเวลาตรัสรู้อย่างเดียว ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็คงจะเหนื่อยเหมือนกัน ไม่ค่อยลงมาหรอก ที่ว่าลงมาปัจจุบันเป็นองค์นั้นองค์นี้นั้นอย่าเพิ่งเชื่อ
      ถาม :  ตัวปลอมเสียมากกว่าหรือครับ ?
      ตอบ :  ก็จะเป็นการเข้าใจผิดในลักษณะฉุดขากัน เรื่องนี้ฝีมือของพวกกิเลสมารเขาเก่ง เขาทำให้เราเข้าใจผิด แล้วเราไปหลงระเริงตามนั้น อันดับแรกที่เสียก็คือเราไปมั่นใจว่าบารมีเต็มแล้ว เราไม่ทำก็ซวย เลยทำให้เราเข้าถึงช้า เพราะฉะนั้นต่อให้เขาบอกว่าเราเป็นองค์ไหนก็ตาม บอกชัดเจนขนาดไหนก็ตาม อย่าเพิ่งเชื่อ เราลุยงานของเราต่อไป
      ถาม :  เรื่องลุยงาน ตอนนี้ก็เลยยังสับสนอยู่เพราะว่ามันเหมือนกับตันเป็นพิเศษ ตันโดยที่ไม่รู้ว่าออกหัวออกก้อยครับ ?
      ตอบ :  อย่างนี้ไม่จำเป็นต้องไปรู้ เราแค่มีอะไรเฉพาะหน้ามาเราทำอันนั้น หน้าที่ของเราที่สำคัญที่สุดคือเพาะสร้างกำลังไง เรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา เพาะสร้างของเราไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการศึกษาเกี่ยวกับพระนิพพาน คุณเป็นพระโพธิสัตว์ไปนิพพานไม่ได้ ทำให้คนจำนวนมากปล่อยวางเรื่องพระนิพพาน อย่างนั้นโอกาสที่จะเป็นนิยตะโพธิสัตว์ยากที่สุดเลย เพราะว่าพระโพธิสัตว์ต้องรู้นิพพานมากกว่าสาวกภูมิปกติอย่างน้อย ๔ เท่าตัว ถึงจะสอนคนอื่นเขาได้ เพราะฉะนั้นเราต้องศึกษาคำว่าพระนิพพานให้ปรุทุกซอกทุกมุม เราเพาะสร้างสติปัญญาของเรา ศึกษาพระนิพพานของเราไปเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นมีโอกาสได้ช่วยเหลือสงเคราะห์ใครหรือสร้างบุญบารมีใหญ่อะไร เราก็ค่อยทำค่อยเก็บงำ ค่อยสั่งสมของเราไป งานเฉพาะหน้ามีอะไรเราทำอันนั้น
      ถาม :  บารมี ๑๐ ตอนนี้ก็พยายามไปเรื่อย ๆ
      ตอบ :  เป็นเรื่องดีเลย
      ถาม :  ถึงแม้คนเมืองบัวจะบอกมาแล้วหรือถามพระแล้วว่าพระกกุสันโธเคยตรัสรู้ไว้แล้ว อะไรอย่างนี้ ?
      ตอบ :  อันนั้นอย่าเพิ่งเชื่อ บอกแล้วว่าบางทีเป็นการฉุดขากัน เพราะว่าเรื่องที่ท่านรู้ ท่านรู้จริง ๆ แต่เรื่องที่รู้เห็นอาจจะเป็นการสร้างขึ้นมาเพื่อที่เป็นการดึงเราโดยเฉพาะ การสร้างเรื่องของบารมีนี่มารเขาเก่งจริง ๆ ขนาดแปลงเป็นพระพุทธเจ้าได้เหมือนเปี๊ยบเลย เรื่องนี้น่ากลัวมาก บางทีเขาก็มานั่งพยากรณ์ฉอด ๆ ให้เราฟัง ที่ไหนได้ตัวปลอมไปก็ซวยไปเลยถ้าเราเชื่อ เพราะฉะนั้นทำหน้าที่ของเราไปเรื่อย ๆ อะไรจะเกิดขึ้นก็เรื่องของมัน
      ตอบ :  แล้วปัจจุบันถามพระอย่างเมื่อก่อน ถามไม่ได้เลยครับ ?
      ถาม :  ก็นั่นแหละ รอฟื้นกำลังให้คล่องตัวก่อน โดยเฉพาะเรื่องของสมาธิ ถ้าหากว่าสมาธิทรงตัวเมื่อไรของเก่ากลับมาหมดเอง
      ตอบ :  ก็วิสัยอย่างพวกเรา จริง ๆ มาทางสายอภิญญาทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ว่าเราอาจจะได้สร้างบุญร่วมกับสายหลวงพ่อมาก็เลยชอบใจในมโนมยิทธิ ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็คุณก็ไปตั้งหน้าตั้งตาฟัดกสิณไปนานแล้ว
      ถาม :  จริง ๆ แล้วตอนสมัยหลวงพ่อ ตอนไม่เชื่อนี่ไม่เชื่อจริง ๆ ครับ พิสูจน์เสียจนเห็นพอสมควร เวลาจะไปไหนเจ้าป่าเจ้าเขานี่ก็ขออนุญาตปลอดภัยทุกอย่าง แต่ตอนหลังนี้ไม่รู้จะปฏิบัติด้านไหนต่อดี ไม่รู้จะเพ่งอะไรดี ?
      ตอบ :  ก็ไล่ดูในกรรมฐาน ๔๐ ยึดเอาคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อเป็นหลัก ทำปีละกอง กองไหนที่คล่องตัวถึงขนาดใช้ผลได้แล้ว เราก็ก้าวข้ามไปทำกองอื่นต่อ ไล่ให้ครบ ๔๐ กอง พอครบ ๔๐ กอง ก็ออกไปลุยมหาสติปัฏฐานสูตรต่อ งานนี้มโหฬารเลย ถ้าคุณมีความคล่องตัวจริง ๆ ทำได้กองหนึ่งแล้ว อีก ๓๙ กอง เป็นเรื่องเล็ก แต่ว่ามหาสติปัฏฐานสูตรจะละเอียด โดยเฉพาะตอนท้าย ๆ เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม นี่เป็นลักษณะที่เรียกว่าคล้าย ๆ กับวิปัสสนาญาณ หรือจะเรียกว่าวิปัสสนาญาณเลยก็ได้ ถ้าลักษณะอย่างนั้นจะเป็นงานยากสำหรับเรา ถึงได้บอกว่าถ้าเราปรารถนาโพธิญาณจริง ๆ ต้องศึกษาให้ครบ ในเมื่อต้องศึกษาให้ครบ มาบอกว่าไม่รู้จะทำอะไรนี่น่าทุบ มีตั้ง ๔๐ กองให้เราศึกษา
      ถาม :  เคยได้ยินว่าถ้าตรงจุดแล้วจะง่าย คือไม่ทราบว่าจุดเดิมเราคืออะไร ?
      ตอบ :  สำคัญที่สุดคือกองแรก ชอบอันไหนที่สุดทำอันนั้นก่อน ทำให้ได้ผลจริง ๆ แล้วที่เหลือจะง่าย จะยากอันเดียว ผมเองสมัยทำใหม่ ๆ ปล้ำปฐมฌานอยู่ ๓ ปี ที่ใช้เวลาอยู่ ๓ ปี เพราะฉลาดเกินไป อยากได้มากเกินไปก็เลยไม่ได้สักที วันที่ได้นี่หมดอยากแล้ว คือเหนื่อยเหลือเกินว่าทำมาขนาดนี้เป็นคนอื่นก็เลิกไปตั้งนาน แล้วเรายังบ้าทำอยู่ได้ มันจะได้หรือไม่ได้ช่างหัวมันเราจะทำก็แล้วกัน ป๊อกเดียวได้เลย พอได้ปุ๊บเราก็รู้แล้ว อ๋อ! กำลังมันแค่นี้ ก่อนหน้านี้เราใช้กำลังมากเกินไป คราวนี้ความก้าวหน้าก็มาแล้วสิเพราะพื้นฐานได้แล้ว เพราะฉะนั้นเราเอาให้ได้จริง ๆ เสียอย่างหนี่ง พอได้อย่างหนี่งแล้วต่อไปกองอื่นก็จะง่าย
      ถาม :  การปฏิบัติ เราก็ว่าทั้งบารมีและกรรมฐานด้วย ?
      ตอบ :  จริง ๆ ถ้าหากว่าทั่ว ๆ ไปแล้ว ท้ายสุดก็เหลือแค่ละสังโยชน์ ๑๐ ให้ได้ ทำบารมี ๑๐ ให้เต็ม การที่จะละสังโยชน์ ๑๐ ให้ได้ ทำบารมี ๑๐ ให้เต็มนี้ ที่คิดว่าพระโพธิสัตว์ไม่ต้องทำนั้น พระโพธิสัตว์ต้องทำและทำละเอียดกว่าด้วย แต่เนื่องจากว่างานมันรออยู่ทำให้จิตสุดท้ายท่านไม่ตัดมันโดยเด็ดขาดเท่านั้นเอง กำลังใจของท่านสามารถเทียบเท่าพระโสดาบันก็ได้ เทียบเท่าพระสกิทาคามีก็ได้ เทียบเท่าพระอนาคามีก็ได้ เทียบเท่าพระอรหันต์ก็ได้แล้วแต่ว่าท่านมีความคล่องตัวในบารมี ๑๐ และละสังโยชน์ ๑๐ แค่ไหน เพียงแต่ว่าจิตไม่ได้ตัดขาดจริง ๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้นของเราเองเราต้องลุยให้หนักกว่าคนอื่นเขา
      ถาม :  หนักทั้งทางโลกและทางธรรมหรือครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ เป็นอย่างนั้น คำว่าลุยให้หนักกว่าคนอื่นเขา ก็คือว่าแทนที่เราจะศึกษาแค่เป็นทางผ่าน เราต้องศึกษาให้ละเอียดลึกซึ้ง คนอื่นอาจจะเจอปีติตัวเดียว ๒ อย่าง ๓ อย่าง แต่ของเราต้องเจอครบ ๕ อย่าง คนทั่ว ๆ ไปทรงฌาน ๔ พระโพธิสัตว์ต้องทรงฌาน ๕ ได้ เพราะต้องสามารถแยกระหว่างอารมณ์เอกัคคตากับอุเบกขาออกจากกันได้ จึงกลายเป็นมากกว่าเขาไปอีกจุดหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น
      ถาม :  เพราะบารมีเราใช้อำนาจจิตในการกระทำอะไรบางอย่าง ถือเป็นไสยศาสตร์หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วจะเรียกว่าใช่ ก็ใช่ เพราว่าสิ่งใดก็ตามที่ชี้แบบมิจฉาทิฏฐิ เขาเรียกว่าไสยศาสตร์ คือศาสตร์แห่งความหลับ หมายความว่าถ้าหากเราไปทำอย่างนั้นเมื่อไร เราก็จะไปหลงใหลอยู่ในภวังค์ อยู่กับมันเหมือนกับคนหลับฝันยาวไป ถ้าหากว่าผู้ตื่น คือพุทธศาสตร์ ศาสตร์ของผู้ตื่นนั้นคนละอย่างกัน จริง ๆ แล้วถ้าจะเรียกว่าธรรมบริสุทธิ์ล้วน ๆ ก็เป็นไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าหากว่าธรรมบริสุทธิ์ล้วน ๆ เป็นยอดเจดีย์อย่างนี้ คุณจะให้เจดีย์ลอยอยู่ได้อย่างไร ถ้ายอดนั้นฐานไม่มี อย่างที่คุณเปรียบมานั้นถูกเลยต้องเริ่มจากฐานขึ้นไป
      ถาม :  บางทีเราปกครองคนเยอะ เราต้องใช้ทั้งพระเดชและพระคุณละครับ ?
      ตอบ :  เราต้องใช้ทั้งนั้นแหละ ผมเองบางเวลา บางวาระ เจอคนพูดไม่รู้เรื่องโดยเฉพาะเป็นผู้บังคับบัญชาผมก็ต้องเอา แต่หลวงพ่อท่านบอกว่าวิธีการเช่นนี้ถ้าหากว่าไม่ใช่คนที่มีศีลมีธรรมจริง ๆ เป็นที่ไว้ใจได้อย่าบอกต่อ เพราะว่าถ้าบอกต่อบอกให้คนอื่นทำอย่างไร ถ้าเขาทำอย่างนั้นมันน่ากลัวเหมือนกัน อาจจะไปบอกให้เขาเซ็นเช็คมาสัก ๑๐-๒๐ ล้านบาท ก็บรรลัยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นใช้ได้ แต่ว่าให้เราใช้ให้ถูกต้องตามศีลตามธรรม เพื่อความสะดวกในหน้าที่การงานของเรา เพื่อความคล่องตัวในหมู่คณะของเราก็ใช้ไปเถอะ ขนาดพระเทศน์เขายังใช้ หลวงพ่อท่านเคยเล่าให้ฟังที่พระเทศน์แล้วเขาต้องใช้คาถาหักกันก่อน นั่นแหละเขาก็ยังใช้กันเป็นปกติ
      ถาม :  ไม่ถือเป็นไสยศาสตร์หรือครับ ?
      ตอบ :  เป็น เพียงแต่เราใช้ถูกไหม เขาถึงได้แบ่งเป็นไสยขาว ไสยดำ คุณคงจะเคยได้ยิน ไสยขาวก็คือพวกที่ใช้ไปในทางที่ถูก ใช้เพื่อประโยชน์ใช้เพื่อช่วยเหลือคนอื่นเขา แต่พวกไสยดำนี่ใช้ลักษณะมิจฉาทิฏฐิเบียดเบียนคนอื่นเขา ทำร้ายคนอื่นเขา ทำร้ายคนอื่นเพื่อประโยชน์แก่ตนเอง
      ถาม :  อ่านประวัติกรมหลวงชุมพร ท่านก็มีอภิญญา ซึ่งคนสมัยนี้จะเล่นทางด้านนี้เยอะ แต่จะเป็นทางด้านไสยดำหน่อย ?
      ตอบ :  ใช่ ออกไปทางไสยดำเพราะผลมาง่าย ไม่ต้องใช้พื้นฐานสมาธิสูง
      ถาม :  กรรมเฉพาะคนอื่น มีผลกับเราด้วยเหมือนกันหรือครับ ?
      ตอบ :  มีเหมือนกัน ในลักษณะที่ว่ากรรมเป็นของเรา เราไปแก้ให้ เขายิงปืนมาแทนที่จะโดนคนนั้น เราไปยืนขวางก็โดนเราไปด้วย เพียงแต่ว่าลักษณะนี้เราเองยอมลำบากเพื่อคนอื่นเขาสบาย กำลังใจพระโพธิสัตว์มันแย่ตรงนี้แหละ เห็นคนอื่นสบายแล้วเรามีความสุข เสร็จ เหนื่อยต่อไป
      ถาม :  จะต้องเหนื่อยต่อไปอีกนานไหมครับ ?
      ตอบ :  นานอยู่นะ เข้านิพพานได้เมื่อไรก็จบ เพราะฉะนั้นอีกนาน
      ถาม :  นิพพาน ตอนนี้ก็พอจะเข้าใจอยู่ครับ ?
      ตอบ :  มันเข้าใจอยู่ ถึงได้บอกว่าต้องไปให้ได้ทุกวัน ศึกษารายละเอียดให้ได้ทุกวัน เดี๋ยวพอคุณฟื้นกำลังกลับมาแล้วเรื่องพระนิพพานมันเป็นเรื่องเล็ก พอถึงเวลาเราขึ้นไปเราก็กราบทูลถามต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ที่เราไปกราบท่านเป็นประจำ ๆ หลังจากนั้นก็ศึกษาไปเรื่อย ๆ สภาพพระนิพพานเป็นอย่างไร ? อารมณ์พระนิพพานเป็นอย่างไร ? สถานที่เป็นอย่างไร ? อะไรอย่างนี้ ใครสร้างบุญสร้างบารมีลักษณะไหนจะมาถึงง่าย ลักษณะไหนจะมาถึงเร็ว อันไหนที่ทำยากแต่ถึงง่าย อันไหนที่ทำยากแต่ถึงช้า อันไหนที่ทำง่ายถึงเร็ว อันไหนทำง่ายถึงช้า ศึกษาให้ครบ
      ถาม :  เดี๋ยวนี้ต้องใช้พระเดชเยอะไปหน่อย แล้วบางคนรู้สึกว่ากว่าจะพาเขาไปได้คงอีกนาน ?
      ตอบ :  คนมีหลายจำพวกด้วยกัน แต่ว่าในปัจจุบันนี้คนที่จิตมืดบอดไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง มีมาก คนทั้งหลายเหล่านี้เขาไม่กลัวความดี เขากลัวแต่คนที่ชั่วกว่า พระเดชของคุณนั้นเป็นการแสดงให้เขารู้ว่าถ้าเราจะเล่นเขานี่เราสามารถทำได้ดีกว่าเขาเยอะ ก็อยู่ในลักษณะที่ว่ากูชั่วได้มากกว่ามึงเยอะนั่นแหละ มาตอนหลัง ๆ พระลูกศิษย์เขารู้ท่า เขานั่งหัวเราะกันเพราะว่าเราดุหมา หมามันไม่กลัวมันกระดิกหางเข้ามาหา เขาบอกอาจารย์อย่าไปดุมันเลย ดุแต่เสียง ใจไม่ดุด้วยหมามันไม่กลัวหรอก ทีนี้ถ้าดุคน คนที่ไม่รู้ใจเราก็โอเค เขากลัว คราวนี้ถ้าเขารู้ใจเรา เขาลามยันหัวเลยเพราะเขารู้ว่าเราไม่ดุจริง