ถาม: ......(ไม่ชัด)....บาปด้วยหรือ ?
ตอบ : เปล่าพูดเล่น เขาไม่ถึงกับช็อคตายหรอก แต่เขาก็คงประหลาดใจไปหลายวันจะว่าไปแล้วเขาคงเคยทำความดีมาเหมือนกันถึงเวลามันถึงได้สนองตอบอย่างนั้น
กฐินจ้ะ กฐินถ้าเบื่อหน้าเขาก็ไม่ต้องไปร่วมทำกับเขาหรอกเดี๋ยวมันเกิดเจอกันอีก ที่บ้านที่กำแพงแสนสมัยอาตมายังเด็ก ๆ เขามีธรรมเนียมประหลาดอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า ถ้าบ้านไหนคลอดลูกแล้วลูกตาย เขาจะปันที่ให้คนข้างบ้าน ให้เขามาปักเอาตามใจชอบว่าต้องการเท่าไร ถ้าไปเจอคนที่ไม่มีศีลไม่มีธรรมบางทีเขาเอาไม่มีที่ทำกันเสร็จแล้วมีปัญหาทางกฏหมายทีหลังเพราะว่าธรรมเนียมเขามีอย่างนั้น เขาปักเข้ามาก็จริงแต่ว่าเขตต่าง ๆ ก็ยังอยู่ที่เดิม พอมาถึงรุ่นหลังก็เลยมีการป้องกันอุตลุดไปเลย เพราะหมุดหลักเขตก็ยังอยู่ที่เดิมโฉนดก็ยังเท่าเดิม แต่ว่าไปอนุญาตให้เขาทำกินเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว เขาก็ถือว่าเขามีสิทธิ์ครอบครอง เพราะตามกฏหมายก็บอกแล้วถ้าหากครอบครอง ตั้งแต่ ๑๐ ปีขึ้นไป ของอสังหาริมทรัพย์คือของที่เคลื่อนที่ไม่ได้ถือว่าเป็นของผู้ครอบครองไปเลย เขาเรียกว่าการได้ครอบครองโดยปรปักษ์ มันก็เลยยุ่งไปหมดเลย เพราะว่าทางบ้านโน้นเขามีธรรมเนียมแปลก ๆ กันอย่างนี้
ถาม : .....(ไม่ชัด).....
ตอบ : มันก็แน่ เพราะสมัยโน้นการแพทย์ก็ไม่ค่อยเจริญด้วย
ถาม : ในกรณีที่เลื่อนเขตของเรา แต่โฉนดเราอยู่เท่านั้น ?
ตอบ : ไปรังวัดใหม่ก็เหมือนเดิม เพราะฉนั้นเราสามารถย้ายกลับมาได้เลย ตัวเขาผิดกฏหมาย ถ้าหากว่าเราแจ้งความก็ได้แต่ยุ่งกันใหญ่
ถาม : ไม่อยากมีปัญหา
ตอบ : ถ้าไม่อยากมีปัญหาก็ย้านคืนไป
ถาม : แล้วเราไปอยู่ใหม่ด้วย แถวนั้นเขาเป็นคนมีอิทธิพล เขาอยู่เก่าหมายความว่าไม่ใช่เจ้าของที่เดิมเป็นเจ้าของที่อยู่ใหม่ คนที่ทำงานอยู่ทุกวันนี้คือเขาขายที่ให้คนอื่นแล้ว เป็น ส.ส. อยู่ที่นนทบุรี แต่คนที่อาศัยอยู่ แต่เราไม่ทราบว่าเป็นเจ้าของที่หรือคนที่อาศัยทำไมทราบมาขยับ ?
ตอบ : พวกนี้ถ้าตายตกนรกแล้วเศษกรรมจะไปเป็นเปรต พอเป็นเปรตจะเป็นเปรตประเภทไม่มีที่อยู่เป็นของตัวเอง บางคนก็อยู่ในสภาพไม่น่าจะเป็นเปรตคือ ในธรรมบทเคยบอกว่ามีพระภิกษุสงฆ์เดินธุดงค์เสร็จแล้วไปพักอยู่ เขาใช้คำว่าหิน ก็คือแผ่นหินใหญ่ ๆ ปรากฏว่าพอนั่งไปแล้ว หินมันกระดุกกระดิกได้ ท่านก็แปลกใจ ปรากฏว่าหินมันพูดได้ ถ้าอย่างนั้นก็เลยถามเจ้าเป็นอะไร เขาบอกว่าเราเป็นเปรต ข้าแต่พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าเป็นเปรตผู้ได้รับการทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง ถามว่าแล้วเจ้าทำกรรมอะไรมา สมัยเป็นมนุษย์ไปโกงที่ชาวบ้านเขาในเมื่อไปโกงที่เขา ตัวเองก็เลยต้องมาเป็นเปรตในลักษณะร่างกายเหมือนกับหินให้คนย่ำมานั่งพักบ้างอะไรบ้าง ไม่รู้ว่าจะต้องทรมานอีกนานเท่าไร พระไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรด้วยเพราะในสภาพอย่างนั้นก็ยังโมทนาบุญไม่ได้ก็ต้องทนทรมานต่อไป
ถาม : ตอนแรกที่ซื้อใหม่ ๆ เจ้าของที่ลุงแกก็ไม่กล้าเล่าให้ฉันฟัง ทีนี้เอาลูกชายเขาไปทำเขตลูกชายลุงถึงมาเล่าให้ฟังเขามีปัญหากันมาก่อนนี้ ถึงได้รู้ว่า อ๋อ ! เขามีบัญหากับมาก่อนแล้วแต่มาดูเนื้อที่แปลงนี้ของลุงแกเหลือ ๑๐ ไร่กว่า แต่อยู่คนละฝั่งถนนกัน ถ้ามองฝั่งนี้ไปมันเข้าเขาเยอะมาก แต่เขาเข้าทางของเขาไม่ใช่ของเรา แต่ของเราไม่แน่ใจว่าเจ้าของใหม่มาขยับหรือคนทำอยู่มาขยับก็ไม่ทราบ ?
ตอบ : ขยับกลับไปก่อนเถอะสมัยก่อนก็เคยเจอปัญหาอย่างนี้เหมือนกัน เราก็ขยับกลับไปที่เดิมแล้วก็ไม่มีอะไรทำ ลองยิงปืนเล่นอยู่ทุกวัน เขาก็อยากจะโผล่หัวมายิงปืนเล่นอยู่ทุกวันเขาไม่อยากจะโผล่หัวมานั่งรอเขา พี่ชายด่า มึงจะยิงไปทำไมว่ะ มีปืนก็น่าจะเก็บอย่าให้ใครรู้นี่ตั้งใจให้เขารู้ว่าเราจะเอาเรื่องกับเขาปรากฏได้ผลดีมากไม่มีใครกล้าหือสักคนเดียว
ถาม : ลูกชาย....(ไม่ชัด)....ก็แหม ! ยิงปืนได้ กล้วค่ะแม่ก็ไม่อยากไห้มีปัญหา ?
ตอบ : เราอยู่ที่นั่นยิงจนทหารมาขอร้อง พี่เบา ๆ หน่อยเถอะครับ ถ้ามีปัญหาขึ้นมาผมเองรักษาความสงบอยู่แถวนี้ผมจะโดนพิจารณา คือมันห่างจากปากทางสนามบินที่เขามีป้อมยามทหารอากาศที่เขาอยู่ไม่ไกล เราก็ยิงอยู่ทุกวัน จนกระทั่งบางคนโน่นโวยมาจากยอดมะพร้าว เฮ้ย ! ก็กูอยู่ทางนี้นะโว้ย อย่าหันมาทางนี้ เขากำลังขึ้นมะพร้าวอยู่ ชักโมโหแล้วนะ นั่นแหละพี่ชายเขาเป็นเดือดเป็นแค้นเราใช้วิธีนั้นแหละ ถึงบอกว่าคนโกงไม่กลัวคนดีหรอก เขากลัวคนชั่วกว่า
ถาม : ทำหลายหนแล้ว ที่ผ่านมาเขาทำด้านหลัง แต่นี่มาทำด้านหน้า ?
ตอบ : รีบทำรั่วเสีย ถ้าไม่อยากมีปัญหา เขาขยับเขตว่าแค่ไหนเราถือว่าเรามีแค่นั้น รีบทำรั้วกั้น ?
ถาม : นี่ก็ว่าจะไปเอาคนงานมาทำรั้ว แล้วว่าจะไปดูวัสดุที่เป็นแผ่นกั้น ?
ตอบ : จริง ๆ ตามกฏหมายทำรั้วตกลงกับข้างบ้านเลย ต้องจ่ายคนล่ะครึ่งเสียด้วยซ้ำไป แต่ตอนนี้ของเราไม่ต้องหรอก รีบทำเสียเองก็หมดเรื่องไป
ถาม : ก็ต้องรีบค่ะ เพราะข้างบ้านจะทำห้องแถว ก็คือกั้นคันดินไว้ก่อนแต่ตรงบ้านนั้นยังไม่ทำคือก็กลัว จะปวดหัวนิด ๆ พักนี้ก็เริ่มปวดหัวแล้วค่ะ ไม่สบายใจ มาปรึกษาทางนี้บอกว่าปล่อยเขาเถอะ เขาจะเอาเท่าไร ?
ตอบ : ถ้าคิดอย่างนั้นก็ดีจ๊ะ แต่ต้องรีบกั้นไว้ไม่อย่างนั้นเขาก็รุกมาเรื่อย
ถาม : ก็ตั้งแต่รุ่นฉัน รุ่นคุณแม่แล้วนะ แหม ! กินข้าวด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน นอนด้วยกัน เวลาเราทำนะ แหม ! เอาเข้าไปแค่นี้เขาก็มองหน้าทุกวันเขาเดิน....(ไม่ชัด)....?
ตอบ : อันนี้ยังดีจ้ะอาตมาเคยเจอคือสมัยนั้นคนเขาจะโกงก็ไม่แพ้สมัยนี้เหมือนกัน เขาปลูกต้นไผ่ไว้ตรงแนวเขต ต้นไผ่มันก็งอกเร็วเดี๋ยวหน่อไปทางโน้นไปทางนี้ ต้นไผ่มันก็งอกเร็ว ตัดต้นของมันไปเรื่อย ต้นก็จะลามฝั่งเรามาเรื่อย เขาใช้วิธีนั้นเขาปลูกไผ่เป็นรั้วนั่นแหละ ยอดมากเลย อีกปีได้เป็นวา แล้วเป็นวาหัวท้าย เขาตั้งเท่าไหร่หลายสิบตารางวา
ถาม : เราทำรั้วเขาก็ไม่กล้ามายกรั้ว ถ้าเขามา อย่างว่าเราไปอยู่ใหม่แล้วเราก็ไป....(ไม่ชัด)...?
ตอบ : ชีวิตอาตมาที่คุ้มที่สุดก็ตอนไปอยู่ซอยอ่อนนุชใหม่ ๆ โอ้โห! มีบ้านไทยแค่ ๒ หลัง นอกนั้นแขกล้วน ๆ ก็พวกนี้เขาสามัคคีกันชั่วทำผิดก็เถอะเขาจะหน้าด้านไป เขาเอาจนตัวของเขาจนถูก เขาบอกว่า ลูกเขาเรียนหนังสือแล้วไม่เลวหรอก แหม! จบด๊อกเตอร์แล้วยังฆ่าเมียเลย เขาก็เลยมีเรื่องประจำ แต่ตำรวจสถานีประเวศเขาไม่กล้ารับแจ้งความเพราะว่าถ้ารับแล้วไปตัดสินว่าเขาผิด โรงพักก็พัง เพราะเขายกกันไปทั้งหมู่บ้านเลย แกก็เลยต้องปรับในข้อหาก่อการทะเลาะวิวาทปรับฝ่ายละ ๔๐๐ บาท เขาค่อยพอใจ ตั้งแต่นั้นมาบอกท่านแสงน้องชาย ตอนนั้นคู่หูกัน บอกมีเรื่องเมื่อไรเอาให้คุ้มเลยไหน ๆ ก็เสียสตางค์ เพราะฉะนั้นบางทีก็เตะจนจนเขาลุกไม่ขึ้น แล้วก็แบกเขาไปส่งบ้านให้ด้วย มาตอนหลังพอคนไทยเยอะขึ้นค่อยสบายใจหน่อยไม่อย่างนั้นก็มีบ้านเรากับท่านผู้การจุรินทร์ ท่านผู้การแกเป็นทหารเรือมีอยู่แค่ ๒ บ้านเท่านั้นที่เป็นคนไทย โอ้โห ! ทั้งซอย เจ้าประคุณเพราะฉะนั้นไอ้เจ้าพวกนี้พอเขาเห็นเมื่อไร เขาก็เตรียมจะบี้เราตายเมื่อนั้นที่โกรธมากที่สุดเพราะว่าตอนที่เราไปซื้อที่นั้นราคาตารางวาละ ๘๒๕ บาท พอทนอยู่ลำบากได้ปีหนึ่งน้ำประปาเข้าไฟฟ้าเข้า ถนนศรีนครินทร์ตัดผ่านหลังบ้านเลยพอข่าวว่ามีถนนตัดผ่านเขาขึ้นพุ่งพรวดไปตารางวาละ ๗.๐๐๐ บาท ตอนนี้ไม่รู้ว่าราคาตารางวาละแสนหนึ่งซื้อได้หรือเปล่า เขาก็เลยมีปัญหาตรงที่ว่าที่จริงก็ดวงของเขาด้วย เขาปักป้ายขายมา ๓ ปี เขาขายไม่ได้ อุตสาห์ไปซื้อ คือว่าใหม่ ๆ ไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้า เป็นท้องร่องท้องสวน ต้องไปถมที่กว่าจะสร้างบ้านได้ พอปีรุ่งขึ้นน้ำประปาก็เข้าไฟฟ้าก็เข้า ถนนผ่านอีกต่างหากเขาก็เลยเป็นเดือดเป็นแค้นขายได้ถูกไป หาเรื่องอยู่เรื่อย เอาเถอะตามสบาย จะทำอะไรรีบทำเดี๋ยวประเภทที่เรียกว่าของมันแพง
ถาม : คือมีเรื่อง...(ไม่ชัด)...?
ตอบ : ตั้งใจว่าเราจะทำอะไรแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไปโดยละความสนใจอันนั้นเสีย ถ้าเรายังไปยึดความสนใจอันนั้นอยู่ก็จะติดอยู่แค่นั้น ฟังง่ายอธิบายมันยาก คุณต้องค่อย ๆ ทำไป ค่อย ๆ ทำมันเหมือนกับลองผิดลองถูก พอมันถูกทางเสียทีหนึ่ง ต่อไปเราจะรู้ว่าตรงไหนคือสายกลางที่ต้องการ แล้วเมื่อไรมันก็มุ่งไปตรงนั้นแหละ แรก ๆ ไม่ทำเกินก็ทำขาดทุกคน แต่ลองผิดแล้วผิดอีก นาน ๆ เข้าเดี๋ยวก็ถูกเอง เพียงแต่อย่าท้อถอย
ถาม : .......(ไม่ชัด)....?
ตอบ : ไม่ใช่ ขาดการกระทำที่ต่อเนื่อง เราทิ้งมันก่อน มันก็เลยทิ้งเราบ้าง
ถาม : แล้ววิธีการเจริญวิปัสนา ....(ไม่ชัด)....?
ตอบ : แรก ๆ จะเป็นวิปัสนึกก่อนคือ นึกตามรูปแบบ พอนานไป ๆ สภาพจิตยอมรับก็จะเป็นวิปัสนา ปัญญาเกิด แรก ๆ เป็นแค่สัญญาจำได้ถ้าเป็นปัญญาเมื่อไรจำได้ ฟังดูคล้ายกันนะ ถ้าสัญญานะจำได้ถ้าปัญญาเมื่อไรทำได้
ถาม : ทำได้นั่นคือ...(ไม่ชัด).....?
ตอบ : คือว่าปัญญายอมรับ สภาพจิตก็จะปลดลงจากที่เกาะยึดนั้นพอสภาพจิตปลดลงเราก็ไม่ต้องไปแบกหนัก ไปทุกข์กับมันมากอีก
ถาม : แล้วอย่างการที่ฝึกไว้ ?
ตอบ : ต้องสำรวจตัวเราเอง สำรวจว่าสภาพจิตตอนนั้นมันยอมรับตามสิ่งที่เรานึกไหม ถ้ามันบอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา แล้วมันไม่เถียงแม้แต่นิดเดียว ยอมรับโดยศิโรราบเลย ก็โอเคใช้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็แสดงว่ากำลังจะโดนหลอกแล้ว มันจะหลอกให้เราไปสนใจอย่างอื่นที่น่าสนใจแทนหลอกให้เราหงุดหงิดรำคาญ ทำเท่าไรก็ไม่ได้ผลเสียที ถ้าอารมณ์ใจหงุดหงิดรำคาญเมื่อไร เดี๋ยวนิวรณ์ ๕ มาเป็นเเถว เราก็พาล
ถาม : แล้วนอกจากการใช้อานาปานสติในการแก้วิธีการ...(ไม่ชัด)....?
ตอบ : อย่างอื่นช่วยได้แต่ว่ากำลังใจมันไม่หนักแน่นมั่นคงกรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง บวกมหาสติปัฏฐานสูตร ช่วยแก้อารมณ์ฟุ้งได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าถ้าบวกอานาปานสติไปกำลังมันจะหนักแน่นมั่นคง อานาปานสติเป็นพื้นฐานเหมือนกับการเพราะกายให้เเข็งแรง คนเราถ้าแข็งแรงเสียอย่างทำอะไรก็ง่ายไปหมด
ถาม : แล้วอย่างการใช้อานาปานสติคือการดูลมหายใจ โดยไม่...(ไม่ชัด)...?
ตอบ : ต้องทำอย่างนั้นอยู่แล้ว อานาปานสติคือ เรากำหนดรู้ว่าเราตอนนี้หายใจอยู่ ตามดูว่าลักษณะการหายใจเป็นอย่างไร เร็ว เบา สั้น มีคำภาวนาไหม มันผ่านตรงไหนบ้าง เขาไม่ให้บังคับมันให้หายใจ แต่ว่าหลายคนพอทำไปถึงระดับหนึ่งเขาเรียกว่า ทรงฌานได้แล้วบางคนเข้าใจผิดคิดว่าบังคับลมหายใจแต่มันไม่ใช่มันเป็นความคล่องตัวพอนึกปั๊บมันไปถึงตรงนั้นเลยเท่ากับควบคุมได้ ก็เลยเหมือนว่าเราไปบังคับมัน เพราะฉะนั้นต้องสังเกตให้ได้ตรงจุดนี้ด้วย ถ้าทรงเป็นฌานมันควบคุมได้ ไม่ใช่ไปบังคับมันหรอก พอนึกปั๊บจะเข้าถึงจุดนั้นไปเลยแต่ว่าโดยทั่ว ๆ ไป ถ้าอยู่ในระยะฝึกเขาตามดู ตามรู้ไปเฉย ๆ ไม่ใช่ไปบังคับมันให้หายใจแรง หายใจเบา หายใจยาว หายใจสั้น รู้ว่าอาการมันเป็นอย่างไร
ถาม : แล้วอย่างในเรื่องของอาหาเรปฏิกูลสัญญา?
ตอบ : ก็เขาบอกให้เรามีความรู้สึกว่าเหมือนเรากำลังกินเนื้อของลูกที่เรารักที่สุด เป็นลูกที่เรารักที่สุดแต่จำเป็นที่จะต้องกิน เพื่อที่จะรักษาธาตุขันธ์นี้ให้อยู่ เพื่อที่จะปฏิบัติธรรม อาหาเรปฏิกูลสัญญาถ้าดูอย่างละเอียดมันน่าขยะแขยงมาก แต่คราวนี้มันจำเป็นต้องอยู่มันก็เลยทนกินไป ไม่ใช่ไปอดนะ ถ้าไปอดนี่มันผิดวิธี ใช้คำว่าโภชเนมัตตัญญุตาประมาณในการกินแต่พอสมควร ไม่หิวเกินไป ไม่อิมเกินไป อาหาเรปฏิกูลสัญญามันดีอยู่อย่าง ถ้าหากญาติโยมทั้งหลายรู้จักพิจารณาคนอ้วนหายากส่วนใหญ่กินเกิน
ถาม : .....(ไม่ชัด).....?
ตอบ : เห็นแล้วจะสยอง ตอนนั้นยังอยู่ที่เกาะพระฤาษี หลวงตาปรีชา ตอนนั้นท่านอยู่ วัดถ้ำสุมะโน แล้วไปอยู่โน่นท่านบอก อาจารย์ครับ เรื่องเนื้อสัตว์นี่ผมพอพิจารณาได้ เพราะว่ามันมีกลิ่นคาว มีอะไรอยู่เราก็รู้ว่ามันเป็นเลือดเป็นเนื้อ แล้วเคยเห็นในสภาพสด ๆ ของมันแต่เรื่องผักผลไม้นี่ผมพิจารณาไม่ออกใช่ไหม ผักก็ผักสดเขียวน่ากินผลไม้ก็สุกเหลืองเชียว จึงบอกท่านว่าหากว่าลองนึกดูว่าทิ้งผักไว้สัก ๗-๘ วัน มันจะเป็นอย่างไรล่ะ ก็เน่า ก็เปื่อย ก็เละใช่ไหม แล้วถ้าผักกอนั้นอยู่บนขี้หมาเลยแล้วเป็นอย่างไรล่ะ นึกไม่ถึงสภาพอย่างนั้นปัญญาไม่ถึง มองไม่ตลอด ผลไม้ที่สุกกำลังน่ากิน มันไม่ใช่สุกนะ มันเน่าแต่เพียงแต่ว่ามันเน่ากำลังดี แล้วเรารีบไปชิมก่อน ถ้าไปถึงตอนที่มันเละแล้วสิไม่มีใครกินใช่ไหม ปัญญามันต้องถึงหน่อย แต่หลวงตาแกดีมีอะไรแกว่าตรง ๆ ท่านครับผมขอถามเรื่องโน้นหน่อยครับ ท่านครับผมขอถามเรื่องนี้หน่อยครับ ถามทีไรก็ได้ช้างไปแบกทุกทีเลย แกชอบแบก เราบอกไปแทนที่แกจะรีบ ๆ ปล่อย ๆ รีบ ๆ วาง รีบ ๆ ปฏิบัติ ไม่หรอกแกชอบแบกคือ แกนั่งคิดต่อ
ถาม : แล้วในเรื่องของอารมณ์ที่เกี่ยวกับสักกายทิฏฐิ...(ไม่ชัด)....?
ตอบ : เออ!ถ้าอารมณ์พระโสดาบันเกี่ยวกับตัวสังโยชน์ ๓ ใช่ไหมตัวสักกายทิฏฐิคือ ยึดมั่น ถือมั่นในร่างกายของพระโสดาบันยังมากอยู่ เอาง่าย ๆ ก็คือว่าท่านรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะตายแค่นั้น แต่เรื่องของศีลท่านเข้มข้นหน่อยคือ ไม่ล่วงศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงให้คนอื่นทำไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำ เรื่องของตัววิจิกิจฉา ลังเลสงสัย ถ้าหากว่าเหยียบเข้ามาปฏิบัติโอกาสลังเลสงสัยนี่มันน้อยแล้ว
ถาม : .....(ไม่ชัด).....
ตอบ : อ๋อ! ก็ช่วยได้บ้างนิดหน่อย เรื่องของอาหารนั้นแทบจะไม่เกี่ยวข้องเลย กามราคะก็ดี โทสะก็ดี มันเจริญงอกงามได้เพราะว่าเราเอาจิตไปร่วมปรุงแต่งกับมัน ถ้าจิตเราไม่ร่วมปรุงแต่งกับมัน ๆ ก็ทำอันตรายแก่เราไม่ได้ เหมือนกับคุณซื้อก๋วยเตี๋ยวมาชามหนึ่ง คุณไม่ใส่น้ำปลา ไม่ใส่น้ำส้ม ไม่ใส่พริก ไม่ใส่น้ำตาล รสชาติก็ไม่เอาอ่าวหรอก จืดซืดไม่มีรถชาติ คุณก็ไม่สนใจที่จะกินแต่ถ้าคุณปรุงเมื่อไรมันอร่อยแล้วคุณชอบ คุณก็จะไปกินมันอีก นี่คือสิ่งที่ทำอันตรายเราได้ เพราะเราไม่ร่วมมือกับมันด้วยการไปนึก ไปปรุงแต่ง ไปเพิ่มเติม ถ้าหากว่าคุณจะไปหักห้ามเรื่องของกามราคะคุณต้องเห็นตามความเป็นจริงคือเห็นว่า รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสมบัติของร่างกาย ทำอย่างไรเราก็ต้องอยู่กับมันอยู่แล้ว ถ้าเรายังไม่ตาย เอ็งอยากจะมีก็มีเถอะข้าไม่ยุ่งกับเอ็ง ถ้าเราไม่เอาจิตไปยุ่งกับมันอยู่ได้ไม่เกินนาทีหรอกเพราะว่าไม่มีใครไปช่วยเหลือมัน ในเมื่อไม่ไปช่วย ไม่ไปปรุง ไม่ไปแต่ง มันไม่สามารถจะงอกงามได้ มันก็เฉาสลดของมันไป หัดทำบ่อย ๆ เดี๋ยวมันก็ตาย
ถาม : แล้วการไปช่วย ไปปรุงแต่ง ไปอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไปคิดเพิ่ม สมมติว่าคุณมองเห็นผู้หญิง เออ ! สวยดีโว้ย ต่อไปก็เป็นเมียเราก็ดีนี่หว่ารูปร่างอย่างนั้นอกอย่างนั้นบรรลัยใหญ่เลย นั่นแหละคุณช่วยมัน ถ้าหากคุณสักแต่ว่าเห็นมันคือผู้หญิงอยู่ตรงหน้าทำอันตรายคุณไม่ได้หรอก ตามทันไหมจ้ะ ทันก็ดีแสดงว่าเก่ง
ถาม : ที่ทันเพราะว่าได้อ่านหนังสือหลวงพ่อธุดงค์ ?
ตอบ : อ๋อ จ้ะ
ถาม : ท่านเล่าถึงว่าตอนที่ท่านบรรยายท่านพูดว่า....(ไม่ชัด)....เหลือแต่เนื้อ ตับไต ไส้ พุง เอาหนังออกก็เหลือกระดูก ทีนี้ฟังดูแล้ว อ่านแล้วน่ากลัว ถ้าเห็นตัวเองเป็นอย่างนั้นคงจะกลัวมากเลย ?
ตอบ : คือจะต้องทรงตัวให้ได้ตลอด ถ้าไม่ตลอดกิเลสมันจะหาโอกาสแทรกได้ตลอดเวลา ถ้ามันแทรกกลับได้มันจะหนักกว่าเดิมหนักกว่าเดิมเพราะว่าเป็นเหมือนเราไปเก็บกด ต้องให้เห็นตลอดเวลาให้คล่องตัวชนิดที่เรียกว่า ถ้าเกิดอารมณ์ใจนึกคิดเมื่อไรมันจะออกมาต่อต้านทันทีอาตมาเคยอยู่เที่ยวหนึ่งกำลังจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ตอนเช้า ๆ กำลังออกจากวัดมาเรื่อย ๆ เด็ก ๆ เขาก็ไปโรงเรียนกัน ตีเสียว่าขนาดลูกเรานี่เอง ก็เห็นสาว ๆ หน้าผ่องใสน่ารักดีนะ ใจเราก็แค่คิดเท่านั้นเองภาพอสุภกรรมฐานพรวดสวนขึ้นมาเลย เกือบจะอ๊วกอยู่ตรงนั้น โอ้โห! แค่คิดอย่างนี้ยังไม่ให้เราคิดเลย เป็นไงเราไม่คิดอะไรที่ในสายตาคนอื่นที่ไม่ได้ดีเลยนะ แต่ปรากฏว่าอันนั้นไม่ใช่มันผิดแล้วผิดตรงที่ว่าเราไปพอใจกับมันแล้ว พอใจเป็นฉันทะ ถ้าเผลอเมื่อไรเป็นราคะคือยินดี อยากมีอยากได้ ฉันทะกับราคะรวมกันเมื่อไร เขาเรียกว่า อวิชชา เพราะฉะนั้นถ้าเห็นพอพูดพอตาเมื่อไร เราเสร็จมันแล้วมันพอใจทันทีเลย ถ้าทำให้คล่องตัวขนาดต่อต้านมันได้ทันทีทันใดถึงจะเอาตัวรอดได้ ไม่อย่างนั้นเสร็จมันหมด
ถาม : มี อย่างเห็นเป็นผู้หญิงต้องทำแล้ว อย่างเห็นเป็นผู้ชายล่ะคะ ?
ตอบ : เหมือนกันจ้ะ
ถาม : จะเป็นอสุภะ
ตอบ : ลักษณะนั้น ถ้าคล่องตัวขนาดนั้นเราพิจารณาอย่างไหน มันจะต่อต้านอย่างนั้น ใหม่ ๆ อาตมาเริ่มจาก อัฏฐิกัง ปฏิกุลัง คือ พิจารณา กระดูก คราวนี้พอพิจารณาไปพอเห็นผู้หญิงอยู่ข้างหน้า แหม ! ไม่ไหวสวยถูกใจว่ะ แล้วทำอย่างไร เราก็เอากระดูกใส่มันไป แบ่งซีกหนึ่งด้วย ซีกหนึ่งก็ยังเป็นกระดูก อีกซีกหนึ่งก็ยังเป็นผู้หญิงสวยคนนั้น เสร็จแล้วก็ดูมันอ้าปากงาบ ๆ ๆ ไป พอดีดูไปดูมามันเกิดตลกเฉยเลย นึกออกไหมครึ่งหนึ่งเป็นคน ครึ่งหนึ่งเป็นผี อ้าปากงาบ ๆ ๆ ตรงหน้า ตลกไหมล่ะ บางทีอยากหัวเราะเหมือนกัน ต้องใช้วิธีนั้นไม่อย่างนั้นสู้มันไม่ไหว
ถาม : แล้วอย่างการปฏิบัติ พยายามมองให้เป็นโครงกระดูก ?
ตอบ : ก็ถ้าหากเคยชินกับมันแล้ว จะเป็นว่ากระดูกทั้งโครง
ถาม : เด็ก ๆ สงสัยว่า อะไรแทรกแล้วอาเจียน เขาตามไม่ทัน ?
ตอบ : อสุภกรรมฐานมี ๑๐ อย่างด้วยกัน มีทั้งพิจารณาว่าตอนมันบวมแล้ว ตอนนี้มันอืดแล้ว ตอนนี้เขียว ตอนนี้มันเลือดท่วมตอนนี้มันน้ำเหลืองไหล ตอนนี้มันหนอนขึ้น ทีนี้เด็กกำลังหน้าตาใส ๆ อยู่ พรวดขึ้นมา มันไหวไหมล่ะ ก็เสร็จ
ถาม : เคยอ่านหนังสือพระ มีคนเขาเดินไปในป่า ไปเจอหลวงปู่มั่น เขาก็รู้ว่าพระรูปนี้เป็นหลวงปู่มั่น เขาก็คงไปตามเพื่อน เพื่อนวิ่งไป ๒ คน ผู้หญิงกับผู้ชายวิ่งไปก่อน เห็นพระนั่งอยู่ ถามหลวงปู่มั่นว่าเห็นผู้หญิงผู้ชายวิ่งไปวิ่งมาทางนี้ไหม หลวงปู่ตอบไม่เห็น เห็นแต่กระดูก ๒ อันวิ่งไปเมื่อตะกี้นี้
ตอบ : อันนี้แหละคนฟังจะสะดุดใจทันที พอสะดุดใจแล้วก็จะขอฟังธรรมมันจะเกิดประโยชน์ พระอย่างหลวงปู่จะเป็นปฏิสัมภิทานุศาสตร์คือท่านจะคล่องตัวมาก จนกระทั่งรู้ว่าต้องพูดอย่างไรคนอื่นเขาถึงอยากฟังธรรม หรือว่าถึงจะช่วยเหลือสงเคาะห์ได้ตามกำลังอย่างพระพุทธเจ้า ภัททวัคคีย์เป็นคนหนุ่ม ๆ ๓๐ คน ลูกเศรษฐี ในวันหนึ่งก็พาสาว ๆ ไปเที่ยวกัน คราวนี้คนไม่มีแฟนก็ไปเช่าหญิงโสเภณีมา ให้ค่าตัวแล้วก็ลงไปเล่นน้ำกันลงไปเล่นน้ำก็ต้องถอดของมีค่าทิ้งไว้ข้างบนผู้หญิงโสเภณีที่เฝ้าอยู่ก็ขโมยของไปหมด พอขึ้นมาจากน้ำก็ อ้าว ! ตายแล้วเล่นตูเสียแล้ว ก็พยายามตามหา ผ่านไปเจอพระพุทธเจ้าพอดีก็ถามว่าเห็นผู้หญิงนครโสเภณีผู้หนึ่งหอบของมีค่าผ่านมาทางนี้หรือเปล่าสมณะ พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่างไรรู้ไหม เธอจะตามหาคนอื่นหรือตามหาตัวเองดี เขาได้ยินก็สะดุดใจเลย ถ้าอย่างนั้นตามหาตัวเองดีกว่า ถ้าอย่างนั้นเธอนั่งลงเราจะแสดงธรรมให้ฟัง กลายเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ๓๐ รูป
ถาม : จริง ๆ พระพูดนี่คือ แค่อยากให้คนเขาฟังธรรม ?
ตอบ : พระระดับนั้นท่านจะรู้ว่าอะไรที่เหมาะสมท่านจะพูดแค่ที่เหมาะสมประเภทบางทีรู้หนึ่งรู้ร้อยพูดได้แค่หนึ่งท่านก็เอาแค่นั้นเพราะถ้าเกินนั้นอาจจะเป็นโทษแก่ใครสักคนท่านก็จะหยุด
ถาม : จริง ๆ ก็เข้าใจว่าท่านคงเห็นกระดูกวิ่งไปจริง ๆ ?
ตอบ : จ้ะอันนั้นก็จริง แต่ขณะเดียวกันท่านก็รู้ด้วยว่าถ้าพูดอย่างนั้นแล้วเขาจะสนใจ อันนี้ต้องดูในมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าไปโปรดชาวแคว้นกุรุ ชาวแคว้นกุรุนี่เขาเป็นมนุษย์ต่างดาว ปัญญาเขาสูงมาก
|